EP.3
[รบ]
“วู้! แอลฟากดไลค์รูปหนูด้วยล่ะ”
“...”
“เนี่ย ดูสิ ไลค์อีกแล้ว”
“...”
“กรี๊ดดดด หรือพี่เขาจะเป็นแฟนคลับหนูกันน้า”
“...”
“เอ๊ะ นี่กะมาเรียกร้องความสนใจกันป่ะเนี่ย ไลค์เยอะไปเปล่า”
ตอนแรกผมก็ไม่สนใจหรอก...แต่หลังๆ ผมชักจะสนใจขึ้นมาแล้ว ไอ้บ้าธนูนี่แม่งมายุ่งอะไรกับน้องสาวผม
“มันทำอะไร” เมื่อความอดทนในตอนเช้าของผมหมดลง ผมจึงหันไปถามยัยรันที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผม
“กดไลค์รูปไอจีหนูไง”
“ไหน”
ผมรับมือถือจากมือน้องมาดู...ไอ้ธนูมันกำลังกระหน่ำไลค์รูปของน้องสาวผมจริงๆ ด้วย แม้กระทั่งรูปกล่องดินสอคิตตี้ มันก็กด!
มันจะเกินไปแล้ว
ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเข้าแอปไอจีอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทักดีเอ็มไปหาเจ้าของไอจีราศีธนูอย่างรวดเร็วด้วยความหัวร้อน
spartanwarrior :
มึงอย่ามายุ่งกับน้องกู! เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่าธนูมันชอบเล่นไอจีตอนเช้าน่ะ เพราะมันอ่านไวและตอบไวมาก
sagittarius :
แค่กดไลค์เอง spartanwarrior :
น้องกูฟินเกินไป...กูรู้สึกไม่ดี sagittarius :
ยังไง spartanwarrior :
เหมือนมึงจะพรากผู้เยาว์ sagittarius :
แดดดี้มึงพามึงคิดแบบนั้นเหรอ ผมหน้าบึ้งใส่โทรศัพท์
sagittarius :
โห หน้าอย่างบูด เชี่ย...แม่งรู้ได้ไง
spartanwarrior :
มึงตั้งกล้องในบ้านกูเหรอ
sagittarius :
น้องมึงเพิ่งถ่ายส่งมาให้กูดูอ่ะ “รัน” ผมทำเสียงตำหนิใส่น้อง ยัยรันทำหน้าไม่รู้เรื่อง...ร้องเพลงภาษาอังกฤษที่ไม่รู้ว่าเพลงนั้นเป็นเพลงอะไร ในมือถือโทรศัพท์ซึ่งเป็นหลักฐานได้อย่างดีว่ามันเพิ่งแอบถ่ายผมส่งให้ไอ้ธนูดูจริงๆ
นี่กวนตีนเหมือนพี่ชายใช่มั้ยเนี่ย... (เอ๊ะ ด่าเข้าตัวเองทำไม)
sagittarius :
น้องมึงชงโคตรหนักอ่ะ spartanwarrior :
มึงก็ไม่จำเป็นต้องเล่นด้วยก็ได้
ผมแทบจะทุบโทรศัพท์กับโต๊ะตัวเองอยู่แล้ว จะทำอะไรให้ธนูมันก็รู้เห็นหมดเพราะมันมีน้องสาวผมเป็นสปาย ผมมองรันด้วยสายตาคาดโทษ แต่น้องไม่หวั่นกลัวสายตาของผม...เพราะน้องรู้ว่าผมไม่มีวันโกรธน้องอย่างจริงจังได้สักที
sagittarius :
สนุกดี หน้าจอยังแจ้งเตือนเป็นข้อความในไอจีอยู่ แต่ผมไม่สนใจที่จะตอบแล้ว...
sagittarius :
เฮ้ย กูไม่เล่นกับน้องมึงก็ได้ ข้อความนี้ทำเอาผมสนใจหน้าจอมากขึ้น...แต่ผมก็ยังหยิ่ง ไม่หยิบมันขึ้นมาปลดล็อกจอแล้วพิมพ์ตอบอยู่ดี
sagittarius :
รบ
sagittarius :
...
sagittarius :
ไอ้รบ ผมแอบหัวเราะขำ...รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเช้านี้ผมก็มีเรื่องอะไรบางอย่างที่ชนะไอ้ธนูได้บ้าง
sagittarius :
มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ “รัน!” ผมหันไปร้องใส่น้องดังมากจนเชื่อว่าแดดดี้ที่รดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านต้องได้ยินแน่ๆ “เลิกถ่ายรูปพี่ส่งไปให้มันดูสักที!”
