Finding the twilight
32
การตัดสินใจ
☼ ☽
“ท่านเกงานเกินไปแล้วนะ อคิราห์!” ด้วยการมาหากันทุกค่ำคืนแบบนี้ ต่อให้ศศิไม่ได้ต้องรับงานของพระองค์ไปทำต่อ ก็ยังขุ่นเคืองแทนคนที่ทำงานด้วยอยู่ดี
“เจ้ารู้ไหม หากข้าเอาแต่ทำงานก็ไม่อาจจะมาหาเจ้าได้”
“ข้าได้ยินว่าที่เขื่อนมีปัญหา ท่านจะไม่ไปดูหรือ”
“ส่งธวัลย์ไปแล้ว” ลูกชายเจ้าของบ้านที่เราอาศัยนอนจึงถูกส่งไปทำงานแต่เพียงผู้เดียวเพราะความเห็นแก่ตัวของบางคน “โถ่…เมียรักอย่าได้โกรธ”
“จะไม่ให้ข้าโกรธได้ไง ท่านเสียนิสัยไปหมดแล้ว ข้าเองก็เสียงานเสียการ ไม่ใช่เพราะท่านรึที่งอแงมาหาทำให้การผลิตยาไว้ใช้ที่นี่ไม่ถึงไหน”
“…”
“ท่านคิดถึงข้ารู้ เราไม่ได้เจอกันนาน ข้าก็คิดถึงเช่นกัน”
“ศศิ”
“ข้ารักท่านมากนะรู้ไหม” พระองค์รู้ “และข้าอยากให้ท่านรู้ดีกว่าใครว่าที่ข้าขอให้ไปทำนั้นก็เพื่อตัวของท่านเอง”
“เฮ้อ…”
“ข้ากับลูกไม่ไปไหนไกลหรอก”
“อย่างไรก็จะไล่พี่ไปให้ได้ใช่ไหม”
“ใช่!”
“ตอบเร็วเกินไปแล้ว!”
“ก็อยากให้กลับมาเจอกันเร็วๆนี่!”
“…”
“รีบไปรีบมาเถิดนะ” มือเล็กบางนั้นประคองพระพักต์หล่อเหลาให้มาประกบจูบเบาๆกับตน สุดท้ายแล้วแม้จะตั้งมั่นที่จะเก็บกักศศิไว้เพียงไหน ทว่าเมื่ออีกคนแสดงออกอย่างออดอ้อนแต่เต็มไปด้วยเหตุผลก็จำยอม ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานอีกแล้วหรือ
ว่าแต่ชีวิตพระองค์นี่กินเปรี้ยวบ่อยเกินไปไหม!
“หากเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ข้าจะพิจารณามีลูกให้ท่านอีกสักคน” เสียงกระซิบที่ไม่ดังนักของคนพูดที่ก็อายตนเองนั้นทำให้พระเนตรเบิกกว้าง เราห่างกันว่านานแล้ว เรื่องเช่นนั้นยิ่งนานเข้าไปอีก และดูความจำเป็นทุกสิ่งอย่างประกอบกันแล้ว พระองค์จึงเลือกได้
อย่างไรก็ต้องไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ…
“นักรบพูดคำไหนคำนั้น หมอก็เช่นกัน…ต้องไม่โกหก เข้าใจไหม”
“อืม” ทีกับเรื่องแบบนี้ช่างกระตือรือร้นนักเชียว ใจคอ…
จะไม่ให้เจ้าแสบได้โตอีกสักหน่อยเลยหรือ!
“ข้าจะกลับมาทวงสัญญา” ใบหน้าของพระองค์นิ่งขรึม หากแต่ในใจกลับพองฟู คนรักผู้งดงามยิ้มตอบให้ก่อนจะเอียงซบใบหน้าบนไหล่หนา
“อืม” เมื่อถึงตอนนั้นช่วยมารับกันไปที
ศศิจะรอ…
☼ ☽
นี่คือคำมั่นสัญญาระหว่างศศพินทุ์ที่ทำไว้กับองค์ราชินีรัญชิดา
ว่าจะให้อคิราห์รู้ไม่ได้ถึงการย้ายมาอยู่ที่นี่….
