Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 20
เขาทอดสายตามองร่างกลมป้อมของฝาแฝดที่อยู่ในชุดเอี๊ยมลายลูกหมีเขม็ง อคินทร์มีท่าทางตื่นเต้นร่าเริงเมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยวสวนสนุกกับพี่ๆคนอื่น
“เดี๋ยวคินจะเอาโป่งมาฝาก เยอะๆเลย” แฝดพี่หันมาบอกเขา อ้ามือออกกว้าง “หนมด้วย”
“อัยย์อยากไป” เขาเงยหน้าขึ้นบอกพี่เลี้ยงที่กุมข้อมือของเขาเอาไว้แน่น “ขออัยย์ไปด้วย”
“คุณอัยย์อยู่บ้านกับพี่ออมดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่ออมพาไปเล่นในสวน ดีไหมคะ พาพี่ใบหม่อนไปวิ่งเล่นด้วยกันไง” พี่เลี้ยงย่อตัวลงพูดเสียงอ่อน อาคิราห์เบะปากออก ขอบตาร้อนผ่าว
“ทำไมคินไปได้แล้วอัยย์ไปไม่ได้” เขาตวาดเสียงแหลม “อัยย์อยากไปเที่ยว อยากไปด้วย อัยย์จะไปด้วย” เขากระทืบเท้าลงกับพื้นแรงๆหลายที ทำท่าจะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นประท้วง ทว่าเสียงดุๆของบิดาดังขึ้นข้างหลังเสียก่อน
“งอแงอะไรอาคิราห์ ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้ พื้นเปื้อน” พ่อของเขาเดินมาหยุดตรงกลางระหว่างเขากับแฝดพี่ อัยย์กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ทันทีที่สบตาคมดุคู่นั้นของพ่อ “เคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ออม...พาคุณอัยย์กลับเข้าไป”
พี่เลี้ยงรับคำ ออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงพาคุณหนูของเธอกลับเข้าไปในบ้าน
“อัยย์อยากไปด้วย อัยย์อยากไปเที่ยว อัยย์อยากไป” อาคิราห์กรีดเสียง พยายามดิ้นหนีมือพี่เลี้ยงที่ล็อคตัวของเขาเอาไว้แน่นหนา มองภาพบิดาจูงมือฝาแฝดคนพี่เดินไปขึ้นรถผ่านม่านน้ำตาพร่ามัว “ปล่อยอัยย์นะ อัยย์อยากไป พ่อไม่รักอัยย์ ไม่มีใครรักอัยย์ ฮือ”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นสะท้อนก้องดังเข้าหูจนอาคิราห์ตกใจตื่น คราบน้ำตาของค้างอยู่บนหมอนและหางตา ชายหนุ่มดึงตัวลุกขึ้นนั่งยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนผิวแก้ม
ห้องนอนมืดสนิทและเงียบเชียบ ไม่มีเสียงกรนเบาๆอย่างเคย อาคิราห์เอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียงให้สว่างขึ้น ไม่มีเงาของร่างสูงใหญ่
ใจหาบไปวูบหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงของตกในห้องน้ำ อัยย์เหลียวไปมองถึงได้เห็นแสงสว่างรางๆลอดออกมาจากช่องว่างใต้ประตูห้องน้ำ ตามด้วยเสียงเปิดฝักบัว นายพิษฌานคงตื่นมาอาบน้ำ...ตั้งแต่ตีสี่เนี่ยนะ เขาอุทานในใจหลังจากหันไปมองนาฬิกา