[ การ์ด ]
วันนี้เฮียธนูเขาอารมณ์ดีแต่เช้า
โชคเป็นของผมกับเพื่อนทุกคน ไม่มีใครโดนไอ้ธนูด่าเลยสักคน จริงๆ แล้วช่วงนี้อารมณ์ของมันดีอย่างง่ายดายมากและก็น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น...ผมกับคนอื่นๆ ก็ยังไม่รู้สาเหตุอยู่ดีว่าเพราะอะไร
ทันทีที่ตื่นขึ้นมา ธนูมันก็หายไปแล้ว รู้อีกทีก็คือตอนที่มันกลับมา...มันไปยิมกลับมาเรียบร้อยแถมยังกลับมาก่อนเก้าโมงอีกด้วย ไม่รู้ว่าแม่งรีบผิดปกติเกินไปเปล่า
“มองเหี้ยไรการ์ด”
ผมสะดุ้งเมื่อพ่อเจ้าประคุณหันมาตวาด...
“ช่วงนี้มึงอารมณ์ดีนะ” ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด ก็ต้องกล้าพูดกับมันมากที่สุด ผมลองรวบรวมความกล้าพูดหยั่งเชิงดู
“ปกติกูต้องเป็นยังไง” หน้าตึงๆ ของมันมองผมด้วยสายตาที่น่ากลัว...แม่งเอ๊ย ไม่น่าท้วงมันเลย
“ก็...โหดกว่านี้ สิบเท่าร้อยเท่า” ผมพูดความจริง “ตั้งแต่วันที่มึงหายไปทั้งคืนคืนนั้น...มึงก็เปลี่ยนไปเลย”
“กูอาจจะกลับไปนอนบ้านกูก็ได้” มันยักไหล่
“ไอ้ธนู” ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้มัน “มึงไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้วนะ...แถมมึงยังอยู่กับพวกกูคนใดคนหนึ่งตลอด มีแค่คืนนั้นคืนเดียวที่มึงไม่ได้อยู่กับพวกกู”
“มึงเอาเวลาไปสังเกตไอ้โฮมเถอะว่ามันทำกับข้าวอร่อยขึ้นหรือยัง”
ไอ้ธนูเฉไฉไปเรื่อยแบบนี้แสดงว่าคืนนั้นของมันมีความลับชัวร์ๆ
“กูพอจะนึกออกอยู่ลางๆ” ผมลองแหย่มันต่อไป “วันนั้นมึงบอกว่ามึงจะไปจัดการพวกเอกการแสดงให้...ตอนที่พวกมันตามมาตอแยกูหลังสอบไฟนอล”
“เหี้ยการ์ด” ธนูชักทำสีหน้าหงุดหงิด
“โอเค...กูไม่ถามต่อแล้วก็ได้” ผมยอมแพ้ในที่สุด “แต่ถ้ามันมีอะไรจริงๆ มึงบอกพวกกูได้นะเว้ย...พวกกูจะได้ช่วย”
“กูอยากจะบอกว่า...รีบทำร้านให้เสร็จซะ ร้านจะเปิดวันมะรืนนี้แล้ว”
ไม่ว่าจะทำยังไงแม่งก็ไม่ยอมพูดว่ะ...ผมเองก็อยากจะมีความกล้าในการง้างปากของมันดู แต่ถึงมีผมก็คงตายซะก่อน เพราะคนอย่างไอ้ธนูคงไม่ยอมให้ใครไปทำอะไรกับปากมันง่ายๆ หรอก
ผมลอบสบตากับเพื่อนอีกสามคนที่แอบฟังอยู่ห่างๆ เริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ในใจว่าถ้าเข็นเอาจากฝั่งของธนูไม่ได้ ก็ต้องเข็นเอาจากฝั่งของรบ
แม้จะยังไม่สนิทกัน แต่ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นน่าจะปูดความลับได้ง่ายกว่า
ครับ...ผมยอมรับว่ารบมันน่ากลัวน้อยกว่าไอ้ธนูเยอะเลย
[ รบ ]
วันนี้ผมมาตรงเวลาเด๊ะๆ
ผมนับดูจำนวนรถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ...แม่งมีทั้งหมดหกคัน ไม่รวมรถของผม นั่นก็หมายความว่าแก๊งที่อยู่ในร้านแบล็คแพ็คขณะนี้มีรถกันคนละคัน เดาว่ามอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ (เจ้าแดงไบเล่ที่สุดแสนจะเท่ของธนู) กับรถสำหรับขนของนั่นน่าจะเป็นของไอ้ธนู นอกนั้นก็เป็นรถของเพื่อนๆ มันทุกคน
