พรุ่งนี้... ที่รอคอย
บทที่ ๕“พระชายาไม่นึกอยากจะเสด็จออกไปข้างนอกบ้างหรือเพคะ”
นาราทูลถาม สีหน้าบอกชัดว่าตัวนางเองต่างหากที่อยากจะไป
“ฉันออกไปได้หรือ”
“อ้าว ได้สิเพคะ พระชายาไม่ใช่นักโทษนี่เพคะ ทำไมจะออกไปไม่ได้
เพียงแต่ต้องทูลขอประทานพระอนุญาตก่อนเท่านั้นเอง”
อย่างนั้นถึงไม่ใช่นักโทษก็คงจะใกล้เคียง
อย่างไรก็ดี การได้รู้ว่าสามารถออกนอกตำหนักได้เป็นความรู้ใหม่
“คืนนี้ฉันจะลองทูลขอดู”
“ทำไมต้องรอถึงคืนนี้ด้วยล่ะเพคะ วันนี้องค์รัชทายาทก็ประทับอยู่ในพระตำหนักนะเพคะ”
นี่ก็ความรู้ใหม่
นอกจากตอนกลางคืนที่ต้อง ‘ถวายงาน’ แล้ว
ศวัสก็ไม่เคยรู้ว่าตอนกลางวันเจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณทรงทำอะไรที่ไหนบ้าง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในพระตำหนักหรือไม่อยู่
วูบหนึ่งคิดว่า เป็นเพราะเขาไม่เคยใส่ใจใช่รึเปล่า
แต่พระองค์ก็คงไม่เคยสนพระทัยเหมือนกัน ว่าวันๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้าง
“เสด็จไปตอนนี้เลยก็ได้นะเพคะ ถ้าจะเสด็จไปเดี๋ยวหม่อมฉันไปหาฉลองพระองค์คลุมมาถวายก่อน
ถ้าองค์รัชทายาททอดพระเนตรเห็นว่าฉลองพระองค์ไม่หนาพอล่ะก็ หม่อมฉันต้องพระอาญาหนักแน่เลย”
“ทำไมต้องถูกลงโทษ”
“ก็พระองค์เพิ่งจะทรงกำชับหม่อมฉันมาน่ะสิเพคะ ว่าอากาศเริ่มหนาวแล้ว ให้ดูแลพระชายาให้ดีๆ”
“กำชับ... ตอนไหน”
สีหน้าของนาราเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอตัวพูดผิด แต่แล้วก็งึมงำ “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“หม่อมฉันต้องทูลรายงานทุกวันเพคะว่าแต่ละวันพระชายาทรงทำอะไรบ้าง
ทรงพระสำราญดีไหม โปรดหรือว่าไม่โปรดอะไร”
“ไปรายงานตอนไหน” ในเมื่ออยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลา
“ตอนที่พิรุณถวายงานอยู่ในห้องสรงแล้วก็ห้องแต่งพระองค์ตอนเย็นเพคะ”
เดี๋ยวนี้ก่อนจะ ‘ถวายตัว’ เขาไม่ต้องถูกบังคับให้แช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่เต็มไปหมด
หรือยอมให้พิรุณช่วยชำระล้างร่างกายให้แม้กระทั่งในส่วนลี้ลับอีกต่อไปแล้ว
เพราะตอนที่ถูกกอดเอาไว้เฉยๆ หลังจากเสร็จกิจ เขาไม่มีอะไรจะพูด
จึงเคยกลั้นความอายทูลขอว่า ขอไม่ต้องขัดสีฉวีวรรณให้มากมายอย่างผู้หญิงได้หรือไม่
เขารับรองว่าจะดูแลร่างกายให้สะอาดสะอ้าน ไม่ให้ต้องทรงขุ่นเคืองพระทัย
เจ้าชายภีมเสนยังแปลกพระทัยเสียด้วยซ้ำว่าเขาจะยอมให้ทำทำไมถ้าไม่ชอบ
‘เธอเป็นพระชายา ส่วนนางเป็นนางกำนัล ใครก็บังคับเธอไม่ได้ ถ้าเธอไม่ต้องการ’
‘แต่ฝ่าบาท... จะไม่โปรด’
‘ฉัน ‘โปรด’ เธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง’
ขณะที่ใจเต้นตึกตัก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทรงหมายความว่ายังไงกันแน่ เขาก็ได้รับการ ‘โปรด’ อีกครั้งตอนนั้นเลย