ณ.ตำหนักนพรัตน์ที่ซึ่งเคยเป็นตำหนักของพระชายาแห่งองค์เหนือหัวสมัยเก่านี้ มีผู้มาจับจองใช้พักผ่อนอยู่ชั่วคราว องค์ราชินีนั้นช่วยตระเตรียมจัดหาคนดูแลมาให้ โดยทุกอย่างเป็นความลับไม่ได้แพร่งพรายให้ใครฟัง ทั้งองค์เหนือหัวและท่านอาจารย์หมอวัชรินท์ และโดยเฉพาะองค์ชายอคิราห์ที่เสด็จไปว่าราชการต่างถิ่น
“หากลูกชายข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่แคล้วจะย้ายตำหนักมาพำนักเป็นการถาวร” สิ่งที่พระนางพูด คนฟังรู้ดีกว่าใครว่าเขาทำเช่นนั้นจริงๆแน่ ขนาดอยู่ห่างไกลกัน ก็ยังขยันไปยึดห้องนอนของเมียรักถึงบ้านเพื่อนทุกวันขนาดนั้น หากรู้ว่าย้ายมาอยู่ในรั้วเดียวกัน ไม่ย้ายเครื่องเรือนและห้องทำงานมาไว้ที่นี่เลยหรือ แม้จะมีลูกด้วยแล้ว แต่ศศิก็ร่วมด้วยช่วยต่อต้านความไม่งามนี่อยู่เหมือนกัน
สักวันหนึ่งพระองค์จะต้องรู้ และคงเป็นวันที่ศศิพร้อมแล้วที่จะเปิดตัว ไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังถ่วงเวลาไว้เพื่อเปลี่ยนใจหรอก ทว่าแค่ยังไม่พร้อมจะรับมือใครในราชสำนักต่างหาก แม้ว่าจันทราปราการที่นำด้วยท่านหมอทิชากรจะสั่งสอนกันมาดีถึงมารยาทที่เหมาะสม แต่ศศิแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิหราชวงศ์เลย รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง จะอย่างไรก็ต้องรู้ให้พร้อมรับมือก่อนที่จะป่าวประกาศออกไปถึงฐานะที่ใครบางคนอยากให้เป็น
นี่เรา…เข้ามารบในพระราชวังแห่งสิหราชนคราหรือนี่!
“วันนี้ข้าอยากให้เจ้าพบกับอาจารย์ที่จะมาสอนเรื่องของการวางตัวและการประชาสัมพันธ์ตนเองในฐานะของคนรักขององค์รัชทายาท”
“พะยะค่ะ”
“อย่ากังวล เรื่องนี้เจ้าต้องทำได้แน่ อันที่จริงก็ได้ทำไปบ้างแล้ว อย่าได้ห่วงไปเลย” เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนที่ทำไปแล้วก็มึนงง ได้ทำอะไรลงไปหรือ?
ทว่าไม่ได้ถามไป และคนพูดก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม ศศพินทุ์ที่ถูกจับแต่งตัวให้งดงามนั้น เดินตามพระองค์มาที่ห้องรับรองแขกของตำหนัก หญิงสาวร่างบางที่มานั่งรอกันนั้นงดงาม เธอยิ้มให้ งดงามเสียจนต้องยิ้มกลับไป
“นี่คืออภิชญา” แต่เมื่อได้ยินนาม ศศพินทุ์ก็หวังไม่ให้ตนทำสีหน้าแปลกๆออกไปจนทำให้คนมองรู้สึกไม่ดี
“ยินดีที่ได้รู้จัก” น้ำเสียงของเธอไม่ได้แสดงออกถึงความหยิ่งยโสแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยความใจดีที่ส่งมอบมาให้ หากนี่คือความจริง มันก็คงจะดีไม่น้อย
“ไม่ต้องกังวลไปศศิ อภิชญากับอคิราห์นั้นตัดขาดกันเรียบร้อย อันที่จริงนอกจากกินข้าวร่วมโต๊ะกันกับพวกข้า พวกเขาก็ไม่มีอะไรเกินเลย” องค์ราชินีที่สัมผัสได้ถึงความกังวลใจได้เอ่ยอธิบาย เมื่อช้อนตามองหญิงสาวผู้มาใหม่ เธอก็ยิ้มให้เช่นเคย
“อย่ากังวลไปเลย ข้าเพียงมาทำหน้าที่สอนให้ท่านปรับตัว ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา” อันที่จริงนางไม่ได้คิดอะไรกับองค์ชายอคิราห์ผู้นั้นอยู่แล้ว เกรงว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต เพราะเขาคงไม่มีวันมารักกันหรอก