สักพักร่างสูงใหญ่ก็กลับออกมาจากห้องน้ำ พิชช์ฌานมองคนที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงแล้วเลิกคิ้ว
“ทำไมรีบตื่น ฉันทำเสียงดังเหรอ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า ย้อนถามกลับมา
“คุณนอนตรงไหนน่ะ”
“ก็เธอไม่ให้ฉันนอนบนเตียง ฉันก็เลยนอนโซฟานั่นแหละ” นักการเมืองหนุ่มตอบเสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วลงมือแต่งตัว “นอนไม่หลับ กินกาแฟไปเยอะเลยตาค้าง ขี้เกียจนอนต่อเลยลุกมาอาบน้ำ ถ้าเธอยังง่วงอยู่ก็นอนต่อไปก่อนเถอะ อีกสองชั่วโมงฉันจะปลุก”
อาคิราห์ถอนหายใจยาว ลุกขึ้นจากเตียง
“ไม่เป็นไร ผมนอนพอแล้ว”
“อย่าลืมจัดกระเป๋านะ เจ็ดโมงออกเดินทาง” พิชช์ฌานพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอน อาคิราห์มองตามหลังด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวบ้างแล้วก็มายืนปวดหัวกับบรรดาข้าวของที่กองอยู่บนเตียง
กระเป๋าเดินทางก็ใบนิดเดียว จะเอาใบใหญ่ไปก็คงจะดูเอิกเกริกเกินไปหน่อย ไปค้างแค่คืนเดียว แต่พอเอาใบเล็กไปก็ยัดเสื้อคลุมตัวโปรดกับผ้าห่มพวกนั้นลงไปไม่ได้
เจ้าโอเมก้ายืนคิดอย่างเคร่งเครียด ลองพับผ้าวางเรียงทีละชิ้นอย่างบรรจงแล้วก็ยังไม่สำเร็จ กระเป๋าอ้วนตุ๊จนปิดกระเป๋าไม่ได้ สุดท้ายเขาก็เลยจำต้องคัดของบางชิ้นออกไปอย่างจำใจ
กว่าจะเสร็จก็เกือบหกโมงเช้าพอดี นิ่มนวลขึ้นมาเคาะประตูเรียกเขาลงไปกินข้าว พิชช์ฌานนั่งประจำที่อยู่ก่อนแล้วในชุดพร้อมเดินทาง
“เก็บของเสร็จแล้วใช่ไหม เดี๋ยวให้เจนภพยกไปใส่รถ รีบกินเร็ว...จะได้ไปกัน” อีกฝ่ายเร่ง
ยังเหลือเวลาอีกตั้งมากแต่พิชช์ฌานกลับเร่งเขา คงอยากไปเจอใครบางคนที่นั่นเต็มที ...อาคิราห์คิดในใจขณะที่ตักอาหารเข้าปากเคี้ยวอย่างฝืดคอ ไม่รู้วันนี้ป้านิ่มฝีมือตกหรือเปล่าถึงไม่อร่อยถูกปากเหมือนเคย
คนที่นั่งหัวโต๊ะเองก็ตักข้าวต้มเข้าปากได้เพียงสองสามคำแล้วก็ต้องหันไปพึ่งกาแฟดำที่นิ่มนวลชงเอาไว้ให้อย่างรู้ใจขึ้นดื่มแทน ความจริงเมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอน โดนไล่มานอนโซฟาแข็งๆแทนเตียงใครมันจะไปนอนหลับลงได้ เห็นว่าดึกมากแล้วเลยขี้เกียจเถียงกับอีกฝ่าย ยอมให้ยึดเตียงเลยตามเลย อดทนนอนได้ไม่นานก็ทั้งปวดหัวทั้งคลื่นไส้จนต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตั้งแต่ก่อนไก่โห่
ตอนนี้อาการปวดหัวก็ยังคุกคามอยู่แม้จะนั่งรถออกจากบ้านมาแล้วก็ตาม พิชช์ฌานยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเองเบาๆ เริ่มเวียนหัวเพราะรถโคลงเคลงเลยหันออกไปมองวิวข้างนอกไกลๆเผื่อจะดีขึ้นบ้าง