และถึงแม้จะรู้แล้วว่าคำว่า ‘โปรด’ ของพระองค์หมายความว่ายังไง เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนไม่สามารถยอมให้พิรุณจูบได้
แม้นางจะพูดให้ถึงกับสะอึกว่า
‘เมื่อคืนนี้องค์รัชทายาทคงจะทรงใช้งานส่วนนี้ของฝ่าบาทหนักมากนะเพคะ
หยาดเชื้อพันธุ์ไหลออกมาเองมากขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะท้องไปแล้ว’
“สาลี่ยักษ์เมื่อวันก่อนที่พระชายาทรงชมว่าทั้งหวานทั้งกรอบ องค์รัชทายาทก็ประทานมาให้เพคะ
เพราะหม่อมฉันเคยกราบทูลว่าพระชายาโปรด”
นาราบอกเสียงใส ทว่าคนฟังกลับรู้สึกผิดขึ้นมาทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรผิด
“หม่อมฉันสนิทกับองครักษ์ประจำพระองค์ขององค์รัชทายาท
เลยแอบรู้มาก่อนด้วยนะเพคะว่าพระองค์ทรงสั่งตัดเสื้อคลุมกันหนาวตัวใหม่เอาไว้เตรียมประทานให้พระชายา
เพราะว่าหอฤดูกาลพยากรณ์ว่าปีนี้อากาศจะหนาวกว่าปีที่แล้วมาก พระชายา... ทรงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ”
“... เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วจะเสด็จไปเข้าเฝ้าไหมเพคะ”
“ไปสิ”
จู่ๆ ก็นึกอยากจะเห็นหน้าคนที่หวาดกลัวจับจิตตั้งแต่แรกเห็นขึ้นมาจับใจ
“ต้องให้คนส่งหนังสือไปกราบทูลก่อนไหม”
“คนอื่นต้อง แต่พระชายาไม่ต้องหรอกเพคะ ยังไงองค์รัชทายาทก็ต้องประทานพระอนุญาตอยู่แล้ว”
ศวัสเคยเดินมาทางปีกซ้ายของพระตำหนักแล้วตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่มาอยู่
แต่พอรู้ว่าเป็นส่วนที่ประทับของเจ้าของพระตำหนักก็ไม่ได้มาอีก
วันนี้เมื่อมาอีกครั้งก็รู้สึกเหมือนเพิ่งมาเป็นครั้งแรก
เจ้าชายภีมเสนประทับอยู่ในห้องทรงงาน
มหาดเล็กเข้าไปกราบทูลเพียงครู่เดียวก็ออกมาทูลเชิญให้พระชายาเสด็จเข้าไปได้
เมื่อเข้าไปในห้อง กลิ่นแรกที่เตะจมูกคือกลิ่นยา
“ดีจริงที่วันนี้มาหาถึงนี่”
ทั้งที่คิดมาสารพัดว่าถ้าถูกถามว่ามาทำไมจะตอบว่าอะไรดี
เจอรับสั่งอย่างนี้เป็นประโยคแรกก็รู้สึกว่าเขากลัวไปเองไม่เข้าเรื่อง
“กินกลางวันมาหรือยัง”
“ยังพระเจ้าค่ะ”
“กินด้วยกันไหม ฉันจะได้สั่งให้ตั้งโต๊ะ”
คนถูกถามลังเล นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่
“หม่อมฉัน... จะมาทูลขอประทานพระอนุญาตออกไปข้างนอกพระเจ้าค่ะ” กราบทูลไปแล้วก็ได้แต่กลั้นใจรอคำตอบ
“ไปไหน”
ดีที่พระสุรเสียงถึงจะเรียบแต่ก็เป็นปกติ ไม่ได้แสดงว่าไม่พอพระทัย
“ไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษพระเจ้าค่ะ แค่...” จะทูลยังไงดี
“แค่อยากออกไปข้างนอกบ้าง”
“พระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายต่างแคว้นยืนลุ้นอยู่ไม่นานก็ได้รับประทานพระอนุญาต
“ไปสิ ให้องครักษ์ตามไปเป็นเพื่อนสักสี่ห้าคน”
ศวัสชะงัก รู้ว่าฐานะที่แท้จริงไม่ใช่ ‘เพื่อน’ แต่เป็น ‘ผู้คุม’ ต่างหาก จะยังไงก็ช่าง ขอแค่เขาได้ออกไปก็พอ
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันทูล...”