หากมีคนรักที่งดงามขนาดนี้เคียงกาย…
จริงๆแล้วท่านหมอผู้นี้มีพื้นฐานมารยาทที่ดี เพียงแค่อาจจะต้องพูดบอกอะไรให้ปรับเปลี่ยนกันนิดหน่อย ไม่นานก็คงทำได้คล่องแคล่ว น่าตกใจที่ดอกไม้ป่าแห่งชายแดนตะวันตกที่ 2 จะถูกเลี้ยงมาดีขนาดนี้ ทั้งองค์ราชินีและคุณหนูอภิชญาเองเมื่อได้มาลงมือสอนกันจริงๆก็ประหลาดใจไม่น้อย แต่เจ้าตัวก็ยังนอบน้อมถ่อมตน
“เคยได้ยินว่าจันทราปราการนั้นใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ของคีรีธารามากๆ มาพิจารณาดูก็ไม่แปลกหรอก ต่อให้เติบโตที่ชายแดนแต่ผู้เลี้ยงดูย่อมเลี้ยงมาอย่างดีแน่” เมื่อได้มาครุ่นคิดดูอีกครั้ง จะพบว่าศศิเป็นไม้ที่ถูกดัดไว้อย่างสวยงามอยู่แล้ว สมกับเป็นลูกหลานของคนในตระกูลที่โดดเด่นและมีอำนาจ
“ไม่เลยพะยะค่ะ กระหม่อมยังต้องรับการฝึกฝนอบรมอีกมาก” กระนั้นก็ยังถ่อมตัว แต่กิริยามารยาทและทั้งความคิดของเจ้าตัวนั้นเป็นที่ชื่นชอบ อภิชญาเองก็รู้สึกโล่งใจที่การทำงานด้วยไม่ยากเย็นนัก
อีกไม่นานนางเองก็ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปแต่งงานกับองค์รัชทายาทแห่งคีรีธาราเช่นกัน เรื่องนี้ถูกนำมาเล่าให้ศศิฟังในภายหลัง และเจ้าตัวก็ตกใจอยู่ไม่น้อยในโชคชะตาแห่งความบังเอิญนี่ เดิมทีศศพินทุ์คือคนที่ถูกทาบทาม แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ครองคู่ เป็นท่านแม่ทัพอชิระที่แนะนำให้กับทางนั้นไปถึงตัวอภิชญา
จะว่าไปเรื่องนี้ก็ดูมีเลศนัยอยู่ไม่น้อย
“ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”
“นั่นสินะ ตัวเราก็เป็นห่วงตัวเองไม่น้อย” อภิชญานั้นแม้จะมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างกล้าหาญกว่าสตรีทั่วไป แต่นางก็มีความกลัวอยู่บ้าง เมื่อถูกทาบทามมาก็ต้องยอมรับคำพบเจอ กับอีกฝ่ายนั้นว่าพอจะชอบพอกันได้ไหม ตอนนี้นางไม่คาดหวังอะไรกับความรักหรอก แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ได้ย่ำแย่ มิหนำซ้ำยังสง่างามไม่น้อย
ถ้าโชคดีสักวันเราคงได้รักกันจริงๆ
“อวยพรให้กันด้วยนะศศิ” อภิชญานั้นเอ่ยเล่นๆ แต่ศศพินทุ์นั้นพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามศศิก็อดมองว่ามันเป็นเพราะตนเองไม่ได้ที่อภิชญาผู้ควรจะได้ครองคู่กับอคิราห์ต้องมาแต่งงานกับคนที่เคยหมายมั่นจะแต่งกับตน
ขอให้พวกเขารักกันจริงเถิด
ไม่เช่นนั้นศศิคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ก็ผ่านไปเป็นเดือนๆแล้วที่ศศิมาอยู่ที่นี่ และก็เป็นเดือนๆแล้วที่ยังคงคิดถึงผู้เป็นใหญ่ในขอบรั้วพระราชวังแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เจอ
เจ้าฉายนั้นได้รับการดูแลอย่างดีด้วยความเอ็นดูจากองค์ราชินี เจ้าอ้วนของศศิดูมีราศีเจ้าชายจับอยู่บ้าง อีกไม่นานก็คงจะเติบใหญ่สง่างามไม่ต่างจากพ่อของเขา เมื่อคิดถึงอีกคนที่ห่างไกลก็พลันนึกได้ว่าเมื่ออีกฝ่ายกลับมาเราควรจะไปพบกันอย่างไร ศศิสัญญากับเขาเอาไว้ว่าจะไม่ไปไหน แต่ในความเป็นจริงคือตนทิ้งห้องนอนในคฤหาสน์วัชรวราภรณ์ไว้ และเข้ามาอยู่ที่ตำหนักนพรัตน์สักพักแล้ว
