ซ่อนรัก
บทที่ ๙
พฤทธิ์เหลือบตามองกระจกพลางขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ความรู้สึกบางอย่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความรู้สึกผิดที่เผลอพูดจาไม่ดีกับใครบางคนไป อันที่จริงก็สมควรอยู่หรอกที่เด็กคนนั้นจะโดนตำหนิเสียบาง แต่สำหรับพฤทธิ์แล้วเขารู้ดีนั่นไม่เป็นเพียงการตำหนิ แต่ยังเจือด้วยอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ
เขายังจำได้ดีตอนที่เด็กหนุ่มยืนเม้มปากน้ำตาคลอต่อหน้าเขา แม้อยากยกมือขึ้นแตะไหล่หลง แต่สุดท้ายพฤทธิ์ก็ทำได้เพียงยืนนิ่งๆ แล้วมองอีกฝ่ายเดินจากไปเงียบๆ เช่นกัน
หลังจากวันนั้นพฤทธิ์ก็จำไม่ได้แล้วว่าคิดถึงเด็กหนุ่มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
การตื่นตอนนอนในเช้าวันนี้ไม่เพียงไม่สดใส แต่พ่วงอารมณ์ขุ่นมัวราวกับตะกอนที่ถูกกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องของหลงอาจจะกระทบชีวิตของเขาเพียงส่วนหนึ่ง ทว่าเรื่องการหมั้นที่เพ็ญแขพูดถึงเมื่อหลายวันก่อนกลับกระทบชีวิตของเขาเกือบครึ่งหนึ่ง
บ่อยครั้งที่พฤทธิ์อยากต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ตกคำรับเงียบๆ เหมือนสมัยเรียนไม่ผิดเพี้ยน
เขาเคยฝันว่าอยากเป็นศิลปินและวาดรูปเรื่อยๆ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น..เขาเป็นอาจารย์ที่ชีวิตวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ เพียงเพราะเพ็ญแขขอให้พฤทธิ์เรียนในสิ่งที่เหมาะสมกับความสามารถของตัวเอง
พฤทธิ์คิดว่าแม่อาจจะต้องการเห็นเขาได้ดิบได้ดีก็เท่านั้น แต่ความเป็นจริงความหวังของหล่อนไม่เพียงแค่เรื่องการเรียน แต่รวมเรื่องส่วนตัวที่พฤทธิ์เคยย้ำนักย้ำหนาว่าขอเพียงเรื่องเดียวที่ไม่ให้หล่อนจัดการ ทว่าคนเป็นแม่มีหรือจะยั้งใจได้ง่ายๆ
หล่อนไม่ใช่คนธรรมดาที่ยอมรับว่าลูกชายเพียงคนเดียวจะครองโสดจนกระทั่งอายุเกือบสามสิบ เขารู้ดีและพยายามต่อต้านอยู่หลายครั้ง ทว่ามันก็วนเข้าวงจรเดิมๆ พฤทธิ์ไม่อาจทำให้หล่อนเสียใจพอๆ กับที่หล่อนไม่อาจปล่อยให้เขาเป็นอิสระได้
หัวใจจึงมีหน้าที่เต้นเป็นจังหวะเพียงอย่างเดียว..