คนจะทูลลาชะงักเมื่อองค์รัชทายาททรงพระกรรสะแห้งๆ ออกมาหลายครั้งติดกัน
“ฝ่าบาท ประชวรหรือพระเจ้าค่ะ”
“ไม่สบายนิดหน่อย”
“... น่าจะตามหมอหลวง...”
“ฉันกินยาแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย จะไปเที่ยวก็ไปเถอะ”
แม้จะยังติดใจอยู่ แต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงจะไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ เจ้าชายต่างแคว้นจึงทูลลากลับไป
ขณะที่เดินห่างออกมาเรื่อยๆ หูยังได้ยินเสียงกรรสะดังแว่วมาอีกหลายครั้ง
นาราและพิรุณตามมาดูแล ‘พระชายา’ ทั้งคู่ ส่วนองครักษ์ติดตามนั้น
เอาเข้าจริงศวัสก็มองไม่เห็นแม้แต่คนเดียว แต่นาราบอกว่า
“องค์รัชทายาทคงจะโปรดให้ตามมาแบบไม่ให้เห็นตัวเพคะ พระชายาจะได้สบายพระทัย”
คนที่อยู่เหนือคนอื่นนับแสนนับล้านแบบนั้น จะใส่ใจความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ของเชลยขนาดนี้เลยหรือ
“พระชายา พระชายา เอ่อ... คุณชาย... ขนมนั่นอร่อยมากเลยนะคะ ลองชิมสักหน่อยไหมคะ
หม่อมฉัน เอ่อ... บ่าวก็จะขอซื้อด้วยสักชิ้น”
“เอาสิ”
นาราอยู่ที่ไหน ศวัสก็รู้สึกว่าเขาจะอารมณ์แจ่มใสเบิกบานได้เสมอ
แม้แต่ตอนเป็นเจ้าชายของอันธกาล เขาก็ยังไม่เคยรู้สึกมีความสุขอย่างนี้
ไม่เคยมีอิสระ ไม่เคยมีใครสนใจไยดี ใส่ใจความรู้สึกของเจ้าชายที่มีแม่เป็นหญิงบ้า
หญิงบ้าที่เจ้าหลวงจำใจต้องรับเป็นพระชายา เพียงเพราะนางช่วยชีวิตพระองค์ไว้
และเรียกร้องตำแหน่งพระชายาเป็นสิ่งตอบแทน
ตลาดกลางเมืองหลวงแห่งเรืองอรุณมีสิ่งน่าดูน่าชมมาก บรรยากาศก็คึกคัก
เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน เจ้าชายต่างแคว้นเดินดูอย่างเพลิดเพลิน
“คุณชายต้องการอะไรก็ซื้อได้เลยนะคะ เรามีเงิน เอ๊ย... นายท่านให้เงินมาเยอะแยะเลยล่ะค่ะ
ถ้าไม่พอก็ยังให้องครักษ์ เอ๊ย บ่าวรับใช้กลับไปขอมาเพิ่มได้เลย
นายท่านยินดีจ่ายไม่อั้น ขอแค่คุณชายต้องการเท่านั้น”
บางครั้งศวัสก็นึกหมั่นไส้นางพระกำนัลที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวคนนี้อยู่บ้าง
เฉพาะตอนที่นางพูดจาสนับสนุน เทิดทูนความดีงามของนายเหนือหัวให้เขาฟังเสียจนเลิศลอย
“ถ้าฉันอยากจะซื้อทั้งตลาด ก็ซื้อได้ใช่ไหม”
“เอ่อ... เรื่องนั้น... เดี๋ยวหม่อม... เอ่อ... เดี๋ยวบ่าวขอกลับไปทูล... ไปถามนายท่านก่อนนะคะ”
เห็นนางทำท่าทางเลิกลั่ก มองไปรอบๆ ราวกับจะประเมินราคาของสิ่งของทั้งตลาดแล้ว
เจ้าชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่
