ขอบคุณวันปีใหม่ที่ทำให้ผมกล้าบอก Happy new year เขา
ขอบคุณสามร้อยหกสิบห้าวันที่เวียนมาบรรจบกันจนทำให้มีวันนี้
.
.
.
.
.
"เฮ้ยไอ้เฉิน เอาขยะไปทิ้งให้หน่อยดิ ไหนๆ มึงก็ว่างอยู่แล้ว"
ผมมองถุงขยะที่อยู่ในมือเพื่อนก่อนจะเบ้หน้าใส่มันเบาๆ ผมเป็นเพื่อนมันนะไม่ใช่เบ๊ ทำไมต้องฟังคำสั่งมันด้วยล่ะ
"ขี้เกียจ"
"ไอ้เฉิน อย่ามางอแง"
"กูไม่ได้งอแง กูแค่ขี้เกียจเอาขยะลงไปทิ้ง" ห้องมันอยู่ตั้งชั้นเจ็ด แล้วลิฟต์ในคอนโดฯ ก็ดันมาเสียช่วงนี้อีก ขืนผมทำตามมันมีหวังกล้ามขาขึ้นเป็นลูกกันพอดี
"ยังจะมีหน้ามาพูดว่าขี้เกียจอีกเหรอ งานกลุ่มที่ส่งไปเมื่อวานมึงได้ช่วยอะไรบ้างไหมนอกจากซื้อขนมมาแจกพวกกู"
"ก็ตอนนั้นกูป่วยอยู่อ่ะเลยมาช่วยพวกมึงไม่ได้"
"ตอนนี้ก็หายป่วยแล้วไง เอาขยะลงไปทิ้งแค่นี้ไม่ตายหรอก"
ไม่ตายบ้าอะไร! มึงย้อนกลับไปอ่านบรรทัดบนอีกทีซิ ห้อง มึง อยู่ ชั้น เจ็ด แล้ว กู ต้อง เดิน บันได ลง ไป!
"ไว้ค่อยทิ้งพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ เอาไว้ตอนจะกลับกูจะได้เดินลงไปทิ้งให้ทีเดียวเลยไง"
"ถังขยะเต็มแล้ว กูไม่ชอบให้มีถุงขยะในห้องตัวเอง อย่าเรื่องมากน่ะมึง กูให้เอาขยะไปทิ้งไม่ได้ให้ไปรบ"
แล้วที่มึงทำอยู่มันต่างกับการรบตรงไหน มึงกำลังส่งกูไปรบกับบันไดตั้งสิบสี่ชั้น (รวมขาขึ้นขาลง) เลยนะ!
"เวย์ ช่วยกูหน่อยยยยย" ในเมื่อคนตรงหน้ายืนยันที่จะใช้งานผมให้ได้ผมเลยหันไปหาตัวช่วยที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์บนโซฟา
"ให้ช่วยอะไร"
"ช่วยเอาขยะไปทิ้งแทน"
"ได้ข่าวว่าเราไม่สนิทกันนะ"
"ใครบอก มึงสนิทกับกูมากลืมแล้วเหรอ"
"ใช่ลืมแล้ว เพราะงั้นโชคดีนะครับตี๋น้อย"
ตี๋น้อยพ่อง...
ผมทำหน้าหงิกใส่คนที่เอาหน้าตี๋ๆ เชื้อสายจีนของผมมาล้อ คือผมก็หน้าตี๋จริงๆ นั่นแหละ แต่ผมไม่ชอบให้มันเรียกตี๋น้อยอ่ะ มันดูเหมือนลูกมาเฟียที่เป็นลูกแหง่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากขอเงินพ่อไปวันๆ
"มึงก็เอาขยะลงไปทิ้งให้หน่อยเถอะ จัมพ์มันอุตส่าห์ให้พวกเรามาเคาท์ดาวน์ห้องมันเชียวนะ" ไอ้ริวที่กำลังนอนเล่นเกมอยู่บนเตียงส่งเสียงมาเกลี้ยกล่อมผมอีกคน ปากมันพูดกับผมแต่ตามองจอมือถือไม่กะพริบ "เยส! ได้แต้มเพิ่มแล้วโว้ยยย"
"สรุปคือกูต้องเดินขึ้นลงบันไดสิบสี่ชั้นจริงๆ เหรอ"
"ถือเป็นการออกกำลังกายต้อนรับปีใหม่"
"ทีไอ้เวย์ไอ้ริวไม่เห็นมึงใช้บ้างเลย ทำไมต้องเป็นกูวะ"
"ก็เพราะเมื่อวานไอ้เวย์ไอ้ริวรวมถึงกูหัวปั่นกับงานกลุ่มมาทั้งวันแล้วไง เพราะงั้นวันนี้มึงที่สบายมาตลอดต้องเสียสละให้เพื่อนบ้าง"
ใครบอกมึงว่าที่ผ่านมากูอยู่สบาย การนอนโรงพยาบาลดมกลิ่นยาทั้งวันแถมยังมีสายระโยงระยางทั่วแขนมันไม่ได้สบายสักนิดเลยนะ