ไม่ได้การแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง
“เจ้าฉาย เดี๋ยวแม่ไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าก่อนนะ” แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการเรียกพระองค์อย่างนั้น แต่ก็ถูกคะยั้นคะยอให้ใช้คำนี้อยู่ดี ศศพินทุ์นั้นแจ้งเรื่องกับนางกำนัลว่าจะขอเข้าเฝ้า เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตแล้วจึงรีบเร่งเดินทางไปยังตำหนักส่วนพระองค์ที่แยกออกมาอาศัย
“มีอะไรหรือศศิ” ทรงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปราณี ศศินั้นจึงรีบแจ้งไปด้วยหมายไม่อยากให้รอนาน
“กระหม่อมได้รับแจ้งจากทางองค์รัชทายาทว่าใกล้จะกลับมาแล้ว จึงใคร่อยากจะขอกลับไปที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์พะยะค่ะ”
“อา…อย่างนั้นหรือ”
“ทรงพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ไหม…” ทว่าศศิยังไม่ทันพูดจบ คนที่ตนมาพบก็ส่ายหน้า
“อคิราห์นั้นต้องดัดนิสัยเสียบ้าง เจ้าอย่าเพิ่งไปพบเลย รอสักหน่อย สะดวกแล้วข้าจะให้ไป” ทำไมเป็นอย่างนี้กันเล่า ศศิเก็บความสงสัยเจือความไม่พอใจเอาไว้ หรือว่าพระองค์…กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ คงไม่ได้เกี่ยวกับคุณหนูอภิชญาที่ชอบแอบคุยอะไรกันสองคนใช่ไหม…
คงจะไม่ทรยศต่อความตั้งใจของศศิใช่ไหม?
☼ ☽
ศศิกลับไปแล้ว…
อย่างนั้นหรือ??
“บ้าจริง” จดหมายที่ถูกส่งมาถึงพระหัตถ์นั้นเพียงแจ้งว่ามีเหตุด่วนให้ต้องเร่งกลับไป เราอาจจะคลาดกันไม่กี่วัน แต่พระองค์แน่ใจว่าเนื้อความในจดหมายนี่เป็นของจริงแน่ ทรงรักอีกคนขนาดนี้ มีหรือว่าจะจำลายมือกันไม่ได้
หากจะรีบเร่งไปหา คาดว่าจะไปถึงได้ในอีก 3-4 วัน อคิราห์คิดได้เช่นนั้นก็ไม่รอช้า รีบเร่งกลับไปตระเตรียมงานที่พระราชวัง ช่างน่าขัดใจนัก ที่ภาระไม่ได้ให้อิสระแก่กันอย่างที่ต้องการ ทรงต้องรีบเร่งจัดการงานด่วน แต่ก่อนนั้นพระองค์ควรจะเร่งเขียนจดหมายให้ศศิรอ พระองค์จะไปหา และจะไปรอรับกลับมาให้เราอยู่ด้วยกัน
แต่เมื่อเขียนจดหมายเสร็จ ก็เพิ่งนึกได้ว่าตนติดพิธีเฉลิมฉลองวันชาติในไม่กี่วันข้างหน้านี้ จึงต้องนำเนื้อความในจดหมายออกมาแก้ไข แม้พระทัยจะติดตามท่านหมอน้อยและลูกชายผู้เป็นที่รักไปถึงชายแดนตะวันตกที่ 2 แล้ว
หลังจากเรียกคนสนิทให้มารับจดหมายไปดำเนินการจัดส่ง พระองค์ก็มองไปที่กองเอกสารที่มารออยู่ ทรงเสด็จออกไปจัดการกับพระราชกรณียกิจนอกสถานที่นานจนงานที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ลดน้อยลงและมีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น เพียงเพราะต้องการเร่งรัดให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ทรงไม่ปราณีกับพระวรกายเลย ทั้งนี้พระองค์ค้นพบว่าการล้มหมอนนอนเสื่อโดยมีคนรักเฝ้าปรนนิบัตินั้นดีที่สุด อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ทรงอดมานานจนควรจะชินชาได้แล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง ที่จะทรงได้เสวยความหวานยาวๆสักที!