บ้านปูนสองชั้นขนาดกะทัดรัด มีบริเวณด้านหน้าเป็นสวนแบบอังกฤษจัดขึ้นใหม่เมื่อหลายเดือนก่อน ดอกไม้ขนาดจิ๋วสีขาวและม่วงแซมใบสีเขียวเป็นหย่อมๆ บานพร้อมพรั่งอย่างน่าเอ็นดู แต่คนมองกลับมองด้วยความเฉยชาผิดปกติ
“คุณพฤทธิ์มาแต่เช้า แม่ยังให้คนเตรียมอาหารไม่เสร็จเลยค่ะ”
พฤทธิ์ยกมือไหว้หล่อน “ตอนเช้ารถไม่ค่อยคิดครับ”
อันที่จริงแล้วเขาหลับตาไม่ลงตลอดทั้งคืน ส่วนหนึ่งเพราะใครบางคนอยู่ในความทรงจำที่ชวนให้เสียดใจอยู่ลึกๆ และบางส่วนก็มาจากเพ็ญแขที่ยืนยิ้มน้อยๆ ตรงหน้าเขา
หล่อนเบิกบานขนาดนี้มีหรือเขาจะอ้าปากพูดเรื่องไม่อยากแต่งงาน
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกันนะคะ”
“ผมมีประชุมวันนี้ คุณแขมีเรื่องอะไรเปล่าครับ”
เขากุมมือหล่อนแล้วพาเข้าไปนั่งในห้องรับแขก
“คุณพฤทธิ์ยังจำที่แม่พูดเรื่องงานหมั้นได้ไหมคะ”
“จำได้ครับ” พฤทธิ์ตอบรับเสียงเบาหวิว
“สมัยนี้เขาไม่นิยมหมั้นกันเท่าไหร่ แต่แม่อยากให้คุณพฤทธิ์จัดงานหมั้นเหมือนสมัยคุณยายค่ะ”
พฤทธิ์หลุบตามองพื้นพรมสีเข้ม เขาเคยคิดว่าการแต่งงานไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันย่อมมีทางจัดการแก้ไขได้ไม่ยาก แต่เมื่อเป็นงานหมั้นก็แปลได้ไม่ยากว่าเพ็ญแขต้องการสัญญาจากเขา
“เรื่องแต่งงานผมทำให้คุณแม่ได้ไม่มีปัญหา แต่งานหมั้นมันไม่จำเป็นหรอกครับ”
“คุณพฤทธิ์มีคนอื่นหรือคะ”
“ไม่มีครับ แต่ผมไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเสียเวลาเพราะเรื่องแค่นั้น”
เพ็ญแขมองเขาด้วยแววตาผิดหวังไม่น้อย
หากพูดถึงนิสัยของอาจารย์พฤทธิ์ หลายคนทราบดีว่าพฤทธิ์จริงจังกับการทำงานแค่ไหนและไม่เคยให้ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและคนอื่น หนำซ้ำเจ้าตัวยังไม่เคยอ่อนข้อให้ใครเพียงเพราะความสงสาร ทว่ามีไม่กี่เรื่องที่พฤทธิ์ยอมลงให้ง่ายๆ อย่างเรื่องเพ็ญแข
หล่อนเป็นคนเลี้ยงดูเขามาและเขาไม่กล้าจะทำให้หล่อนมองเขาด้วยความผิดหวังซ้ำสอง
หลายๆ ครั้งที่เขาอยากมีอิสระแบบเด็กคนอื่น ไม่ใช่กลับมาถึงจากโรงเรียนและเรียนพิเศษจากอาจารย์ที่คุณแม่จ้างมาจนดึกดื่นและกว่าจะได้ทำงานอดิเรกที่ชอบก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ยกพู่กันขีดเขียนแล้ว
อันที่จริงเขาเคยปฏิเสธคุณแม่ได้เพียงครั้งเดียวคือไม่ขอเรียนว่ายน้ำและไม่ขอเรียนดนตรีเพิ่ม แต่เรื่องนั้นก็เล็กน้อยหากเทียบกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหาคาราคาซังมาจนถึงทุกวันเพราะความสนุกของพฤทธิ์ แม้เขาจะเป็นคนจริงจังและไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียอย่างที่คนอื่นเข้าใจ แต่ลึกๆ แล้วมนุษย์ทุกคนย่อมมีจุดบอดในหัวใจในเรื่องที่แตกต่างกัน สำหรับเขาความสัมพันธ์หลายสิบปีระหว่างตัวเองและฉลองขวัญก็ไม่ต่างอะไรจากหยดหมึกสีดำที่กระจายวงกลางบนผ้าสีขาว