แม้จะนอนอยู่ในที่เดียวกัน...แต่พวกแม่งก็ยังใช้รถคนละคันเนอะ
ตอนอยู่บนรถผมได้คุยกันกับพวกเพื่อนๆ เรื่องแม่ของชู้ต ตอนนี้ชู้ตสามารถจ่ายค่ารักษาแม่ได้ส่วนหนึ่งแล้วซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีมาก ผมโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง...อย่างน้อยตอนนี้ชู้ตมันก็คลายความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายลงไปได้ แค่มันเครียดเรื่องอาการของแม่ ผมก็คิดว่ามันก็ใช้พลังใจไปเยอะแล้ว มันไม่ควรจะต้องมากังวลเรื่องอะไรอีก
มีเพื่อนๆ หลายคนถามผมว่าผมไปหาเงินมาจากไหน รอดพ้นจากแดดดี้มาได้ยังไง (พ่อผมมีชื่อเสียงเรื่องความเค็มนิดหน่อย) ผมก็บอกพวกมันไปตรงๆ ว่าช่วงนี้มีงานพิเศษทำ แต่ไม่ได้ไปเป็นเด็กเจ๊หรือเด็กเสี่ยที่ไหน อย่าได้กังวลไป...
ถ้าร้านเปิดเมื่อไหร่เดี๋ยวเพื่อนๆ ผมมันก็รู้เอง...ร้านนี้ดังจะตายในหมู่เด็กคณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าต้องพากันเฮละโลมาอุดหนุนพวกเอกดนตรีสุดหล่อพวกนี้ ไอ้พวกนี้มันมีแฟนคลับกันทุกคนเลย ผมจำได้...
ตอนที่ผมเข้าไปในร้าน...ทุกอย่างยังเหมือนเมื่อวาน เพื่อนสี่คนของไอ้ธนูยังคงทำงานเหมือนเดิม ส่วนไอ้ธนู...มันก็นั่งอยู่ระเบียงที่เดิมโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะตกลงมาแขนหักขาหักหรือเปล่า
ผมเผลอสบตามันนานขึ้น...แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ผมไม่มีธุระจะคุยอะไรกับมันจึงหันไปคุยกับการ์ดแทนว่าวันนี้มันจะให้ผมทำอะไร...
วันนี้การ์ดสอนผมเรื่องเมนูเครื่องดื่มและอาหารในร้าน...ผมจำเป็นต้องจำให้ได้อย่างขึ้นใจ เพราะจะได้ให้ข้อมูลลูกค้าถูก นั่นคือโปรแกรมในตอนเช้าทั้งหมดของผม
ส่วนโปรแกรมในตอนบ่าย...วันนี้พวกเราจะถ่ายรูปโปรโมตลงเพจกัน
ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่าไปนั้น...ไอ้ธนูมีบทบาทน้อยมาก มันเป็นเจ้าของร้านประเภทที่ไม่ทำห่าอะไรเลย หนำซ้ำแม่งยังใช้สายตาบัญชาการอยู่บนระเบียงชั้นสอง ไม่ยอมลงมาช่วยงานเพื่อนเลยสักนิดเดียว
แต่จะให้ด่ามันก็ไม่ถูก...นี่คืองานจ้างที่แท้จริง ไม่ใช่งานกลุ่มส่งคุณครู มันจะทำอะไรก็เรื่องของมันครับ ในเมื่อมันเป็นเจ้าของทุกอย่างแม้กระทั่งเม็ดดินจำนวนหนึ่งเม็ดที่อยู่ใต้ร้านนี้
จะว่าไปมันก็ดีแล้วล่ะที่คนอย่างธนูจะไม่มาป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณที่คนอื่นเขาทำงาน มันเป็นบุคคลประเภทที่ว่าแม้แต่เพื่อนมันทั้งสี่คนยังต้องกลัวและเกรงใจมัน ประสาอะไรกับผมที่เป็นหัวหน้าแก๊งอีกเอกหนึ่งก็จริง แต่ก็อยู่ในถิ่นของธนูนี้อย่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
อ้อ...และผมก็ยังไม่กล้าสบตามันมาก...เหมือนเดิม
“ยุ กูขออเมริกาโน่” เจ้านายบัญชาการมาจากชั้นบนของร้าน “เข้มๆ เลย กูง่วง...”