ผ่านไปแล้วสามวันกับกองเอกสารและหลายสิ่งหลายอย่าง ปริมาณงานนั้นลดลงไปเป็นจำนวนมาก ช่างเหมาะสมกับการที่ได้บรรทมแค่วันละสามชั่วโมงจริงๆ ทรงรับอ่างล้างหน้าจากนางกำนัลมาจัดการกับพระพักต์ที่อ่อนล้า และรับผ้าขนหนูผืนนุ่มมาซับเบาๆ ก่อนจะออกไปพบแขกที่มาเฝ้ารอเจอ
เสด็จแม่…
“ถวายบังคมพะยะค่ะ” ทรงเสด็จเข้าไปหาอย่างรีบเร่งด้วยเห็นว่าทรงปล่อยให้รอนานแล้ว องค์ราชินีเมื่อได้ยลพระพักต์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าของพระโอรสก็อุทานออกมา แต่ภายหลังก็ควบคุมอารมณ์ได้ เลยไม่ได้ติฉินอะไรออกไปให้คนฟังต้องมาต่อล้อต่อเถียง
“แม่ว่าจะชวนเจ้าให้ไปทานอาหารด้วยกันเย็นนี้ จะบำรุงองค์รัชทายาทที่เอาแต่ทำงานอย่างดีเลย ต้องมานะลูก” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่พระพักต์ของพระโอรส นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนใจ
“กระหม่อมเกรงว่าจะไปวันนี้ไม่ได้ มีงานเร่งด่วนที่จะต้องทำ”
“สักนิดก็ไม่ได้เหรอลูก”
“….”
“เราแทบไม่ได้เจอกันเป็นปีแล้วนะ” ก็จริงๆอยู่เพราะทรงเสด็จไปทำงานต่างถิ่นนานเหลือเกิน แต่จะบอกว่าไม่ได้เจอก็คงจะมากไป ทว่าเรื่องที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย ก็นานหลายเดือนแล้วเช่นกัน
เพราะทรงร่วมทานอาหารด้วยครั้งสุดท้ายตั้งแต่ยังไม่ทราบว่าศศิตั้งครรภ์
จนเจ้าแสบอาจจะยืนได้แล้วในตอนนี้พระองค์ก็ยังไม่ได้ร่วมเสวยด้วยสักมื้อ
“ลูกจะไปพะยะค่ะ”
“จริงๆนะอคิราห์”
“พะยะค่ะ”
“ดีมาก งั้นแม่จะสั่งคนทำอาหารอร่อยๆไว้ให้” พระองค์เองก็รู้สึกผิดกับเสด็จแม่และเสด็จพ่อไม่น้อยที่ไม่มีเวลาให้เลย จะอย่างไรซะครอบครัวก็คือครอบครัว และครอบครัวก็คือความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่ไม่ควรละเลย
บางทีพระองค์ก็ควรจะบอกทั้งสองพระองค์เกี่ยวกับคนที่พระองค์เลือกอยู่ตอนนี้
แค่คิด…ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา หากองค์เหนือหัวและองค์ราชินีทรงทราบว่าได้เป็นปู่เป็นย่าคนแล้วจะรู้สึกเช่นไร แน่นอนว่าคงโกรธเคืองกันไม่น้อยที่ปิดบัง แต่ในขณะเดียวกันก็คงรีบรับสั่งให้คนไปรับทั้งแม่และลูกมาให้ พระองค์ก็รู้ว่ายังไม่ได้ปรึกษาศศิให้ดีเกี่ยวกับเรื่องสถานะที่อยากเปิดเผยออกไป แต่มาถึงขนาดนี้ที่ทรงมั่นพระทัยว่าคงจะปกป้องอีกฝ่ายจากกระแสทางการเมืองอันเลวร้ายก็อยากจะรวบรัด คงจะโกรธอยู่แต่ใช่ว่าจะไม่หาย อย่างไรก็ให้มาเห็นก่อนว่าเจ้าฉายนั้นเป็นที่รักของราชวงศ์แค่ไหนเสียก่อนแล้วกัน
ดังนั้นจึงควรรีบเร่งไปขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อทรงงานไปจนถึงแก่เวลาก็ไปจัดการเตรียมตัว และเสด็จไปยังตำหนักขององค์ราชินีที่เป็นสถานที่รับรองมื้ออาหารนี้ของครอบครัวเรา ใบหน้าที่ดูซูบซีดเมื่อยามเช้าพลันสว่างไสว แม้ไม่แน่ใจว่าตนควรจะเริ่มอธิบายอย่างไร แต่ค่อยๆดูสถานการณ์และท่าทีไปก่อนแล้วกัน