หากวันนั้นเขากับหล่อนไม่ตกลงกันว่าจะมีความสัมพันธ์แบบนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงไม่ถลำลึกและยังรักษามิตรภาพอันยาวนานไว้เช่นเดิม ทว่าเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำตามสัญญา..สิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงไม่มีค่าหากเทียบกับอิสระที่เคยเป็นของเขา
พฤทธิ์นั่งอยู่ภายในรถร่วมชั่วโมงหลังออกจากบ้านไม่ถึงยี่สิบนาที ดวงตาสีเข้มจดจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยความหงุดหงิดระคนอึดอัด
‘ฉลองขวัญ’ คงกลายเป็นชื่อต้องห้ามของเขาในไม่ช้า แต่พฤทธิ์หรือจะมีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต่อสายหาหล่อน
ปลายสายยังคงเงียบงัน ก่อนน้ำเสียงหวานจะดัง ‘พฤทธิ์หรือ’
“ใช่” เขาถอนหายใจระงับความโกรธที่เริ่มสุมอกอีกครั้ง อันที่จริงพฤทธิ์ควรโกรธตัวเองมากกว่าโกรธคนอื่น ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เริ่มความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดแบบนี้ “ว่างหรือเปล่า”
‘ว่างสิ’
“รบกวนออกมาซื้อแหวนหมั้นกับผมตอนนี้”
ฉลองขวัญเงียบ หากเขาเดาไม่ผิด หล่อนคงอยู่ในอาการตกใจและพยายามตั้งสติกับสิ่งที่ได้ยิน
“ผมต้องการคำตอบ”
‘ได้สิคะอาจารย์พฤทธิ์’ หล่อนตอบเสียงราบเรียบ แต่กระแสความยินดีกลับชัดเจนจนพฤทธิ์คาดไม่ถึง
พวกเขาเลือกแหวนหมั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ออกมานั่งในรถแล้ว
พฤทธิ์ยอมรับว่าคนข้างกายของเขาโดดเด่นและเหมาะสมกันอย่างที่หลายๆ คนว่า แต่สำหรับพฤทธิ์แล้ว แม้หล่อนจะเหมาะสมกับเขาอย่างไรก็เทียบไม่ได้กับอิสรภาพของเขา ส่วนหนึ่งเพราะรู้ดีว่าไม่อาจสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้และไม่อาจรักหล่อนในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งได้เช่นกัน
ตัวอย่างจากครอบครัวของพฤทธิ์ก็มีให้เห็น เพราะคุณแม่แต่งงานกับคุณพ่อด้วยความเหมาะสมทั้งฐานะทางสังคมและฐานะทางการเงินโดยไม่รู้ว่าเพียงสองสิ่งไม่อาจประคับประคองความรักไปตลอดรอดฝั่งได้
เขากับฉลองขวัญก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาและหล่อนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนรัก ทั้งที่ความจริงความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ก้าวกระโดดเกินเพื่อนที่รู้ใจคนหนึ่ง
“สวมมันเร็วๆ เข้าสิ” พฤทธิ์พูดขึ้นเมื่อหล่อนหยิบกล่องกำมะหยี่สีเข้มออกมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นี่เป็นวิธีขอหมั้นของคุณพฤทธิ์หรือคะ”
เสียงของหล่อนกระเซ้าเย้าแหย่จนพฤทธิ์อดกลั้นความโมโหไม่ได้ “ถ้าคุณไม่สวมก็แค่โทรศัพท์ไปบอกคุณแม่ของผมว่าคุณไม่ต้องการ แค่นั้นก็จบแล้วครับ”
“คุณพฤทธิ์ก็ทราบดีว่าเรื่องขวัญรู้สึกอย่างไรกับพฤทธิ์”
“รีบสวมแล้วโทรศัพท์ไปบอกแม่ของผมว่าเราหมั้นก็เรียบร้อย ก่อนที่ผมจะโยนแหวนพวกนี้ทิ้งข้างทาง” ฉลองขวัญหยิบแหวนวงน้อยขึ้นมาสวมด้วยตัวเอง ทั้งที่จริงหล่อนหวังว่าจะเป็นพฤทธิ์ที่จับมือหล่อนอย่างถนอมแล้วสวมแหวนอย่างคนรักกันพึงกระทำ