"ไอ้พวกเพื่อนชั่ว ชอบใช้คนป่วย"
"ตอนนี้มึงไม่ใช่คนป่วยแล้ว อย่ามาง้องแง้งรีบไปได้แล้ว"
ไอ้จัมพ์ยัดถุงขยะใส่มือผมก่อนจะรุนหลังจนมาอยู่หน้าประตูห้อง หลังจากให้คีย์การ์ดมาอีกหนึ่งอย่างมันก็ออกคำสั่งกับผมอีก
"ถ้าเจอ
ไอ้แทนก็พามันขึ้นมาเลยนะ กูขี้เกียจลุกมาเปิดประตูให้มัน"
ชื่อของเพื่อนต่างคณะของคนพูดทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปนิดนึง ผมตอบรับมันแบบส่งๆ ก่อนจะเดินหิ้วถุงขยะไปยังบันได ขาลงน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ขาขึ้นนี่สิน่าจะหนักเอาการอยู่ เดินขึ้นบันไดจากชั้นหนึ่งไปยังชั้นเจ็ด...ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับบอกเลย
ระหว่างที่กำลังเดินลงบันไดในหัวก็คิดถึงใครอีกคนที่ยังมาไม่ถึง และมันก็เหมือนเป็นระบบอัตโนมัติที่พอคิดถึงเขาคนนั้นแล้วหัวใจผมต้องเต้นแรงทุกครั้ง
อันที่จริงผมไม่ควรจะมาทำอะไรแบบนี้เลย พูดให้ถูกคือผมไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ วันนี้คือวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่ผมกะจะใช้ชีวิตวันสุดท้ายของปีด้วยการนอนดูการ์ตูนอยู่ในบ้านตัวเอง แต่ไอ้จัมพ์ผู้ติดเพื่อนยิ่งกว่าผู้หญิงก็เอ่ยปากชวนแกมบังคับให้ผมมาเคาท์ดาวน์ห้องมันด้วยการขู่ว่าถ้าไม่มาจะไม่เขียนชื่อผมลงในรายงานกลุ่ม
...ผมที่ไม่มีทางเลือกเลยจำต้องมาค้างห้องมันอย่างเสียไม่ได้
ก่อนหน้านี้ผมเป็นไข้หวัดใหญ่เลยต้องนอนโรงพยาบาลยาวถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม พอได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแทนที่จะได้กลับบ้านอันแสนคิดถึงกลับต้องโดนเพื่อนลากให้มาทำอะไรแบบนี้อีก
โว้ยยยย ไอ้เฉินล่ะหงุดหงิด!
ในที่สุดหลังจากเดินบ่นเพื่อนในใจมาตั้งนานผมก็ลงมาถึงชั้นหนึ่ง บริเวณล็อบบี้ตรงนี้ถูกประดับประดาให้เข้ากับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้ ผมเดินเอาถุงขยะไปทิ้งลงในถังหน้าคอนโดฯ ในตอนที่กำลังจะหันหลังกลับเดินขึ้นห้องเสียงของใครบางคนก็เรียกชื่อผมไว้ซะก่อน
"เฉิน" ผมหันไปมองตามเสียงเรียกชื่อ ทันใดนั้นเองหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงขึ้นมาอีก คนที่เรียกชื่อผมเดินมายังจุดที่ผมยืนอยู่ด้วยท่าทางไม่รีบร้อน เสื้อยืดกางเกงยีนส์กับเป้สะพายข้างธรรมดาแต่กลับเสริมความหล่อของเขาจนผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังต้องอาย
"ลงมาทำอะไร"
"ทิ้งขยะน่ะ"
"ลงมายังไง ลิฟต์เสียอยู่ไม่ใช่เหรอ"
"เราลงบันไดมา"
"จากชั้นเจ็ดเนี่ยนะ?"