ทรงได้รับการต้อนรับและนำทางมายังห้องที่ถูกจัดเตรียมเพื่อการร่วมเสวยอาหารค่ำที่นี่ เมื่อมาถึงก็พบว่าทรงมาช้ากว่าพระบิดาอยู่ประมาณหนึ่งแต่ไม่มีใครว่าอะไร องค์ราชินีนั้นยังคงเป็นผู้นำที่สดใส ชวนทั้งพ่อและลูกให้คุยไปเพื่อลบช่องว่างที่เราอึดอัดใจต่อกันให้ได้ประมาณหนึ่ง หลังจากทะเลาะกันในวันนั้น เสด็จพ่อก็ดูจะเสียใจไม่น้อยเลย
“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยในสิ่งที่กระทำให้ขุ่นเคือง” คนเป็นลูกจึงเห็นควรว่าจะเอ่ยออกมาก่อนเพื่อสนทนาหาทางออกที่จะไม่ทำให้ความรู้สึกติดค้าง และแม้องค์เหนือหัวจะตกพระทัยไม่น้อยที่ลูกชายเอ่ยก่อนแต่ก็แย้มพระสรวลออกมาด้วยความยินดี
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ถือโทษโกรธเคือง เป็นข้าเสียอีกที่วุ่นวายเกินไป” ด้วยเพราะทรงใส่พระทัยต่อความรู้สึกของพระองค์ชายเป็นอย่างมาก จึงเลือกที่จะปล่อยวางและตั้งใจจะแสดงตนเป็นผู้ให้คำปรึกษาในทุกทางที่อคิราห์จะเลือกแทน เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มที่จะดีขึ้นมา องค์ราชินีก็วางพระทัย
“เหตุไฉนยังไม่จัดวางอาหารกันเล่า”
“ยังมีแขกอีกคนที่กระหม่อมอยากจะให้มาพบอีกสองคน เป็นคนที่น่ารักมากๆแต่เกรงว่าอาจจะติดธุระสำคัญในตอนนี้” เมื่อได้รับฟัง ทั้งสองพระองค์ก็แปลกพระทัยอย่างยิ่ง มันใช่หรือ…ที่ให้องค์เหนือหัวและองค์รัชทายาทมารอ?
“ใครกันหรือ” องค์เหนือหัวทรงตรัสถาม
“เป็นคนที่อยากให้อคิราห์ได้พบเจอเพคะ” เมื่อได้ยินพระนามจากพระโอษฐ์ของเสด็จแม่ คนฟังก็ขมวดพระขนงด้วยไม่พอพระทัย หรือจะยังดึงดันแนะนำใครให้พระองค์อีก ที่ผ่านมาไม่ชัดเจนพอหรือไงว่าไม่ว่าจะใครก็ไม่เป็นที่ต้องการ
“หากจะทรงแนะนำใครให้ลูกเหมือนอภิชญาอีก เกรงว่าลูกก็คงจะต้องขอปฏิเสธออกไป” ในตอนนี้แม้อยากจะพูดเรื่องของศศิและลูกจับใจ แต่ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้
“ทำไมกันเล่าอคิราห์ เจ้ายังไม่ได้เจอน้องเลย”
“ลูกไม่มีวันรักพะยะค่ะ ขอทรงโปรดเข้าพระทัย”
“อคิราห์ แม่ไม่ได้บังคับหากลูกจะไม่ถูกใจ แต่อย่างน้อยให้ได้พบกันก่อนได้ไหมแล้วเจ้าค่อยตัดสินใจอีกครั้ง” ทรงวอนขอออกไป แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะทำให้พระโอรสอ่อนไหวกว่าเรื่องใดๆ
“ลูกไม่อยากพบเจอใคร หากเป็นไปได้ก็อยากให้มื้อนี้มีแค่ครอบครัวเราพะยะค่ะ”
“แต่อีกคนอาจจะได้มาเป็น…”
“พอเถิดพะยะค่ะ”
“…”
“กระหม่อมคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว” เพราะทรงยกพระทัยให้ใครอีกคนไปทั้งหมด
“ต้องการเช่นนั้นจริงๆหรือ”
“….”
