แสนคำนึง ตอนที่ ๑๕
๑๐๐%
คุณพะยอมนั่งดูหนูแสนที่กำลังมูนข้าวเหนียวอย่างขะมักขะเม่นก็ได้แต่ทำหน้ายุ่ง เพราะลูกโตแล้วไม่ใช่เด็กเล็กเหมือนวารวันจึงทำให้คุณพะยอมไม่กล้าออกปากเตือนหรือห้ามปรามตรงๆ ยิ่งเห็นลูกมีสีหน้าที่มีความสุขคุณพะยอมก็เหมือนน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออกสักเท่าไหร่นัก ยิ่งลูกชายกระตือรือร้นทำอาหารไปฮัมเพลงในลำคอเบาๆคุณพะยอมยิ่งพูดไม่ออก หนูแสนนั่งกวนข้าวเหนียวมูนเสร็จก็หันมาเตรียมปลาช่อนแห้งปิ้งจนสุกลอกหนังและก้างออกลงโขลกจนละเอียดแล้วจึงนำลงผัดกับน้ำตาลทรายและหอมแดงเจียวผัดจนเข้ากันแล้วจึงจัดใส่จานเป็นสำรับๆ แตงโมผลโตที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
“แม่จ๊ะ แม่จะรับเลยหรือเปล่าจ๊ะ”หนูแสนเงยหน้าขึ้นมาถามคุณพะยอม
“ร้อนๆแบบนี้กินแตงโมให้ชื่นใจดีกว่านะจ๊ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะแบ่งไปเรือนนู้นคุณป้าท่านน่าจะทานได้”หนูแสนจัดของใส่จานให้ผู้เป็นแม่ คุณพะยอมรับจานปลาแห้งแตงโมที่ลูกยื่นให้แล้วจึงตัดสินใจพูด
“หนูแสน แม่ขอพูดอะไรด้วยหน่อยได้มั้ยลูก”
“อะไรหรือคะ?”
“พวกเอ็งออกไปช่วยข้างนอกเขาทำน้ำปรุงเถอะ ในครัวไม่มีอะไรแล้ว”คุณพะยอมออกปากไล่บ่าว 2-3 คนที่คอยอยู่รับใช้ให้ออกไปด้วยเรื่องที่อยากคุยกับลูกชายคนเล็กนั้นไม่สมควรมีใครได้ยิน
“ยายแช่มคอยดูไว้ให้ฉันทีเถอะ อย่าให้มีใครเข้ามาป้วนเปี้ยนวุ่นวายได้”ยายแช่มรับคำแล้วจึงถอยกลับไปนั่งที่แคร่ด้านหน้าสายตาคอยสอดส่องและสั่งงานพวกที่กำลังทำน้ำอบน้ำปรุงเพื่อกั้นพื้นที่ส่วนตัวให้กับผู้เป็นเจ้านายทั้งสอง ส่วนหนูแสนเองเมื่อเห็นแม่มีท่าทางเช่นนั้นก็รู้ว่าเรื่องที่แม่กำลังจะพูดนั้นสำคัญในระดับหนึ่ง มือเรียวจึงวางจากงานที่กำลังทำอยู่แล้วหันมาสนใจผู้เป็นแม่อย่างเต็มตัว
“แม่มีอะไรจะพูดกับหนูแสนหรือคะ?”