ผมที่กำลังท่องเมนูอาหารอยู่ลอบมองขึ้นไป...จากนั้นก็สบตาเข้าอย่างจังกับไอ้ธนู
ไอ้เชี่ยนั่นแม่งชอบมองสำรวจลำตัวผม...เมื่อตะกี้มันก็ยังทำ!
สายตาของมันชอบบ่งบอกอาการหื่นอย่างเห็นได้ชัด...ผมรู้ดีเพราะผมผ่านเรื่องแบบนั้นกับแม่งมา เพื่อนมันทั้งสี่คนไม่มีทางรู้หรอกว่ามันชอบทำตาแบบนั้นเวลาที่มีอะไรกับใครสักคนน่ะ ซึ่งก็...เป็นสายตาที่ทำให้คนอื่นเขาใจเต้นระรัวได้
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ การ์ดคนน่ารักก็เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ผม...มันเหลือบมองธนูที่หายกลับเข้าไปในห้องแล้ว
“ถามไรหน่อยสิ” การ์ดกระซิบ “วันสอบไฟนอลที่ไอ้ธนูบอกจะไปจัดการพวกมึง...มันทำอะไรบ้างวะ”
ผมนี่แทบจะสำลักอากาศเลยทีเดียว “หา”
“มันแปลกไปตั้งแต่ตอนนั้นอ่ะ พวกกูไม่สบายใจเลย”
ใครจะไปตอบออกไปได้....มีแต่ผมที่มีแต่เสียกับเสีย ไม่เหมือนไอ้ธนูที่คงจะมีแต่ได้กับได้
“แปลกไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง” ผมถามกลับ
“ดีขึ้น...มั้ง มันทำตัวให้น่าอยู่ใกล้ๆ มากขึ้น”
“ที่ผ่านมาแม่งแย่มากเลยเหรอ” ธนูเอ๊ย การทำตัวของมึงนี่ก็นะ...ทำคนอื่นเขาลำบากปรับตัวเข้าหามึงไปหมด
“โหดสัดอ่ะ...ด่าได้ก็ด่า เตะได้ก็เตะ” การ์ดทำท่าขนลุก “ช่วงนี้มันเบาลงไปเยอะ ไม่รู้มันแอบพวกกูไปนั่งสมาธิหรือเปล่า”
เท่าที่เคยได้ยินมา...ไอ้ธนูมันก็โหดอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ มันเป็นนักศึกษาเอกดนตรีที่โคตรไม่น่าเข้าใกล้ ความฮอตในหมู่สาวๆ จึงไม่ค่อยมากนักเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ของมันซึ่งทำตัวอย่างกับคนของประชาชน
แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ล่ะก็...ธนูมันฮอตมากนะครับ ในกลุ่มเกย์ควีนตัวเล็กๆ น่ะ
ผมรู้เพราะผมสุงสิงกับคนพวกนั้น บางคนที่ผมเคยนอนมาด้วยแล้วก็เคยนอนกับธนูมาก่อน หรือบางคนที่เคยนอนกับธนูมาก่อนก็เคยนอนกับผม...