“เราเป็นคู่หมั้นกันแล้วนะคะ” หล่อนยิ้มน้อยๆ พลางมองแหวนที่นิ้วมือของตัวเองและอีกฝ่าย ทั้งที่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงความต้องการของคุณเพ็ญแขและหล่อนฝ่ายเดียว แต่หล่อนก็ไม่อาจปิดบังความดีใจไว้ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหัวใจของใครบางคนไม่เคยตกทอดมาถึงหล่อนแม้แต่ครั้งเดียว
“คุณแม่ ขวัญเองนะคะ” ฉลองขวัญเหลือบมองคู่หมั้นหมาดๆ หากพฤทธิ์หันมองสักนิดคงเห็นความร้าวรานของหล่อนไม่น้อย
‘ค่ะ’
“คุณพฤทธิ์หมั้นขวัญแล้วนะคะ”
‘แม่ดีใจจริงๆ ค่ะ ตอนแรกพฤทธิ์ทำเหมือนไม่อยากหมั้น แม่นึกกลัวว่าลูกชายแม่จะไม่หมั้นจริงๆ’
ฉลองขวัญรู้ดี แต่หล่อนแค่ทำเมินเท่านั้น
หล่อนวางสายโทรศัพท์ก่อนหันมาถามคนข้างๆ ที่กำพวงมาลัยจนแน่น “พอใจหรือยังคะ”
“คุณรู้ว่าแค่ปฏิเสธก็พอไม่ใช่หรือครับ ยังจะดันทุรังทำไมอีก” เขาเงียบ รอคำตอบจากคนข้างกาย แต่แล้วหล่อนก็เลือกเป็นฝ่ายเงียบเช่นกัน “ต่อไปนี้ไม่ต้องมาที่ห้องของผมอีกแล้ว”
ฉลองขวัญเบิกตากว้าง “ทำไมคะ เราแค่ก้าวข้ามสถานะอื่นเท่านั้นเอง”
“คุณรู้ดีว่าผมไม่ต้องการให้เราเป็นมากกว่าเพื่อน”
“พฤทธิ์ไม่เคยปฏิเสธขวัญ” ฉลองขวัญโต้ทันควัน
“ผมเคยยอมรับคุณในฐานะผู้หญิงของผมหรือครับ” เขารู้ว่าคำพูดของตัวเองไม่ต่างจากค้อนทุบใจหล่อนและรู้ดีว่าความผิดส่วนหนึ่งก็มาจากเขาเช่นกัน
“พฤทธิ์!”
“ผมขอโทษ แต่ลงไปได้แล้ว”
หล่อนเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมยังยึดติดกับพฤทธิ์ได้ขนาดนี้ ทั้งที่รูปลักษณ์และรูปทรัพย์ของหล่อนก็สามารถหาผู้ชายที่เพียบพร้อมกว่าพฤทธิ์ได้สบายๆ แต่กระนั้นหล่อนก็ไม่เคยคิดตัดใจสักครั้งเดียว
“ขวัญไม่เชื่อว่าพฤทธิ์จะไม่เคยรักขวัญ”
ดวงตาสีเข้มสะท้อนชัดความร้าวรานจนหลงต้องเบือนหน้าหนีตัวเองอีกครั้งเมื่อไพล่คิดไปถึงเหตุการณ์ที่สร้างความร้าวานในอกระหว่างเขากับอาจารย์พฤทธิ์
แม้รู้ดีว่าความรักเป็นสิ่งดีงาม แต่สำหรับหลงแล้วความรักของเขาเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างสิ้นเชิง หนึ่งคืออีกคนเป็นอาจารย์ สองคือพวกเขาต่างกันราวฟ้ากับเหว กระนั้นความรักที่เก็บไว้กับตัวยังไม่ทันได้เริ่มก็พังทลายลงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายใช่สมัครรักใคร่เหมือนอย่างเขา
หลงรู้ว่าต้องตัดใจ ต่อให้รู้สึกดีๆ อย่างไรก็ต้องทำ ทั้งเพื่อตัวเองและคนอื่น
ทว่าเวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบหนึ่งอาทิตย์ หลงก็ไม่อาจข่มตานอนอย่างสบายเมื่อความเจ็บเสียดยังคอยทิ่มแทงเขาอยู่เรื่อยๆ
เขารู้ว่าตัวเองผิดที่เผลอไผลไปกับความอ่อนโยนที่ได้รับจากคนแปลกหน้า จนสุดท้ายก็กลายเป็นถลำลึกยากจะถอนตัวขึ้นมาจากวงวนนี้
ปลายนิ้วดึงผ้านวมขึ้นคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า หลงรู้ว่าเขาพยายามแสร้งทำตัวเหมือนเดิม แต่ในใจกลับผุกร่อนเหมือนมอดกินไม้
หยาดน้ำที่ตาพยายามกลั้นเริ่มไหลออกอีกครั้ง แม้พยายามกดเก็บไว้ แต่สุดท้ายเสียงสะอื้นก็ยืนยันได้ว่าหลงไม่เคยอาจทำใจได้สักที
“หลง” เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นข้างกาย “ร้องไห้ทำไม”