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วแม่ก็ขอพูดตรงๆกับแสนนะลูก อันที่จริงแม่ไม่เห็นด้วยนักที่ลูกจะไปดูแลคุณที่เรือนนู้นเขา แค่เราขอโทษและหยิบยื่นน้ำใจให้เป็นครั้งคราวแม่ว่ามันก็เพียงพอแล้ว แต่นี่ลูกขอไปดูแลแม่ผกาเขาเต็มตัวแบบนี้แม่ว่าไม่เหมาะ”
“แม่คะ คุณป้าเธอไม่มีใครแล้วนะคะ”หนูแสนเอ่ยแย้งด้วยเสียงอันเบา
“บ่าวไพร่ที่เรือนเขาออกจะมาก คุณเล็กเองก็ยังอยู่”
“แต่คุณเล็กต้องทำงานนี่คะกว่าจะกลับมาก็เย็น”
“มันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลยลูกเอ้ย ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เห็นใจแม่ผกานะ แม่ผกาเป็นเพื่อนรักของแม่ แต่แม่พูดถึงความเหมาะสม หนูแสนรู้มั้ยว่าหนูแสนเหมือนคนรักของคุณเล็กเข้าไปทุกวัน”คำพูดของผู้เป็นแม่ทำเอาเลือดในกายของหนูแสนเย็นจนตัวชาไปทั้งร่าง หนูแสนหลุบตาลงต่ำหลบสายตาที่จับจ้องของผู้เป็นแม่
“หนูแสน...”คุณพะยอมเอื้อมมือไปจับมือของลูกไว้ บีบเบาๆก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาติดอยู่ในใจมานาน
“คะแม่?”
“หนูแสนกับคุณเล็ก รักกันใช่มั้ยลูก?”หนูแสนลืมตัวเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ ดวงตากลมเบิ่งกว้างขึ้นก่อนจะหลบตามเดิม
“แม่เอาอะไรมาพูดคะ? หนูแสนกับคุณเล็กก็เหมือนพี่น้องกัน”
“อย่าปดแม่เลยลูก แม่เลี้ยงแสนมาและแม่เองก็เคยมีความรักแบบนี้กับคุณเตี่ยมาก่อน หนูแสนกับคุณเล็กรักกันแบบคู่รักใช่มั้ยลูก?”หนูแสนไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ด้วยรู้ว่าความรักของตนเองกับคุณเล็กนั้นไม่ใช่ความรักที่ปกติ
“หนูแสนฟังแม่นะ มันไม่ผิดทีมีความรู้สึกพิเศษกับใคร เพียงแต่ถ้าหนูแสนกับคุณเล็กรักกันฉันท์ชู้สาวมันก็ผิดธรรมชาติ ผู้ชายย่อมคู่กับผู้หญิงสิลูก ผู้ชายกับผู้ชายหนูแสนก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”คุณพะยอมจ้องหน้าลูกนิ่งไม่หันเหสายตาไปไหน
“แต่แม่คะ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่หรือคะ?”
“ใช่ลูก ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนที่แวดล้อมไปด้วยพ่อแม่พี่น้องและสังคม ลูกจะทนได้หรือหากมีใครรู้ว่าลูกกับคุณเล็กแอบคบหากันเป็นคู่รัก ลูกจะทนคำนินทาไหวหรือ อย่าลืมนะหนูแสนบ้านเราไม่ใช่ตาสีตาสาเจ้าคุณตาเองก็เป็นถึงเจ้าพระยามีคนนับหน้าถือตามากมายฝั่งนู้นเองก็ไม่ต่างกันลูกคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”
“เราอยู่กันอย่างเงียบๆก็ได้นี่จ๊ะแม่”หนูแสนพยายามหาทางต่อรอง