อาคิราห์แอบมองคนนั่งข้างๆด้วยหางตา ผู้ชายคนนั้นนั่งเงียบกริบมาตลอดทางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แทบไม่ยอมหันมาสบตาเขาเลยสักครั้ง เป็นอาการที่แปลกไปจนเห็นได้ชัด แต่ก่อนถึงแม้จะไม่ได้คุยกันมากแต่เวลานั่งรถด้วยกันอีกฝ่ายก็ไม่เคยปล่อยให้รถเงียบขนาดนี้
มันจะต้องมีอะไรแน่ๆ
รถมาถึงที่สนามบิน เจนภพพาพวกเขาเดินมาอีกทางหนึ่งโดยแทบไม่ผ่านฝูงชน อาคิราห์เดินตามหลังร่างสูงใหญ่ไปเงียบๆ เขาเห็นผู้ชายอีกหลายคนเข้ามาทักทายพิชช์ฌานและพูดคุยกัน เจนภพพาเขาแยกออกมานั่งรอข้างนอกไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไร
เขาละสายตาจากพวกอัลฟ่าแล้วหันมานั่งมองเครื่องบินขึ้นลงอย่างตื่นเต้นแทน เป็นครั้งแรกที่จะได้นั่งเครื่องบินแม้จะเป็นระยะทางใกล้ๆภายในประเทศก็เถอะ อดนึกถึงเมื่อคราวก่อนที่มาสนามบินไม่ได้ ตอนนั้นเขามัวแต่เครียดว่าจะได้ไปหรือไม่มากกว่าจะเครียดเรื่องขึ้นเครื่องคนเดียวเสียอีก ความคิดเรื่องไปเที่ยวรอบโลกคนเดียวนั้นพอมาลองคิดดูอีกรอบแล้วก็ค่อนข้างจะบ้าบิ่นไม่น้อย
แต่ถามว่าอยากทำไหม คำตอบก็คือ...อยาก..อยู่นั่นเอง
“ได้เวลาแล้วครับคุณอัยย์ เชิญทางนี้” เจนภพเดินออกมาตามเขา อาคิราห์เดินตามพวกเขาไปเรื่อยๆจนมาถึงรถบัสคันใหญ่ที่มีเพียงแค่พวกเขาไม่กี่คน รถขับไปจอดเทียบใกล้ๆเครื่องบินลำหนึ่งที่เล็กกว่าเครื่องบินขนส่งพาณิชย์ทั่วไป
นายพิษฌานมีเครื่องบินของตัวเองจริงๆด้วยแฮะ...
“เธอขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป” พิษฌานบอกกับเขา อาคิราห์ไม่ได้ถามอะไร เขาเดินขึ้นบันไดตามหลังเจนภพขึ้นไปข้างในห้องโดยสารที่จัดเอาไว้หรูหราเกินคาด
“คุณอัยย์นั่งตรงนี้ได้เลยครับ” เจนภพผายมือไปที่เก้าอี้บุนวมอย่างดีตัวหนึ่งที่ตั้งข้างๆกับอีกตัวที่เดาว่าเป็นของพิษฌาน “อยากทานอะไรก็บอกได้เลยครับ”
“ผมยังอิ่มๆอยู่ ขอบคุณครับ” อาคิราห์ทิ้งตัวลงนั่ง “กระเป๋าเสื้อผ้าของผมอยู่ที่ไหนแล้ว”
“ผมให้คนโหลดขึ้นเครื่องมาแล้วครับไม่ต้องห่วง”
“ผมอยากจะขอผ้าพันคอเสียหน่อย” อัยย์พึมพำ “แต่ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”
“เอาผืนนี้ไปก่อนแล้วกันนะ” เสียงห้าวๆดังขึ้นตามด้วยร่างสูงใหญ่ที่พอเดินเข้ามาก็ทำให้รู้สึกว่าห้องโดยสารแคบไปในทันที พิชช์ฌานโปะผ้าพันคอไหมพรมลงบนศีรษะกลมๆของโอเมก้า “ยังไงผืนที่เธออยากได้ก็เป็นของฉันเหมือนกันนี่นะ”
“ของผม!”
