-2-
[อะ…อีมุข มึงมันคนเลว]
“แล้วมึงที่ลากกูไปเลี้ยงเหล้าชาวบ้านโดยไม่ปรึกษานี่ไม่เลวเลยเนอะ”
[ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง!] ปลายสายเหวี่ยงกลับมาจนหูคนฟังแทบดับ [เขามาแล้วก็เทกูเลยนะ!]
“ดี้…” ประมุขถอนหายใจ ยอมรับว่าลืมเพื่อนไปชั่วขณะจริงๆ แต่ก็เพราะรู้สึกตัวถึงได้รีบโทรมาบอกว่าคงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองตอนกลางคืนด้วยไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอยากเบี้ยวหรืออะไร แต่คนคนนั้นขอร้องเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งออกไปไหนวันนี้ พอเห็นแววตาจริงจังที่น่าจะไม่ได้มีเพียงเหตุผลว่าอยากอยู่ด้วยอย่างเดียว ประมุขก็เผลอตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย
ใช่ว่าเขาไม่รู้... ว่าหากก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตระหว่าง ‘คนธรรมดา’ กับ ‘คนไม่ธรรมดา’ ไป ถึงตอนนั้นจะไม่มีทางหันหลังกลับได้อีก เพราะงั้นที่เลือกมานั่งอยู่บนโซฟานุ่มๆ ในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูแห่งนี้จึงเป็นความต้องการของตัวเองที่ไตร่ตรองมาแล้วอย่างรอบคอบ และต่อให้เป็นคนซื่อจนติดจะบื้อเพียงใด ก็ยังเข้าใจว่าหากต้องการยืนอยู่ใน ‘ตำแหน่งนี้’ การเชื่อฟังเกรย์คือสิ่งที่ดีที่สุด
“กูขอโทษนะ” เขาพูดด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง “ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าลืมจริงๆ ว่ะ”
[โอย...] ดีดี้ถอนหายใจเสียงดัง อารมณ์ร้ายๆ ที่ใส่มาทางน้ำเสียงจนเต็มที่จางหายไปจนหมด [มาทำเสียงหงอยใส่แบบนี้แล้วใครจะเหวี่ยงมึงลง อีคนเลว]
ประมุขอมยิ้มเมื่อได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น อันที่จริงถ้ามองจากภายนอก ใครต่อใครคงบอกว่าดีดี้น่าจะเป็นคนเดียวที่กล้าขัดใจเจ้าชาย เป็นเพื่อนที่น่าจะคอยตบหัวสั่งสอนไม่ให้คนที่ถูกตามใจจนชินเหลิงเกินไปนัก ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดเท่าไหร่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดีดี้คนสวยไม่ต่างจากคนอื่น นั่นก็คือเธอแพ้เสียงหงอยๆ และหน้าเศร้าๆ ของประมุขเอามากๆ ขอแค่สิ่งที่แสดงออกเป็นเรื่องจริง ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้ง เธอก็จะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ยินยอมเพื่อนได้ทุกอย่างในทันที
“เดี๋ยวกูออกเงิน...”
“คุยกับใครอยู่”
เสียงทุ้มต่ำเป็นภาษาอังกฤษที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังจะออกปากขอออกเงินเหมือนเดิมแม้จะไม่ได้ไปหยุดชะงัก ประมุขเอนหัวพิงพนักโซฟา แหงนคอมองคนที่ยืนก้มหน้ายิ้มให้เขาอยู่แล้วก็หลุดยิ้มตาม
“คุยกับดีดี้”
“เพื่อนสนิทของนายสินะ”
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ไม่ได้สงสัยเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง ในเมื่อไม่เคยหลุดพูดชื่อดีดี้ให้ฟังเลยสักครั้ง
“คุยต่อเถอะ” เกรย์ยกมือแตะแก้มใสแล้วลูบไปมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ไม่ได้แปลกใจกับความซื่อบื้อและเอ๋อเหรอของลูกแกะเท่าไหร่ เพราะเขาคุ้นชินกับมันดีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มคุยกันทางจดหมาย ต่อให้ไม่เห็นหน้าก็ยังรับรู้ได้ถึงความใสซื่อที่ส่งผ่านมาทางตัวอักษร และมันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาชื่นชอบเอามากๆ
“คุณรอก่อนนะ” ลูกแกะตัวน้อยส่งเสียงออดอ้อน พอเห็นเขาพยักหน้าให้ก็ฉีกยิ้มกว้าง หันกลับไปขมวดคิ้วตั้งใจคุยกับเพื่อนเหมือนเดิม “ดีดี้ ยังอยู่หรือเปล่า”
เกรย์ก้าวเท้าเดินไปนั่งลงบนโซฟา สายตาจับจ้องใบหน้าด้านข้างของคนที่ยังงอแงกับเพื่อนไม่เลิกนิ่งงัน ถึงจะฟังรู้เรื่องไม่กี่คำเพราะลูกแกะพูดภาษาไทยไวมาก แต่ก็ยังจับใจความได้บ้าง เนื่องจากเรียนรู้เกี่ยวกับภาษานี้มามากพอควร เขาหันไปหยิบโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมากดโทรออก ไม่ต้องเสียเวลารอนานปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็ว
[ครับนาย]
“เพื่อนสนิทของลูกแกะจะไปร้านเหล้า รอจนพวกเขาดื่มเสร็จแล้วให้คนของเราจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ด้วย บอกไปว่าฉันเลี้ยงเอง”
[ได้ครับนาย]
เมื่อกดวางโทรศัพท์เรียบร้อย เกรย์ก็หันกลับไปมองคนที่ยังเถียงกับเพื่อนไม่หยุดแทน ท่าทางลูกแกะคงจะติดอยู่ในโลกส่วนตัวไปแล้ว เพราะขนาดเขาพูดให้ได้ยินอยู่ข้างๆ ยังทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด
“มึงบอกคนอื่นอย่ากินเยอะเกินไปนะ กูจ่ายไม่ไหว”
ไม่ได้ยินจริงๆ ด้วย...