“เราเงียบแต่หากบ่าวไพร่มันเอาไปพูดต่อๆกันหนูแสนคิดว่าเรื่องมันจะรู้แค่พวกเราหรือ แม่รู้ว่าหนูแสนโตแล้วคงจะหาทางจัดการเรื่องพวกนี้ได้ แต่แม่ผกากับท่านเจ้าคุณจะรับได้หรือเปล่า?”คุณพะยอมถอนหายใจเมื่อเห็นลูกชายมีสีหน้าเศร้าลงในทันที
“หนูแสนเป็นลูกแม่ อะไรที่ลูกทำแล้วมีความสุขแม่ก็จะไม่ขัด แต่แม่กลัวว่าความรักของหนูแสนจะมีปัญหา ลูกกับคุณเล็กเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่หากวันใดวันหนึ่งคุณเล็กเกิดอยากจะมีทายาทไว้สืบสกุลหนูแสนไม่คิดรึว่าแม่ผกาก็ต้องหาเมียมาตกมาแต่งให้กับคุณเล็กอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นหนูแสนจะไปอยู่ตรงไหน ถ้ายังอยู่กับคุณเล็กจะอยู่ใน,ฐานะอะไร แต่ถ้าหากลูกตกลงว่าจะรักกันก็ให้คุณเล็กไปตกลงกับครอบครัวของเขาเสียก่อนถ้าทางนู้นเขารับได้และพร้อมจะรับลูกของแม่ไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว จะไม่รังแกไม่รังคัดรังแคเหมือนที่เคยทำกับแม่สนก็ให้คุณเล็กเอาผู้หลักผู้ใหญ่มาคุยกับแม่กับคุณเตี่ยให้เป็นกิจจะลักษณะแม่ไม่ยอมให้ลูกของแม่ไปเป็นเมียลับๆของใครเด็ดขาด หนูแสนเข้าใจแม่ใช่มั้ยลูก ลูกของแม่ๆเลี้ยงมาทะนุถนอมไม่เคยต้องทำให้เสียใจเพราะฉะนั้นหากใครจะเอาลูกแม่ไปก็จะต้องไม่ซ้ำรอยเดิมเหมือนที่แม่สนเคยเจอ”
“หนูแสนทราบจ้าแม่ หนูแสนจะจำคำแม่สอนนะจ๊ะ”หนูแสนกลั้นน้ำตาที่รื้นมาปริ่มขอบตาไว้ก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ คุณพะยอมลูบผมของลูกรักอย่างแสนรัก หล่อนหาได้อยากทำให้ลูกต้องเสียใจแต่หนูแสนไม่ใช่เด็กเล็กที่ต้องคอยปลอบคอยพูดให้สบายใจแต่อย่างเดียวอีกต่อไป หากแต่ตอนนี้หนูแสนจักว่าโตเป็นหนุ่มเต็มตัวอายุย่าง ๒๑ แล้ว เพราะฉะนั้นหนูแสนจะต้องอยู่กับโลกของความเป็นจริงว่ามันไม่ได้สวยงามเหมือนนิยายประโลมโลกที่มีให้อ่านเกลื่อนเมือง ชีวิตของคนเรานั้นมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้หากหนูแสนใช้ชีวิตอย่างประมาทเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาคนที่จะต้องเจ็บช้ำก็คือหนูแสนเอง
ความไม่สบายใจที่หนูแสนได้รับมาจากการคุยกับผู้เป็นแม่ยังคงตามติดในใจแม้กระทั่งตอนก้าวขึ้นมาบนเรือนใหญ่ของเจ้าคุณสรอรรถ หนูยิ่งพอเห็นคุณน้าเดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับนายมีที่ถือถาดใส่ปลาแห้งแตงโมก็รีบวิ่งเข้ามากอดทันที
“วันนี้คุณน้ามาช้าหนูยิ่งกับพี่อเล็กซ์คิดว่าคุณน้าจะไม่มาแล้ว”หนูแสนย่อกายนั่งให้เสมอกับหลานชายอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มของหลานเบาๆอย่างมันเขี้ยว