“เดี๋ยวเถอะ โมเมว่าเป็นของตัวเองอีกแล้ว ของในกระเป๋าเธอน่ะมีแต่ชุดฉัน ฉันเห็นอยู่”
“คุณแอบดูกระเป๋าผมเหรอ” คนฟังตาโต อีกฝ่ายยักไหล่
“มันก็ต้องเช็คเพื่อความปลอดภัยอยู่แล้ว” นายพิษฌานตอบเนิบๆ “แต่ถ้าเธออยากได้ผ้าพันคอ ‘ของเธอ’ ล่ะก็ ฉันเอามาด้วย อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าฉัน”
อาคิราห์เม้มปาก หันหน้าหนีคนที่เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเขา ร่างสูงใหญ่ยกขาขึ้นไขว่ห้างรับแก้วเครื่องดื่มมาจากเจนภพ
“ชอบเครื่องบินของฉันไหม มันพาเธอบินไปซูริคได้นะ”
“แล้วเมื่อไหร่จะพาผมไปล่ะ”
“ฉันพาเธอไปแน่” พิษฌานพูดยกแก้วขึ้นดื่ม ใบหน้าคมเข้มกลับมีแววกังวลอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกัปตันบอกให้รัดเข็มขัด
อัยย์ใจเต้นตึกๆตอนที่เครื่องบินเริ่มออกตัว เจนภพถอยไปนั่งข้างหลังพร้อมกับผู้ติดตามอีกไม่กี่คน เสียงเครื่องยนต์ทำงานเต็มที่ก่อนที่เครื่องจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ภาพวิวตรงกระจกผ่านไปไวแทบมองไม่ทัน อาคิราห์มือเย็นเฉียบ รู้สึกหวิวๆตรงท้องน้อยตอนที่เครื่องลอยขึ้นจากพื้น
“อ้วก...โอย เจนภพ ถุง” เสียงใครอาเจียนดังอยู่ข้างๆ อาคิราห์หันขวับไปมองแล้วก็พบว่าคนที่นั่งไขว่ห้างวางมาดอยู่เมื่อครู่กำลังโก่งคออาเจียนใส่ถุงพลาสติกเต็มที่ ใบหน้าคมคร้ามซีดเผือดมีเหงื่อผุดขึ้นเต็ม
“คุณฌาน ไหวไหมครับ เป็นอะไรไหม” เจนภพถามอย่างตกใจ เก้กังๆไม่กล้ายกมือขึ้นลูบหลังเจ้านายได้แต่เงยหน้าขึ้นมองอาคิราห์
“ฉัน...ไม่เป็นไร...ไม่ทันตั้งตัวน่ะ” พิชช์ฌานพูดหอบๆ เงยหน้าขึ้นจากถุง เหลียวมาหน้าคนข้างๆที่ยกมือขึ้นแตะๆที่หลังเขาอยู่ “ปกติฉันไม่เป็นแบบนี้นะ” ชายหนุ่มรีบพูด รับแก้วน้ำจากเจนภพมาล้างปาก
“ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่ ใครๆก็เมาเครื่องกันได้” อาคิราห์พูดอย่างเป็นการเป็นงาน รู้สึกประทับใจตัวเองไม่น้อยที่ไม่อ้วกออกมาให้ขายหน้า “เรื่องปกติ” ยักไหล่แถมให้อีกหน่อย นานๆทีจะเห็นคนอย่างนายพิษฌานหน้าเขียว ปกติเห็นเก่งกล้าสามารถชอบโอ้อวดทุกเรื่อง “ผมเคยเห็นคนแก่เมารถเมาเรือบ่อยออก” ได้ทีต้องรีบข่ม โบราณบอกคนล้มให้รีบนั่งทับไปเลย
“อย่าให้ถึงตาเธอบ้างนะ เจ้าบู้บี้” ฝ่ายนั้นพูดอุบอิบในคอ รับยาดมมาจ่อจมูกอย่างหมดท่า พิชช์ฌานได้แต่นั่งหลับตาเงียบไปตลอดทาง
อาคิราห์นั่งมองก้อนเมฆข้างนอกไปเรื่อยๆ จินตนาการว่ามันเป็นรูปหน้าคนบ้าง รูปสัตว์ต่างๆบ้าง จนในที่สุดเครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงเพื่อจอดที่สนามบิน