"อือ"
แทนขมวดคิ้วเข้าหากันหลังผมพูดจบ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไร แต่ผมไม่อยากยืนคุยกับเขาสองต่อสองตรงนี้นานๆ เลยถือโอกาสชวนเขาขึ้นห้องเลย
ไม่ได้กลัวคนอื่นเข้าใจผิดหรืออะไรทำนองนั้น ก็แค่เขินที่ต้องยืนคุยกับคนที่ตัวเองชอบสองต่อสอง เห็นนิ่งๆ แบบนี้แต่ในใจผมนี่โครมครามสุดๆ เลยนะ ตอนแรกก็อยากเจอแหละแต่ไม่นึกว่าจะได้เจอจริงๆ
"คีย์การ์ดห้องจัมพ์อยู่ที่เรา จัมพ์บอกว่าถ้าเจอแทนให้ขึ้นห้องพร้อมเราเลย ป่ะ ขึ้นห้องกัน"
อย่าสงสัยครับว่าทำไมกับพวกแม่งบนห้องผมถึงพูดหยาบแต่กับผู้ชายคนนี้กลับพูดเพราะจนน่าหมั่นไส้ แทนเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของจัมพ์ที่ย้ายไปเรียนคนละคณะตอนขึ้นมหา'ลัย เพราะเป็นเพื่อนของเพื่อนสนิทอีกทีความสนิทสนมกับสรรพนามที่ใช้เรียกจึงไม่เหมือนกัน แต่ไอ้ริวกับไอ้เวย์อาจจะไม่ได้คิดเหมือนผมมันเลยพูดมึงกูกับแทนเหมือนตอนปกติ
ผมอาจจะไม่สนิทกับแทนเท่าเพื่อนๆ อีกสามคน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากสนิทกับเขา เพียงแต่ความหมายของคำว่า 'สนิท' ของผมมันต่างออกไปจากคนอื่นเท่านั้นเอง
"เฉิน"
มือหนาที่แตะลงบนไหล่เบาๆ ทำให้ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองคนข้างหลัง คนที่เอามือมาแตะไหล่ผมเอ่ยปากชวนด้วยสไตล์เนิบๆ แต่กลับทำให้หัวใจผมเต้นแรง...อีกครั้ง
"อย่าเพิ่งขึ้นดิ ไปเดินเล่นด้วยกันก่อน ไหนๆ ก็ลงมาเจอกันแล้วทั้งที" "เดินเล่น...ที่ไหนอ่ะ?"
"หน้าคอนโดฯ มีงานปีใหม่เล็กๆ จัดอยู่ เห็นมันน่าเดินดีเราเลยกะว่าจะชวนพวกไอ้จัมพ์ลงมา แต่ไหนๆ เราก็บังเอิญมาเจอเฉินแล้ว เดินกันสองคนนี่แหละ ขี้เกียจรอพวกนั้น"
"อ่า...เอางั้นก็ได้" ผมตอบกลับไปพลางเก็บคีย์การ์ดลงกระเป๋า พยายามทำหน้าตายเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ว่าข้างในผมกำลังดีใจสุดฤทธิ์ แทนพาผมมายังงานปีใหม่ที่อยู่ห่างจากคอนโดฯ ไปไม่กี่กิโลฯ มันเป็นงานเล็กๆ ที่จัดโดยคนในระแวกนี้ บรรยากาศคล้ายงานวัดแต่ดูนิวเทรนด์กว่า
ตอนแรกก็กะจะมาเดินเฉยๆ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีในมือก็เต็มไปด้วยของกินซะแล้ว แทนให้ผมเลือกว่าจะหิ้วของกินขึ้นไปฝากเพื่อนๆ หรือจะหาที่นั่งกินกันข้างล่างนี้ดี และแน่นอน ผมเลือกอย่างหลังครับ
หนึ่ง พวกมันบังอาจใช้งานผม เพราะงั้นอย่าหวังว่าจะได้กินขนมที่มาจากเงินผมเลย
สอง แทนอุตส่าห์ชวนผมมาเดินเล่นกันสองคน เรื่องอะไรผมจะยอมปล่อยให้นาทีทองแบบนี้หลุดลอยไปล่ะ
แทนพาผมมายังม้านั่งที่อยู่ถัดจากตัวงานมาหน่อย บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเงียบเพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนแต่ก็ไม่วังเวงเกินไปเพราะมีสายไฟกับต้นคริสต์มาสน่ารักๆ เป็นพร็อพ
"ใครใช้ให้ลงมาทิ้งขยะ ไอ้จัมพ์เหรอ" จู่ๆ แทนก็ถามขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังจิ้มลูกชิ้นเข้าปาก ผมรอให้ตัวเองเคี้ยวให้หมดก่อนจึงค่อยตอบเขากลับไป