เด็กหนุ่มกำผ้านวมแน่น ไม่ยอมคลายให้คนบุกรุกได้เปิดออก “คุณพ่อกับพี่เห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ถึงได้แอบเข้ามาตอนนี้”
กรณ์ไม่ฝืนใจน้อง เพราะรู้ดีว่าหลงสร้างกำแพงกีดกั้นคนอื่นมากแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกครอบครัว ทั้งที่เขาและคุณพ่อต่างให้ความรักกับหลงราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ
เขาอยากมีน้องชายและหลงก็เป็นน้องของเขา ส่วนคุณพ่อก็อยากได้ลูกชายอีกคน มีหรือที่จะปล่อยให้เด็กคนหนึ่งเก็บงำความเครียดไว้กับตัวเองราวกับไม่หลงเหลือใครให้พึ่งพิง
“คุณพ่อรออยู่ที่ห้อง อยากคุยกับคุณพ่อหรือเปล่า”
หลงเม้มปากก่อนคลายแรงจากผ้าห่ม ให้กรณ์ค่อยๆ ดึงออก
ทันทีที่กรณ์เห็นน้องก็อดสงสารไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำ แล้วไหนจะน้ำตาที่ไหลเปรอะหน้าอีก คนเป็นพี่เห็นแล้วสะท้านใจอดไม่ได้จะดึงน้องมากอดแน่นๆ สักที “โธ่หลง! ทำไมเป็นแบบนี้”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเมื่ออ้อมกอดของกรณ์รัดแน่น
หลงเคยคิดว่าต่อให้เขาเสียใจหรือมีเรื่องทุกข์ใจมากแค่ไหน ก็ไม่ต่างอะไรจากคนนอกที่ไร้คนสนใจ
“คุณพ่อรออยู่” กรณ์ประคองน้อง แล้วพาเดินไปยังห้องทำงานที่อยู่อีกฟากหนึ่ง
กรณ์พาน้องมายังห้องทำงานของวุฒิ ระหว่างเดินมานั้นเขาอดจะลูบหัวน้องไม่ได้ ใครที่ทำให้หลงร้องไห้ได้ขนาดนี้เขาเองก็ไม่อยากปล่อยไว้ให้กลายเป็นหนามยอกใจน้องเช่นกัน
“คุณพ่อครับ หลงมาแล้ว”
หลงเกร็งตัว ในใจสับสนวุ่นวายเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้คนในบ้านเป็นห่วง
“มานั่งข้างๆ สิ”
เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินไปนั่งข้างกายคุณวุฒิ ทว่าเว้นระยะห่างไว้เสียจนเป็นฝ่ายวุฒิเองขยับเข้าไปใกล้ “กรณ์บอกว่าหลงร้องไห้ บอกพ่อสิว่ามีเรื่องอะไร”
เขาเม้มปากแน่น เมื่อได้ยินอีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพ่อ แม้ครอบครัวของหลงจะมีพ่อและแม่พร้อมหน้า แต่ความรู้สึกรักก็น้อยเสียจนแทบจำไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีพ่อเหมือนกัน ทว่ามีอย่างเดียวที่ยังอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำคือรอยยิ้มอ่อนโยนที่พ่อยิ้มให้เขาเมื่อครั้งแรกที่เข้าโรงเรียนอนุบาล
น้ำตาหยดหนึ่งค่อยๆ ไหลก่อนเจ้าตัวจะกลั้นสะอื้นเสียตัวโยน
“ไม่มีเรื่องอะไรน่าเสียใจเท่ากับลูกชายไม่เปิดใจให้พ่ออีกแล้ว”
“ผม..” หลงเม้มปาก แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ทำให้เขามีสภาพแบบนี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เขาผิดที่เผลอรักคนที่ไม่สมควรรักทั้งรูปลักษณ์และรูปทรัพย์
คนไม่ประมาณตัวเองย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดา
วุฒิเห็นลูกชายคนเล็กอ้ำๆ อึ้งๆ จึงไม่อยากกดดันให้เด็กหนุ่มเผยเรื่องในใจออกมา
“หลง” วุฒิดึงเด็กหนุ่มมากอดแนบอก “ไม่ว่าจะมีอะไร อยากให้รู้ไว้ว่าพ่อกับพี่จะอยู่กับหลง”