“มาสิคะ น้าแสนจะไม่มีหาหนูยิ่งกับอเล็กซ์ได้ยังไง วันนี้น้าแสนทำปลาแห้งแตงโมมาให้ทานกันนะคะ หนูยิ่งกับอเล็กซ์ไปนั่งทานกันนะคะเดี๋ยวน้าแสนเข้าไปดูคุณย่าก่อน”หนูแสนให้นายมีเอาปลาแห้งแตงโมที่หั่นมาพอดีคำจัดใส่จานมาเรียบร้อยเอาไปให้เด็กๆส่วนตัวเองก็เอาอีกจานที่เตรียมไว้เข้าไปให้คุณหญิงผกาในห้อง ทันทีที่หนูแสนก้าวเข้าไปคุณหญิงผกาที่นั่งพิงหัวเตียงก็สะบัดหน้าหนีทันที
“มาทำไมนักก็ไม่รู้ คนเขารำคาญจะแย่ก็ยังจะมาอยู่นั่นแหละ”แสร้งพูดเสียงดังอย่างไม่รักษาน้ำใจ หนูแสนทำเอาหูทวนลม บ่าวที่ดูแลคุณหญิงอยู่ถอยออกไปอย่างรู้งานเพราะคุณเล็กเคยสั่งไว้ว่าหนูแสนจะมาคอยดูแลคุณหญิงผกาทุกวัน
“คุณป้าทานข้าวหรือยังคะ วันนี้หนูแสนทำปลาแห้งแตงโมมาให้ อากาศร้อนทานแล้วจะได้ชื่นใจ”
“ฉันไม่ได้อยากกินเสียหน่อย”คุณหญิงผกาตัดรอนน้ำใจเหมือนที่ผ่านมาในหลายๆวัน
“พ่อเล็กนี่ก็พิลึกจะให้มาดูแลทำไมบ่าวไพร่ก็เต็มเรือน น่ารำคาญ”หนูแสนยิ้มให้กับคำบ่นนั้นราวกับไม่รู้สึกรู้สา หยิบหนังสือท้าวแสนปมที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาเปิดจากนั้นก็อ่านให้คุณหญิงผกาฟัง แม้จะไม่ชอบที่หนูแสนเข้ามาวุ่นวายแต่คุณหญิงผกาเป็นคนชอบเรื่องรื่นรมย์อีกทั้งชื่นชอบการฟังนิทานนิยายต่างๆ บ่าวไพร่ก็หารู้หนังสือก็นิ่งฟังหนูแสนไม่ได้พูดอะไร หนูแสนอ่านหนังสือด้วยจังหวะสม่ำเสมอและน้ำเสียงที่น่าฟัง จากนั้นก็แสร้งปิดหนังสือเมื่ออ่านไปได้สองบท คุณหญิงผกาที่กำลังเพลินถึงกับค้อนตาตาแทบคว่ำเพราะหนูแสนหยุดอ่านตอนที่เนื้อเรื่องกำลังสนุก
“คุณป้าน่าจะอยากนอนแล้วหนูแสนประคองนะคะ”หนูแสนวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วเข้าประคองให้คุณหญิงผกาได้นอนได้สบายจากนั้นจึงผสมกระแจะจันทร์กับน้ามาลูบตามแขนของคุณหญิงผกาให้ได้รู้สึกเย็นกาย หยิบพัดมาพัดเบาๆจนคุณหญิงผกาหลับโดยไม่มีท่าทางเบื่อหน่าย ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาคุณหญิงผกาก็ยังเห็นหนูแสนนั่งพัดให้ตัวเองไม่ได้กลับไปแต่อย่างใดแล้วจึงกลับออกไปเมื่อใกล้เวลาที่คุณเล็กจะกลับจากทำงาน เป็นอย่างนี้ทุกวัน
หลังจากลงจากเรือนใหญ่ของเจ้าคุณสรอรรถหนูแสนก็ตรงกลับเรือนของตนเองเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้กับคนในบ้าน ก่อนจะแวะเข้าโรงครัวหนูแสนเห็นคุณกล้าลูกค้าน้ำอบน้ำปรุงจากปากน้ำโพธิ์นั่งคุยกับคุณสนด้วยท่าทางสนุกสนาน คุณสนที่เคยซึมเศร้าไร้ความรู้สึกเริ่มมีรอยยิ้มมากขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอคุณกล้าที่หลังๆไม่ได้มาที่เรือนเฉพาะตอนมารับสินค้า บางทีถ้าคุณกล้าเข้าพระนครเพื่อซื้อขายสินค้าอย่างอื่นก็มักจะแวะมาหาคุณสนอยู่เป็นประจำ และคุณสนเองก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อคนรอบข้างดีขึ้น ที่สำคัญหากคุณกล้าไม่มาหาเป็นระยะเวลาที่นานกว่าปกติคุณสนก็จะไปชะเง้อคอยอยู่ที่ท่าน้ำ