"อืม"
"ทีหลังไม่ต้องทำตามนะ เดินขึ้นลงบันไดตั้งขนาดนั้นเดี๋ยวก็กลับไปเป็นไข้หวัดอีกหรอก ถ้ามีลิฟต์ก็ว่าไปอย่าง"
"เราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซะหน่อย แล้วอีกอย่าง แค่เหนื่อยมันไม่ทำให้เป็นไข้หวัดได้หรอก"
"ทำตามที่เราบอกเถอะน่ะ ทีหลังมันใช้อะไรไม่ต้องไปฟัง ถ้ามันมีปัญหาก็บอกให้มาเคลียร์กับเรานี่"
"เป็นห่วงเหรอ" ผมหันไปถามยิ้มๆ แทนเหลือบสายตามามองก่อนจะยิ้มมุมปากนิดนึง
"ไม่ห่วงมั้ง พูดยืดยาวซะขนาดนี้"
เพราะแบบนี้ไง...เพราะแทนเป็นคนแบบนี้ จากที่ไม่คิดอะไรก็กลายเป็นคิด จากที่ไม่รู้สึกอะไรก็กลายเป็นรู้สึก เพราะแทนใจดีกับผมมาตลอด...ผมถึงได้แอบชอบเขาอย่างเงียบๆ มาตลอด
ถ้าจะให้สาธยายความใจดีของเขาผมว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ยังน้อยไป เอาเป็นว่าเขามักจะทักมาชวนผมคุยทุกวันจนมันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็ซื้อขนมมาฝากผมกับเพื่อนๆ ตลอด พอผมหรือคนอื่นมีปัญหาอะไรเขาก็จะคอยให้คำแนะนำ คอยเอาใจใส่เพื่อนทุกๆ คน แถมยังสอนการบ้านผมอยู่บ่อยครั้งทั้งที่เราเรียนคนละคณะ
ผมรู้ว่าเขาใจดีแบบนี้กับเพื่อนทุกคน แต่ก็เพราะความใจดีนั่นแหละที่ทำให้ผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับเขา บางครั้งผมก็เหมือนเป็นเด็กเอาแต่ใจที่ชอบหวงความใจดีของเขาแบบไม่มีเหตุผล แต่พอคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะไปหวงอะไรเขาสิ่งที่ทำได้ก็มีแต่ถอนหายใจด้วยความปลง
ผมไม่เคยคิดจะบอกชอบเขา เพราะเขาไม่เคยมีท่าทีว่าจะหันไปชอบผู้หญิงคนอื่นเลย ตราบใดที่เขายังไม่มีใครในใจรวมถึงยังคอยใจดีกับผมแบบนี้อยู่ผมก็โอเคกับมันที่สุดแล้ว จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนที่ไอ้เวย์มาบอกว่าเห็นแทนไปไหนมาไหนกับรุ่นน้องที่เป็นดาวคณะบ่อยๆ ณ ตอนนั้นแหละที่ทำให้ผมหวนกลับมาถามตัวเองใหม่อีกรอบว่าจะเงียบแบบนี้ต่อไปหรือจะบอกออกไปดี
จะอยู่กับปัจจุบันที่มั่นคง ไม่มีอะไรเพิ่มและลดนอกเหนือจากนี้ หรือจะลองเสี่ยงกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เดิมพันกับคำว่าชอบที่ผมตั้งใจจะบอกเขา
ผมแอบลอบมองคนข้างตัวที่กำลังกินเครปอยู่เงียบๆ สักพักคนโดนมองก็เหมือนจะรู้ตัวเลยหันมามองผมบ้างพร้อมกับยักคิ้วให้
"มองทำไม เราหล่อเหรอ"
"ถ้าบอกว่ามองคนขี้เหร่จะโกรธไหม"
"ไม่โกรธ เพราะเรารู้ว่าเฉินโกหก"
"ไม่หลงตัวเองไปใช่ป่ะเนี่ย"
"บ้านเรามีกระจกนะ และเราก็ฮอตพอตัวอยู่เหมือนกัน"
ถึงแม้ผมจะแอบชอบเขาอยู่ แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วมันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้เหมือนกันแฮะ
อยากจะเอาไม้ลูกชิ้นจิ้มแก้มสักที เอาให้ขี้เหร่จริงๆ ซะเลยจะได้ชมตัวเองไม่ได้อีก