“ฉันล้อเล่น”
“โธ่ คุณชายล่ะก็”
เจ้าชายรองแห่งอันธกาลล้อเล่นเป็นแล้ว แต่เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรืองอรุณท่าทางจะไม่รู้จักคำนี้
เพราะวันรุ่งขึ้น นาราก็มาบอก ‘พระชายา’ ของนางอย่างตื่นเต้นว่าให้ลงไปดูข้างล่าง ที่สนามหญ้าหน้าพระตำหนัก
“ตอนนี้เต็มไปด้วยของมากมายอย่างกับตลาดที่เราไปกันมาเมื่อวานเลยเพคะ”
ศวัสยืนตะลึงอยู่ตรงมุขหน้าของพระตำหนักนั่นเอง เพราะสิ่งที่นาราพูดนั้นไม่ผิดความจริงเลยแม้แต่น้อย
“องค์รัชทายาทโปรดให้ทหารไปกว้านซื้อมาทั้งตลาดจริงๆ เพคะ
ของอะไร ร้านไหน ที่มีวางขายอยู่เมื่อวาน ถูกซื้อมาหมดเลยเพคะ”
“เธอกราบทูล... ว่าฉันอยากจะได้หรือ ไม่ได้บอกหรือว่าฉันล้อเล่น”
“หม่อมฉันทูลแล้วนะเพคะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังโปรดให้ซื้อมาอีก”
“ไหนๆ ก็ประทานมาให้แล้ว ฝ่าบาทควรจะคิดหาวิธีจัดการก่อนนะเพคะ
แล้วก็คิดด้วยว่าคืนนี้จะขอบพระทัยพระองค์ยังไง ไม่เคยมีใครได้รับพระกรุณามากมายแบบนี้มาก่อน
นี่ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะเพคะ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทเป็นที่โปรดปรานมาก”
พิรุณพูด เจ้าชายแห่งอันธกาลรู้สึกเหมือนถูกตำหนิและประชดอยู่กลายๆ
เพียงแต่น้ำเสียงของนางพระกำนัลสาวนุ่มนวลมาก และสีหน้าก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่บางๆ
จึงชวนให้คิดว่าเขาอาจจะคิดไปเอง
วันนั้นทั้งวัน ศวัสก็ยังจัดการกับข้าวของต่างๆ ได้ไม่เรียบร้อย
ได้แต่สั่งให้องครักษ์ช่วยกันขนย้ายเข้ามาในพระตำหนักและจัดการกับบรรดาของที่จะเน่าเสียง่าย
อย่างผัก ผลไม้ เนื้อหมู เนื้อไก่ โดยให้นำไปไว้ที่ห้องเครื่อง
คืนนั้น ประโยคแรกที่พระชายาต่างแคว้นกราบทูลพระสวามีก็คือ
“ฝ่าบาททรงทำอย่างนี้เพราะอะไรพระเจ้าค่ะ”
เขาไม่เชื่อว่าเจ้าชายรัชทายาทอย่างพระองค์จะคิดไม่ได้
ว่าไม่ควรใช้จ่ายเงินทองมหาศาลเพื่อทำสิ่งไร้สาระเหมือนกับลูกเศรษฐีที่ไร้สติปัญญา
เอาแต่ผลาญเงินทองให้หมดไปโดยไร้ประโยชน์
“ทำอะไร”
“ก็ซื้อของมาทั้งตลาด”
“เธออยากได้ไม่ใช่หรือ”
“หม่อมฉันแค่ล้อเล่น”
“เธอบอกว่า ‘ถ้า’ ใช่ไหม ตอนนี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ว่า ‘ถ้า’ เธออยากได้อะไร ฉันก็จะให้”
คนรับสั่งไม่รับสั่งเปล่า แต่ยังขบกัดใบหูของอีกฝ่ายเล่น อ้อมกอดของพระองค์ไม่ได้รัดแน่นจนเกินไป
แต่คนถูกกอดไม่เคยดิ้นรนหลุดออกไปเองได้ หากว่าพระองค์ไม่ยินยอม