“คุณสนเธอพูดคุยมากขึ้นนะเจ้าคะเวลาที่คุณกล้ามา”เมื่อเข้ามาในครัวก็ได้ยินยายแช่มคุยกับคุณพะยอมเกี่ยวกับเรื่องบุตรีคนเดียวของบ้าน
“เห็นแม่สนพูดจาหัวเราะหัวใคร่ได้แบบนี้ฉันก็ดีใจ”
“อิฉันว่าคุณกล้าเธอชอบคุณสนนะเจ้านะ”ยายแช่มทำเป็นกระซิบกระซาบราวกับจะไม่อยากให้บ่าวคนอื่นๆได้ยิน หากแต่ทุกคนในครัวกลั้นขำกันทุกคน
“พูดไปยายแช่ม คนเสียหายก็คือแม่สน”
“ก็มีแค่พวกเราแค่นั้นเองเจ้าค่ะคุณเจ้าขา แต่อิฉันว่าคุณกล้าเธอก็ดูดีนะเจ้าคะไม่ได้สวยได้งามเท่าคุณใหญ่แต่ดูดีแถมมีอันจะกิน อีกอย่างรู้ทั้งรู้ว่าคุณสนเธอเจออะไรมาก็ไม่คิดรังเกียจ
“
“เขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นก็ได้ยายแช่ม”
“เชื่อหัวอีแช่มเถอะเจ้าค่ะ ยังไงก็ชอบคุณสนแน่นอน”
“หนูแสนก็คิดเหมือนยายแช่มนะจ๊ะแม่”หนูแสนที่หยิบผักมาช่วยหั่นออกความเห็น
“แต่แม่กลัวว่าคุณกล้าเธอจะไม่ได้จริงจัง อาจจะเวทนาแม่สน ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่ากินผัวน่ะก็ถูกด่าไปจนวันตายนั่นแหละ”
“เขาไม่ใช่คู่แท้กันมันเลยจบลงแบบนั้นมากกว่าจ้าแม่ หากพี่สนได้คู่ครองที่รักและให้เกียตริเป็นคู่แท้คู่จริงหนูแสนว่าจะไม่มีใครตายจากกันก่อนวัยอันควรหรอกจ้าแม่”
“แม่ก็หวังว่าสนจะเจอคนดีๆคนที่เป็นคู่แท้จริงๆเหมือนกัน”
“แล้วถ้าคุณกล้าเธอขอคุณสนไปเป็นแม่บ้านแม่เรือนจริงๆคุณจะว่ายังไงล่ะเจ้าคะ”
“ฉันก็คงแล้วแต่แม่สนนั่นแหละ แต่ก็ต้องถามเจ้าคุณพ่อท่านด้วย ท่านรักของท่าน”คุณพะยอมมองไปที่คุณสนที่นั่งคุยกับคุณกดล้าโดยมีนางเฟื้องนั่งเล่นกับหนูหยกอยู่ไม่ห่าง
หลังจากเตรียมอาหารเสร็จหนูแสนก็แบ่งกับข้าวใส่สำรับเพื่อยกมาให้คุณเล็ก เพราะเจ้าสัวเช็งล่องเรือไปซื้อขายสินค้าที่เมืองจีนหนูแสนจึงขอคุณพะยอมไปรับสำรับเย็นที่เรือนแพของคุณเล็ก คุณพะยอมสำทับลูกว่าไม่ให้กลับมืดค่ำเกินไป ทันทีที่มาถึงเรือนแพหนูแสนก็เห็นคุณเล็กนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงที่เป็นมุมโปรด คุณเล็กวางปากกาลงทันทีที่เห็นหนูแสน ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างดีใจ
“กลับมานานแล้วหรือคะ อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว”
“อาบแล้วค่ะ ก่อนกลับมาแวะไปดูคุณแม่มา เห็นบ่าวบอกว่าวันนี้หนูแสนทำปลาแห้งแตงโมไปให้คุณแม่กับหลานๆ