"เห้ย! เวรละไง นี่จะเที่ยงคืนแล้ว" พอเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนในร้านขายตุ๊กตาผมก็เผลออุทานออกมาเสียงดัง รีบยัดของกินกลืนลงท้องแบบลวกๆ แล้วดึงมืออีกคนให้ลุกตาม "ไปเร็วแทน ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวไปเคาท์ดาวน์ไม่ทันนะ"
"จะเคาท์ดาวน์ในห้องไอ้จัมพ์เหรอ"
"อ้าว ก็ที่มานี่ก็เพราะจะทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอ"
"ไม่ต้องขึ้นหรอก นั่งลงตรงนี้แหละ" แทนที่จะลุกขึ้นตามแรงดึงของผม คนที่ยังนั่งอยู่กลับดึงมือผมให้นั่งลงตามเดิม "ขึ้นไปก็ไม่มีไรทำนอกจากนั่งดูพวกมันเล่นเกมข้ามปี เรานั่งชิลๆ ข้ามปีตรงนี้ดีกว่า อากาศดีแถมโรแมนติกกว่าเยอะ"
คำว่าโรแมนติกทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาหน่อยๆ ลืมไปสนิทว่าเมื่อกี้จะเถียงกลับไปว่าไง ก็รู้อยู่หรอกว่าพูดตามสถานการณ์เพราะบรรยากาศตอนนี้มันก็โรแมนติกจริงๆ
แต่แทนมาพูดกับผมแบบนี้มันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองนะ... เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นไอ้จัมพ์ที่โทรมา กำลังจะกดรับสายแต่คนข้างตัวก็แย่งไปซะก่อน พอหันไปมองก็พบว่าโทรศัพท์ของผมถูกปิดเครื่องไปแล้วเรียบร้อย
"ไม่ต้องรับหรอก" แทนพูดพร้อมกับยัดโทรศัพท์ผมลงไปในกระเป๋าเป้ตัวเอง
"ไม่ให้รับจริงๆ เหรอ เผื่อพวกนั้นเป็นห่วงอยู่นะ"
"เราไลน์ไปบอกพวกมันแล้วว่าเฉินอยู่กับเรา มันแค่โทรมาเช็กความแน่ใจเท่านั้นแหละเชื่อดิ"
"แต่..."
"อยู่กับเรายังต้องห่วงอะไรอีกเหรอ"
"..."
"เฉินอยู่กับเรานะไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ต้องกังวลหรอก"
"..."
"นั่งด้วยกันนี่แหละ เคาท์ดาวน์กับพวกนั้นมาหลายปีแล้ว ปีนี้อยากเปลี่ยนคนเคาท์ดาวน์บ้าง"
แทนยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ดูดีซะจนผมอดใจเต้นแรงไม่ได้ หลังจากคิดสะระตะกับตัวเองอยู่สักพักในที่สุดผมก็ยอมเออออตามอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้นแทนก็ยังไม่คืนโทรศัพท์ผมอยู่ดี
เอาเถอะ ถึงจะอยู่กับผมก็คงไม่ต่างกันหรอก นาทีนี้ผมไม่มีอารมณ์จะเล่นโทรศัพท์เลยสักนิด
อีกห้านาทีก็จะสิ้นสุดปีแล้ว ปีนี้จะกลายเป็นปีเก่าก่อนจะเข้าสู่ปีใหม่ ทุกๆ ปีผมจะนอนอยู่บ้าน ดูการ์ตูนข้ามปีไม่ก็นอนข้ามปี เป็นแบบนี้ทุกปีจนความตื่นเต้นในวันที่ 31 ธันวาคมค่อยๆ ลดลง ลดลง และลดลง
...จนในที่สุดก็ไม่มีเหลือเลย
ตั้งแต่ขึ้นมหา'ลัยมาวันปีใหม่สำหรับผมก็ไม่ต่างกับวันธรรมดาเลย มันคือหนึ่งวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วลงทางทิศตะวันตกไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ผมไม่เคยเหงาและผมไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิดมากเพราะผมเลือกที่จะทำให้มัน 'ธรรมดา' เอง
แต่ไม่รู้ทำไมพอมาถึงวันนี้ซึ่งก็เป็นวันปีใหม่แบบเดิมเหมือนกับปีก่อนๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามัน 'พิเศษ' และ 'น่าตื่นเต้น' ขึ้นมาซะงั้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะคนข้างตัวผมในตอนนี้...