ก่อนที่เสื้อผ้าจะถูกถอดออกเป็นลำดับต่อไป ศวัสก็โพล่งออกไปอย่างเก็บกดมานาน
“สิ่งเดียวที่หม่อมฉันอยากได้คือขอให้ฝ่าบาททรงเลิกทำกับหม่อมฉันเหมือนหม่อมฉันเป็นผู้หญิงเสียทีพระเจ้าค่ะ
หม่อมฉันเป็นผู้ชาย เป็นพระชายาของฝ่าบาทไม่ได้ พระชายาของฝ่าบาทควรจะเป็นผู้หญิง”
ทั้งที่คิดว่าวันนี้ล่ะ จะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว
แต่เพียงแค่ถูกเจ้าของดวงพระเนตรสีเหล็กกล้าจับจ้องมองมานิ่งๆ ในระยะประชิด
เขาก็อ้าปากไม่ออกอีกต่อไป
“ฉันเคยบอกแล้ว ว่ายกเว้นเพียงเรื่องนี้ เป็นได้หรือไม่ได้ เธอก็เป็นมาแล้วแทบทุกคืน ถ้าจำไม่ได้ ฉันจะช่วยทบทวนให้”
“ไม่... ไม่เอาพระเจ้าค่ะ...”
ทั้งที่คิดว่าเคยชินแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้านทานไม่ได้อีกแล้ว
แต่ในที่สุดเจ้าชายเชลยก็ตระหนักในคืนนั้นเอง
ว่าความเสียวสะท้านไปทุกอณูเนื้อเป็นยังไง
ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นเมีย แต่รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง
เป็นของคนที่กำลังกกกอด กลืนกินเขาเข้าไปอย่างรุนแรง เร่าร้อน
โจนจ้วง ทะยานลึกเข้ามาในร่างกายของเขาซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
บดขยี้เขาจนหัวสั่นหัวคลอน
ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีจนแทบบ้า
เจ็บใจ
แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ขยับส่ายสะโพก
แอ่นกายเข้าหาราวกับจะวอนขอให้สอดใส่เข้ามาลึกๆ
ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องลงเอยด้วยการนอนหอบอยู่บนพระอุระของพระองค์แทบทุกคืน
ศวัสกำมือแน่นอย่างคับแค้นใจตัวเอง ตาแดงก่ำเพราะอยากจะร้องไห้เต็มทน
ยิ่งอีกฝ่ายทรงลูบหัวของเขาไปมาเบาๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งดวงตาและปลายจมูกร้อนขึ้นทุกที
“ทิ้งศักดิ์ศรีของเธอไปก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึง ชีวิตไม่ได้มีแค่เพียงวันนี้
อดทนนะ ศวัส คิดเอาไว้ว่า พอถึงวันพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันของเธอแล้ว
เธอจะไม่ต้องอดทนอีก”
“พรุ่งนี้... ฮึก... จะมีจริงหรือพระเจ้าค่ะ”
“มีสิ”
“ฮึก”
“นอนเสีย พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว”
พรุ่งนี้จะมาถึงเมื่อไหร่เขาไม่รู้ รู้แต่ว่าตื่นมาทีไรก็เป็นแค่ ‘วันนี้’ ทุกครั้งไป
พิรุณไม่ได้ทำอะไรเขามากไปกว่าช่วยขัดถูร่างกายของเขาให้