แต่จะว่าไปผมก็รู้สึกว่าผมห่างหายจากเรื่องบนเตียงไปนานเหมือนกัน วันนี้โทรหาใครสักคนให้มาเจอกันหลังเลิกงานดีมั้ยนะ
“ช้าจังวะยุ!” เหี้ย...ผมสะดุ้งจนตัวโยน
บาริสต้าที่ชงกาแฟให้ไอ้ธนูอยู่ถึงกับเกือบทำเครื่องดื่มในมือกระฉอก...เสียงธนูแม่งดังเหมือนสายฟ้าฟาดมาก แม่งพูดกับเพื่อนแบบปกติไม่ได้หรือไง
“ตกลงมึงจะบอกกูมั้ยเนี่ยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” การ์ดยิงคำถามใส่ผมต่อไป
“ไม่มีอะไร กูกับเพื่อนก็โดนธนูต่อยหน้าคนละที...มันก็เท่านั้นแหละ” ผมตอบส่งๆ
“การ์ด ยุ มาช่วยทางนี้หน่อยเด๊ะ” ก้องเรียกเพื่อนมันทั้งสองคน การ์ดมองผมอย่างจับผิด ขณะที่ยุส่งแก้วอเมริกาโน่เย็นมาให้ผม
“ช่วยเอาไปให้ธนูมันหน่อยนะ” ยุส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
เฮ้ยยยย...ทำไมต้องกู
ผมรับมาถืออย่างงงๆ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนเอาไปให้ธนูมันหรอก แต่เมื่อยุกับการ์ดมันออกไปช่วยงานก้องไวมาก ผมจึงต้องจำใจไปเสิร์ฟกาแฟให้เจ้าของร้านเขา
จำได้ว่าห้ามขึ้นไปชั้นสองเด็ดขาด...ธนูมันหวงรังของมันอย่างกับงูจงอางหวงไข่ ผมจำคำนี้ของการ์ดได้ จึงได้แต่ยืนจ้องมองบันไดที่ไม่ได้มีหลายขั้นเท่าไหร่นัก
“ธนู...กาแฟได้แล้ว” ผมร้องบอกมันไปก่อน
“ไอ้รบเหรอ” มันร้องตอบผมแบบนี้ “ขึ้นมาสิ”
“การ์ดบอกว่ามึงบอกว่าห้ามขึ้นไปชั้นสองสุ่มสี่สุ่มห้า”
นี่ผมพูดอะไรของผมน่ะ...ไอ้ธนูมันถึงกับสตันไปเลยมั้ง
“กูเรียกมึงให้ขึ้นมาก็แปลว่ากูอนุญาตแล้วสิวะ...น้องมึงยังฉลาดกว่ามึงอีกมั้ง”
รู้สึกอยากบีบแก้วกาแฟมันให้แตกแล้วส่งให้มันแดกทั้งอย่างนั้น...แต่ก็ทำไม่ได้ในเมื่อมันเป็นนายจ้าง ผมกลอกตาเบาๆ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังชั้นสอง สถานที่ที่แม้แต่เพื่อนสนิทของมันอย่างการ์ดยังไม่เคยได้ก้าวเท้าขึ้นมา
ผมตกใจกับรูปดวงจันทร์เต็มดวงที่แปะอยู่ข้างหน้าประตู แม่งเป็นหลักฐานที่ยืนยันเป็นอย่างดีว่าธนูมันเป็นติ่งดวงจันทร์ตัวพ่อ
คนบ้าอะไรชอบดวงจันทร์ขนาดนั้นวะ...
มือของผมเตรียมเคาะประตู...แต่ธนูมันก็พูดออกมาก่อนว่าให้ผมเข้าไปข้างในได้ ผมค่อยๆ แง้มประตูให้เปิดออก ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือห้องพักในขนาดที่กว้างกว่าที่ผมคิดเอาไว้ มีเตียงนอน โต๊ะทำงาน ทีวี และอุปกรณ์ใช้ชีวิตปกติ ผมนึกว่ามันจะดูเป็นที่พักชั่วคราวมากกว่านี้ซะอีก
ธนูนั่งเกากีต้าร์โปร่งอยู่บนเตียง...ผมมองมันอย่างไม่ค่อยกล้ามองเท่าไหร่ เท่าที่ผมรู้...ธนูมันเรียนเอกกลองชุดครับ และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเล่นกีต้าร์ได้เก่งขนาดนี้ เพราะเพลงที่มันเกากีต้าร์อยู่นั้นเป็นท่วงทำนองเพลงคลาสสิกที่เกือบจะพูดได้ว่าแม่งจะขั้นเทพเกินไปแล้ว
“วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ” มันหยุดเล่น ถือกีต้าร์เอาไว้อย่างนั้นแล้วมองผม
ผมทำตามที่มันสั่ง...บนโต๊ะของมันมีหนังสือเรียนเกี่ยวกับดนตรีอยู่เต็มไปหมด
“ถ้าจะมองขนาดนั้นมึงหยิบขึ้นมาดูเลยก็ได้”
“เปล่ามองสักหน่อย”
“อยากดูก็ดูดิ...ไม่ได้ว่าอะไร”