“เข้าใจแล้ว” ในที่สุดก็ทรงยอมรับในการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวนี่ “ปราณี งั้นเจ้าไปบอกแขกของเราว่าลูกชายเราไม่ต้องการจะพบ”
“….” แปลก…
“เขาไม่อยากสานสัมพันธ์ด้วย ไปบอกให้หมดและถามเขาว่าจะเลือกเช่นไร”
“เสด็จแม่” ปกติหากจะปฏิเสธอะไรใครก็ไม่เคยเห็นจะพูดตรงๆขนาดนี้ ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“น้องหญิง” องค์เหนือหัวทรงทราบได้ว่าภรรยากำลังโกรธเคืองแต่เก็บอารมณ์อย่างมิดชิด
“หากเขาต้องการจะออกไปพร้อมกับพาลูกกลับชายแดนด้วย บอกให้รอเราก่อนเพราะเรายังอยากเจอกับเจ้าฉายเป็นครั้งสุดท้าย ให้ศศิรอก่อนเราจะออกไปคุยด้วย” ศศิ…
นี่มันอะไรกัน!
“กระหม่อม…เข้าใจแล้วพะยะค่ะ” ในขณะที่คนที่เมื่อครู่ปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนั้น ยังมีอีกคนที่มายืนอยู่แถวประตูและได้รับฟังทุกอย่าง…
“ศศิ…” และเพราะน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังนั้นช่างคุ้นหู พระองค์ชายที่เมื่อครู่ทรงกริ้วอยู่ก็หันกลับไปมอง ว่าเสียงนั้นคุ้นแล้ว
ใบหน้า…ก็ยิ่งคุ้นเคยเข้าไปอีก
“….”
“….”
“ศศิ ไปรอข้าที่ตำหนัก” ด้วยเพราะเห็นเด็กสองคนเอาแต่จ้องตากัน องค์ราชินีที่คิดแผนการทุกอย่างจึงตัดฉับภาวะอึดอัดนั่นให้ คนงามเพียงถวายความเคารพ และเดินหันหลังจากไป
ที่มาช้า…เพราะเจ้าฉายนั้นดื้อเหลือเกิน…
“ลูกขออนุญาต” ไม่ได้การแล้วอคิราห์ เจ้าพลาดเสียท่าไปมากแล้วจริงๆ
เจ้าของแผนการอันปราดเปรื่องนั้นยิ้มส่งให้ ในขณะที่องค์เหนือหัวยังคงเงียบขรึมไม่ได้ตรัสสิ่งใด ทว่าเมื่อคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนและค้นพบถึงจุดเชื่อมโยงต่างๆก็เข้าใจได้ เมื่อสบพระเนตรงามขององค์ราชินีก็ทรงถอนหายใจและส่ายหัวออกมา เป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้วจริงๆ…ดีที่สุดจนหาอันใดเปรียบได้ไม่
ในส่วนของคนที่รีบเร่งเดินตามคนที่เข้ามาฟังวาจาร้ายๆเมื่อครู่ เมื่อตามทันก็ทรงคว้ามือเล็กนั้นไว้
“ศศิ เจ้าอย่าเพิ่งไป!”
“…”
“พี่ขอโทษ” ชิงเอ่ยก่อนคือคนชนะกระนั้นหรือ จริงๆแล้วอคิราห์ยังปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ถูกเลย ทำไมศศพินทุ์ที่ควรจะอยู่ที่ชายแดนจึงมาอยู่ที่นี่เล่า แล้วองค์ราชินี…
ทรงไปเจอศศิของพระองค์ได้อย่างไร?