ฝ่ามืออ่อนนุ่มสมเป็นมือของผู้หญิงลูบไล้ไปตามร่างกายของเขาอย่างอ่อนโยน อ้อยอิ่ง และยั่วเย้าอยู่ในที
บ่อยครั้งที่เขายอมให้นางจูบปลอบประโลมใจ
จูบ เพื่อเรียกศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ชายที่เขาเหลืออยู่เพียงน้อยนิดกลับคืนมา
ตอนเช้ามีพิรุณ ส่วนตอนกลางวันก็มีนารา
เจ้าชายแห่งอันธกาลออกไปเที่ยวนอกวังเป็นประจำ และทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ กับ ‘พระสวามี’ แทบทุกค่ำคืน
ที่ว่า ‘เล็กๆ น้อยๆ’ ก็เพราะว่ามีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ชวนทะเลาะ
จะว่าเป็นการทะเลาะเพียงข้างเดียวก็ย่อมได้ เพราะอีกฝ่ายนอกจากไม่ทะเลาะด้วยแล้วยังทำให้เขาสงบปาก
ไม่มีแรงจะพูดอะไรอีกได้ในเวลาอันรวดเร็ว
กรีดร้องด้วยความรู้สึกสุขสมอย่างไม่อาจหักห้ามได้... จนกระทั่งเสียงแหบแห้ง
“วันนี้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง”
จะต้องถามทำไม ในเมื่อน่าจะทรงทราบจากนาราอยู่แล้ว
“หลายที่พระเจ้าค่ะ”
“ชอบที่ไหนเป็นพิเศษไหม”
“... ย่านหอบุปผาพระเจ้าค่ะ ได้ยินว่ามีผู้หญิงสวยๆ ให้เลือกมาก”
ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะต้องถูกทำรุนแรงหรือไม่ก็ต้องได้เห็นปฏิกิริยาบางอย่างที่แสดงว่าไม่พอพระทัย
แต่แม้กระทั่งน้ำหนักมือที่ลูบผมของเขาอยู่ก็ยังไม่เปลี่ยนไป
“ผู้หญิงในสถานที่อย่างนั้นไม่ควรเกี่ยวข้องด้วย เธออาจจะติดโรคร้าย
ถ้าต้องการก็บอกนารา อยากได้แบบไหนก็บอกได้ทุกอย่าง นางจะเป็นคนจัดหามาให้เธอเอง”
เจ้าชายต่างแคว้นถึงกับลุกพรวดขึ้นมานั่งมองพระพักตร์ของอีกฝ่ายในความมืด แต่ก็จนใจที่มองไม่เห็น
“ฝ่าบาททรงหมายความว่ายังไง” คิดว่าเขาพูดเล่น คิดว่าเขาไม่กล้าทำใช่ไหม
“แต่ผู้หญิงที่นาราจะจัดหามาให้ก็เหมาะกับความสัมพันธ์แค่ชั่วคราว
ถ้าเธอต้องการผู้หญิงดีๆ ที่จะมีความสัมพันธ์ยาวนานถึงขนาดแต่งงานด้วย ก็ควรจะเลือกผู้หญิงที่มีชาติตระกูลดี”
คนฟังโกรธเสียจนหอบหายใจแรง
“หม่อมฉันเป็นพระชายาของฝ่าบาท ยังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนได้อีกพระเจ้าค่ะ
ถึงอยากจะแต่ง แต่ผู้หญิงมีชาติตระกูลดีๆ ที่ไหนจะยอมแต่งด้วย”
เขาลืมไป ว่าทุกคำที่พูด ไม่มีคำไหนแสดงว่าคิดถึงความรู้สึกของคนฟังในฐานะที่เป็น ‘สามี’ เลยแม้แต่คำเดียว
“แต่งได้ ถ้าฉันอนุญาต แต่งแล้วก็ให้นางอยู่ที่นี่ เพียงแต่ตอนกลางคืน เธอจะต้องอยู่กับฉัน”
“จะบ้าหรือพระเจ้าค่ะ!”