หากใครได้มาเห็นเกรย์ในเวลานี้คงพากันตะลึงตาค้าง เพราะคุณเกรย์ผู้น่ากลัวแม้จะยิ้มอยู่เสมอ ยามนี้ดูอ่อนโยนมากจนน่าตกใจ อีกทั้งรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนริมฝีปากตลอดเวลายังดูจริงใจอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้เป็นคนธรรมดาทั่วไปก็มองออกได้โดยง่าย
เขากวาดตามองรูปร่างที่ถือได้ว่าสูงพอควรสำหรับคนไทยของลูกแกะตัวน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า จ้องมองใบหน้าใสสะอาดน่ามองที่คงทำให้ใครๆ สนใจได้ไม่ยาก ก่อนจะหยุดอยู่ที่ดวงตาใสซื่อเหมือนลูกแกะตัวน้อยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปแม้จะผ่านมานานกี่ปีแล้วก็ตาม
ดวงตาที่ทำให้ใครต่อใครรู้สึกเอ็นดู... ไม่เว้นแม้แต่คนที่ได้มองจากในรูปถ่ายเก่าๆ
และเป็นดวงตาที่ทำให้เขารู้สึกอยาก ‘ครอบครอง’ ตั้งแต่แรกเห็น
“เกรย์...” คนที่ถูกจับจ้องไม่วางตาโคลงหัวไปมา พอไม่ได้รับการตอบรับก็นึกห่วง เผลอยื่นมือออกไปแตะหน้าผากอีกคนโดยไม่รู้ตัว แต่กลับทำให้เจ้าของใบหน้าคมคายผงะค้าง รอยยิ้มที่มีคล้ายจะเลือนหาย ดวงตาฉายแววเย็นเยียบน่าหวาดกลัวเพียงชั่วครู่ มือที่วางทาบไว้เลยถอยห่างอัตโนมัติ ความกังวลเริ่มก่อเกิดในใจเพราะไม่รู้ว่าเผลอล้ำเส้นไปหรือเปล่า “คือผม...”
“ขอโทษด้วย” เกรย์เอ่ยเสียงนุ่ม คว้าจับมือที่ทำท่าจะถอยหนีไว้แล้วดึงมาแนบริมฝีปาก “ฉันไม่ชินก็เลยตกใจนิดหน่อย อย่ากลัวไปเลย”
สำหรับบุคคลที่ใครต่อใครต่างต้องก้มหัวให้ อย่าว่าแต่ใบหน้าเลย เพราะแม้แต่มือของเขาก็ยังไม่มีใครกล้าแตะ สัมผัสครั้งล่าสุดที่จำได้คือฝ่ามือของมารดาที่วางลงบนบ่าเมื่อครึ่งปีก่อน พอโดนวางมือทาบลงบนหน้าผากเลยเผลอตัวไปชั่วขณะ ถ้าลูกแกะกลัวขึ้นมาเขาคงต้องเสียใจทีหลังแน่ๆ
“ไม่เป็นไรครับ” แต่คนเอ๋อเหรอก็ยังเป็นคนเอ๋อเหรออยู่วันยันค่ำ นอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ยังกล้าบีบแก้มเขาแล้วฉีกยิ้มให้อีกต่างหาก “น่าแปลกนะ ก่อนหน้านี้ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณเยอะแยะเลย แต่พอได้เจอจริงๆ กลับพูดอะไรไม่ออกซะงั้น”
ประมุขรู้เพียงว่าเขามีความสุขมากจนหุบยิ้มแทบไม่ได้ โดนดีดี้หลอกด่าในโทรศัพท์มากเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกหัวร้อน ขนาดต้องเสียเงินทั้งที่ไม่ได้ไปด้วยยังรู้สึกเฉยๆ เพราะยังไงก็อยากใช้เวลาอยู่กับคนข้างกายมากกว่าอยู่แล้ว
“เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ค่อยๆ คิดไปก็ได้” เกรย์ยกยิ้มมีความหมาย ดึงมือที่กอบกุมลงไปวางที่หน้าขาแล้วแตะสำรวจไปมาด้วยความสนใจ
“เริ่มจากบอกว่าเหตุผลของคุณคืออะไรก่อนเลยได้ไหม...”