“ใช่ค่ะ เห็นว่าอากาศร้อนเลยทำไปให้แต่ว่าคุณป้าไม่รับค่ะ”หนูแสนวางจานกับข้าวลงบนโต๊ะทีละอย่าง
“ใครบอกล่ะคะ บ่าวบอกว่าหลังจากหนูแสนกลับคุณแม่ทานไปหลายชิ้นอยู่ เห็นบ่าวบอกคุณแม่บ่นว่าไม่กินก็เสียดายของ”หนูแสนยิ้มกับคำบอกเล่าของคุณเล็ก ในใจรู้สึกปิติยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน
“ดีใจจังเลยค่ะ”
"น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน คุณแม่เดิมทีก็เอ็นดูหนูแสนอยู่แล้ว ท่านใจแข็งได้ไม่นานหรอกค่ะ เห็นบ่าวบอกคุณแม่บ่นว่าหนูแสนวางยาใส่คุณแม่นี่คะ”
“หนูแสนไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย”
“ท้าวแสนปมที่โต๊ะหัวเตียงนั่นทำคุณแม่กระวนกระวายน่าดู หลังจากวันนี้แกล้งไปไปดูแลคุณแม่ซัก 2-3 วันสิคะ ขี้คร้านจะมีคนแก่ชะเง้อมองคอยืดคอยาว”
“ไปแกล้งท่าน นิสัยไม่ดีเลยนะคะ”หนูแสนตีแขนคุณเล็กเบาๆ ทั้งคู่นั่งกินข้าวด้วยกันพูดคุยเรื่องที่พบเจอระหว่างวันอย่างไม่รู้สึกเบื่อ หลังจากนั่งพักจนข้าวเรียงเม็ดคุณเล็กก็เอาหนังสือนิยายของฝรั่งเศสที่ซื้อไว้ก่อนกลับสยามมานั่งอ่านและแปลให้หนูแสนฟัง
“หนูแสนคะ”อยู่ๆคุณเล็กก็หยุดอ่านและเอ่ยเรียกหนูแสนเบาๆ
“คะ?”
“ขอคุณเล็กนอนหนุนตักได้มั้ยคะ นั่งนานชักจะตึงหลัง”คุณเล็กเอ่ยขอเสียงอ้อน หนูแสนกลั้นยิ้มก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ฝ่ายคุณเล็กเมื่อได้รับอนุญาตก็ยิ้มกริ่มเอนตัวลงนอนเอาหัวหนุนตักเจ้าน้องน้อยอย่างสมใจ หนูแสนมองคุณเล็กที่อ่านหนังสือให้ฟังด้วยดวงตาที่แสดงความรักอย่างไม่ปิดบังเมื่อลืมตัวก็ใช้มือลูบผมของคุณเล็กเล่นจนคุณเล็กรู้ตัว
“แอบมองคุณเล็กแบบนี้อ่านไม่ออกเลยค่ะ”
“หนูแสนป่าวแอบมองซักหน่อย หนูแสนมองตรงๆ”
“เถียงเก่งจังเลยค่ะเดี๋ยวนี้”แสร้งว่าน้องก่อนจะลุกขึ้นนั่งอีกหน
“เถียงเก่งแล้วรักไหมล่ะคะ ถ้าไม่รักจะได้กลับ”
“รักสิคะ รักมาตลอด”เอ่ยตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด หนูแสนที่ได้ฟังคำรักก็ก้มหน้างุดด้วยไม่อาจสู้สายตาหวานเชื่อมที่คุณเล็กส่งมาให้ได้
“หนูแสนคะ”คุณเล็กเชยคางหนูแสนขึ้นมาให้สบตาตนเองอีกหน
“คะ?”ขานรับเสียงแผ่ว สองแก้มขึ้นริ้วเรื่อน่าเอ็นดู
“คุณเล็กขออนุญาตหอมแก้มหนูแสนซักครั้งได้มั้ยค?”เป็นอีกครั้งที่เจ้าน้องน้อยพยักหน้า คุณเล็กจิตใจพองฟูก่อนจะค่อยๆจรดปลายจมูกที่แก้มของน้องสูดลมหายใจล้ำลึก
แก้มน้องหอมจรุงด้วยกลิ่นน้ำปรุงที่คลุกคลีอยู่ทุกวัน
กลิ่นที่ได้รับนั้นทั้งเย็นจิตและเย็นใจเมื่อสูดลมหายใจเอากลิ่นแก้มน้องจนชุ่มปอดก็ผละหน้าออก
“ชื่นใจเหลือเกินค่ะ ทูนหัวของคุณเล็ก"
................................................
ฉึ่นจ๊ะ