“…”
“ศศิ”
“องค์รัชทายาทคงจะเหนื่อยรอแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็ขอตัวกลับไปดูลูกเสียหน่อย เขาร้องไห้งอแงเหลือเกิน ปลอบกันอยู่นานทำเอาเสียเวลามาหา”
“เจ้าฉายก็อยู่ที่นี่งั้นรึ” และเมื่อทรงได้ไต่ถามออกไป คนงามก็ทำเสียงพึมพำหงุดหงิดใจออกมาได้ยิน ใครกันเล่าที่ขี้งอนถึงเพียงนี้ หากพระองค์รู้ว่าเมียรักจะมาหา ก็คงไม่มีวันแสดงออกอย่างนั้นไปหรอก คิดได้เช่นนั้น ก็หงุดหงิดใจไม่น้อยเลย
“ทูลลาพะยะค่ะ”
“เดี๋ยวสิ จะงอนกันไปถึงไหน”
“…”
“หากพี่รู้สักนิดว่าเป็นเจ้า ไม่มีหรอกที่จะไม่พอใจ และต่อให้เกลียดชังแค่ไหน ก็คงไม่มีทางที่จะเดินตามออกมาหรอก”
“…”
“ไม่รู้หรือว่าพี่รักและคิดถึงแค่ไหน” ก็พอจะรู้อยู่บ้าง
แต่ไม่เจอกันนานบางทีก็ไม่มั่นใจนี่นา…
“แล้วไม่คิดหรือว่าศศิก็คิดถึง” ดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำนั้นถูกช้อนขึ้นมามอง ท่าทีที่อ่อนลงของท่านหมอน้อยยอดรักทำให้พระองค์แย้มพระสรวลก่อนจะฉุดรั้งให้ร่างบางนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมอก ต่อให้รู้ตัวว่าทรงเป็นตัวตลกของเสด็จแม่อยู่ แต่ก็ยอมหมดทุกอย่างแล้ว เพราะตอนนี้ต่อให้ทรงขำในความโง่เง่านี่ดังแค่ไหน พระองค์ก็ไม่ได้ยินอะไร…
นอกจากเสียงหัวใจของเราสองคน…
☼ ☽
“ไม่คิดว่าน้องหญิงจะรู้จักกับศศิด้วย” เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคน องค์เหนือหัวก็ได้ตรัสถามออกมา
“ศศิเป็นเด็กดีเพคะ คาดว่าพระองค์คงจะได้พบเจอกันมาก่อนแล้ว”
“เขาเป็นเด็กดีจริงๆนั่นแล” เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอและได้จากลา ก็ทำให้ทรงสะท้อนใจไม่น้อย เพราะทรงเป็นผู้คุ้มกฎที่ทำให้ทั้งสองแยกจาก
“เป็นเด็กที่นิสัยดีและงดงามมากๆ เหมาะสมกับอคิราห์เป็นที่สุด”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” หรือจะกล่าวได้ว่าเคยคิดเช่นนั้น องค์ราชินีที่เห็นพระพักต์อันเศร้าสร้อยของพระสวามีก็รู้สึกสงสาร หลายเดือนจนเป็นปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงรู้ดีว่าองค์เหนือหัวนั้นจมอยู่กับความทุกข์ใจมาตลอด ทรงรักและอยากจะตามใจอคิราห์มาก แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ด้วยฐานะหน้าที่มันค้ำคอ แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องเก็บงำความหดหู่นั้นไว้อีกแล้วกระมัง
“อย่าได้ทรงกังวลอะไรอีกต่อไปเลย ต่อไปนี้พระองค์สามารถปล่อยวางสิ่งที่แบกรับไว้และมอบให้ลูกชายของเราได้สานต่อเถิดเพคะ” ตลอดชีวิตของพระนางและพระสวามีที่ไม่เคยรักกันฉันสามีภรรยา แต่ความผูกพันห่วงหายังมีอยู่ไม่น้อย และตอนนี้ศศพินทุ์ได้นำพาเจ้าฉายมาปลดโซ่ที่ตรวนพระองค์ให้แล้ว ไฉนเลยพระองค์จึงจะเงียบเฉยทำเป็นไม่สนใจอะไรได้
ยังไงองค์เหนือหัวก็จะได้รู้อยู่ดี
“หากหลานปู่เห็นว่าพระองค์ทรงตีหน้าขรึมเช่นนี้ เด็กน้อยจะกลัวเอานะเพคะ”
“….”
“ทรงโดนเด็กหลอกเข้าแล้วองค์เหนือหัวของเรา เสด็จตามหม่อมฉันมาเถิด” ไปไหน พระนางจะพาองค์เหนือหัวผู้ไม่รู้อะไรไปไหน? “พ่อแม่ของเจ้าฉายคงเอาแต่แสดงความรักต่อกัน เราปู่ย่าควรจะไปดูเจ้าตัวเล็กให้ มาเถิดเพคะหม่อมฉันจะพาไป”
“เจ้าฉาย…หลานของเราหรือ” ใช่แล้ว…คนแก่คนนี้เฝ้ารอมาตลอด ครั้งหนึ่งเคยรอที่จะได้เจอลูกด้วยหมายจะค้นพบความรักที่แท้จริงที่ทรงจะมีได้ในโลกการเมืองนี้ และอีกครั้งก็ทรงคาดหวังจะได้เห็นลูกของลูกชาย และวันนี้การรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
พระองค์จะได้เจอองค์รัชทายาทองค์ต่อไปแห่งสิหราชนคราแล้ว…
Talk
ตอนหน้าก็จบละนะ