“หืม”
ประมุขหลุดสีหน้าไม่มั่นใจเมื่อเห็นอีกคนเลิกคิ้วมอง แต่เพราะยังถูกลูบมือไปมาเหมือนอยากให้เขาผ่อนคลายอยู่ จึงสรุปเอาเองว่าคงไม่ถูกโกรธหากถามออกไปตามตรง
“ทำไมถึงไม่ยอมมาเจอกันสักที”
ช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มรู้จักยังคิดว่าระยะห่างของสองประเทศมีมากเกินไป ไม่ใช่ว่าใครๆ จะบินข้ามประเทศไปหากันได้โดยง่าย แต่เมื่อใช้เวลาพูดคุยนานเข้าก็เริ่มเข้าใจ ว่าสำหรับคนคนนี้ขอเพียงเอ่ยปากก็คงมาหากันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นที่ยังเว้นระยะห่าง รอเวลามาจนถึงตอนนี้ย่อมต้องเป็นเพราะการตัดสินใจของตัวเอง
ถึงจะสงสัยมาตลอด ทว่าเมื่อคนสำคัญบอกให้รอ เขาก็ยินยอมที่จะรอโดยไม่คิดถามขึ้นมาอีก
“เพราะพี่ชายของนาย” คำตอบเรียบๆ ชนิดไม่เล่นตัวเลยแม้แต่นิดเดียวเรียกความสนใจได้มากพอควร เกรย์รอกระทั่งลูกแกะเงยหน้ามองตาปริบๆ แล้วจึงพูดต่อ “ฉันให้สัญญาเอาไว้ว่าจะไม่แตะต้องลูกแกะก่อนเวลา เพราะแบบนั้นถึงได้อดทนมาโดยตลอด ถ้าคิงรู้ว่าฉันมาหาแล้ว เห็นทีคงโมโหจนลุกขึ้นเดินได้แน่”
คำพูดติดตลกไม่ได้ทำให้คนฟังขำเลยแม้แต่น้อย ประมุขหลุบตาลงต่ำ หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรงอย่างไร้เหตุผล เพียงแค่เอาคำพูดนั้นมาประกอบกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่พบเจอก็ได้รับคำตอบแทบทุกอย่าง
“หมายความว่าที่ปฏิเสธเวลาผมชวน...”
“เพราะสัญญา” เกรย์พูดแทรกโดยไม่รอฟังจนจบประโยค “ทั้งหมดเป็นเพราะสัญญาที่ให้ไว้กับคิง ต่อให้ทำท่าทางเย็นชาใส่ หรือแสดงออกเหมือนลืมเรื่องราวของครอบครัวไปจนหมดแล้ว แต่พี่ชายคนนั้นรักและหวงน้องมากทีเดียว ได้ยินแบบนี้แล้วยังจะบอกว่าไม่เชื่ออีกไหม”
ประมุขส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยพิมพ์เล่าให้เกรย์ฟัง บอกว่าพี่ชายคนโตไม่สนใจ กลับมาอยู่ด้วยกันแต่เย็นชาเอามากๆ ถึงขั้นตัดพ้อว่าพี่อาจจะลืมเรื่องครอบครัวไปหมดแล้ว พออีกฝ่ายตอบกลับมาว่าพี่จักรรักและหวงน้องมาก เขาก็พูดกลับไปว่าไม่เชื่อแทบจะทันที แต่พอได้ฟังแบบนี้แล้วหัวใจก็พองโต... ทั้งดีใจที่พี่ชายรักและห่วง รวมถึงดีใจที่เหตุผลของเกรย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแบบที่คิดไว้
สารพัดความคิดในแง่ลบที่เคยนึกไว้ในหัวจางหายไปเมื่อถูกไขข้อข้องใจ ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะดีดี้เคยกรอกหูว่าให้เตรียมใจไว้บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเขาเองที่ชอบคิดว่าเกรย์อาจจะมีความลับ เคยคิดถึงขั้นว่าอีกฝ่ายอาจจะมีคนรักอยู่แล้วด้วยซ้ำ ที่พูดคุยด้วยนานๆ อาจเป็นเพราะทำแก้เบื่อก็ได้
โชคดีจริงๆ ที่ไม่ใช่...