พิชช์ฌานใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะลุกจากที่นั่งเดินออกมาได้ ว่าที่หุ้นส่วนคนใหม่ของพรรคอย่างคุณธีรดลมารอรับอยู่แล้วถึงสนามบิน พิชช์ฌานพยายามกล้ำกลืนอาการคลื่นเหียนลงไปให้ได้มากที่สุด แค่อ้วกต่อหน้าอาคิราห์และลูกน้องตัวเองก็ขายขี้หน้ามากพอแล้ว ขืนมาอาเจียนต่อหน้าว่าที่นายทุนพรรคอีกคงหมดกัน ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมา
“เดินทางเป็นอย่างไรบ้างครับ เรียบร้อยดีไหม ยินดีที่ได้พบครับคุณพิชช์ฌาน” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทเรียบกริบพูดทักทายนักการเมืองคนสำคัญและคู่สมรสของเขา “นี่คงเป็นคุณอาคิราห์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อธีรดลครับ”
“สวัสดีครับ” อาคิราห์ยิ้มรับบางๆ รู้สึกถูกชะตากับผู้ชายคนนี้ รอยยิ้มของเขาดูเป็นมิตรและจริงใจ
ธีรดลพาพวกเขาขึ้นรถและขับมายังรีสอร์ตขนาดใหญ่ติดริมทะเล ทำเอาคนอยากไปทะเลถึงกับตาลุกวาว สูดกลิ่นเค็มๆของทะเลเข้าปอด ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมปลิว มองลงไปที่ชายหาดเห็นต้นมะพร้าวเป็นทิวแถว
“ผมเตรียมที่พักเอาไว้ให้แล้ว เชิญครับ” ธีรดลพูดยิ้มๆ สังเกตเห็นแววพอใจจากนัยน์ตาของอาคิราห์ได้ “คุณพิชช์ฌานกับคุณอาคิราห์เดินทางมาเหนื่อยๆ เชิญพักผ่อนก่อน แล้วเราค่อยมารับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันพร้อมกับคุยกันไปด้วย ดีไหมครับ”
ตอนแรกพิชช์ฌานจะปฏิเสธ เขาใจร้อนเกินกว่าจะมานั่งกินลมชมวิวได้ อยากจะคุยตกลงกันให้เสร็จๆแล้วจะได้รีบกลับ ขี้เกียจค้างแล้ว แต่ว่าอาการของตัวเองยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลัวว่าไปตกลงธุรกิจตอนนี้จะพาลเสียเปรียบเอาได้ก็เลยยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย ไม่เกี่ยวกับแววตื่นเต้นในดวงตากลมโตของใครเลยด้วย
“เก็บอาการหน่อย นี่ฉันมาคุยธุรกิจนะ ไม่ได้มาพักผ่อน” พิชช์ฌานกระซิบบอกคนตัวเล็กข้างๆที่เหลือบมองซ้ายขวาไปมา
“ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนี่” อาคิราห์เถียง
“เหรอ...เห็นมองทะเลตาถลนเมื่อกี้”
“คุณไม่เห็นบอกผมก่อนเลยว่ามาทะเล” อาคิราห์พูด เงยหน้าขึ้นมองเขา “คราวที่แล้วผมยังไม่ได้ขึ้นเรือเลยนะ”
“กำลังท้องกำลังไส้อย่าคึกมากนักเลย” พิชช์ฌานกระซิบตอบเสียงเข้ม ขมวดคิ้วให้อีกทีหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มรับธีรดลตามเดิม
อาคิราห์จุ๊ปากอย่างหงุดหงิด อุตส่าห์ได้มาเที่ยวแล้วแท้ๆ ดันมาห้ามนู่นห้ามนี่อีก น่าเบื่อ...เห็นเราเป็นของเล่นแล้วยังจะมาวุ่นวายอีกเหรอ กลัวของเล่นเจ๊งงี้เหรอ
ห้องพักสวีทวิวดีที่สุดของรีสอร์ตทำให้อาคิราห์ตื่นตาตื่นใจกว่าเดิม ธีรดลบอกว่าตอนเช้าจะสามารถมองพระอาทิตย์ขึ้นผ่านหน้าต่างบานนี้ได้ด้วย เจ้าโอเมก้าเลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะรีบตื่นแต่ไก่โห่มารอดูภาพสวยสุดใจที่เจ้าของโรงแรมโฆษณาเอาไว้ให้ได้