ผู้ชายคนหนึ่งจะมีทั้งผัวทั้งเมียได้ยังไง มีสามีเป็นผู้ชาย มีภรรยาเป็นผู้หญิง แล้วอยู่ด้วยกันน่ะหรือ
วิปริตสิ้นดี!
“คิดไปก่อนก็ได้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ ถ้าอยากได้ผู้หญิงชั่วคราวก็บอกนารา
แต่ถ้าต้องการผู้หญิงดีก็บอกฉัน พรุ่งนี้ฉันจะไปงานเลี้ยงบ้านเสนาฯ ยุติธรรม
จะได้พาเธอไปด้วย คงจะมีผู้หญิงมาร่วมงานกันมาก”
อ้อ ถ้าเขาไม่ไป พระองค์ก็จะได้พบกับผู้หญิงพวกนั้นเพียงพระองค์เดียวใช่ไหม
ไม่รู้ว่าคิดเช่นนั้นออกมาได้ยังไง ไม่ได้พิจารณาว่ามันหมายความว่ายังไง เพียงเพราะโมโหจึงได้กราบทูลตกลง
“หม่อมฉันจะไปพระเจ้าค่ะ”
งานเลี้ยงวันเกิดเสนาบดีผู้เฒ่าแห่งเรืองอรุณไม่มีสิ่งใดน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย
เจ้าชายรองแห่งอันธกาลนึกเสียใจตั้งแต่เห็นสายตากระหายใคร่รู้จำนวนมากที่จ้องมองมาทางเขาแล้ว
เขาอยู่ในฐานะอะไร ใครในราชสำนักต่างก็รู้กันทั่ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่นาราแล้ว
แต่ทุกคนในงานที่มีโอกาสพูดคุยกับเขาต่างเรียกเขาว่า ‘พระชายา’
ประหลาดนักที่องค์รัชทายาทกลับเป็นคนรับสั่งบอกว่า
“เรียกเขาว่าองค์ชายก็พอ”
เขาจึงพอจะสบายใจขึ้นมาบ้าง
จะว่าไป... พิรุณก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียกเขาว่า ‘พระชายา’ เลย
จุดมุ่งหมายสำคัญที่มาในงานนี้คืออะไรเขายังไม่ลืม แต่ในอกกลับรู้สึกหน่วงๆ
อึดอัดใจเมื่อเจ้าชายภีมเสนทรงเป็นผู้แนะนำให้เขารู้จักกับธิดาคนหนึ่งของเจ้ากรมทหารราบ
รอยแย้มพระสรวลจางๆ ตรงมุมโอษฐ์ก่อนจะทรงผละไปทางอื่นนั้นราวกับจะบ่งบอกว่า
ผู้หญิงที่ทรงเลือกให้นี้เป็นผู้หญิงที่ ‘ดีพอ’ ที่เขาจะมีความสัมพันธ์ในระยะยาวด้วยได้
นางดีจริง ไม่มีทีท่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อยแม้รู้ว่าเขาอยู่ในเรืองอรุณในฐานะอะไร
แต่เขาเองกลับไม่มีสมาธิที่จะคุยกับนางมากเท่าที่ควร
สายตามัวแต่วนเวียนไปยังเจ้าของวรองค์สูงใหญ่ในฉลองพระองค์สีเทาเข้ม
ที่กำลังถูกแวดล้อมด้วยหญิงสาวมากหน้าหลายตา
มีผู้หญิง ‘ดีๆ’ ให้เลือกมากมายออกอย่างนี้แล้วยังจะมาบังคับให้เขานอนด้วยอีกทำไม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ศวัสกลัวมากที่สุดไม่ได้เกิดขึ้น
เจ้าชายรัชทายาทไม่ได้ทรงแตะเนื้อต้องตัวเขาเลย
ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของให้เขาต้องรู้สึกอับอายใครต่อใคร
เขาเองต่างหากที่นึกยังไงก็ไม่รู้
ถึงได้ผละจากธิดาคนงามของเจ้ากรมทหารราบ
เดินตรงไปหาคนในวงล้อมของสาวๆ แล้วกราบทูลหน้านิ่ง
“หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากจะกลับแล้วพระเจ้าค่ะ”
ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่พระองค์รับสั่งบอกเขาเอง
.