“ยังมีอะไรจะถามอีกหรือเปล่า” คนที่เฝ้าสังเกตอาการของลูกแกะอยู่เงียบๆ เอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบ
“ยังคิดไม่ออกเลย” ประมุขส่ายหน้า ตอนนี้ในหัวโล่งไปหมด ทั้งดีใจทั้งอะไรก็ไม่รู้ปนกัน ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
“งั้นไปอาบน้ำก่อนเถอะ ฉันวางชุดไว้ให้แล้ว”
ประมุขพยักหน้าอย่างว่าง่าย เคยชินกับการตอบรับที่ไม่ต้องถามคำถาม กระทั่งเรื่องที่น่าสงสัยอย่างเอาชุดจากไหนมาให้เขาก็ลืมถามไปเสียสนิท หากไม่เป็นเพราะเมื่อเดินเข้าห้องแล้วสะดุดตากับชุดนอนลายแกะสีขาวเข้าอย่างจังจนนึกสงสัยก็คงลืมไปทั้งแบบนั้น
หลังจากใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก ผู้มาเยือนที่คิดช้าเป็นเต่าคลานก็สังเกตเห็นว่าข้าวของใหม่แกะกล่องทุกอย่างถูกจัดวางไว้เป็นคู่อย่างเข้าที่เข้าทางจนเกินไป เขาก้มลงมองชุดนอนของตัวเองเป็นลำดับแรก ตามด้วยเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ มองแปรงสีฟันที่วางอยู่คู่กันสองอันจนแน่ใจว่าเป็นของใหม่แน่ๆ จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า กะพริบตามองชุดที่มีสองขนาดอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่พูดอะไร นอกจากนั้นยังมีของใหม่เอี่ยมในลิ้นชักอย่างพวกกางเกงชั้นในหรือบ๊อกเซอร์อีก
เกรย์เพิ่งมาถึงไทย ทั้งยังเป็นคนรวย จะซื้อของใหม่มาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือทำไมถึงมีของเข้าคู่กันถูกจัดเตรียมไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าขนาดพอดีกับประมุขหรือแปรงสีฟันที่วางไว้ให้แล้ว...
“ทำอย่างกับจะให้มาอยู่ที่นี่...” ผู้มาเยือนพึมพำกับตัวเองยิ้มๆ คิดตามประสาคนเด๋อว่าคงไม่ใช่หรอก บางทีเกรย์อาจเตรียมเสื้อผ้าไว้เผื่อสำหรับแขกที่จะมาค้างก็ได้ แล้วบังเอิญมันดันพอดีตัวเขาก็เท่านั้น
เมื่อสรุปกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว ประมุขก็ก้าวเท้าออกไปจากห้อง เดินลงจากบันไดชั้นสองของเพนท์เฮ้าส์ไปชั้นล่าง พยายามมองหาเงาร่างเจ้าของห้องแต่ก็ไม่พบ เมื่อมั่นใจว่าคงไม่ได้อยู่ในห้องจริงๆ เลยเดินไปเปิดประตูเพื่อโผล่หัวไปมองข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไปก็ต้องชะงักค้าง เมื่อพบเข้ากับร่างของบอดี้การ์ดหลายคนยืนอยู่ด้านนอก
“เอ่อ...” คนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนตัวแข็งเป็นหิน มองซ้ายมองขวาอย่างคนไม่รู้ว่าควรพูดหรือถามอะไร เพราะหน้าตาการ์ดแต่ละคนล้วนเรียบนิ่ง ไม่มีวอกแวกแม้จะเห็นเขาใส่ชุดลูกแกะออกมายืนอยู่ด้านนอก และในตอนนั้นเองที่ใครคนหนึ่งเดินมาจากอีกทาง ตรงเข้ามาพูดคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้มจาง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ขอโทษด้วยครับ” ประมุขผงกหัวขอโทษอย่างมีมารยาท แอบลอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้เจอคนที่ไม่ได้ทำตัวแข็งทื่อเสียที ถึงชายชาวต่าวชาติตัวสูงใหญ่ตรงหน้าจะใส่ชุดสูทเต็มยศ ดูแล้วน่าจะเป็นบอดี้การ์ดเหมือนกันก็ตาม “คือผมกำลังมองหาเกรย์...”
ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาห้วนๆ เรียกความสนใจได้มากเกินกว่าที่คาดไว้ เพราะแทบจะทันทีที่เขาเอ่ยจบ ทุกสายตาจากบรรดาลูกน้องของเกรย์คนที่ว่าก็เบนไปมองชาวไทยที่ดูตัวเล็กลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับชาวต่างชาติตัวหนาด้วยความประหลาดใจ คล้ายกำลังลังเลว่าจะยกปืนขึ้นมาเล็งหัวคนที่เรียกเจ้านายห้วนๆ ดีหรือเปล่าอย่างไรอย่างนั้น
“นายไม่ได้อยู่ในห้องเหรอครับ” ชายคนที่ยืนคุยกับประมุขยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุดความคิดแล้วถอนสายตากลับไป “ตั้งแต่กลับมาพร้อมคุณ นายยังไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ”
“เหรอครับ...” ประมุขขมวดคิ้วมุ่น ไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกือบโดนเชือดทิ้งเลยแม้แต่น้อย “แต่ผมเดินหาทั่วห้องแล้วไม่เจอนี่นา”
“อยู่ที่ระเบียงหรือเปล่าครับ”
“เออใช่!” จะว่าไปแล้วเขายังไม่ได้เปิดม่านออกไปดูตรงระเบียงเลยนี่นา “ขอบคุณมากนะครับ เอ่อ...”
“เรียกว่าลูคัสก็ได้ครับ”
“งั้นก็ขอบคุณมากนะครับลูคัส ขอโทษที่รบกวนพี่ๆ ทุกคนด้วยนะ” คนอารมณ์ดีบอกเสียงใส ก้มหัวให้อย่างสุภาพทั้งที่ไม่จำเป็นแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องไป...
ทิ้งให้ ‘ทีมเอ’ และ ‘หัวหน้าทีม’ อย่างลูคัสมองตามไปด้วยความสนใจ
พื้นที่ในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น เน้นการตกแต่งที่หรูหราดูมีระดับ จัดสัดส่วนได้อย่างชัดเจน โดยบริเวณชั้นหนึ่งจะมีประตูเชื่อมกับระเบียงขนาดใหญ่ด้านนอก ซึ่งมีพื้นที่เพียงพอให้จัดปาร์ตี้ได้แบบสบายๆ มีทั้งส่วนของสระว่ายน้ำ จุดนั่งพัก แล้วก็สวนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม
ประมุขเปิดประตูออกไปมองรอบด้านครั้งแรกก็อดร้องโอ้โหออกมาไม่ได้ จำได้ว่าสมัยเด็กมากๆ ตอนที่ยังไม่ได้แยกกับพี่ชายคนโต พ่อของเขาก็พอจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้มากมายขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงหลังๆ ที่ลำบากกันพอควร แม้แต่รถวีลแชร์แบบไฟฟ้าที่อยากซื้อให้พี่ชายยังไม่มีปัญญาซื้อ กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างก็ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพราะงั้นจึงไม่แปลกเลยที่คนธรรมดาอย่างเขาจะตื่นตาตื่นใจยามได้เห็นสถานที่ที่หรูหราขนาดนี้
“จิม…”
เสียงพูดคุยภาษาฝรั่งเศสที่ประมุขฟังไม่ออกดังขึ้นจากบริเวณสวนเล็กๆ ทางด้านข้าง เขาก้าวเท้าเข้าไปหา พยายามไม่ส่งเสียงรบกวน แล้วก็พบว่าเกรย์กำลังยืนล้วงกระเป๋าคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล สายตาทอดมองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกซึ่งเต็มไปด้วยตึกมากมายกับท้องฟ้ากว้างขวาง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายหันหลัง เขาจึงไม่อาจเห็นสีหน้ายามพูดคุยกับคนอื่นได้
ไม่ได้รู้เลยว่ามันเย็นชาและน่ากลัวขนาดไหน...
“แล้วเรื่องแม่มดได้ความว่ายังไงบ้าง” เกรย์เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทที่คอยจัดการงานอยู่อีกฝั่งด้วยน้ำเสียงเฉยชา ลืมระวังตัวจนไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งยืนรออยู่ด้านหลัง
[เธอทำตามที่คุณคิงวางแผนไว้จริงๆ ครับ... เอาบ่อนใต้ดินมาเสนอเราตามคาด]
“หืม…” ใบหน้าราบเรียบดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบท่ีต้องการ “เก็บหลักฐานไว้ ยังไม่ต้องทำอะไร”
[แล้วเรื่องบริษัททางฝั่งนั้น นายจะให้หยุดหรือว่า...]
“ทำต่อไป เอาให้มั่นใจว่ามันจะล้มละลายแน่ๆ ส่วน...”
ความเคลื่อนไหวที่ส่งผลให้เกิดเสียงดังเพียงเล็กน้อยยามคนแอบฟังเผลอเอนตัวไปพิงรั้วต้นไม้ทำให้คนที่ยืนอยู่รู้สึกตัว เกรย์หมุนตัวหันไปมองผู้มาเยือนด้วยแววตาเย็นเยียบ อาวุธที่พกติดกายอยู่ตลอดเวลาถูกดึงออกมาถือไว้ด้วยความรวดเร็ว โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าตื่นๆ ที่มองกลับมาเสียก่อนจึงยั้งมือเอาไว้ทัน ไม่ได้เล็งอาวุธแสนอันตรายไปที่ศีรษะของคนสำคัญจนถูกหวาดกลัวไปมากกว่านี้
“ลูกแกะ” เขาเรียกเสียงอ่อน รีบบอกลาคนในโทรศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเศสสั้นๆ แล้วกดวางสาย อาวุธที่ถืออยู่ข้างตัวถูกเก็บเอาไว้ที่เดิม ขณะที่ขาก้าวไวๆ เข้าไปหาคนที่ยังดูตกใจอยู่นิดหน่อย “ลูกแกะ...”
“คือผม...” ประมุขกลืนน้ำลาย ก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติ “ผมเห็นคุณคุยโทรศัพท์เลยยืนรออยู่ด้านหลัง... แต่ฟังไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ นะ”
เกรย์จ้องมองคนสำคัญที่อยากจะเก็บไว้ข้างกายไม่ให้ใครได้พบเจอนิ่งงัน ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้ต้องหวาดกลัว อยากปกป้องดูแลให้ลูกแกะยังเป็นลูกแกะที่ใสซื่อต่อไป แต่สุดท้ายก็เผลอตัวทำให้หวาดกลัวตั้งแต่วันแรกไปเสียได้
ตัวเขาเองเคยชินกับการยืนอยู่ท่ามกลางบอดี้การ์ดมาตั้งแต่ยังเด็ก พื้นที่ส่วนตัวพื้นที่เดียวที่มีคือภายในห้องพักที่ถูกตรวจสอบไว้ล่วงหน้าอย่างเข้มงวด หากการที่ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองไม่ได้หมายความว่าจะวางภาระบนบ่าหรือคลายความระวังตัวลงได้ ในทางตรงกันข้าม เขาต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ต้องพกพาอาวุธที่จะช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ตาม และความเคยชินที่อยู่คนเดียวมาโดยตลอดนั่นเองที่ทำให้ลืมเลือนไปว่ายามนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว
จากนี้ไป... ที่ไหนที่มีเกรย์ก็ต้องมีลูกแกะของเขาอยู่ด้วย
“ฉันไม่ได้โกรธ” โชคดีเหลือเกินที่ลูกแกะไม่ได้หวาดกลัวมากเกินไปจนถอยห่าง หากมือที่ยื่นไปหาถูกปฏิเสธ เขาคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร “ฉันทำให้กลัวหรือเปล่า”
คนฟังส่ายหน้าจนผมสะบัด รีบคว้าจับมือที่ยื่นมาหาแล้วยิ้มอ้อนโดยอัตโนมัติ เพราะไม่ว่าเหตุผลที่เกือบโดนเล็งปืนใส่จะเป็นอะไร เขาก็ไม่อยากให้เกรย์ทำหน้าเศร้าแบบนั้นอยู่ดี
“แค่ตกใจนิดหน่อย...” พูดแล้วก็ต้องเม้มปากเมื่ออีกคนยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ประมุขลอบคิดหนัก ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจางหายไปจนหมด เหลือเพียงความเป็นห่วงเท่านั้น “นิดเดียวจริงๆ นะ”
ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งที่ชูขึ้นมาแตะให้ดูว่านิดเดียวขนาดไหนทำให้เกรย์เริ่มยิ้มออก เขารวบมือทั้งสองข้างของลูกแกะตัวน้อยมากุมไว้ ไล่บีบนวดนิ้วเรียวเบาๆ อย่างอ่อนโยน ส่งผ่านคำขอบคุณมากมายไปให้จากใจ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะยังยืนอยู่ตรงนี้ไหม แค่ได้พบกันวันแรกก็เกือบโดนชักปืนจ่อหัว ทั้งยังโดนมองด้วยแววตาน่ากลัวไปแล้ว
แต่ก็เพราะลูกแกะเป็นแบบนี้เขาถึงได้เสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น...
“เข้าไปข้างในกันเถอะ อากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เกรย์โอบไหล่คนข้างกายให้เดินตามเข้าไปด้านใน พาให้ไปนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มที่เจ้าตัวบอกว่าชอบมากตั้งแต่ที่ได้เห็น แล้วก็นั่งบีบมืออีกคนต่ออย่างชอบใจ
“เสื้อผ้าในตู้คุณ... ซื้อไว้เผื่อแขกเหรอครับ” คำถามเด๋อด๋าที่พูดออกมาทำเอาบรรยากาศอึมครึมลอยหายไปจนหมด เกรย์เงยหน้ามองคนพูด จ้องใบหน้าที่เหมือนจะลืมทุกอย่างไปหมดแล้วก่อนจะเลิกคิ้ว สายตากวาดมองสำรวจชุดแกะสีขาวที่เข้ากันได้ดีกับคนใส่แล้วก็หัวเราะออกมา
“ฉันคงไม่เอาเสื้อผ้าลายแกะให้แขกใส่หรอก แล้วอีกอย่าง... ไม่มีใครมีสิทธิ์มานอนค้างที่นี่ทั้งนั้นนอกจากนาย”
“หมายความว่าทั้งหมดนั่นของผมเหรอ”
“ใช่” เขาพยักหน้ายืนยันคำพูด มือยื่นไปบีบแก้มขาวๆ ที่น่าฟัดสุดๆ อย่างอดใจไม่ไหว “ลูกแกะคงเดาได้อยู่แล้วว่าถ้าเราได้เจอกัน อะไรต่อมิอะไรจะยากขึ้นหลายอย่าง... จำคำถามที่ฉันเคยถามเอาไว้ ตอนที่นายบอกว่าอยากเจอได้หรือเปล่า”
“จำได้ครับ” ประมุขรีบพยักหน้า ถึงจะเอ๋อยังไงก็ไม่มีทางลืมเรื่องสำคัญแบบนั้นแน่นอน
ถ้าเราได้เจอกัน นายจะยอมทิ้งความเป็นส่วนตัวที่เคยมีมาทั้งชีวิตเพื่อฉันได้หรือเปล่า
ในเวลานั้นเขาตอบว่าได้อย่างไม่เสียเวลาคิด ชีวิตที่ต้องอยู่เพียงลำพัง ห่างไกลจากครอบครัว ได้คุยกับพี่ชายและพ่อบ้างบางโอกาส เกรย์คือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเขา ไม่ว่าเวลาจะตรงกันหรือไม่ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ขอเพียงแค่ทักไปหา คนคนนั้นก็จะตอบกลับอย่างรวดเร็วเสมอ ความเป็นส่วนตัวนั่นหมายถึงอะไรเขาไม่เคยสน รู้เพียงว่าหากได้เจอกันแล้วจะยินยอมทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ และจนถึงตอนนี้คำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิม
“ที่ฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้ ก็เพราะอยากให้มาอยู่ด้วยกัน” เกรย์พูดเสียงอ่อน ตามองท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยของคนข้างกายแล้วเริ่มพูดต่อ “อาจดูเหมือนเห็นแก่ตัวที่อยากให้ลูกแกะมาอยู่ข้างกายแล้วทิ้งชีวิตแบบเดิมๆ ไป แต่เชื่อเถอะว่าความปลอดภัยของนายคือเรื่องที่ฉันเป็นห่วงที่สุด”
“ผมรู้ดี” คนที่เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นคลี่ยิ้ม ไม่ได้นึกเสียใจเลยสักนิดที่ตัดสินใจเลือกทางนี้ “ผมบอกคุณแล้วว่าผมยอมทิ้งทุกอย่างได้ ยกเว้นครอบครัว ต่อให้ต้องมีพี่การ์ดเดินตามเป็นขบวนก็ไม่เป็นไร ใช่ว่าคุณอยากอยู่กับผมฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่”
“…”
“พรุ่งนี้ผมจะกลับไปเก็บของที่หอ... แล้วเรามาอยู่ด้วยกันนะครับ”
“เด็กดี” รางวัลของคนทำดีก็คือคำชมและรอยยิ้มอ่อนโยนกับสัมผัสนุ่มนวลที่ฝ่ามือ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผู้ได้รับยิ้มจนแก้มแทบแตก “ช่วงไหนที่ฉันต้องกลับฝรั่งเศสแล้วนายติดเรียนก็อยู่ที่นี่ได้เลย เข้าใจหรือเปล่า”
ประมุขพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย เดินตามแรงจูงเข้าไปในห้องนอน แล้วก็นั่งยิ้มอยู่บนเตียงระหว่างรอเกรย์เข้าไปอาบน้ำโดยไม่ขยับไปไหน กระทั่งอีกฝ่ายเดินโชว์เรือนร่างน่าอิจฉาออกมาแต่งตัวให้เห็นต่อหน้า เขาก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง เพราะชุดที่เจ้าตัวใส่มันคือชุดนอนลายแกะในแบบเดียวกัน แตกต่างแค่เป็นสีดำเท่านั้นเอง
“คุณมีกี่ชุดเนี่ย”
“เยอะอยู่เหมือนกัน ต่างกันตรงสีกับหน้าแกะ”
พวกเขามองหน้ากันแล้วก็มองชุดบนตัวแต่ละฝ่ายสลับไปมาอยู่สามสี่รอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันอีกที สำหรับคนอารมณ์ดีอย่างประมุขอาจไม่ใช่เรื่องยากที่จะหัวเราะออกมาจนเต็มเสียง แต่หากเปรียบเทียบกับความสุขที่ได้รับ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้ ส่วนเกรย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... เอาแค่รอยยิ้มจริงใจที่ไม่ใช่หน้ากากเหมือนตอนทำงานเขาก็ไม่เคยทำแล้ว นับประสาอะไรกับการหัวเราะกัน
ได้อยู่กับคนสำคัญเพียงวันเดียวก็มีความสุขขนาดนี้...
“แล้วใครจะปล่อยไปได้...”
“คุณพูดอะไรหรือเปล่า” ลูกแกะที่หัวเราะจนลืมฟังถามซ้ำ มือยกขึ้นทำท่าแคะขี้หูอย่างน่าเอ็นดูจนโดนบีบแก้มไปอีกทีด้วยความมันเขี้ยว
“ไม่มีอะไร”
“ว่าแต่นี่มันยังไม่ค่ำเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมเราใส่ชุดนอนกันแล้วล่ะ”
“เพิ่งมาถามเอาตอนอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเนี่ยนะ” เกรย์เลิกคิ้วถาม แล้วก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้าหน่ายยามเห็นลูกแกะยิ้มแห้งใส่ แสดงออกชัดเจนว่าเพิ่งรู้สึกตัวจริงๆ
จะทำให้หลงไปถึงไหนกัน...
“ลืมสงสัยไปเลย”
“โตมาโดยไม่โดนหลอกได้ยังไงเนี่ย” ขืนเขาได้อยู่ใกล้มาตั้งแต่ต้น ป่านนี้ลูกแกะตัวผอมคงเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว คงต้องขอบคุณพี่ชายคนรองแล้วก็เพื่อนสนิทที่ชื่อดีดี้ของเจ้าตัวที่คอยดูแลให้ ไม่อย่างนั้นลูกแกะของเขาคงโดนหมาป่าที่ไหนไม่รู้หลอกไปนานแล้ว
“ใครจะมาหลอก” ประมุขพูดเสียงอู้อี้เมื่อโดนบีบปาก ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะดึงมืออีกคนออกมาจับกุมไว้ได้ “แล้วสรุปว่ายังไงครับ หรือว่าคุณง่วงนอนแล้ว”
“เปล่า ปกติถ้าไม่ใช่เวลานอนฉันใส่แต่ชุดสูท จะบอกว่าไม่ค่อยมีชุดไปรเวทเหมือนคนอื่นเขาก็คงได้ ถ้าอยู่บ้านก็ใส่แต่ชุดนอนแบบนี้แหละ พอจะออกไปไหนค่อยเปลี่ยนเป็นชุดทำงาน” หรือหากให้พูดจริงๆ คงต้องบอกว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่เฉยๆ ในบ้านอยู่แล้ว ปกติมีแต่ต้องออกไปไหนมาไหนตลอด เรื่องเที่ยวเลิกพูดถึงไปได้เลย แล้วจะมีเสื้อผ้าทั่วไปเอาไว้ใส่อยู่บ้านทำไมกัน “สงสัยจะชินไปหน่อยเลยคิดว่านายเป็นแบบเดียวกัน ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าธรรมดาไว้ให้เลย”
“ไม่เป็นไร ผมใส่เหมือนคุณก็ได้”
“หืม…”
“ใส่คู่กันแบบนี้ก็น่ารักดี...” ลูกแกะตอบแล้วก็หาวหวอดหน้าตาเฉย “ว่าแต่ชุดนอนของคุณทำให้ง่วงได้ด้วยเหรอ ตาจะปิดเฉยเลย”
เกรย์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะคิดว่าคนพูดคงไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เขาเพียงผลักประมุขให้เอนกายลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงอกแล้วก็นั่งพิงพนักเตียงคอยลูบหัวให้คนที่น่าจะตื่นแต่เช้าอย่างอ่อนโยน
“นอนเถอะ”
“ถ้าจะไปไหนปลุกผมด้วยนะ”
ไม่ได้บอกว่าห้ามไป... แต่ให้ปลุกเพราะจะได้ไปด้วย
บนโลกใบนี้คงไม่มีใครน่ารักมากเท่าลูกแกะของเขาอีกแล้ว
----------------------------