แทนในตอนนี้กำลังมองนาฬิกาข้อมือ ท่าทางจดจ่อกับการนับถอยหลังนั่นทำเอาผมหลุดขำออกมาเบาๆ เขาหันมามองแล้วเลิกคิ้วนิดนึง แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรแล้วยักคิ้วกลับไปแบบที่เขาทำกับผมเมื่อครู่
ทุกปีที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกแฮปปี้นิวเยียร์ใครเลย ไม่ใช่ว่าไม่มีมนุษยสัมพันธ์ แต่ผมมองว่ามันเป็นวันธรรมดาเลยไม่จำเป็นต้องทำตัวให้พิเศษกว่าวันอื่นๆ ตอนแรกพวกไอ้จัมพ์มันก็บ่นที่ผมไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เลย แต่พอนานเข้าพวกมันก็ทำใจยอมรับความน่าเบื่อของผมได้ จะมีก็แต่ปีนี้แหละที่ไม่รู้มันนึกครึ้มอะไรถึงได้ลากผมผู้ซึ่งไม่มีความเอ็นจอยอะไรใดๆ ในวันปีใหม่ให้มาร่วมเคาท์ดาวน์ด้วย
"จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ?" ผมถามคนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เลิกจ้องนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ห้าทุ่มห้าสิบเจ็ดนาทีแล้ว เหลืออีกสามนาทีสำหรับช่วงเวลาในปีนี้ แทนละสายตาจากนาฬิกามามองผม ก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อยตามแบบฉบับของเขา
"จริงจังสิ ตื่นเต้นด้วย"
"เป็นแบบนี้ทุกปีเลยเหรอ"
"อืม สำหรับเรามันน่าตื่นเต้นมากเลยนะ มันไม่ใช่แค่บอกลาปีเก่าแล้วเริ่มต้นปีใหม่ แต่มันคือการเริ่มทำสิ่งที่ไม่เคยทำในปีก่อนๆ พอคิดแบบนี้แล้วมันก็เลยตื่นเต้นขึ้นมาน่ะ"
"ความคิดน่ารักดีนะ"
"โห ใช้คำว่าหล่อดีกว่า น่ารักมันแบ๊วไป" แทนหัวเราะ ผมเลยหัวเราะตามเขาไปด้วย "แล้วเฉินล่ะ ตื่นเต้นบ้างหรือเปล่า"
"ไม่เลย ปกติเราก็ไม่อะไรกับปีใหม่อยู่แล้วล่ะ"
"มิน่าล่ะถึงได้นั่งนิ่งเชียว เมื่อกี้เรายังคิดอยู่เลยว่ากำลังเคาท์ดาวน์กับคนหรือหุ่นยนต์กันแน่"
"เว่อร์ ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย" ผมถลึงตาใส่เขาที่จู่ๆ ก็มากล่าวหาว่าผมเป็นหุ่นยนต์
"เหลืออีกหนึ่งนาที" แทนพูดพลางก้มดูนาฬิกาอีกครั้ง แล้วจู่ๆ เขาก็เงยหน้ามาเรียกชื่อผม "เฉิน"
"หือ"
"จัมพ์บอกเราว่าเฉินไม่เคยบอกแฮปปี้นิวเยียร์ใครเลย"
"ใช่"
"ทำไมล่ะ"
"ไม่มีความจำเป็น"
"ต้องจำเป็นด้วยเหรอถึงบอกได้"
"จะบอกหรือไม่บอกมันก็ไม่ต่างกันหรอก ยังไงพวกนั้นมันก็เป็นเพื่อนเราเหมือนเดิม แล้วถึงเราจะอวยพรอะไรไปยังไงมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้หรอก"
"เราไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เราหมายถึงอีกเรื่องนึง" ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง...ในแววตาของแทนเหมือนจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ "ถึงจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแต่เราว่าพวกนั้นเองก็คงอยากให้เฉินบอกแฮปปี้นิวเยียร์บ้างแหละ และเฉินเองก็เข้าใจผิดไปอย่างนึงนะ"
"อะไรอ่ะ"
"แฮปปี้นิวเยียร์ไม่ใช่คำอวยพร แต่เป็นคำสัญญาว่าปีใหม่ต่อจากนี้เราจะมีความสุขไปด้วยกัน" "..."
"ถึงจะเป็นแค่สี่พยางค์สั้นๆ แต่เราว่ามันมีพลังมากเลยนะ เพราะเราเชื่อว่ามันทำให้คนฟังยิ้มได้ทุกคนแน่นอน"
"..."
"ถ้าเฉินไม่เชื่อก็ลองพูดกับเราสิ แล้วเราจะยิ้มให้เฉินดู"
เหลืออีกหนึ่งนาทีก่อนจะเข้าสู่ช่วงปีใหม่ ถึงจะยังไม่ถึงเวลาแต่ตอนนี้บางที่ก็จุดพลุฉลองแล้ว ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกคน พยายามค้นหาเหตุผลที่เขาพูดแบบนี้กับผม
แค่อยากให้ผมเปลี่ยนความคิดเฉยๆ เหรอ หรือมีอะไรมากกว่านั้นแอบแฝงอยู่...