มึงพูดเองนะ...อย่ามาด่ากูทีหลังล่ะว่ากูละลาบละล้วงของของมึง
ผมหยิบหนังสือเรียนของธนูขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“เหนื่อยป่ะ...ทำงานกับกู” ธนูถาม ผมได้ยินเสียงมันวางกีต้าร์ จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าเพราะมันกำลังเดินมาหยิบกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ ผม
กลิ่นของมันโชยเข้าจมูก...ความร้อนจากร่างกายของผมส่งผ่านมาทั้งอากาศซึ่งมันไม่ได้สัมผัสผมโดยตรง แต่ผมก็รู้สึกถึงมัน
ทำไมรู้สึกคุ้นอย่างนี้...ทั้งๆ ที่ผมกับมันทำเรื่องอย่างนั้นกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเองนะ
“ไม่อ่ะ...ขอบใจนะที่ให้เงินล่วงหน้า”
“เขาช่วยกันทั้งคณะ กูไม่ช่วยคงจะดูแล้งน้ำใจไปหน่อย”
ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ขยับตัวห่างผมไปไหน จึงลองหันไปมองดู...มันยืนอยู่ใกล้ๆ โอบรอบผมที่นั่งอยู่ไว้กลายๆ โดยใช้แขนค้ำโต๊ะเอาไว้อยู่
“ไปไกลๆ” ผมดันหน้ามันออกไปเบาๆ
“จับหน้ากูเลยเหรอ” มันชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“เออ”
“กล้านะ”
“ก็เดี๋ยวเพื่อนมึงจะมาเห็น”
“ไม่มีใครขึ้นมาที่นี่”
“กูลงไปทำงานต่อดีกว่า”
“เดี๋ยว” ไอ้ธนูมันยังยืนอยู่ที่เดิม...ล็อคตัวผมให้นั่ง ไม่ยอมให้ผมขยับไปไหน
“อะไรอีกล่ะ”
“มึงไปทำอะไรมา ทำไมเข้ากับเพื่อนกูได้”
คำถามแค่นี้มันถึงกับต้องล็อคตัวผมเอาไว้เลยเหรอ... “ก็แค่พูดออกไปตรงๆ ว่าต้องทำงานด้วยกันอีกยาว อย่าทำให้บรรยากาศมันอึดอัดทุกวันจะดีกว่า”
“ปกติพวกนั้นไม่ค่อยชอบมึงเท่าไหร่” มันพูดนิ่งๆ
“กูก็ไม่ค่อยชอบพวกนั้นเหมือนกัน” ผมสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “แต่พวกนั้นออกเงินช่วยแม่ชู้ต...ตอนนี้กูก็เลยรู้สึกดีกับพวกนั้นขึ้นบ้างแล้ว”
“ดี”
“...”
“กูไม่อยากเห็นมึงกับเพื่อนกูทะเลาะกัน” มันถอยหลังกลับไป “ถ้าเข้ากันได้...กูก็สบายใจ”
“ทำไมพวกนั้นต้องกลัวมึงขนาดนั้นด้วย” ผมสบโอกาสจึงได้ถามในสิ่งที่ผมสงสัย
“ไม่รู้ พวกมันกลัวกันไปเอง” มันตอบ “เพื่อนมึงก็กลัวมึงไม่ใช่เหรอ”
“แค่เกรงใจ...ไม่ได้กลัวจนหัวหดแบบพวกเพื่อนๆ ของมึง”
“เราอยู่กันแบบนี้ มึงอย่ามาถามให้มันมาก”
“โอเคๆๆ” ผมยกมือยอมแพ้อย่างขอไปที จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมลงไปข้างล่าง “ห้องมึงน่าอยู่นะ”
“ตรงไหนวะ...เหมือนที่หลบภัยของพวกเข้าสังคมไม่ได้มากกว่า” เสียงของมันดูไม่ใส่ใจ มันหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเกาอีกรอบ
“ก็นั่นแหละที่ทำให้มันน่าอยู่”
“...”
“สมัยนี้สังคมแม่งก็เรื่องเยอะเกิ๊น...มีที่หลบภัยบ้างมันก็ดีเหมือนกันนะ”
ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น อาจเป็นเพราะผมรู้สึกได้มั้งว่าห้องของธนูมันดูเป็นห้องที่มันใช้ชีวิตมาโดยตลอดจริงๆ นั่นก็หมายความว่ามันไปเรียนมหา’ลัยจากที่นี่ มันอาจจะไปเรียนมัธยมจากที่นี่ด้วยก็ได้เพราะผมเห็นชุดนักเรียนเก่าๆ ของมันสองสามชุดห้อยอยู่ในตู้
ความโดดเดี่ยวของมันสื่อถึงผมผ่านข้าวของที่อยู่ในห้อง...
มันแปลกที่มันยอมให้ผมเข้ามาสัมผัส...
[
มีต่อนะคะ ]