.
.
.
.
ว่าเขาจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ
tbc.
**************************************************
lizzii – พิรุณเป็นคนสำคัญค่ะ เพราะมีเธอ จึงมีเรื่องราวขึ้นมา ส่วนดราม่านี่ก็... อาจจะนิดหน่อยแหละค่ะ
เพราะว่าชุนค่อยไม่นิยมเท่าไหร่
iforgive - ขอบคุณค่ะที่ช่วยแนะนำเรื่องนี้ให้
คำถามประจำบทนี้คือ... คิดว่าภีมเสนไม่รู้ว่าพิรุณทำอะไรเหรอคะ หึหึ
IsDear – พิรุณมีแผนค่ะ คงเฉลยตอนจบ แต่ระหว่างทางน่าจะค่อยๆ เดาได้เรื่อยๆ
อ๊ายอาย – ชอบพิรุณ
นางก็มีเหตุผลที่ทำให้สามารถพูดได้อย่างมั่นใจอยู่ค่ะ เฉลยท้ายเรื่องเนาะ ส่วนศวัส ไม่ต้องห่วงค่ะ ภีมเสนเขาไม่ทำอะไรรุนแรงหรอกค่ะ (นอกจากเรื่องบนเตียง) เรื่องรามิเรสนั่นลุ้นไปก็เหนื่อยเปล่า กว่าจะลงเอยกันก็โน่นนนน (เมื่อไหร่?) ถึงรักกันแล้วก็คงไม่มีฉากอะไรด้วย เอาฉากมาลงเรื่องนี้แทน ^^
Sar2288 – That’s right! Exactly! Perfect! (มีคำอื่นอีกมั้ย) ศวัสนี่จะว่ากระอักกระอ่วนก็ใช่ แต่ยังไงดี พอถลำตัว ก็เหมือนจะถลาใจไปด้วย ไม่กล้าบอกภีมเสนหรอกค่ะ
Snowermyhae – เป็นชุน เจอแบบนี้ชุนก็กลัวนะ คุณอ๊ายอายก็ควรจะรู้สึกแบบเดียวกับคุณ Snowermyhae นะคะ ไม่ใช่ เอิ่ม... ชอบซะงั้น ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะรู้สึกกลัวคุณแทน 555
puengkiss – ไม่ได้จ่ายค่าเน็ตสองเดือน ถูกตัด เมื่อวานเลยไม่ได้ลงตามนัด วันนี้ไปจ่ายมาแล้ว ใช้ได้แล้วค่ะ ^^
poogan_zadd – เรื่องพิรุณ ก็ตามที่คุณ Sar2288 คิดเลยค่ะ ส่วนศวัสนี่เบญจเพสพอดี ชีวิตก็เรียบๆ มาตลอด เจอทั้งภีมเสนทั้งพิรุณรุกเอาๆ เลยสับสนไปหน่อย (และไปเรื่อยๆ) น่ะค่ะ