"ทำไมคำพูดดูยิ่งใหญ่จัง นี่กะจะเอาซึ้งใช่ไหมเนี่ย"
เมื่อเห็นว่าผมไม่อินตามแทนเลยยกมือเกาท้ายทอยแล้วหัวเราะแก้เก้อ แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีระเรื่อหน่อยๆ แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
"อย่าขำดิ เราก็เขินเป็นเหมือนกันนะ"
"เราต่างหากที่ต้องเขิน เราเป็นคนฟังนะ"
เหลืออีกสิบวินาที
เอาวะ พูดก็พูด
"แทน"
"หืม"
เก้า
"นายเป็นคนแรกเลยนะที่เราจะพูดคำนี้ด้วย"
แปด
"แฮปปี้นิวเยียร์น่ะเหรอ"
เจ็ด
"ใช่"
"ดีใจจัง"
หก
"ดีใจก็ต้องยิ้มสิ ทำหน้านิ่งทำไม"
ห้า
"ไม่อยากยิ้มเยอะ กลัวแก้มปริ"
สี่
"จะพูดล่ะนะ"
สาม
"พูดพร้อมกันนะ"
สอง
"อืม"
หนึ่ง
"แทน/เฉิน"
ศูนย์ "แฮปปี้นิวเยียร์/เป็นแฟนกับเรานะ" เดี๋ยวนะ ผมว่ามันไม่ใช่ละ
"เมื่อกี้นาย...พูดว่าไงนะ?" ผมถามแทนอย่างไม่เชื่อหูตัวเองท่ามกลางสีสันของพลุที่ลอยอยู่บนฟ้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าผมตอนนี้เหวอไปแล้วเรียบร้อย
"ต้องพูดอีกจริงเหรอ มันเขินนะเว้ย"
"เร็วๆ เผื่อเมื่อกี้เราหูฝาด"
"เฉินได้ยินว่ายังไง"
"ได้ยินว่านายขอเราเป็นแฟน"
"งั้นก็ได้ยินไม่ผิดหรอก"
"เฮ้ย!!"
"ไม่อยากได้เฮ้ย อยากได้คำตอบ" แทนไม่ปล่อยให้ผมสตันนาน เขาขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาถาม
เดี๋ยวก่อนนนนน ขอตั้งสติแป๊บบบบบบบ
"ไหนบอกว่าจะพูดแฮปปี้นิวเยียร์พร้อมกันไง"
"เพิ่งมาเปลี่ยนใจวินาทีสุดท้าย แฮปปี้นิวเยียร์เก็บไว้พูดปีหน้าก็ได้ ปีนี้ขอเป็นแฟนก่อน"
"นายชอบเราเหรอ"
"อ้าว นี่ไม่รู้เหรอ เรานึกว่ารู้แล้ว"
"จะไปรู้ได้ไงล่ะ! ก็นายเล่นไม่ทำอะไรให้เรารู้เลยอ่ะ"
"อย่ามามั่ว เราทำไปตั้งเยอะเหอะ ทำทุกอย่างจนจะเหลือแค่กอดกับจูบแล้วมั้งที่ยังไม่ได้ทำเนี่ย"
"เห้ย! ยังจูบไม่ได้!" ผมร้องห้ามเมื่อเขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาจูบจริงๆ เกือบยกมือขึ้นมาบังไม่ทันแล้วไหมล่ะ โอยยยย หัวใจไอ้เฉินจะวาย เกิดมาเพิ่งเคยหัวใจเต้นแรงขนาดนี้ก็คราวนี้เนี่ยแหละ "คุยให้รู้เรื่องก่อน ที่บอกว่าทำนั่นทำอะไร"
"ก็ทักไปชวนคุยทุกวัน ซื้อขนมให้ทุกวัน มาหาถึงคณะทุกวัน เราทำขนาดนี้ไม่รู้จริงๆ เลยเหรอว่าโดนเราจีบอยู่"
"อันนั้นแทนทำให้เพื่อนทุกคนเป็นปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"
"จะบ้าเหรอ เราไม่เคยบอกฝันดีไอ้จัมพ์เลยนะ ไม่เคยป้อนขนมด้วย อย่าว่าแต่ทำเลย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว"
เรื่องพลิกล็อกครับท่านผู้ชม ไม่ใช่พลิกธรรมดา พลิกแบบตะแคงข้างด้วย!
"แล้วนี่เราต้องทำยังไงอ่ะ" ผมถามออกไปอย่างโง่ๆ บอกตามตรงว่าตอนนี้ทำตัวไม่ถูกแล้ว
"ก็แค่ยิ้มให้เราแล้วตอบว่าโอเคครับ"
"ไม่ดูเป็นการบังคับไปหน่อยเหรอ"
"ไม่หรอก เพราะเรารู้ว่าเฉินก็ชอบเราเหมือนกัน"
เรื่องเก่ายังไม่หายตกใจ มีเรื่องใหม่มาให้ตกใจเพิ่มอีกแล้ว สีหน้าผมตอนนี้คงตลกน่าดูคนตรงหน้าถึงได้หลุดขำออกมา
"ตกใจเหรอที่เรารู้"
"เออดิ รู้ได้ไงว่าเราชอบ"
"เฉินเล่นถามถึงเรากับไอ้จัมพ์ทุกวัน แถมยังชอบแอบมองตอนเราเผลออีก ไม่รู้ก็บ้าแล้ว"
แล้วที่ผมคิดมากมาเป็นเดือนว่าจะบอกชอบหรือไม่บอกดีผมทำไปเพื่ออะไรวะ อยากจะบ้า!