นายพิชช์ฌานฝืนนั่งดูร่างโปร่งบางสาละวนเลือกของในกระเป๋ามากองบนเตียง พึมพำบ่นเขาอยู่คนเดียวว่าไม่บอกก่อนเลยไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมาด้วย ฟังเสียงงึมงำได้ไม่เท่าไหร่ก็ชักง่วง ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนหลับสนิทจนได้ยินเสียงกรนเบาๆออกมา ร่างสูงใหญ่นอนทับผ้าห่มผืนโปรดของอาคิราห์ที่หอบหิ้วมาเอาไว้ทั้งตัว
“ตัวก็หนักมาทับของเราอีก” อัยย์บ่น ใช้มือดันตัวอีกฝ่ายให้พลิกไปอีกทางแต่ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าพิชช์ฌานจะหลับลึกมากเสียจนไม่ขยับเขยื้อน สุดท้ายเขาก็เผลอหลับไปบ้างด้วยความเหนื่อยอ่อน
พิชช์ฌานสะดุ้งตื่นจากความฝันว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นจากภูเขาลงมาทับท้องเขาเอาไว้ ชายหนุ่มลืมตาโพลงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหนักอึ้งอยู่บนหน้าท้องจริงๆ พอผงกหัวขึ้นดูก็เจอเจ้าโอเมก้านอนคว่ำเอาหน้าเกยอยู่บนพุงของเขาหลับอย่างสบายใจ
“อาคิราห์ ตื่นก่อน ฉันต้องคุยงานต่อนะ” พิชช์ฌานใช้ปลายนิ้วจิ้มเข้าที่พวงแก้มนิ่มๆของคนหลับ เจ้าของแก้มส่งเสียงอืออาแล้วลืมตาขึ้น “เอาหัวของเธอออกไปจากท้องฉันได้แล้ว”
อัยย์กระพริบตางงๆ แล้วก็รีบดึงตัวลุกขึ้นนั่งโงนเงน คนเห็นจุ๊ปากดีดนิ้วใส่หน้าผากเนียนไปแรงๆทีนึงจนอาคิราห์สะดุ้ง
“เจ็บนะ”
“จะได้ตื่น”
“คุณมันชอบใช้กำลัง” คนพูดยกมือขึ้นคลำหน้าผากป้อย “คิดจะทำอะไรกับผมก็ได้งั้นเหรอ” พูดแล้วเสียงชักเครือ พิชช์ฌานถอนหายใจเฮือกหันกลับมามองหน้าเขาแล้วถามเสียงอ่อนลง
“อยากเล่นทะเลไม่ใช่เหรอ ถ้าอยาก...ก็รีบลงไปกินข้าวสิ”
คนฟังตื่นเต็มตา ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ รอยยิ้มจนตาหยีเหมือนเด็กๆนั้นทำเอาคนมองชะงักไปครู่ใหญ่ ประกายตาสดใสในดวงตากลมโตทำให้พิชช์ฌานพลอยรู้สึกสดชื่นตามไปด้วย
ร่างโปร่งบางก้าวออกจากลิฟต์นำหน้าเขาไปยังห้องอาหารพลางมองหาร้านขายชุดว่ายน้ำไปตลอดทาง ทีมของคุณธีรดลรอเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาพาไปที่ห้องอาหารของโรงแรมที่จัดโต๊ะเตรียมเอาไว้แล้ว
“คุณพิชช์ฌาน เชิญตามสบายเลยครับ หวังว่าอาหารมื้อนี้จะถูกปาก”
“ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้วครับ” พิชช์ฌานตอบเนิบๆ ดูเชิงอยู่ในที “โรงแรมของคุณสวยมาก วิวที่ห้องก็ดีมากเลย อาคิราห์ชอบใจใหญ่”
“วิวสวยมากครับ” อาคิราห์เสริมยิ้มๆ “แขกคงมาพักเต็มประจำ”
“ช่วงนี้ไฮซีซั่นก็จะแขกเยอะหน่อยครับ” ธีรดลพูด “ส่วนใหญ่แขกที่นี่จะเป็นชาวต่างชาติมากกว่า ...” ชายหนุ่มขยายความเรื่องรีสอร์ตของตัวเองให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ พิชช์ฌานนั่งฟังเงียบๆ จับตามองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
ธีรดลเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาดูแลกิจการแทนบิดาที่เสียชีวิตไปไม่นาน ทว่าความสามารถของชายหนุ่มก็น่าจับตามองไม่น้อย มากพอที่คนในพรรคของเขาจะเสนอชื่อมาว่าอยากได้มาร่วมทุน แต่จากประสบการณ์ของพิชช์ฌานแล้ว เขายังไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
“คุณอาคิราห์ชอบทานหอยนางรมไหมครับ ที่นี่เราขึ้นชื่อเรื่องหอยนางรมมาก...” ธีรดลตักอาหารใส่จานของอาคิราห์อย่างคล่องแคล่ว ปากก็พูดยิ้มแย้มอย่างคนอัธยาศัยดี แม้แต่เจ้าบู้บี้ที่วันๆชอบทำหน้าบูดใส่เขาก็ยังยิ้มตอบอีกฝ่ายได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“เรียกผมว่าอัยย์ก็ได้ครับ ผมชื่อเล่นว่าอัยย์”
“ได้ครับคุณอัยย์ งั้นคุณอัยย์เรียกผมว่าดลก็ได้นะ น่าจะง่ายกว่าธีรดล”
พิชช์ฌานกระแอม
“แล้วคู่หมั้นของคุณธีรดลไม่มาด้วยหรอครับ ผมเคยเห็นแวบๆในหน้าหนังสือพิมพ์” ชายหนุ่มพูดเรียบๆหน้าตาเฉย
“ผมเพิ่งถอนหมั้นครับ ...คุณพิชช์ฌานคงไม่ทราบ” ธีรดลตอบ
“อ้าว งั้นเหรอครับ” พิชช์ฌานรู้สึกไม่สบายใจกว่าเดิม ชายหนุ่มหันไปยกกาแฟขึ้นดื่มหลายอึก รสขมจัดช่วยให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย “อาคิราห์ เธออยากไปเล่นน้ำไม่ใช่เหรอ ให้เจนภพพาไปสิ”
“ผมยังไม่ได้กินของหวาน” อาคิราห์หันมาตอบห้วนๆ
“ผมอยากให้คุณอัยย์ลองขนมหวานที่นี่ก่อน รับรองว่าคุณจะต้องชอบ” ธีรดลพูดยิ้มๆ “คุณอัยย์อยากไปเล่นน้ำหรอครับ”
“ครับ แต่ผมยังไม่มีชุดว่ายน้ำเลย ...พอดีไม่ทราบว่าจะมาทะเล” ประโยคหลังเขาปรายตามองไปทางคนข้างๆที่ขยับตัว
“ฉันบอกแล้ว แต่เธอหลับก่อนเอง” พิชช์ฌานกระซิบมุมปาก “เดี๋ยวให้เจนภพไปหาชุดว่ายน้ำมาให้ก็ได้ ไม่ต้องรบกวนคุณธีรดลเขาหรอก วุ่นวาย”
“ไม่วุ่นวายเลยครับ เรื่องธรรมดามาก ไม่ใช่ทุกคนจะเตรียมชุดว่ายน้ำมานี่ครับ ที่ข้างๆโรงแรมของเรามีร้านค้าอยู่เยอะเลย คุณอัยย์ลองเดินเลือกซื้อดูก็ได้ครับ แบบสวยๆเพียบ หรือถ้ายังไม่เจอที่ถูกใจให้คนขับรถพาเข้าไปซื้อในเมืองก็ได้ครับ มีห้างสรรพสินค้า”
“ไม่ต้องวุ่นวายหรอกครับ ผมเกรงใจ” พิชช์ฌานรีบขัด
“ขอบคุณมากครับคุณดล เดี๋ยวผมจะลองเดินดูใกล้ๆแถวนี้ดูก่อนครับ” อาคิราห์ตอบยิ้มๆ
คนข้างตัวส่งเสียงหึในลำคออย่างหมั่นไส้ ไม่เคยเห็นเจ้าโอเมก้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่บ่อยขนาดนี้มาก่อน หรือว่านายธีรดลอะไรนี่จะถูกใจมากถึงได้ขยันส่งยิ้มให้เสียเหลือเกิน
“เธอผักติดฟัน” พิชช์ฌานเอียงตัวเข้าไปกระซิบข้างหู “เลิกยิ้มแยกเขี้ยวเสียทีเถอะ เขียวอื๋อเลยฉันอาย”
อาคิราห์หุบยิ้มทันควัน หันขวับมาถลึงตาใส่เขา
“แล้วทำไมไม่บอก คุณนี่มันแย่จริงๆ” พูดจบก็หันไปดื่มน้ำหลายอึกหวังจะให้อะไรก็ตามที่ติดฟันอยู่หลุดออกไป ใช่ลิ้นดุนๆดูก็ไม่เห็นจะเจอเลย แต่ว่านายพิษฌานเอาแต่บอกว่ายังเหลืออยู่ตลอดจนอัยย์ไม่กล้ายิ้มกว้างต่ออีก