"ตกลงว่าไง เรารอคำตอบอยู่นะ"
"ยังต้องถามอีกเหรอ รู้ละเอียดซะขนาดนี้"
"งั้นถือว่าปีนี้เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้วนะ" แทนดึงมือผมไปกุม มุมปากทั้งสองข้างยิ้มกว้างแบบที่ผมก็เพิ่งจะเคยเห็น "เห็นไหม เราบอกแล้วว่าถ้าเฉินบอกแฮปปี้นิวเยียร์เราจะยิ้ม"
"ยิ้มกว้างเกินไปแล้ว"
"ก็คนมันดีใจอ่ะ"
"..."
"เฉิน"
"หือ"
"เรามีเรื่องจะบอก"
"เรื่องอะไร"
"จัมพ์เคยบอกว่าที่เฉินไม่ยอมบอกแฮปปี้นิวเยียร์ใครเลยอาจจะเพราะอยากเก็บไว้บอกแฟนคนเดียว พอได้ยินมันพูดเราเลยรีบมาเกลี้ยกล่อมให้เฉินบอกแฮปปี้นิวเยียร์เรานี่ไง เฉินจะได้ไม่ไปเป็นแฟนคนอื่น"
"เชื่อที่ไอ้จัมพ์พูดด้วย?"
"ก็ไม่เชิงว่าเชื่อหรอก แต่อยากกันเหนียวไว้ก่อน"
ผมหลุดขำกับคำพูดของเขา ความสุขในอกค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนตอนนี้มันแน่นอกไปหมดแล้ว
"เฉิน"
"จะเรียกทำไมหลายรอบ"
"เรียกให้รู้ตัวไงว่าตอนนี้เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว"
"..."
"แฮปปี้นิวเยียร์นะครับ ขอบคุณที่ชอบเรา ขอบคุณที่ใจตรงกับเรา ขอบคุณที่ให้เราเป็นคนแรกที่ได้ยินคำว่าแฮปปี้นิวเยียร์"
"..."
"ปีนี้เพื่อนเฉินหายไปคนนึงแล้วนะ แต่ไม่ต้องห่วง แฟนคนนี้จะมาแทนที่เพื่อนคนนั้นเอง"
"..."
"มาเริ่มต้นสถานะใหม่ไปด้วยกันนะ"
"..."
"มีความสุขในปีใหม่นี้ไปด้วยกันนะครับ"
ตัวของผมถูกคนตรงหน้ารวบเข้าไปกอด ผมยกมือขึ้นกอดอีกคนตอบเพื่อซึมซับไออุ่นแห่งวันปีใหม่ที่ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้สัมผัส หลังจากนี้ไปความหมายของวันปีใหม่สำหรับผมคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันพิเศษขึ้น มันน่าตื่นเต้นขึ้น และมันอบอุ่นขึ้น...เพราะผมไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว
ใครจะคิดว่าคำสี่พยางค์มันจะมีพลังมากมายขนาดนี้ มันทำให้คนฟังยิ้มออกอย่างที่แทนพูดไว้ก็จริง แต่นอกเหนือจากนั้นมันยังทำให้ผมได้สิ่งที่ผมปราถนามาตลอด...เพียงแค่พูดคำๆ นี้ออกไป
ผมสัญญาว่าอีกสามร้อยหกสิบห้าวันหลังจากนี้ผมจะกลับมาบอกแฮปปี้นิวเยียร์ผู้ชายคนนี้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นผมจะเป็นฝ่ายกอดเขาก่อนบ้าง และไม่ใช่แค่นั้น อะไรที่ผมไม่เคยทำในวันปีใหม่ผมจะเริ่มทำมันตั้งแต่ตอนนี้เลย เหมือนกับสถานะของเราสองคนที่อาจจะเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่มันจะเริ่มต้นอย่างมั่นคงนับต่อจากนี้...และตลอดไป
ขอบคุณวันปีใหม่ที่ทำให้ผมกล้าบอก Happy new year เขา
ขอบคุณสามร้อยหกสิบห้าวันที่เวียนมาบรรจบกันจนทำให้มีวันนี้
THE END อาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมาก แต่ก็อยากให้ทุกคนมีความสุขกับมันนะครับ HNY ย้อนหลังครับผม ขอให้ปี 2019 รวมถึงปีต่อๆไปเป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะ