เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 123242 ครั้ง)

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ


5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของก
ฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said.



เรื่องราวของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งที่กำลังจะกระโดดสะพาน แต่ดันมีคุณลุงขี่สกู๊ปปี้ไอสีฟ้าเข้ามาขัดขวาง และหลังจากนั้นแผนการฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลย

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่สมมติขึ้น บุคคล บทสนทนา การแสดงออกทางอารมณ์และคำปรึกษาต่างๆในเรื่องไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับผู้ป่วยทุกคน นักอ่านท่านใดที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นคงเหมือนเดิม รบกวนปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ 


Story by : Ms.Ambiguous

สวัสดีค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้องก้องไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ♡´・ᴗ・`♡
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2020 21:48:58 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
00


มีคนบอกว่าความตายน่ากลัว แต่ผมว่ามันไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการมองไม่เห็นวันพรุ่งนี้ต่างหาก


ปฎิทินได้ฟรีจากธนาคารบอกว่าวันนี้คือวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันที่ผมรู้สึกว่าความอดทนทุกอย่างหมดลงแล้ว และความตายน่าจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่ทำให้มองเห็นอะไรๆชัดขึ้น ดังนั้นผมจึงตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแปรงฟันและโกนหนวดจนสะอาดสะอ้าน เลือกสวมเสื้อยืดตัวเก่งที่แม่ซื้อให้กับกางเกงยีนลดราคาจากโลตัส

 
ผมมองกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายซูบผอมเหมือนเด็กส่งยาไม่ทำให้รู้สึกเกลียดตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่ที่นี่เพราะคืนนี้ผมจะออกเดินทางไกล เป็นการเดินทางที่ไม่รู้จุดหมาย แต่ผมมั่นใจว่ามันจะช่วยให้หลุดพ้นจากความหนักอึ้งที่ทับถมมาตลอดชีวิตได้แน่นอน
 

วันนี้ผมจะตาย

ผมจะฆ่าตัวตาย

 
หลังจากคิดหาวิธีที่รบกวนคนอื่นน้อยที่สุด ผมตัดสินใจเลือกการกระโดดสะพานเป็นทางออกสุดท้าย ผิวน้ำเรียบๆจะไม่ต่างอะไรพื้นคอนกรีตเมื่อกระโดดลงมาด้วยความสูงที่มากพอ ผมคงตายสนิทและไม่เป็นภาระให้มูลนิธิต้องทำความสะอาดด้วย อีกอย่างถ้าผมตายเงียบๆโดยไม่มีใครเห็น บางทีร่างที่ไร้ประโยชน์นี้อาจเป็นอาหารให้ปลากินจุอย่างพวกปิรันยาก็ได้


แต่ผมลืมไป

แม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีปิรันยานี่หว่า

 
ผมหัวเราะให้กับความไร้สาระของตัวเองระหว่างผูกเชือกรองเท้าพลางคิดว่าเดือนสิงหาปีนี้ร้อนผิดปกติ มันก็ร้อนขึ้นทุกปีเหมือนความทุกข์ แต่พ้นวันนี้ไปผมจะไม่เศร้าแล้ว ผมกำลังจะเดินทางไกล ถ้าไม่ผิดจากที่เตรียมเอาไว้ อีกสิบหกชั่วโมงผมจะจากโลกนี้ไปเพียงลำพังเหมือนอย่างที่เกิดมา

 
ต้องล็อกประตูบ้านไหม?

ไม่ -- ไม่จำเป็น

อย่างน้อยถ้าตำรวจพบศพเมื่อไหร่ พวกเขาจะได้เข้ามาคุ้ยหาเศษซากความขี้แพ้ของผมได้สะดวก


ผมปิดประตูบ้านแต่ไม่ได้ลงกลอน เดินออกจากที่ซุกหัวนอนโดยไม่ใส่ใจแม่กุญแจขึ้นสนิมที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงรั้วเหล็ก ผมหันหลังมองบ้าน มองปฏิทินซีดจางที่แขวนอยู่ตรงเสาก่อนจะตัดใจเดินด้วยความมุ่งมั่น ทิ้งซากไม้สองชั้นที่มีแต่ความทรงจำไว้เบื้องหลัง ไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์มันอีกต่อไป

 
“แต่งตัวเสียหล่อ จะไปไหนวะไอ้ก้อง?”

ลุงชัย วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยถามเมื่อเห็นผมเดินผ่าน

“เดินห้างครับ”

“ตอนแปดโมงเนี่ยนะ?”

“ครับ”

 ผมยกมือไหว้ บอกลาลุงชัยด้วยความว่างเปล่าและไม่ทิ้งคำสั่งเสียให้มีพิรุธแม้เราจะรู้จักกันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กกะโปกแก้ผ้าวิ่งในซอยก็เถอะ ผมทำแค่อวยพรขอให้ลุงโชคดี มีลูกค้าเยอะๆ ถูกหวยเร็วๆจะได้เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้เสียที

 “รีบไปรีบมา แล้วอย่าแอบใช้แกร๊บไบค์ล่ะ”

“ครับ”

 ผมหันหลังให้กับซอยที่อาศัยอยู่มาสิบกว่าปี เดินตรงดิ่งไปป้ายรถเมล์มุ่งหน้าสู่ชานชาลาสุดท้ายของชีวิต หมู่บ้านที่จากมาพยายามยุดยื้อด้วยความทรงจำเก่าๆแต่ไร้ประโยชน์ ผมตั้งใจจะไปแล้ว ไม่มีอะไรหยุดผมได้หรอก

 เพราะฉะนั้น -- ผมควรจะเอ่ยคำลาซักหน่อย

ลาก่อนครับป้าเพ็ญ เลิกขี้เหนียวแล้วหัดทำบุญทำทานบ้าง

ลาก่อนครับลุงชื่น ขอบคุณที่ทอดไก่ให้ผมกินเสมอ

ลาก่อนครับพี่ลี ขอให้กิจการเบเกอรี่ขายดิบขายดียิ่งกว่าเทข้าวให้หมากินนะครับ

ลาก่อนข้าวฟ่าง โตมาอย่าแรดเหมือนแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือหนังหาจะได้ไม่เป็นแบบพี่

ที่สำคัญเลย --

ลาก่อนไอ้แดง ไอ้หมาเวรที่ชอบหอนตอนตีสองแบบไม่มีเหตุผล ไอ้เนรคุณ ขนาดผมจะตายวันนี้ มันยังไม่มีกะจิตกะใจเดินมาส่งนอกจากนอนอืดใต้ท้องรถลุงชื่นอย่างสบายอารมณ์ แต่ช่างเถอะ อย่าเสียเวลาคิดถึงเลย ผมต้องออกเดินทางแล้ว

ลาก่อนทุกคน
ลาก่อนครับ
ผมไปแล้วนะ

ถ้าชาติหน้ามีจริง -- เราอย่าเจอกันอีกเลยครับ ผมอยากเกิดเป็นคนรวย

 


 

แผนของผมคือเที่ยวไปเรื่อย ใช้เงินก้อนสุดท้ายให้หมด แล้วปิดทริปด้วยการมุ่งหน้าไปสะพาน วันนี้ผมมีเวลาทั้งวันเพื่อบอกลากรุงเทพที่อยู่มาเกือบตลอดชีวิต ผมควรรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่เปล่าเลย ทุกอย่างราบนิ่งราวกับความมุ่งมั่นตั้งใจจะตายมีมากจนไม่เหลือที่ว่างให้ความสุขเข้ามามีส่วนร่วม

เดี๋ยวก็ตายแล้วนี่
จะวอกแวกทำไม อยู่ต่อไปอีกหนึ่งวันก็ต้องทรมาณเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง

ผมนั่งรถเมล์ไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย ถึงตอนเที่ยงก็แวะห้างกินข้าวซักหน่อย วันนี้คือวันเปิดเทอมของมหาลัย มีนิสิตใส่เครื่องแบบมาเดินห้างบ้างประปราย ความผิดหวังที่เคยฝังกลบถูกขุดขึ้นมาจนอยากร้องไห้ ผมหยิบโค้กขึ้นมาดูดจนหมดแก้ว ทิ้งจานข้าวขาหมูไว้บนโต๊ะ แล้วเดินจากไปโดยวางเงินเอาไว้ยี่สิบบาทเป็นทิปให้ป้าพนักงานเก็บจาน

 

 
สิบห้าชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็พาตัวเองมาถึงชานชาลาสุดท้ายในสภาพชุ่มเหงื่อ ห้าทุ่มกว่าแล้วแต่บนสะพานไม่ได้เงียบเลย รถยนต์ยังคงวิ่งสวนกันตลอดทั้งสองเลน มีผู้คนเดินออกกำลังกายอยู่ริมขอบสะพาน มีคู่รักหนุ่มสาวยืนกอดคอกันถ่ายรูปกะหนุงกะหนิง สั้นๆคือมันไม่ได้ร้างคนแบบที่คิด และนั่นหมายความว่าผมจะยังฆ่าตัวตายตอนนี้ไม่ได้ เพราะพวกเขาจะเข้ามาห้ามและกระชากผมลงจากราวสะพานแน่ๆ

มองไปมองมาสะพานนี่ก็สวยแบบพิลึก เส้นสลิงที่ยึดสะพานดูเหมือนกู่เจิง เครื่องดนตรีจีนที่เคยเห็นในทีวี ผมมองท้องฟ้า มองแม่น้ำที่จะโอบกอดร่างขี้แพ้เบื้องล่าง มองรถที่วิ่งสวนไปมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ผมอยากบอกตัวให้คิดดูอีกทีแต่ก็มั่นใจแล้วว่าวันนี้ต้องตายให้ได้ ผมทรมานมานานเกินไปแล้ว วันนี้ทุกอย่างต้องจบ ผมจะถ่วงความเศร้าและความผิดหวังลงในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้มันจบไปพร้อมกันแบบเด็ดขาด เราจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที

ผมรออีกครู่ใหญ่ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนห้านาที

เอาล่ะ -- ไม่ค่อยมีคนแล้ว

ผมจับราวสะพานก่อนจะก้มมองข้างล่าง แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้า กลางคืนทุกอย่างกลายเป็นสีดำราวกับต้องการไว้อาลัยให้แก่การจากไปของเศษขยะในจักรวาลอย่างผม ขอบคุณนะ ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องมืดขนาดนี้ก็ได้ ทำใจกระโดดลำบากชะมัด

ผมกัดริมฝีปาก สูดเอาควันพิษบนถนนเข้าลึกๆจนเต็มปอดแล้วถอดรองเท้า กระเป๋าสตางค์ที่มีบัตรประชาชนและข้อมูลระบุตัวตนว่าผมคือใครถูกวางไว้ข้างกัน อย่างน้อยตอนเช้าจะต้องมีคนเห็นรองเท้ากับกระเป๋า แล้วพวกเขาจะรู้ว่ามีเด็กหนุ่มขี้แพ้คนหนึ่งกระโดดลงไป เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดที่มีแค่บัตรนักเรียนแต่ไม่มีบัตรนักศึกษา ดังนั้นวุฒิการศึกษาสุดท้ายในชีวิตเฮงซวยของเขาคือระดับมัธยมปลาย ไปไม่ถึงปริญญาตรี

หลังจากนั้นจะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับชีวิตของผม บางทีพี่น้องไบรท์อาจจะอ่านมันด้วยน้ำเสียงเศร้าๆเพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ทีนี้เพื่อนบ้านก็จะรู้ว่าผมตายแล้ว พวกเขาจะบุกเข้ามาในบ้าน รื้อเอาเสื้อผ้าเตรียมแต่งตัวใหม่ให้ผมที่หลับพักผ่อนในโลงไม้อัด ลุงชัยต้องร้องไห้แน่ๆ แต่ไอ้แดงจะไม่รับรู้อะไร มันจะวิ่งเตาะแตะอย่างร่าเริงไปที่วัดเพื่อกินข้าวในงานศพของผมโดยไม่แม้แต่ชายตามองรูปหน้าศพด้วยซ้ำ

ไอ้หมาเวร
ขอด่ามันอีกครั้งก่อนตายเถอะ

 ผมวางจดหมายลาตายเอาไว้ใต้รองเท้า เนื้อหาในนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากแจ้งความประสงค์ครั้งสุดท้าย ของสะสมทุกชิ้นทั้งหนังสือเรียนและหนังสือการ์ตูนจะเป็นของข้าวฟ่าง เครื่องครัวปรุๆสภาพแย่เป็นของพี่ลี ตู้เย็นเป็นของลุงชัย แกจะได้มีน้ำเย็นๆตอนพักเที่ยง ลุงชื่นได้บ้านไป ลุงจะทำอะไรก็ได้ ตามใจ ผมไม่ถือ ส่วนป้าเพ็ญไม่ได้อะไรเลย ไม่พูดถึงในจดหมายแต่ละเอาไว้เป็นเชิงรู้กัน ผมลงท้ายว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ผมเหนื่อยมามากแล้ว  ขอบคุณครับ ลาก่อนครับ ก้องเอง

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนแปดนาที

ผมปีนขึ้นไปนั่งบนสะพาน แต่ราวจับของมันแคบมากจนไม่สามารถนั่งได้เต็มก้น ผมก็เลยต้องนั่งคร่อมอย่างเก้ๆกังๆแล้วก็พลิกตัวไปประจัญหน้ากับความตายไม่ได้เพราะติดขา ผมตัวสูงเกินไป แขนขาก็ยาวเก้งก้างจนเป็นภาระแม้กระทั่งตอนจะฆ่าตัวตาย ดังนั้นผมจึงนั่งคร่อมราวจับอยู่แบบนั้นอีกสองสามนาที ถอนหายใจให้กับความผิดเพี้ยนไปหมดของชีวิตก่อนจะก้มมองข้างล่าง

สูงชิบหาย
แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลัวอะไร

สิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันคุ้มค่าแล้ว คิดเอาเองว่าคุ้มค่า จู่ๆวูบหนึ่งผมก็คิดถึงโลกหลังความตาย ถ้าผมกระโดดไปตอนนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าผมจะเจอใครไหม ผมจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน จะแหลกสลายไปตามกฎของธรรมชาติ หรือลืมตาอีกทีก็เจอยมบาลในนรก เวรเอ๊ย ไม่น่าคิดเลย พอคิดว่าต้องตกนรก เหงื่อก็ท่วมตัวเหมือนคนขี้ขลาดเสียอย่างนั้น

ในจังหวะที่กำลังทำสมาธิ เตรียมบอกลาโลกนี้เพื่อพักผ่อนตลอดไปในโลกหน้า ผมได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างหลัง ผมอยากหันไปมอง แต่เพราะท่านั่งคร่อมราวเหล็กนี่ทำให้องศาการเอี้ยวตัวไม่ง่ายเหมือนที่คิด ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นกึกกักเดินเข้ามาใกล้ ใครวะ ผมสงสัย ใครมันจะเข้ามาขัดขวางอีก

 “น้องทำกระเป๋าตังค์หล่น”

 เสียงของผู้ชายดังขึ้น ผมยังไม่เห็นหน้าเขา จนกระทั่งเขาเดินมาข้างๆแล้วส่งกระเป๋าสตางค์มาให้

 “ไม่ได้ทำหล่นครับ” ผมตอบส่งๆ นั่งตัวเกร็งบนราวเหล็กเพราะต้องเงยหน้าคุยกับคนเพี้ยนที่เดินมาชวนคุยไม่ดูเวล่ำเวลา

“จะฆ่าตัวตายเหรอ?”

“ครับ”

ผมพยักหน้า นั่งคร่อมราวสะพานขนาดนี้ ดูเหมือนคนตกปลามากมั้ง

“อายุเท่าไหร่ล่ะ?”

“สิบเจ็ดครับ”

“โห เพิ่งสิบเจ็ดเอง ทำไมรีบจังวะ”

ชายตรงหน้าบ่นก่อนจะปีนราวสะพานขึ้นมานั่งข้างๆ ผมร้อง “เฮ้ย!” ออกมาเมื่อเรานั่งประจันหน้ากัน เขาดูเหมือนพนักงานธนาคารที่แต่งตัวเนิร์ดๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูปกับเนกไทสีแดง มีบัตรพนักงานห้อยอยู่ที่คอแต่ไม่รู้ว่าบริษัทอะไร เขาเป็นผู้ชายสูงประมาณร้อยเก้าสิบเซน ถามว่ารู้ได้ไงเหรอ? เพราะเขาเพิ่งบ่นว่าตัวเองสูงเกินไป แขนขาก็เลยเกะกะจนนั่งไม่สะดวก

“พี่นั่งแบบนี้ทำไม? อยากตกลงไปเหรอ?”

“เอ้า แล้วเราไม่กลัวเหรอ?”

“ไม่ เพราะผมคิดดีแล้ว”

“ทำไม? มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เออ หนักชิบหาย

ผมอยากพูดแบบนั้นนะ แต่เพราะเราน่าจะอายุห่างกันหลายปีก็เลยพยายามคุยกับเขาด้วยภาษาสุภาพ ชายแปลกหน้านั่งแกว่งขาจนผมเสียวสันหลังกลัวเขาจะเป็นฝ่ายตกลงไปแทน เขาไม่ได้แนะนำตัวว่าชื่ออะไร มายุ่งอะไร แล้วปีนมานั่งตรงนี้ทำไม เขาเอาแต่ถามผมจนเหมือนรายการสัมภาษณ์ดาราที่ต้องคอยตอบเรื่องส่วนตัวเสียอย่างนั้น

“ชื่ออะไรน่ะเรา?”

“ก้องครับ”

“หวัดดีก้อง” เขายิ้มกว้างแล้วโบกมือ “ก้องว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาใช้ชีวิตคุ้มแล้วเหรอ?”

“คุ้มแล้วครับ”

“แน่ใจ๋?”

“ครับ”

จะเสือกอะไรนักหนาวะ

“ผมรู้ว่าพี่จะพูดอะไร แต่พี่อย่าห้ามเลย ผมเหนื่อย ผมอยากไปแล้ว”

“ไม่ได้ห้ามนี่ อยากโดดก็โดดเลย” เขายักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ผมจะโดดได้ยังไงในเมื่อเขานั่งคร่อมสะพานหันหน้ามาจ้องตาแบบนี้ “ถ้าคิดว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันส้นตีนนักก็เอาเลย”

“พี่หลบไปก่อนได้ไหมครับ ขอผมโดดน้ำก่อน ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับ ผมนอนไม่หลับมาเป็นเดือนแล้ว”

“เคยไปหาหมอยัง?”

“ไม่เคยครับ” ผมตอบ พูดอย่างกับทุกคนมีเงินนักแหละ

“เดี๋ยวพี่พาไป หมอมียานอนหลับ ดีกว่าโดดน้ำเป็นไหนๆ” เขาตบไหล่ผมเบาๆ ไอ้บ้าเอ๊ย แรงตบเกือบทำผมหล่นลงไปอยู่แล้ว “รู้จักสตาร์บัคส์ไหม?” เขายังชวนคุยในขณะที่ผมเหงื่อแตกพลั่ก อยากนั่งนิ่งๆไม่อยากขยับปากพูดเพราะกลัวหล่นลงไป

“รู้จักครับ กาแฟนางเงือก”

“ช่าย เคยกินไหม?”

“เคยกินแต่สตาร์บังครับ”

ผมตอบตามจริง เขาหัวเราะจนตาหยีเป็นเส้นตรงก่อนจะถามต่อว่าอร่อยไหม

“ก็กินได้ครับ หวานดี”

“เออ ช่วงนี้สตาร์บัคส์มีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งด้วย”

“ครับ”

“อยากกินหรือเปล่า?”

“ไม่มีเงินครับ” ผมตอบ ภาวนาให้เขาจบบทสนทนาเสียที แม่น้ำเจ้าพระยารอเก้อแล้ว

“กินไหม? เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตายไง” เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ไม่พยายามรั้งให้ผมลงจากสะพานด้วยคำพูดกลวงๆอย่าง ‘ชีวิตน้องมีค่า คนอื่นลำบากกว่าตั้งเยอะดูสิ’ เลยซักนิด

“แต่ผมกำลังจะฆ่าตัวตาย”

“ไม่ใช่วันนี้”

เขาบอกด้วยสีหน้าจริงจังที่ผมมีโอกาสได้เห็นไม่กี่วินาทีเพราะเขาเปลี่ยนมายิ้มเหมือนเดิม

“ไม่ใช่วันนี้ ไปเหอะ ไปกินสตาร์บัคส์กัน พี่เลี้ยงเอง”

เขาเสนอก่อนจะพยายามยกขากลับไปวางบนพื้น แต่พอเห็นผมลังเลไม่ยอมลงจากราว เขาก็ดื้อด้านนั่งต่อเหมือนเดิม

“ไหนบอกว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้วไง?”

“ใช่ครับ”

“นั่นเรียกว่าคุ้มเหรอ? สตาร์บัคส์ยังไม่เคยกินเลย ลองกินกาแฟแก้วละร้อยดูซักครั้งสิ เอาไปเทียบกับสตาร์บังแล้วค่อยตาย จะได้บอกเทวดาว่าอันไหนอร่อยกว่ากัน”

“พี่คิดว่าผมจะได้เจอเทวดาจริงๆเหรอ?”

“พูดไปงั้น ถ้าบอกว่ายมบาลเราก็ใจเสียอีกสิ” เขาหัวเราะ “ว่าไง? ตกลงจะกินหรือเปล่า? พี่ซื้อให้กินเลยพรุ่งนี้ แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะตายหรือไม่ตาย”

ผมครุ่นคิดลังเลเพราะจู่ๆก็อยากลองกินสตาร์บัคส์ตามคำยั่วยุของเขา แต่ผมเป็นคนตัดสินใจเร็ว ดังนั้นเมื่อคิดว่าอยากลองกินเพื่อเปรียบเทียบกับสตาร์บังซักครั้ง ผมจึงค่อยๆปีนลงจากสะพานแล้วสวมรองเท้าราวกับไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาก่อน

“ง่ายแบบนี้เลยเหรอ?”

“ครับ”

“เออดี พี่ชอบคนว่าง่าย”

เขายิ้มกว้างแล้วพยายามลงจากราวอย่างเก้ๆกังๆ เกือบหงายหลังตกลงไปแต่โชคดีที่ผมดึงแขนเขาไว้ได้ทัน เราก็เลยกลับมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัยอีกครั้ง

ขาผมสั่น
สั่นเหมือนลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่

ไม่มีเหตุผลเลยที่จู่ๆก็รู้สึกแบบนี้ ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ผมกลับปฏิเสธมัน ไม่ใช่วันนี้ ผมคิด เพราะพรุ่งนี้ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อกินสตาร์บัคส์ตามคำเสนอของเขา แม้จะยังงุนงงว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนคนนี้ต้องควักเงินเป็นร้อยเพื่อเลี้ยงคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายผมก็เดินตามเขา ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างว่าง่ายเหมือนลูกหมาที่ถูกเก็บจากวัด

“ตอนนี้พี่คงพาไปไม่ได้นะ ห้างปิดหมดแล้ว”

“อ้าว” ผมเปล่งเสียง เตรียมตัวจะลงจากรถแต่เขาก็รีบเอื้อมตัวมาจับข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว

“พี่บอกว่าจะเลี้ยงพรุ่งนี้ไง รอห้างเปิดไม่ได้เหรอ?”

“ได้ครับ” ผมตอบ รู้สึกเซ็งแปลกๆที่วันนี้ต้องกลับไปนอนบ้าน

“งั้นขึ้นรถ”

“พี่จะพาผมไปไหนครับ?”

“ไปส่งที่บ้านไง” เขาถอนหายใจเมื่อผมดูอ๊องๆงงๆ “ขึ้นมาเร็ว เก็บของมาครบหรือยัง?”

“ครบครับ”

“กระเป๋าสตางค์ล่ะ?”

“อยู่นี่ครับ” ผมชูมันขึ้นมา เขาพยักหน้ารับแล้วตบเบาะสกู๊ปปี้ ไอสีฟ้าเบาๆ “บ้านผมอยู่ไกลนะ”

“เออน่า มาเหอะ”

ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์คนแปลกหน้ากลับบ้าน แต่ที่บ้ากว่าคือการให้สัญญากับเขาว่าพรุ่งนี้เราจะออกไปซื้อสตาร์บัคส์ด้วยกัน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ และทำแบบนี้ไปทำไม แต่ช่างเถอะ สุดท้ายความเป็นคนเรื่อยๆสบายๆของเขาก็ทำให้ผมปล่อยตัวเองช่วงหนึ่ง

ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านและนึกถึงแค่สตาร์บัคส์ตามที่เขาบอก หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ ผมไม่อยากตายแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน อยากนอนบนฟูกอุ่นๆ อยากหลับซักงีบ อยากลองชิมสตาร์บัคส์ซักครั้งก่อนคิดเรื่องฆ่าตัวตายวันหลัง พี่แปลกหน้าขับรถมาส่งผมถึงบ้านตามที่สัญญาไว้ เขาดับเครื่องแล้วถอดหมวกกันน็อคก่อนจะเงยหน้ามองบ้านของผมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

“อยู่กับใครเนี่ย?”

“คนเดียวครับ”

“พ่อแม่ล่ะ”

“แม่ตาย พ่อมีเมียใหม่ครับ”

ผมพูดเรียบๆ ไม่ยินดียินร้าย ไม่แสดงออกว่าเสียอกเสียใจกับชะตากรรมชีวิตตัวเอง พี่แปลกหน้าปิดปากเงียบเมื่อรู้ความจริง ผมยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทและเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่เขาไม่ให้ผมไป

“ก้อง”

“ครับ?”

“เมื่อตอนเย็นกินข้าวยัง?”

“กินแล้วครับ” ผมตอบ “พี่ -- ผมยังไม่ได้ถามชื่อพี่เลย พี่ชื่ออะไรครับ?”

“อู๋” เขาแนะนำตัวเองก่อนจะเกาแก้ม ดูเขินๆ “พี่ชื่ออู๋นะ”

“ขอบคุณครับพี่อู๋”

ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เตรียมจะเข้าบ้าน แล้วเขาก็เรียกอีก เรียกมันอยู่นั่นแหละ รำคาญจริงๆ

“ก้อง พรุ่งนี้พี่พูดว่ายังไง?”

“พี่บอกว่าจะมารับผมไปกินสตาร์บัคส์”

“ใช่ เพราะฉะนั้นเอาเบอร์มือถือมา พี่จะโทรตามเรา”

ผมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้พี่อู๋ เขาก้มหน้ากดมันยิกๆก่อนจะส่งคืน

[น้องก้อง]

เขาให้ผมดูหน้าจอว่าเมมเบอร์ไว้ว่าอะไร

“พรุ่งนี้ต้องอยู่บ้านนะ”

“ครับ”

“พี่ทำงานเลิกบ่ายสอง เดี๋ยวพี่มารับ”

“ขอบคุณครับ”

ผมตอบแล้วมองหน้าเขา พี่อู๋ดูมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่พูด ผมก็เลยหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป แล้วเขาก็เรียกอีก

“ก้อง”

“ครับ?!”

“นอนหลับฝันดีนะ”

ผมอึ้ง ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนทื่อเป็นหินก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ

“ครับ”

แล้วก็เดินเข้าบ้านไป

ผมแสร้งปิดประตู แสร้งทำเสียงก็อกแก๊กลงกลอนแต่จริงๆแอบอยู่หลังบานไม้ ผมรอจนกระทั่งเสียงมอเตอร์ไซค์ขับออกไปจึงเดินกลับไปหน้าบ้าน ชะเง้อมองแผ่นหลังของพี่อู๋ด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม

ผมกำลังจะฆ่าตัวตายแท้ๆ
แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะอยากกินสตาร์บัคส์

ไอ้ตะกละเอ๊ย

ผมหัวเราะขำตัวเองก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาเขียวปั๊ดของลุงชัยที่กำลังยืนแปรงฟันอยู่บนระเบียงชั้นสอง ผมยกมือไหว้แต่แกไม่รับ แกมองอย่างไม่พอใจก่อนจะมุบมิบทำปากจับใจความได้ว่า --

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกแกร๊บ ไอ้เด็กบ้า”

เวรกรรม
พรุ่งนี้ก่อนไปกินสตาร์บัคส์แล้ววางแผนฆ่าตัวตาย ผมคงต้องอธิบายให้ลุงชัยเข้าใจก่อนว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เฮ้อ









TBC




----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


หวังว่าจะชอบกันนะคะ ตอนที่ 1 และ 2 จะตามมาเร็วๆนี้ค่า ♡

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
เข้ามาอ่านแล้วต้องอุทาน โถ ลูก สิบเจ็ดปีเอง น้องก้อง ชีวิตยังใช้ไม่คุ้มอย่างที่พี่อู๋ว่าจริงๆ นะ
น้องก้องจัดว่าเป็นเด็กมีความคิดระดับหนึ่งเลย ก่อนตายคิดนั่นคิดนี่ ทำนั่นทำนี่
แต่ไม่ใช่วันนี้นะลูก พรุ่งนี้ว่ากันใหม่

ออฟไลน์ villevia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่าสนจัยย  ทำไมก้องอยากตายละลูกก ตอนแรกอ่านละหดหู่เลย แต่ไม่ใช่วันนี้เนอะ ;)

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เข้าใจเลย อย่าพูดว่าวันนี้จะทำอะไรดี ต้องบอกเขาว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรด้วยกัน เขาจะได้คิดถึงวันพรุ่งนี้ ยื้อไปจนกว่าจะผ่านวันนี้ไป เฮ้อ  :hao5:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น่าสนใจมากค่ะ รอต่อนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ไม่ใช่วันนี้และก็ไม่ใช่วันต่อๆไปหรือวันไหนะลูก พี่อู๋ช่วยน้องด้วยย อ่านละหดหู่ตามเลย สงสารน้องTT  :hao5: :hao5:
ปล. แอบฮาตอนด่าหมา  :m20:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
01

 

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบนาที

เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนผมนอนอยู่บนฟูก แต่ตอนนี้ย้ายลงมานอนบนพื้นไม้เพราะพัดลมเพดานไม่ช่วยให้ห้องเย็นขึ้นเลย ผมลุกขึ้นเปิดโทรทัศน์เพราะไม่อยากนอนเงียบๆ เสียงพี่น้องไบรท์รายงานข่าวช่วยให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผมต้องทนหายใจโดยไม่รู้จุดหมายอีกหลายชั่วโมงเพื่อรอคนแปลกหน้ามารับไปกินสตาร์บัคส์

 ผมหลับตา ปล่อยให้ความมืด ความร้อน ความเหนื่อย ความรู้สึกห่วยๆเข้ามามีส่วนร่วม ถ้าเปรียบเป็นเวทีมวย ผมคงกำลังโดนชกซะน่วม อาจจะหงายหมอบตั้งแต่โดนหมัดของความอ่อนเพลียด้วยซ้ำ แต่น่าเศร้าที่ผมยกธงขาวขอให้พวกมันหยุดไม่ได้เพราะนี่คือชีวิตจริง ความผิดหวัง ความเสียใจ ความสูญเสียไม่ได้หายไปจากสมองของเราได้ง่ายๆ และผมจมอยู่กับมันมานานพอแล้ว หลังจากชิมสตาร์บัคส์ผมจะฆ่าตัวตาย วันนี้ผมต้องตายให้ได้ ไม่งั้นภาวะนอนไม่หลับจะหวนกลับมาชกผมอีก

เสียงพี่น้องไบรท์รายงานข่าวอย่างต่อเนื่องราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมเงี่ยหูฟังว่าจะมีรายงานข่าวเด็กวัยรุ่นพยายามฆ่าตัวตายบนสะพานหรือไม่แต่ยังไม่มีวี่แวว ผมได้ยินข่าวหมากัดเด็ก วัยรุ่นยิงปืนขึ้นฟ้า หวยถูกขโมย แชร์ลูกโซ่ โดนัล ทรัมป์ บลา บลา คิมจองอึน บลา บลา ไม่มีข่าวจรรโลงใจซักข่าว และโชคดี -- ไม่มีข่าวของผมด้วย รอดไป ขอเป็นข่าวทีเดียวพรุ่งนี้ก็แล้วกัน

ระหว่างนอนหมดอาลัยตายอยาก จู่ๆพัดลมเพดานส่งเสียงกึกกักดังขึ้นราวกับประท้วงขอเวลาพัก ผมยอมกัดฟันลุกขึ้นยืน พาร่างหนักอึ้งไปปิดพัดลมก่อนจะกลับมานอนแผ่ที่เดิม

 
ไม่เหลืออะไรเลย
แค่คิดว่าเย็นนี้จะอยู่ยังไง -- ผมยังนึกไม่ออกเลย

 การมองไม่เห็นอนาคตน่ากลัวกว่าความตายหลายเท่า คนอื่นตื่นมาเพื่อทำงาน แต่ผมตื่นขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตให้หมดวันอย่างไร้ความหมายเพราะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ผมสอบเข้ามหาลัยไม่ได้และไม่มีเงินจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟสำหรับเดือนนี้แล้วด้วย ไอ้โง่เอ๊ย ผมด่าตัวเอง เมื่อวานไม่น่ากินเยอะเลย อย่างนี้ก็หมายความว่าผมต้องรีบตายก่อนการไฟฟ้าจะตัดไฟ หรือไม่ก็ทนอยู่ในบ้านร้อนๆแบบนี้จนกว่าจะแห้งตายเอง

แล้วเมื่อไหร่จะตาย?
ก็ไม่รู้เหมือนกัน

เสียงกุกกักข้างล่างบอกผมว่าลุงชื่นกำลังแขวนข้าวเช้าไว้ที่ประตูบ้าน ผมรอจนลุงปิดประตูรั้วเหล็กแล้วจึงเดินลงบันไดไป

ข้าวเหนียวห่อใหญ่กับน่องไก่สามชิ้น
ขอบคุณครับลุงชื่น
แต่ผมไม่อยากกิน

ผมเดินเลยเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมาซดอึกๆ ช่วงนี้ผมไม่อยากอาหาร แต่การปล่อยให้ท้องว่างนี่ทรมานเป็นบ้า ผมจำเป็นต้องกินเพื่อให้กระเพาะหยุดร้องและเลิกบีบตัวประท้วงขออาหาร ไม่งั้นผมต้องลำบากเจียดเงินซื้อยาธาตุน้ำขาวอีกขวดแน่ๆ

นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงสี่สิบสองนาที

สองชั่วโมงผ่านไปอย่างไร้คุณค่าเพราะผมยังนอนบนพื้นไม้กระดาษแข็งๆที่เดิม มองฝ้าเพดานบวมน้ำที่ไม่รู้จะทรุดลงมาเมื่อไหร่อย่างเลื่อนลอย ตัวผมอยู่ในบ้าน แต่ความคิดล่องลอยเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมต้องบังคับตัวเองให้อดทนจนถึงบ่ายสอง หลังจากนั้นพี่อู๋จะมา เขาจะพาผมไปกินสตาร์บัคส์และไปส่งที่สะพาน เอาล่ะ -- เลิกท้อแท้ได้แล้ว คิดถึงแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไว้ เพราะวันนี้ผมต้องกระโดดลงไป ฝังร่างตัวเองอยู่ใต้น้ำและหลับไปตลอดกาล

 


 

ผมอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่บ่ายโมง เลือกสวมเสื้อที่คิดว่าดีที่สุดกับกางเกงยีนตัวเดิมเพื่อรอให้พี่อู๋มารับ ผมนั่งบนเก้าอี้ในบ้าน นั่งเฉยๆโดยไม่มีกิจกรรมทำอย่างวัยรุ่นคนอื่นๆ เชื่อไหมว่าผมสามารถอยู่แบบนี้ได้ทั้งวัน นั่งหายใจเข้าออกเหมือนเป็นต้นไม้โดยไม่ต้องลุกไปไหน พี่ลีเรียกว่าอาการนี้ว่าการตายทั้งเป็น และวิธีรักษาก็คือตายไปให้จบๆจะได้ไม่ทรมานอีก

 
พี่อู๋มารับผมตอนบ่ายสาม เขายังคงขับสกู๊ปปี้ไอคันเดิม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนเดิมแต่ไม่มีเนกไท ผมยกมือไหว้พี่อู๋ เขารับไหว้ก่อนจะบอกให้ผมล็อกประตูบ้าน

“ไม่ต้องหรอกครับ เพราะวันนี้ผมจะไม่กลับบ้านแล้ว”

ผมบอก พี่อู๋ไม่พูดอะไรเมื่อผมบอกแบบนั้น เขาส่งหมวกกันน็อคให้แล้วขับไปจนเกือบถึงปากซอย พอเห็นสายตาเขียวปั๊ดของลุงชัย ผมก็รีบเขย่าไหล่ให้เขาจอด


“มีอะไรเหรอก้อง?”

“เดี๋ยวมาครับ”

ผมถอดหมวก เดินไปหาลุงชัยที่แกล้งทำเป็นหันหน้าไปอีกทางเพราะงอน ผมยกมือไหว้แกอีกรอบก่อนจะบอกว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เขาแค่อาสามาส่งบ้านเฉยๆ

“แล้วเขาเป็นใคร ทำไมต้องมาส่ง?”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ผมตอบหลังจากยืนนึกอยู่นานเกือบนาทีว่าจะอธิบายยังไงดี “แต่วันนี้ผมจะออกไปเที่ยวกับเขาครับ”

“เฮ้ย ไอ้ก้อง ไม่กลัวคนแปลกหน้าบ้างเหรอ? ถ้ามันหลอกเอ็งไปฆ่าล่ะ?”


ก็ดีสิครับ ผมจะยกมือไหว้ขอบคุณเขาเลย

 
“ไปแล้วนะครับ”

“มีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบโทรมานะก้อง”

“ครับ”


ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เดินกลับไปที่สกู๊ปปี้ไอสีฟ้าแล้วขึ้นซ้อนท้าย พี่อู๋ถามว่าผมคุยอะไรกับวินมอเตอร์ไซค์ พอบอกว่าลุงชัยโกรธเพราะคิดว่าผมนั่งแกร๊บไบค์ เขาก็หัวเราะ

“ก้องเคยไปเซนปิ่นไหม?!”

“เคยครับ!” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลม

“วันนี้พี่จะพาไปกินสตาร์บัคส์ที่เซนปิ่น! เสร็จแล้วก้องเดินสำรวจห้างกับพี่นะ!”

“ครับ!”

สำรวจห้าง?

นี่พี่อู๋หรือผมกันแน่ที่เป็นเด็ก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

 

 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงยี่สิบเจ็ดนาที

พี่อู๋พาผมไปสตาร์บัคส์ตามสัญญา ร้านใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนที่เคยมองผ่านกระจก ผมไม่เคยเฉียดเข้ามาใกล้ที่แบบนี้เลย การตกแต่ง กลิ่นเมล็ดกาแฟ และผู้คนสวยหล่อที่ยืนต่อแถวทำให้ผมกังวลเพราะกลัวโดนมองด้วยสายตาไม่ดี

“ก้องกินอะไร?”

“อะไรก็ได้ครับ”

“สตาร์บัคส์ไม่มีเมนูอะไรก็ได้”

พี่อู๋ตอบกวนๆ เขาถามไล่ไปเรื่อย กาแฟ ช็อกโกแลต ชาเขียว อะไรเป้ๆอีกสองสามชื่อ เขาอยากได้คำตอบว่าผมชอบอะไร ในที่สุดผมก็เลือกส่งๆให้มันจบๆ

“ช็อกโกแลตครับ”

“ได้ แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

“ผมมาเพื่อกินแค่นี้ครับ”

“ได้ไง มาทั้งทีต้องกินให้คุ้มสิ”

พี่อู๋ว่า เขาชี้ให้ผมดูตู้เค้กที่วางติดเคาน์เตอร์แล้วก็เริ่มเซ้าซี้ถามอีกว่าอยากกินอะไร อันนี้ดีไหม อันนั้นดีหรือเปล่า เคยกินหรือยัง อยากลองไหม จนผมรำคาญ พี่จะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ เงินของพี่ ผมเลือกตามอำเภอใจได้ที่ไหน

สุดท้ายเราได้เค้กอะไรไม่รู้มาสองชิ้น ช็อกโกแลตปั่นหนึ่งแก้ว ชาเขียวปั่นหนึ่งแก้วและวิปครีมราดช็อกโกแลตแบบเปล่าๆอีกแก้ว พี่อู๋ไม่บอกว่าราคามื้อนี้เท่าไหร่ เขาแค่บอกให้ผมลองเปรียบเทียบระหว่างสตาร์บัคส์กับสตาร์บัง และบอกเขาด้วยว่าอร่อยหรือเปล่า

“อร่อยครับ”

“ชอบไหม?”

“ครับ”

ผมตอบ มันก็อร่อยในฐานะเครื่องดื่ม แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องลงไปคุกเข่าบนพื้นแล้วตะโกนว่า “กูจะไม่ฆ่าตัวตาย! กูรักสตาร์บัคส์!” แนวๆนั้น ผมดูดช็อกโกแลตเย็นเพลินๆ ของหวานทำให้อารมณ์หน่วงๆเมื่อเช้าหายไปหมด ตอนนี้ผมไม่คิดมากแล้ว ผมแค่ผ่อนคลายกับของกินตรงหน้าและบทสนทนาเรียบง่ายของพี่อู๋เท่านั้น

“เมื่อไหร่จะอายุสิบแปดล่ะ?”

“เดือนธันวานี้ครับ” ผมตอบก่อนจะนึกเอะใจว่านี่ใช่การหลอกถามวันเกิดหรือเปล่า

“วันที่เท่าไหร่?”

“ยี่สิบห้าครับ”

“วันคริสมาสต์นี่?” พี่อู๋ยิ้ม ดูตื่นเต้นกับวันเกิดของคนที่กำลังจะตาย “แล้วปีนี้วางแผนว่ายังไง? จะทำอะไรพิเศษหรือเปล่า?”

“วางแผนว่าจะกระโดดสะพานวันนี้ครับ”

“วันนี้ไม่ได้ ไว้วันหลังนะ”

ผมเลิกคิ้วงุนงง คนอยากตายวันนี้ พี่ยุ่งอะไรด้วย

“ก้องนี่คือชื่อเล่นเหรอ?” พี่อู๋เปลี่ยนเรื่อง ผมขานตอบว่าครับ เขาจึงถามต่อ “ก้องมาจากคำว่าอะไร? ก้องกึก? ก้องนักกระโดด? ก้องกังวาน?”

“ก้องเกียรติครับ”

“ก้องเกียรติ? ชื่อเท่ว่ะ”

“แล้วพี่อู๋ชื่ออะไรครับ?”

“อุรัสยา” เขายิ้ม “ชื่อเพราะไหม?”

“ครับ”


ผมมันโง่เองแหละที่ไม่รู้ตัวว่าเขาหลอก อุรัสยามันชื่อดาราผู้หญิง ไม่ใช่ชื่อมนุษย์เงินเดือนเพศชายช่างถามคนนี้เสียหน่อย ผมกินเค้กพลางมองพี่อู๋ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไม่แน่ใจว่าสามารถเชื่อใจผู้ชายที่เพิ่งรู้จักเมื่อวานได้หรือไม่ แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมก็รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที

“ตอนนี้ก้องเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า?”

“ไม่ได้เรียนครับ” ผมตอบ

“ทำไมไม่เรียนต่อ ไม่มีเงินเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมขาดสอบโอเน็ตก็เลยยื่นคะแนนไม่ได้”

“อ้าว” เขาเลิกคิ้ว “ทำไมถึงขาดสอบล่ะ?”

ผมกัดกระพุ้งแก้ม คิดหนักเพราะไม่อยากพูดให้คนแปลกหน้าฟัง ดูเหมือนพี่อู๋จะเข้าใจ เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร” ก่อนจะชวนผมไปเดินเล่นเมื่อเราทานทุกอย่างหมดเกลี้ยง

“อยากเล่าเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ”

พี่อู๋พูด แต่ผมไม่อยากบอกเขา ไม่อยากเลย ชีวิตขี้แพ้ของผมควรถูกถ่วงทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา มันควรสลายหายไปตามธรรมชาติ ไม่ควรถูกพูดถึงอีก

 




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสี่สิบเอ็ดนาที


ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ส่วนผมยังเดินวนในห้างกับพี่อู๋แทบจะทุกตารางนิ้ว เขาพาผมเดินวนในซูเปอร์มาเก็ตโดยไม่ซื้ออะไร พาไปร้านหนังสือ ร้านเครื่องเขียน ร้านขายเสื้อผ้า เขาพาผมเดินเข้าออกเกือบทุกร้านในห้างแต่ไม่เสนอตัวว่าจะซื้อให้ซักอย่าง นั่นถือเป็นเรื่องดีแล้วเพราะผมกำลังจะตาย ขอเป็นหนี้แค่การไฟฟ้าคนเดียวพอ ไม่อยากเป็นหนี้ใครเพิ่ม

พี่อู๋ชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย ชอบอ่านอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน มีหนังที่อยากดูหรือเปล่า แน่นอนว่าคำตอบของผมคือ ไม่มี ผมไม่มีความรู้สึกอยากอะไรนอกจากกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยา พี่อู๋ที่พยายามเลี่ยงมาตลอดเริ่มสงสัย เขาถามผมตรงๆว่าทำไม

“ทำไมต้องรีบตายด้วย?”

ผมไม่ตอบในทันที ไม่ร้องไห้ ไม่พร่ำเพ้อฟูมฟายต่อหน้าเขา มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ผมเคยร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายจนด้านชาไปแล้ว หลังจากยืนรอคำตอบหลายนาที พี่อู๋ก็จับไหล่ผม เขามองราวกับกำลังขอร้องให้ผมพูดอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่เงียบแบบนี้

“อีกสองเดือนข้างหน้า พี่คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่ครับ?”

พี่อู๋งุนงง เขานวดคางด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วตอบคำถาม

“พี่คงเป็นฟรีแลนซ์อยู่บ้าน เพราะสิ้นเดือนนี้พี่ลาออกแล้ว”

“ฟรีแลนซ์อะไรครับ?”

“ล่าม” เขาบอก “น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“พี่โชคดีที่ยังมองเห็น แต่สำหรับผม หลังจากพี่ไปส่งที่บ้านวันนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ผมไม่เหลืออะไรให้ทำบนโลกใบนี้แล้ว”

“ก้องหางานทำสิ หางานแล้วอ่านหนังสือไปด้วย ปีหน้าค่อยสอบใหม่”

“แล้วทำไมผมต้องสอบใหม่?”

“ก็จะได้มีงานดีๆไง”

“เราจะมีงานดีๆทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ?”

“เพื่อตัวเองไงก้อง” พี่อู๋ตอบจริงจัง เขามองผมด้วยแววตาดุๆเหมือนผู้ใหญ่ต้องการสั่งสอนเด็ก “เราทำงานหาเงินเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเอง”

“ผมยังไม่รู้เลยว่าความสุขของผมคืออะไร ถ้าต้องมีชีวิตเพื่อดิ้นรนต่อไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายขนาดนั้น ตายตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

พี่อู๋ไม่พูดต่อ เขาโกรธ ผมรู้ สีหน้าของเขาฟ้องว่าถ้าขืนยังต่อปากต่อคำอีกคงมีคนได้เดินกลับบ้าน

“ชีวิตผมไม่เคยสมหวังอะไรเลย” ผมบอกเขา พยายามอธิบาย “พี่ปล่อยให้ผมไปตามทางของตัวเองเถอะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่ไม่ต้องสนใจผมหรอก”

ผมปากเสีย ผมรู้ ผมเป็นคนพูดไม่คิด ผมรู้ ผมไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนฟัง ผมรู้ แต่พอเห็นพี่อู๋ดูหมดหวังไม่อยากพูดอะไร ผมกลับรู้สึกแย่

“งั้นก่อนกลับบ้าน พี่จะซื้อของให้ก้องหนึ่งชิ้น” พี่อู๋ที่เริ่มกลับมาเป็นปกติพูดขึ้น “พี่จะเลือกให้ ก้องต้องรับไว้นะ”

เขาเดินนำไปโดยไม่รอ ปล่อยให้ผมตามหลังเหมือนลูกหมาแสนเชื่องตลอดทาง
 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้านาที

 
ผมกลับถึงบ้านโดยมีพี่อู๋มาส่งเหมือนเมื่อคืน ลุงชัยมองตาเขียวอีกแล้วเมื่อเห็นสกู๊ปปี้ไอสีฟ้าขับเข้ามาในย่านของเรา ผมยกมือไหว้ลุงแต่ไม่ลงไปอธิบาย เหนื่อยแล้ว พอก่อน ไว้ค่อยคุยวันหลัง ผมจะเขียนจดหมายลาตายบอกลุงว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ซักหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่

รถจอดสนิทตรงริมรั้ว ผมลงจากรถ ยกมือไหว้พี่อู๋ตามมารยาท บอกขอบคุณที่เลี้ยงสตาร์บัคส์ เขายิ้มอย่างพอใจแล้วถามว่าอร่อยไหม

“อร่อยครับ”

“รู้ไหมว่าสตาร์บัคส์ออกเมนูใหม่ทุกปี?”

“ไม่รู้ครับ”

“ไว้มีเครื่องดื่มใหม่เข้าเมื่อไหร่ พี่จะมารับเราไปกินอีกนะ”

“ผมไม่แน่ใจว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นไหม” ผมตอบตามตรง “แต่ยังไงก็ขอบคุณล่วงหน้าครับ”


พี่อู๋ยิ้ม เขานั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ขณะช่วยถอดหมวกกันน็อคให้ ผมบอกขอบคุณเขาอีกครั้งแต่พี่อู๋ก็เรียกไว้เหมือนเมื่อคืน ไม่ได้เข้าบ้านเสียที

“ก้องจะไม่ชวนพี่เข้าไปกินน้ำหน่อยเหรอ?”

“อ๋อ ครับ”

ผมเปิดประตูรั้วให้พี่อู๋แบบงงๆ ไอ้แดงที่เพิ่งกลับจากไปหาเมียที่วัดส่งเสียงเห่าน่าหนวกหูทันทีเมื่อเห็นคนแปลกหน้า ผมถามมันว่าหายหัวไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับเอาป่านนี้ มันก็เห่าโฮ่งตอบหนึ่งทีแล้วสะบัดตูดไปบ้านลุงชื่น

“ไอ้หมาเวร” ผมสบถ พี่อู๋หัวเราะ “บ้านผมไม่มีอะไรนะครับ มีแค่น้ำเปล่า”

พื้นไม้ส่งเสียงออดแอดทันทีที่เราสองคนเดินเข้าไป ผมเปิดไฟตรงผนัง เปิดเปลือยบ้านรกๆที่ขาดการทำความสะอาดมาเดือนกว่าให้พี่อู๋เห็น จานชามกองสูงเต็มอ่าง เสื้อผ้าใส่แล้วก็อัดแน่นเต็มตะกร้าจนล้น ผมใช้เท้าเตะถุงใส่กระดูกไก่ทอดไปซ่อนใต้เก้าอี้ ส่วนพี่อู๋นั้นเงียบกริบ สงสัยช็อกอยู่

“น้ำครับ”

ผมเสิร์ฟน้ำเย็นใส่แก้ว เขารับมันไปดื่มจนหมดก่อนจะกวาดสายตามองรอบบ้านอย่างไม่เกรงใจ

“ก้องอยู่คนเดียวเหรอ?”

“ครับ”

“แล้วเวลาหิวทำยังไง? ซื้อกับข้าวมากินเหรอ?”

“เปล่าครับ ลุงชื่นบ้านข้างๆแกขายไก่ทอด แกจะมาแขวนให้ผมกินฟรีทุกวัน ตอนเย็นก็มีกับข้าวพี่ลีบ้าง ลุงชัยบ้าง แม่ของข้าวฟ่างบ้าง สลับกันไปครับ”

พี่อู๋พยักหน้ารับ สายตายังคงกวาดมองไปทั่ว ส่วนผมก็ยืนจ้องเขาอีกที เป็นบรรยากาศอึดอัดแปลกๆเมื่อเรายืนจ้องกันกลางบ้านอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่รู้จะชวนเขาเข้ามาทำไม เข้ามาก็อับอายที่ปล่อยให้คนอื่นเห็นสภาพเละๆแบบนี้

“ปกติก้องนอนตรงไหน”

“ข้างบนครับ”

พี่อู๋ร้องอ๋อแล้วพูดต่อ “เอ้อ พี่ว่าจะถาม บ้านก้องมีเครื่องเล่นดีวีดีหรือเปล่า?”

“มีครับ”

“พาไปดูหน่อยสิ”

ผมงงแต่ก็เดินนำพี่อู๋ขึ้นไปชั้นสอง ถึงบ้านจะเก่าแต่ยังพอมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยอยู่เหมือนกัน แม่เป็นพวกติดละคร พวกทีวีกับเครื่องเล่นซีดีนี่อย่าให้พูด แกยอมควักเนื้อจ่ายหมดขอแค่มีสิ่งบันเทิงใจช่วยเยียวยาชีวิตเฮงซวยของเราบ้าง

พี่อู๋เดินไปที่ทีวี เขาก้มๆเงยๆดูเครื่องเล่นดีวีดียี่ห้อเอเจอยู่พักใหญ่ก่อนจะล้วงหยิบของที่เพิ่งซื้อจากบีทูเอส

 
Harry Potter Complete 8 - Film Collection DVD

 
นี่พี่เขาคิดอะไรอยู่นะ?


“ก้องบอกว่าไม่มีอะไรทำ งั้นวันนี้อาบน้ำเสร็จก็ดูแฮร์รี่นะ เคยดูไหม?”

“ไม่เคยครับ”

“ไปอยู่จักรวาลไหนมา คนเขาดูกันทั้งโลก”

 
อ้าว ไอ้นี่ --


“พี่จะให้ก้องดูแค่ภาคแรก ถ้าอยากดูต่อต้องโทรมา แล้วพี่จะเอาภาคสองมาให้”

“ครับ” ผมขานตอบแบบส่งๆแล้วถอนหายใจ

“งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องไปสะพานนะเพราะมีหนังให้ดูแล้ว เข้าใจ๋?”

“ครับ”

“ดีมาก หิวหรือยัง?”

“ไม่หิวครับ”

พี่อู๋บรรจงวางแผ่นดีวีดีสีน้ำเงินที่มีรูปนกฮูกบนชั้นวางทีวี เขาหันมาหาผมก่อนจะมองเลยไปข้างหลังที่มีฟูกเน่าปูอยู่บนพื้น ผมไม่รู้จะขอบคุณเขาดีไหมที่ไม่แสดงท่าทีสมเพชเวทนาออกมาให้รู้สึกแย่ แต่สุดท้ายผมก็บอกเขาว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ” เขาพยักหน้ารับ 

“พรุ่งนี้ซักผ้าด้วยนะ หาอะไรทำจะได้ไม่ว่างเกินไป”

“ครับ” ผมตอบ “นี่คือครั้งสุดท้ายที่พี่จะมาหาผมหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ใช่”

คำตอบของเขาทำให้ผมดีใจแปลกๆ

“พี่จะมาเรื่อยๆจนกว่าก้องจะหายดี”

พี่อู๋บอกก่อนจะเดินลงบันได ปล่อยให้ผมยืนงงกับคำว่า “หายดี” อยู่หลายวินาที เสียงบันไดไม้ร้องเอี๊ยดอ๊าดบอกว่าเขาใกล้ถึงชั้นล่างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพี่อู๋จะหยุดกลางทาง ผมเห็นเขาใช้มือจับราวก่อนจะตะโกนถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ก้อง นี่เชือกอะไรเหรอ? ทำไมแขวนไว้ที่ราวบันได?”


ชิบหายละ


พี่อู๋หยิบเชือกมาดูใกล้ๆ เขากำมันเพื่อวัดขนาดแล้วหันมาขอคำอธิบายจากผมว่าทำไมถึงมีเชือกเส้นใหญ่ขนาดนี้ไว้ในบ้าน พี่อู๋คงคิดว่าผมจะฆ่าตัวตาย แต่เปล่าหรอก ผมไม่ได้ซื้อเชือกเส้นนั้นมา แม่ต่างหาก

เป็นแม่ที่ซื้อมันมา แล้วก็ใช้มันไปแล้วด้วย

“อ๋อ -- ของแม่ผมครับ”

“เอาไว้ทำอะไร?”

ผมเงียบ ไม่กล้าบอกความจริงเพราะไม่อยากให้พี่อู๋กลัว


“ก้อง งั้นพี่ขอเชือกเส้นนี้ได้ไหม?”

“พี่อย่าเอาไปเลย มันคืออนุสรณ์ของแม่”

“พี่ไม่ปล่อยให้ก้องอยู่ในบ้านคนเดียวกับเชือกแบบนี้หรอก”

พี่อู๋พูดแล้วเก็บเชือกไปหน้าตาเฉย ผมรีบวิ่งลงบันไดด้วยความลนลาน เขาจะเอาเชือกเส้นนี้ไปไม่ได้ เขาจะเอาสิ่งที่ปลดปล่อยแม่ให้เป็นอิสระไปจากผมไม่ได้

“พี่อู๋ครับ อย่าทำแบบนี้เลย ผมขอ”

“พี่รู้ว่าก้องคิดอะไร? ก้องจะใช้เชือกใช่ไหม?”

“ไม่ครับ ผมไม่ใช้หรอก” ยิ่งแก้ตัวยิ่งดูมีพิรุธ ผมพยายามดึงเชือกกลับมา ความหยาบของมันบาดฝ่ามือจนแสบ “พี่อย่าเอาไปเลย! มันเป็นของไม่ดี!”

“ของไม่ดีก็ไม่ควรอยู่ในบ้านสิ!”

“แต่มันเป็นเชือกที่แม่ใช้ผูกคอตาย!”


ผมตะโกนบอก พี่อู๋หยุดนิ่ง เขาไม่ยุ่งวุ่นวายกับข้าวของของผมเหมือนก่อนหน้า

 

“แม่ผมผูกคอตายตรงนี้” ผมชี้ไปที่ราวบันได “พี่อย่าเอาอนุสรณ์ของแม่ไปเลยนะ”

 

แล้วผมก็ร้องไห้โฮออกมา









TBC




----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


ตอนแรกมาแล้วค่า ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆจากทุกคนเลยนะคะ ฮือ
มีความสุขมากค่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนเม้นด้วย ;-; สัญญาว่าจะตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ ♥


:mew1:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
สงสาร ก้องกำลังป่วย พี่อ๋ต้องช่วยน้องละ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
02

 

นาฬิกาบอกเวลาว่า ตีสี่สามสิบสองนาที

ผมนอนอยู่บนชั้นสองของบ้าน พัดลมเพดานยังคงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่หมุนครบรอบวง ความร้อนของเดือนสิงหาคมทำให้ตัวผมชุ่มเหงื่อ ทั้งร้อน ทั้งอึดอัดเหมือนจะระเบิด เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างเช่นทุกที ผมนอนบนฟูกเปียกๆอย่างทรมาน มีอนุสรณ์ของแม่วางอยู่บนพื้นข้างๆ และอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว

พี่อู๋กลับไปแล้ว เขาบอกว่าจะโทรมาใหม่ซึ่งผมคิดว่าคงไม่หรอก ไม่มีใครอยากคบหากับคนจิตป่วยแบบผม การร้องไห้เมื่อตอนสองทุ่มเป็นยิ่งกว่าการระเบิดครั้งใหญ่ของทฤษฎีบิ๊กแบง แต่ต่างกันตรงที่ผมปลดปล่อยเอาความเศร้า ความผิดหวัง ความเสียใจ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งออกมาโดยไม่สนว่าใครจะมองยังไง จิตวิญญาณของผมกลวงโบ๋ เหมือนหลุมดำเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด ผมร้องไห้อย่างหนักจนพี่อู๋ยอมแพ้ เขาส่งเชือกคืนให้แล้วจับมือผม

ลุงชื่นเป็นคนแรกที่วิ่งมาดูถึงบ้านเพราะตกใจ ส่วนพี่ลีตามมาเป็นคนที่สอง พวกเขาคิดว่าผมโดนพี่อู๋ปล้นบ้านก็เลยมากันทั้งมีดพร้าทั้งไม้หน้าสามจนต้องรีบบอกพวกเขาว่าอย่าเข้าใจผิด พี่อู๋ไม่ใช่คนร้าย ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เขาแค่มายืดเวลาให้ผมอยู่ต่อไปอีกหน่อยเท่านั้น

ผมเริ่มเกลียดพี่อู๋แล้ว

เริ่มนิดๆ

นิสัยจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องของเขาทำให้ผมล้มอีกครั้ง ทุกวันนี้ผมก็เหมือนแก้วที่ถูกขว้างปาจนแตกซ้ำๆ แต่สุดท้ายเศษแก้วเล็กๆก็ถูกโกยมาประกอบอีกครั้งด้วยกาวราคาถูกเพื่อรอเวลาแตกใหม่ นอกจากแม่ที่ทำให้ผมแหลกสลายแล้วก็มีพี่อู๋ การมาถึงของเขายิ่งทำให้ผมแหลกมากกว่าเดิม ผมเริ่มไม่ชอบบ้านหลังนี้ ไม่ชอบทุกอย่างที่หล่อหลอมผมให้กลายเป็นก้องเกียรติ ไม่ชอบอนุสรณ์ของแม่ที่วางอยู่ข้างๆ ผมเกลียดทุกอย่างจนอยากไปสะพาน

พอกันที -- วันนี้ผมจะตาย

ผมจะฆ่าตัวตาย

แฮร์รี่ พอตเตอร์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้รับความสนใจ ผมปล่อยให้มันพล่ามเรื่องของตนเองไปเรื่อยๆระหว่างนอนฆ่าเวลา แฮร์รี่ พอตเตอร์! แฮร์รี่ พอตเตอร์! เพราะไม่มีเสียงภาษาไทยก็เลยฟังออกแค่ แฮร์รี่ พอตเตอร์!

ผมไม่รู้ว่าแม่เอารีโมตเครื่องเล่นดีวีดีไปไว้ที่ไหน ดังนั้นพ่อมดน้อยจอมซน(จนได้เรื่อง)จึงพ่นภาษาอังกฤษออกมาตลอดสามชั่วโมงโดยไม่แคร์เลยว่าคนที่ฟังอยู่มีสัญชาติอะไร แต่ช่างเถอะ ผมปิดแฮร์รี่ พอตเตอร์แล้วเปิดช่องข่าว รอเสียงพี่น้องไบรท์รายงานความเฮงซวยที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ราคายางตก รัฐบาลลิดรอนสิทธิ์ประชาชน วินมอเตอร์ไซค์มีเรื่องกับแกร๊บไบค์ -- ใช่ ลุงชัยหรือเปล่านะ คลิปครูตีนักเรียน คลิปแม่หมาเลี้ยงลูกแมว บลา บลา บลา

นาฬิกาบอกเวลาว่า แปดโมงสามสิบห้านาที

ผมปิดทีวี แล้วเดินออกจากห้อง

 

 


 

ผมจับราวบันได ทักทายจุดที่แม่เป็นอิสระด้วยการสัมผัสอย่างแผ่วเบาแล้วลงไปข้างล่าง ลุงชื่นเอาไก่ทอดมาแขวนให้เหมือนเช่นทุกที ผมกินแค่สองสามคำแล้วผูกถุงไว้ตามเดิม สภาพบ้านตอนนี้ดูไม่จืดอย่างที่พี่อู๋ว่า มันเริ่มสกปรกและมีกลิ่น แต่ผมไม่มีอารมณ์สนใจหรืออยากทำอะไรนอกจากนอนเฉยๆเท่านั้น

ผมทิ้งตัวบนโซฟา มองฝ้าเพดานขึ้นราด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้ทำเลย ไม่เหลืออะไรให้ต้องรับผิดชอบเลย พอคิดแบบนี้ความวูบโหวงก็ยิ่งเข้ามาเรื่อยๆจนอยากหยุดหายใจไปดื้อๆ

เมื่อไหร่ผมจะตาย
เมื่อไหร่ผมจะกล้าเหมือนแม่แล้วสร้างอนุสรณ์ของตัวเองบ้าง

ผมเหนื่อย ผมเบื่อที่จะอยู่โดยไม่เห็นปลายทาง แค่ใช้ชีวิตให้หมดวันก็เหนื่อยแล้ว ทำไมผมถึงยังลืมตา ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ ทำไมต้องต่อสู้กับความรู้สึกแย่ๆแบบนี้ด้วย

ผมเลียริมฝีปากแห้งแตก กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ระหว่างที่กำลังนอนหมดอาลัยตายอยาก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

พี่อู๋

ผมกดรับสาย ไม่ทักทายเขาด้วยคำว่า ฮัลโหล นอกจากหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ ดูเหมือนพี่อู๋จะกำลังยุ่ง ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์สำนักงาน ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษ พี่อู๋วุ่นวายกับอะไรบางอย่างผมจึงกดตัดสาย

โทรมาแล้วไม่คุย โทรมาทำห่าอะไร

ผมคิด แต่ซักพักเขาก็โทรมาอีก

“ครับ”

[ก้องซักผ้าหรือยัง?] พี่อู๋ถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเหลือบตามองกองผ้าในตะกร้าแล้วถอนหายใจ

“ยังครับ”

[ซักผ้าสิ จะได้มีเสื้อหล่อๆใส่ไปเที่ยวกับพี่อีก]

“พี่ไม่ต้องมาก็ได้ เราเพิ่งรู้จักกันแค่สามวัน พี่อย่าใส่ใจผมเลย”

พี่อู๋เงียบ ทำหูทวนลมราวกับถ้อยคำของผมเป็นเพียงอากาศ ผมกลอกตาเซ็งๆเมื่อตาลุงปลายสายเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย คราวนี้เขาพูดถึงชานมไข่มุก

[เคยไปเที่ยวสยามไหม?]

“เคยครับ”

[เคยกินก้อยไหม?]

ก้อยไหนอีก?

ผมสงสัยก็เลยถาม พี่อู๋บอกว่ามันคือชานมไข่มุกที่อร่อยที่สุดในเวลานี้ คิวยาวมาก ต้องต่อแถวโคตรนานแต่คุ้มค่า เขาบอกว่าไม่ได้มีแค่ชานม มีชาเขียว มีนมคาราเมล มีช็อกโกแลต โอ๊ย เยอะแยะไปหมด ก้องต้องลองนะ เดี๋ยวพี่ไปรับ

พูดเองเออเอง ไม่ถามกันซักคำ

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะไปสะพานวันนี้”

[ไม่ใช่วันนี้ เพราะเดี๋ยวเราต้องไปกินก้อยกัน]

“พี่ดูว่างๆนะครับ”

[กำลังเก็บของออกจากออฟฟิศเนี่ย ไม่รอถึงสิ้นเดือนแล้ว ปวดกบาล] เขาตอบ แอบเบาเสียงคำว่าปวดกบาลตอนท้ายด้วย [ซักผ้าให้เสร็จแล้วมาเที่ยวสยามกัน]

“ผมไม่อยากไป”

[แต่พี่อยาก]

“พี่จะอะไรกับผมนักหนา ผมไม่ใช่ญาติพี่ ไม่ใช่ครอบครัวพี่ พี่จะสนใจทำไมครับ?”

ผมถาม แต่พี่อู๋ไม่ตอบ เขาเงียบอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง เก่งนักล่ะกับการเบี่ยงประเด็น พวกผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทุกคน ขนาดนายกยังเป็นเลย

[แล้วนี่กินข้าวเช้าหรือยัง?]

“กินแล้วครับ”

[งั้นเดี๋ยวพี่ซื้อข้าวไปกินที่บ้านก้องตอนเที่ยง ล้างจานด้วยนะ]

“พี่อย่ามาเลย ผมเหนื่อย”

[โอเค เจอกัน]

สายตัด

ไอ้พี่อู๋ -- ไอ้ดื้อด้าน -- ไอ้หูทวนลม

ผมก่นด่าเขา แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นไปล้างจานและซักผ้าก่อนที่เขาจะมา

 


 



นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงตรง

ผมล้างจานเสร็จ แต่ซักผ้าทั้งหมดไม่ไหว

มันมีเยอะเกินไป ผ้าที่หมักหมมมานานหลายสัปดาห์จนเริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ผมซักไปได้ครึ่งเดียวก็ถอดใจยอมแพ้ ทิ้งมันไว้ในกะละมังทั้งๆที่ยังซักไม่เสร็จ ผมตากบางส่วนไว้หลังบ้าน แล้วกลับไปนอนแผ่บนโซฟาจนกระทั่งพี่อู๋มา

วันนี้ไม่มีสกู๊ปปี้ไอ แต่มีวีออสรุ่นเก่าสีดำจอดอยู่หน้ารั้วบ้าน พี่อู๋โทรเรียกให้ไปช่วยขนกับข้าว เขาซื้อข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง น้ำตก ลาบหมู คอหมูย่าง ต้มแซ่บ สั้นๆคือเกือบทุกเมนูในร้านขายส้มตำ ซื้อเหมือนวันพรุ่งนี้จะไม่มีกิน พี่อู๋ลงจากรถแล้วบ่นเรื่องอากาศร้อน เขาบอกว่าน่าจะมารับผมไปกินที่ร้าน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องนั่งจกกันเหงื่อท่วมใต้พัดลมแบบนี้

ผมกระดกโค้กที่พี่อู๋ซื้อให้อย่างกระหาย ผมหิวน้ำ การทำงานบ้านใช้พลังงานจนแทบจะลงไปสลบบนพื้น ผมกินข้าวเหนียว แต่ไม่กินไก่เพราะเบื่อ ผมกินลาบหมู แต่กินแค่ไม่กี่อย่าง เพราะเบื่อ

“กินเหมือนแมวดม”

พี่อู๋ว่า แต่ก็ไม่คะยั้นคะยอ ผมปล่อยให้เขากินทุกอย่างคนเดียวแล้วขอปลีกตัวไปนอนพักบนโซฟา

“เหนื่อยเหรอ?” เขาถาม เสียงฟังดูอู้อี้เพราะข้าวเหนียวเต็มปาก

“ครับ”

“นอนพักก่อนไหม? ค่อยไปสยามบ่ายๆก็ได้”

“ครับ”

ผมตอบ แล้วก็หลับอย่างหมดสภาพโดยปล่อยให้พี่อู๋จัดการงานบ้านไป

 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองห้าสิบแปดนาที

ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัวเหมือนแรงโน้มถ่วงกดทับเอาไว้ ผมลุกขึ้นนั่งโดยมีพี่อู๋นั่งดูทีวีบนพื้น เขาดูชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลังแล้วก็หัวเราะกับมุกแม่ไม่ให้พ่อเข้าบ้านของตุ๊กกี้อยู่คนเดียว

“ตื่นแล้วเหรอก้อง?” เขาหันมา ใบหน้ายังมีรอยยิ้มเพราะตุ๊กกี้ชิงร้อย “อาบน้ำสิ เดี๋ยวไปสยามกัน”

ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้า เหนื่อยเป็นบ้า โคตรเหนื่อย เหนื่อยจนเดินขึ้นบันไดยังหอบ ผมกลับขึ้นไปเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำ พอไปหลังบ้านถึงได้รู้ว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าที่เคยแช่ในกะละมังตากบนราว จานคว่ำอยู่ในตู้ และถุงขยะมัดปากไว้อย่างดี

“พี่อู๋ทำหมดนี่เลยเหรอครับ?”

“ใช่ พี่เห็นก้องเหนื่อย” เขาตอบทั้งๆที่ตายังมองทีวี “พร้อมยัง?”

“ครับ”

ผมมองพี่อู๋ที่ดูร่าเริงตรงข้ามกับตัวเองสุดขั้ว เขาช่วยผมปิดประตูหลังบ้านแล้วถือถุงขยะไปทิ้ง แถมยังล็อกกลอนให้เรียบร้อย ตกลงใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่

“คาดเข็มขัดด้วยก้อง”

พี่อู๋บอก ผมมองหาหัวเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่เจอ เขาก็เลยต้องเอี้ยวตัวคร่อมแล้วล้วงหยิบมาคาดให้

“ตัวล็อกมันเสีย หัวก็เลยร่วงไปอยู่ข้างๆน่ะ ก้องต้องล้วงลึกๆนะ”

“ครับ”

ผมตอบ พี่อู๋ยังไม่เคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้รอยยิ้มสดใสอยู่ห่างจากหน้าผมแค่ไม่กี่เซนก่อนจะยอมกลับไปนั่งที่ตัวเองเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของลุงชัยมาจอดข้างๆ

“จะไปไหนอีกไอ้ก้อง?”

“เดินห้างครับ”

“อีกแล้วเรอะ?”

“ครับ ไม่รู้ว่าลุงลืมหรือยัง นี่คือพี่อู๋ พี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ วันนี้เขาขับรถเก๋งมาครับ”

พี่อู๋ยกมือไหว้ลุง ลุงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะบอกผมด้วยประโยคเดิม

“มีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบโทรหาลุงนะ”

“ครับ”

ผมให้สัญญา ถึงจะไม่รู้ว่าความไม่ชอบมาพากลสำหรับลุงชัยคืออะไรก็ตาม พี่อู๋เปิดเพลงในรถ เขาคาดเข็มขัด ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สยามเพื่อไปกินก้อยตามความตั้งใจ

 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงยี่สิบสองนาที

พี่อู๋จอดรถที่สยามแล้วพาผมไปต่อคิวซื้อก้อย ผมยืนหลังผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่แต่งตัวจี๊ดจ๊าดด้วยท่าทางซังกะตาย ท่ามกลางผู้คนสวยหล่อ ผมดูเหมือนศพที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุม ยืนหลังงอคดคู้ต่อคิวเพื่อชานมไข่มุกสองแก้วทั้งๆที่ไม่ได้อยากกินเลย

หลังจากยืนเกือบยี่สิบนาทีก็ถึงคิวสั่งของเรา แล้วก็ต้องรออีกห้านาทีเพื่อรอรับชานมไข่มุกที่ต่อแถวโคตรยาวยิ่งกว่าร้านน้ำปั่นในโรงเรียน เมื่อถึงคิว พี่อู๋ก็รับมาจากพนักงานแล้วส่งให้ผม

“เอ้า โกลเด้นบับเบิ้ลมิลค์ทีหวานน้อยไซส์เอ็ม”

“แพงจัง ตั้งเก้าสิบบาท”

“บ่นทำไม พี่จ่าย มีหน้าที่กินก็กินไป”

พี่อู๋สั่ง เขายืนรอรีวิวจากอย่างคาดหวัง ทันทีที่ไข่มุกสามเม็ดแรกเข้าปาก เขาก็คะยั้นคะยอถามว่าอร่อยไหม? ผมตอบ อร่อยครับ

“เห็นไหม? ถ้าตายเมื่อวาน วันนี้ก้องจะไม่ได้กินก้อยนะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ผมตอบอย่างขอไปที การได้กินชานมไข่มุกแค่แก้วเดียวแต่แลกกับความทรมานอีกยี่สิบสามชั่วโมงที่เหลือนี่คุ้มเหรอ? ผมอยากถามพี่อู๋ แต่เห็นเขากำลังมีความสุขกับชาเขียวเลยปล่อยผ่านไป

อื้ม อร่อย -- ก้อยอร่อย ผมชอบ
แต่คิดว่ามันไม่น่าจะชื่อก้อย ไอ้พี่อู๋มั่วอีกแน่ๆ

พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมยืนกินเฉยๆ เขาลากผมไปพารากอนเพื่อเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา เราเดินตั้งแต่ลานน้ำพุไปจนถึงคิโนะคูนิยะ เขาไม่ถามผมว่าอยากได้อะไร ก็แค่พาเดินเล่นไปทั่วจนถึงเซนทรัลเวิร์ล ใช่ เขาลากผมเดินบนสกายวอล์คโดยไม่ถามเลยว่าเต็มใจไปไหม

สรุปว่าเย็นนั้นผมกินชานมหมดไปหนึ่งแก้ว เดินไปกลับสยามเซนทรัลเวิล์ดหนึ่งรอบ แล้วก็มานอนตายบนรถอย่างหมดสภาพ พี่อู๋เหงื่อชุ่มจนเห็นเสื้อกล้ามด้านในแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยิ้มให้กับทริปเดินเฉยๆไม่ซื้ออะไรอยู่ดี

“ไปไหนต่อดีก้อง?”

“กลับบ้านครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว “กลับบ้าน -- เดี๋ยวนี้เลย”

พี่อู๋ยิ้มแก้มแทบแตก เขาตอบว่าเดี๋ยวแวะซื้อข้าวไปกินด้วยกันนะ แล้วขับรถออกจากสยามทันที





 

 
นาฬิกาบอกเวลาว่า สองทุ่มสามสิบห้านาที

เรากลับถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่ผมเหนื่อย -- เหนื่อยชิบหาย

มันเหนื่อยกายจนไม่มีอารมณ์คิดอย่างอื่นเลยนอกจากอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอน การเดินเกือบสิบกิโลในวันนี้ทำให้ปวดไปทั้งตัว ผมแทบจะคลานลงจากรถ ส่วนพี่อู๋ก็เดินถือถุงกับข้าวตามมาติดๆ เขาช่วยผมตั้งโต๊ะแล้วกินมื้อเย็นด้วยกัน ความเหนื่อยผสมความหิวทำให้ผมตะกละ ยัดเอาข้าวและผัดผักบุ้งเข้าไปหมดจานเหมือนคนอดอยาก

“กินเยอะๆนะก้อง” พี่อู๋ตักหมูสับในแกงจืดให้ “กินให้อิ่มเลย แล้วไปนอนตีพุงข้างบน”

ผมไม่พร่ำเพ้ออยากตายอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการยัดกับข้าวตรงหน้าให้เต็มท้องแล้วอาบน้ำให้หายเหนียวตัว เมื่อทุกอย่างถูกกวาดจนเรียบผมก็ไปล้างจาน ส่วนพี่อู๋นั่งดูทีวีข้างล่าง แอบมองผมเป็นระยะเหมือนคนสอดรู้

“เป็นไงบ้าง?”

“ก็ดีครับ” ผมตอบทั้งๆที่อยากล้มตัวนอนจะแย่ “พี่กลับเถอะครับ ดึกแล้ว”

“ก้องอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวพี่กลับ”

ผมมองเขา เบื่อจะเถียงด้วยก็เลยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวอาบน้ำ ตอนออกจากห้องน้ำก็ยังเห็นพี่อู๋นั่งอยู่ พอผมบอกว่ากลับเถอะ ผมง่วง อยากนอนแล้ว เขาก็บอกว่าขอเดินไปส่งข้างบน

“ครับ”

ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินขึ้นบันไดนำหน้า พี่อู๋ตามไปถึงห้องนอน เขาเปิดพัดลมแล้วสะบัดผ้าห่มอับๆให้ ผมไม่สนว่าเขาจะทำอะไร ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะแอบขโมยของในบ้านหรือเปล่า ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคุยกับพี่อู๋แล้ว ผมล้มตัวลงนอน ถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก ส่วนพี่อู๋นั่งบนพื้นข้างๆไม่ยอมกลับเสียที

“ก้อง”

“ครับ”

“แฮร์รี่สนุกไหม?” พี่อู๋ถาม

“สนุกครับ”

สนุกผีอะไร ฟังไม่ออกซักคำ

“งั้นเดี๋ยวพี่เอาภาคสองมาให้นะ”

ครับ
ผมคิดในใจ ตอบไม่ไหวเพราะเหนื่อยเกินไป

“ก้อง”

“พี่กลับเถอะครับ ผมจะนอน ไม่ต้องปิดประตูนะครับ แถวนี้ไม่มีขโมย”

“พี่แค่จะถามว่าก้องไม่อยากไปสะพานแล้วเหรอ?”

“ไว้พรุ่งนี้เถอะครับ” ผมส่ายหน้าอย่างรำคาญ “ผมเหนื่อย ผมอยากนอน”

“ก้องเดินเยอะไงเลยหมดแรง การออกกำลังกายนี่ดีนะ เห็นไหม ก้องไม่คิดจะไปสะพานแล้ว”

จะอะไรก็ช่างเถอะ -- ไปๆซักที

ผมง่วง พร้อมจะหลับตลอดเวลาแต่พี่อู๋ก็พูดมากอยู่นั่นแหละ เขาชวนคุยทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าตาผมปิดแล้ว ไม่อยากรับฟังแล้ว อยากนอน แต่พี่อู๋นี่แปลกคน ผมจะตายก็ห้ามไม่ให้ตาย พอจะนอนก็ยังมาขัดขวางอีก เขาจะยุ่งอะไรนักหนา รำคาญ

“เมื่อวานพี่ขอโทษนะก้อง” พี่อู๋พูด ผมทำเป็นหูทวนลม “พี่ทำก้องร้องไห้”

“ช่างมันเถอะครับ”

“ก้อง -- ถ้าพี่พาไปหาหมอ ก้องจะไปไหม?”

“ผมไม่มีเงินครับ” ผมตอบปัดๆ “ค่าไฟยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าหมอ”

“พี่รู้จักโรงพยาบาลนึง ค่ารักษาไม่แพงเลย หลักร้อยเอง”

“จะสิบจะร้อยผมก็ไม่มีจ่าย”

“พี่จ่ายให้ก่อน”

“พี่เป็นอะไรเนี่ย ทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวซักที!”

 ผมลุกขึ้นนั่ง โวยวายด้วยความหงุดหงิดเพราะเริ่มล้าจนทนไม่ไหว

“เราไม่ใช่ญาติกัน! เราเพิ่งรู้จักกัน! พี่จะมาช่วยผมทำไมครับ?!”

พี่อู๋มองด้วยแววตาผิดหวัง เขาเสียใจที่ผมพูดแบบนั้นแต่จะให้ทำไงได้ก็ผมง่วง ง่วงเหมือนจะตายแต่ยังไม่ได้นอนซักที

“ก้องอายุยังน้อย ก้องหายได้นะ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี”

“ก้อง ไปหาหมอเถอะ”

“ไม่ไป” ผมล้มตัวลงนอน หยิบผ้าห่มเน่ามาคลุมหัว “ผมจะนอนแล้ว พี่ก็ควรกลับบ้านตัวเองซักที แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีกนะเพราะพรุ่งนี้ผมจะฆ่าตัวตาย เจอกันที่วัดครับ”

“วัดไหน?” เขาถาม

“ไม่ทราบครับ ต้องถามลุงชัย แกน่าจะเป็นคนจัดการศพผม”

“คืนแรกให้พี่เป็นเจ้าภาพได้ไหม? พี่จะเลี้ยงกระเพาะปลา”

รำคาญชิบหาย -- ไอ้พี่อู๋ --

“ตามสบายครับ”

“งั้นพี่ขอเป็นเจ้าภาพคืนแรกกับคืนสุดท้ายนะ”

“ครับ”

“คืนแรกกระเพาะปลา คืนสุดท้ายอะไรดี? ข้าวต้มหมูดีไหม?”

“ครับ”

“โอเค อย่าลืมบอกลุงชัยให้โทรบอกพี่เรื่องวัดด้วย”

“ครับ” ผมกัดฟันตอบ

“แล้วอาทิตย์หน้าก็อาบน้ำแต่งตัวรอนะ พี่จะพาไปหาหมอ”

“ครับ”

 เฮ้ย --

“เย้! สัญญากันแล้วนะก้อง งั้นพี่กลับละ บาย”

พี่อู๋ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเดินลงบันไดไวยิ่งกว่าตอนที่ผมวิ่งไปแย่งอนุสรณ์ของแม่เสียอีก ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงงเมื่อรู้ตัวว่าเผลอรับปากคนเพี้ยนไปแล้ว ไอ้พี่อู๋ ไอ้เจ้าเล่ห์ ไอ้เอาแต่ใจ ไม่รู้จะด่าอะไรแล้วเพราะเหนื่อยมาก ไว้ด่าพรุ่งนี้ ตอนนี้ขอนอนก่อน

เสียงกุกกักล็อกประตูบ้านดังข้างล่างตามด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วเหล็ก พี่อู๋สตาร์ทรถแล้วขับออกไป ส่วนผมก็หลับเป็นตายข้างๆอนุสรณ์ของแม่ หลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลับด้วยความสบายครั้งแรกในรอบหลายเดือน

หลับ -- ด้วยความรู้สึกว่าการไปสะพานไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำอีกแล้ว



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
[/size]
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ตอนต่อไปจะมาเร็วๆนี้ค่ะ  :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2018 19:55:21 โดย ambiguous95 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ไปหาหมอเถอะก้อง อ่านละเหนื่อยตาม สงสารอะ  :katai1: :katai1: :mew6:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
03

นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้ายี่สิบเจ็ดนาที

ผมนอนแผ่บนพื้นโดยเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้อย่างเช่นทุกที พี่อู๋หายตัวไปเกือบสัปดาห์ เขาโทรมาทุกวันแต่ไม่ได้เข้ามาที่บ้านเลย

เรื่องหาหมอยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋จะพาไปหาหมอไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรในสายตาของลุงแก่ๆคนหนึ่ง ผมคิดว่าตัวเองสบายดี อาจมีปวดหัวบ้างตามประสาคนเบื่ออาหารแต่โดยรวมไม่ถือว่าเจ็บป่วยร้ายแรง แล้วพี่อู๋จะพาผมไปหาหมออะไร หมอผิวหนังเพื่อรักษาหน้าโทรมๆของผมงั้นเหรอ

เสียงไอ้แดงเห่ากวนประสาทเรียกให้เงี่ยหูฟัง มีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับเข้ามาช้าๆหน้าบ้าน ใจผมเริงร่า เดาล่วงหน้าว่าเป็นพี่อู๋ พนันสิบบาทเลย ต้องเป็นรถของพี่อู๋แน่ๆ เสียงเครื่องยนต์ดังแถ่ดๆมาจากรถเก่าเท่านั้น ซักพักเจ้าของรถก็ดับเครื่อง ไอ้แดงเห่าซ้ำอยู่หลายครั้งแล้วเงียบไป เสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วบ้านดังขึ้น เสียงฝีเท้าหนักๆเดินขึ้นบันได เสียงถุงพลาสติกเสียดสีกันดังอยู่หน้าประตู

แล้วเขาก็เปิดเข้ามา

“โห ก้อง” พี่อู๋ทำหน้าเหวอเมื่อเห็นสภาพผมบนพื้น “ไม่อาบน้ำกี่วันแล้วเนี่ย?”

ผมยกมือไหว้สวัสดีพี่อู๋ ดีใจที่ได้เจอนะครับ ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาหาซากศพอย่างผมถึงที่ แถมยังซื้อกับข้าวมาให้อีก ใจดีที่หนึ่งแบบนี้ควรเป็นเจ้าภาพงานศพของนายก้องเกียรติซักคืน

“ไปอาบน้ำเร็ว พี่จะพาไปข้างนอก”
“ไปไหนครับ?”
“หาหมอ”
“ผมไม่ไป” ผมกลอกตา เบื่อเหลือเกินกับความจุ้นจ้านของตาลุงนี่ “ผมไม่มีเงิน”
“พี่จ่ายให้ ไปเร็วก้อง --”

พี่อู๋วางถุงโจ๊กแล้วฉุดมือผมให้ลุกขึ้นนั่ง ผมต่อต้านด้วยการพยายามทิ้งตัวบนพื้น แต่พี่อู๋ก็จับข้อมือของผมเอาไว้แน่น เขาลากผมไปตามพื้นไม้ สอดแขนเข้าใต้รักแร้ของผมแล้วหิ้วลงบันได ลากต่อไปจนถึงหน้าห้องน้ำแล้วเปิดประตู

“จะอาบเองหรือจะให้พี่อาบให้?”
“ไม่อาบ”
“ได้”

เขาลากผมเข้าไปในห้องน้ำ ผมร้องโวยวายด้วยความรำคาญ จะอะไรกันนักกันหนา คนเคยเจอกันแค่สองสัปดาห์ จะมายุ่งย่ามทำไม

“อาบเองครับ! อาบเอง!”

ผมตะโกนบอกในที่สุด

“พี่ไปรอข้างนอกเลย เดี๋ยวผมออกไป”

พี่อู๋พูดว่า ดีมาก แล้วหายเข้าไปในครัว ผมปิดประตู ได้ยินเสียงจานชามกระทบกันอยู่เบาๆ เขาคงกำลังจัดโต๊ะมื้อเช้า ส่วนผมต้องอาบน้ำตามที่ได้รับคำสั่งแบบงงๆ สิบนาทีถัดมาผมสวมเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงขาสั้น พี่อู๋นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เขายิ้มเมื่อเห็นผมเดินลงมา

“ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย”

เหรอครับ ผมตอบ แล้วนั่งกินโจ๊กเป็นเพื่อนเขา ผมเกลียดโจ๊กใส่ขิง แต่ถึงเกลียดก็ต้องกินไม่งั้นเขาจะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เราใช้เวลากับมื้อเช้าจนถึงตอนที่พี่น้องไบรท์เริ่มรายงานข่าวพอดี เสียงเพลงเปิดรายการดังขึ้น ผมเก็บจานชามไปล้าง แล้วเราก็ออกจากบ้านด้วยกัน




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบสองนาที

พี่อู๋ขับรถขึ้นสะพาน ผ่านโรงพยาบาลศิริราช เลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่มีเซเว่น ขับผ่านโรงเรียนคริสต์แล้วมาโผล่แถวคลองสาน ผมที่ไม่เต็มใจมาได้แต่นั่งเหม่อมองนอกกระจก พี่อู๋ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมถอนหายใจเพราะเบื่อที่ต้องโดนใครก็ไม่รู้มาเจ้ากี้เจ้าการชีวิต

ผ่านไปสามนาทีรถเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ผ่านไฟจราจรสองแยก ความเร็วเริ่มชะลอลงเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ผมหันหน้าไปทางขวามือตามเสียงไฟเลี้ยวที่ดังก๊อกแก๊ก มีป้ายบอกชื่อสถานที่เขียนอยู่บนแผ่นหินแกรนิต ผมอ่านในใจ

สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา

ไอ้พี่อู๋ -- หลอกผมมาโรงพยาบาลบ้างั้นเหรอ --

“พี่มาผมมาที่นี่ทำไมครับ?”
“หาหมอไง” เขาตอบหน้าตายแล้วเลี้ยวรถข้ามสะพานเข้าเขตโรงพยาบาล “ค่ายาไม่แพง หมอเก่ง ก้องต้องดีขึ้นแน่นอน”
“ผมไม่ได้เป็นบ้า!”
“พี่ไม่ได้ว่าก้องบ้า พี่แค่บอกว่าก้องต้องให้หมอช่วย”

พี่อู๋จอดรถ เขาลากผมลงอย่างถูลู่ถูกังเหมือนละครน้ำเน่าที่แม่ชอบดู พระเอกลากนางเองขึ้นเตียง ส่วนของผมโดนลากเข้าโรงพยาบาลจิตเวช

เรายุดยื้อกันในลานจอดรถเกือบสิบนาที ผมเริ่มไม่พอใจที่คนแปลกหน้าคนนี้เข้ามาบงการชีวิตตัวเองจนเกินไป ผมถามพี่อู๋ด้วยคำหยาบว่าพี่จะเสือกอะไร เขานิ่งทันที ใช้สายตาเย็นเยียบมองมาจนผมเริ่มกลัว

“อยากตายมากใช่ไหม?”

พี่อู๋เค้นเสียงถาม

“งั้นก็เดินไปที่สะพานที่ขับผ่านเมื่อกี๊ไง ขึ้นไปยืนแล้วกระโดดลงมาเลย เดี๋ยวพี่เรียกปอเต็กตึ๊งมาเก็บศพให้ แล้วจะจุดูปนั่งหน้ารถไปส่งถึงวัดด้วย!”

ผมพูดไม่ออกเมื่อโดนประชด ใช่ ผมเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย ใช่ ผมเคยตั้งใจจะกระโดดสะพาน ใช่ ผมนั่งรอความตายทุกวินาที แต่พอพี่อู๋ไล่ให้ไปตายแบบนี้ผมกลับไม่ชอบเลย

“แต่ก่อนไปก็จ่ายเงินมาด้วย”
“ค่าอะไร?”
“ค่าโลงไง”

พี่อู๋กำลังบอกผมทางอ้อมว่าไม่เล่นด้วยแล้ว

“รู้ไหมว่างานศพมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ค่าโลง ค่าคนขับรถส่งศพ ค่าบำรุงศาลาบำรุงไฟของวัด ค่าผ้าบังสุกุล ค่าดอกไม้จันทน์ ค่าทำบุญถวายพระ แล้วยังต้องจ่ายให้สัปเหร่ออีก เผาเสร็จจะไปอยู่ที่ไหน จะลอยน้ำ จะอยู่คอนโดนวัด หรือฝังดินใต้ถุนกุฏิเจ้าอาวาส แถมยังเดือดร้อนเพื่อนบ้านต้องเป็นธุระไปจัดการให้ เสียเวลาทำมาหากินของเขา ถ้าคิดว่าการตายเป็นเรื่องของตัวเองคนเดียวก็ตามใจ แต่ก่อนไปก็จ่ายเงินมาด้วย เพราะพี่จะไม่ยอมจ่ายอะไรให้ก้องอีกแล้วนอกจากค่าหมอและค่าของกิน จำไว้”

คำแดกดันของพี่อู๋ทำให้ผมคิดถึงงานศพแม่ งานเรียบง่ายที่มีแขกแค่เพื่อนบ้านก็ใช้เงินตั้งหลายพัน ต่อให้พระท่านจะเมตตาไม่รับปัจจัยแต่อย่างน้อยเราต้องจ่ายค่าน้ำมันเผาศพและค่าสัปเหร่อเอง

ซึ่งผมจำราคาได้ -- ประมาณสองพันห้า

ค่าน้ำมันเผาศพของแม่ให้กลายเป็นขี้เถ้าก่อนนำไปลอยอังคารมีราคาตั้งสองพันห้า ใช้น้ำมันพืชไม่ได้เหรอ แกลลอนละไม่กี่บาทเอง ร่างของผมก็น่าจะไหม้เหมือนกัน

“พี่พามาที่นี่เพราะอยากให้ก้องได้อยู่ต่อ” พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมน้ำตาคลอเบ้า เขาเสียงอ่อนลงกว่าปกติ “ก้องเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดเอง ชีวิตยังมีอะไรให้เจออีกเยอะนะก้อง อย่ายอมแพ้แค่ตรงนี้สิ”
“แต่ผมเหนื่อย ผมทรมาน”
“พี่เลยพามาหาหมอไง” เขาขยับเข้ามาใกล้ รังสีความโกรธจางหายไป พี่อู๋คนเดิมกลับมาแล้ว “อย่าดื้อเลย มากับพี่เถอะ ถ้าได้กินยาก้องจะรู้สึกดีขึ้น แล้ววันนึงก้องจะขอบคุณที่พี่พามาที่นี่”

ผมไม่ค้านอีกเมื่อสมองกำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในงานศพ ปล่อยให้พี่อู๋จับข้อมืออย่างว่าง่าย เขาพาผมตรงไปที่อาคารสีขาวสามชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อทำบัตรคนไข้ใหม่ แล้วเราก็นั่งรอ




นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงแปดนาที

ผมยังไม่ได้เข้าตรวจ

พี่อู๋บอกว่าการพบแพทย์ด้านนี้ใช้เวลานานกว่าปกติ และเราทำได้แค่รอ เขาบอกให้ผมคิดเรื่องที่จะคุยกับหมอเป็นการฆ่าเวลา ผมเลียริมฝีปากแห้งแตก ไม่ใส่ใจคำแนะนำของเขาเพราะยังคงหมกมุ่นคิดคำนวนค่างานศพคร่าวๆของตัวเอง

ถ้าไม่เอาดอกไม้หน้างาน ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าใช้โลงไม้อัด ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าสวดแค่คืนเดียว ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าเจ้าอาวาสเมตตาไม่รับปัจจัย ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าสัปเหร่อใจดีเผาให้ฟรี ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

ถ้าตัดทุกอย่างทิ้งไป งานศพผมคงออกมาอนาถามาก แขกคงมีแค่ลุงชัย ลุงชื่น พี่ลี ข้าวฟ่าง กับเจ๊หมิวแม่ข้าวฟ่าง พี่อู๋ และบางทีป้าเพ็ญอาจมาด้วยแต่ไม่ร่วมทำบุญ แกมาเพื่อกินข้าวแล้วกลับเหมือนไอ้แดง อาจจะแวะจุดธูปหน้าโลงบอกผมว่าไม่ต้องกลับไปแถวบ้านเพราะแกกลัวผี ส่วนไอ้แดงนี่ไม่ต้องพูดถึง มันมาแน่ มาเพื่อกินข้าวฟรี มาเพื่อหลีสาวแถวศาลา มาเพื่อกัดกับเจ้าถิ่นแล้วเดินกลับบ้านโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลรูปหน้าศพ

ไอ้หมาเวร

ขอด่าอีกซักครั้งเถอะ

ไอ้หมาเวร ไอ้หมาเวร ไอ้หมาเวร

ผมสะบัดหัวไล่งานศพอนาถาของนายก้องเกียรติออกไป การนั่งรอแบบไม่มีจุดหมายเริ่มทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย สิ่งที่รบกวนจิตใจอันเหี่ยวเฉาตอนนี้คือสภาพแวดล้อมชวนหดหู่เหมือนสวนสัตว์ โรงพยาบาลมีเหล็กดัดเกือบทุกที่ ไม่ว่าจะตรงบันได หน้าต่างชั้นสอง หรือจุดไหนที่สามารถกระโดดลงมาได้ล้วนมีกรอบกั้นทั้งสิ้น

เหล็กดัดทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นกอริลลาป่วยๆที่ยืนอยู่ในกรง รอบตัวผมคือฝูงกอริลลาหน้าบึ้งนั่งรอพบหมอ ส่วนพยาบาลคือเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ พวกเขาเป็นผู้เป็นคนที่สุด อารมณ์ดีที่สุด และน่าเข้าหามากที่สุดในบรรดาพวกเรา

ผมเหลือบมองผู้ป่วยคนหนึ่งที่เริ่มชี้หน้าแม่ตัวเอง ก่อนโรงละครลิเกเฉพาะกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อเธอร่ายรำ พี่อู๋ไม่หันไปมองราวกับไม่อยากใช้สายตาสมเพชเวทนาของตนเองทำร้ายจิตใจใคร ส่วนผมได้แต่นั่งอ้าปากเหวอ นี่มันศูนย์รวมคนป่วยชัดๆ

“นายก้องเกียรติเชิญเข้าพบหมอที่ห้องสองค่ะ”

เสียงพยาบาลประกาศเรียก ผมใจเต้นตึกตักเหมือนกอริลลากำลังเข้าโรงเชือด พี่อู๋ให้กำลังใจด้วยการบอกว่าจะรอข้างนอกแต่ไม่ช่วยให้รู้สึกดีเลย คุณพยาบาลเลื่อนบานประตู ในนั้นมีแค่โต๊ะทำงานกับเตียง มีหมอผู้ชายนั่งอยู่ อายุน่าจะสามสิบต้นๆ น่าจะรุ่นเดียวกับพี่อู๋

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือไหว้หมอที่เพิ่งเขียนประวัติของคนก่อนหน้าเสร็จ เขาส่งยิ้มแต่ผมไม่ยิ้มตอบ ดังนั้นการสอบสวนหาความผิดปกติจึงเริ่มต้นแบบเป็นทางการ

“มีอะไรให้หมอช่วยไหมครับ?”

เขาถาม ผมส่ายหน้า

“ไม่มีครับ”

แล้วเราก็เล่นเกมจ้องตากัน หมอไม่ยิ้มอีกเลย เขามองผมราวกับจะล้วงเอาเศษซากความพินาศที่ซ่อนไว้ออกมาให้ได้ ส่วนผมก็หน้าบึ้งเป็นกอริลลาป่วยหนักที่พร้อมจะทุบอกร้องอาละวาดทุกเมื่อ หมอปล่อยให้ห้องเงียบเกือบนาทีจนเราอึดอัดด้วยกันทั้งคู่ แต่แล้วเขาก็พูดต่อ

“ลองแนะนำตัวหน่อยสิครับ”
“ชื่อก้องครับ มาจากก้องเกียรติ” ผมพูดเนิบนาบ “อายุสิบเจ็ดปี”

แล้วจบประโยคแค่ตรงนั้น

ผมไม่รู้ว่าหมอคาดหวังอะไร เขาหวังจะได้เห็นน้ำตา หวังจะได้ยินเรื่องราวน่าอดสูของผู้ป่วยอายุสิบเจ็ดอย่างนั้นหรอกเหรอ ผมมองคุณหมอที่ยังไม่แสดงอาการหนักใจออกมาด้วยแววตาว่างเปล่า เขายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นการถามคำตอบคำเหมือนที่พี่อู๋เคยทำจึงเกิดขึ้นอีกครั้งในห้องตรวจ

เคยคิดอยากฆ่าตัวตายไหม?
เคยครับ
เคยพยายามทำอะไรมาบ้าง?
กระโดดสะพานครับ
ทำไมถึงเลือกกระโดนสะพานล่ะ?
เพราะตายแน่นอน ผมจะตายเพราะแรงกระแทก
ทำไมถึงอยากตายล่ะ? 
แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องอยู่เหรอครับ

ผมไม่ได้กวนตีน ก็แค่ตอบตามความคิดของตัวเอง คุณหมอยังไม่ลดละ เขาถามด้วยท่าทีสบายๆเพื่อให้ผมผ่อนคลาย เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาของผมแน่ๆ ฝันไปเถอะ มันแห้งหมดแล้ว น้ำตาของผมหมดลงตั้งแต่วันที่พี่อู๋พยายามพรากเอาอนุสรณ์ของแม่ไปแล้ว

ก้องนอนหลับไหม?
ไม่หลับครับ
ปกตินอนกี่โมง?
ห้าทุ่มครับ
ตื่นกี่โมง?
ตีสอง สาม สี่ ห้า

ผมกลอกตาพลางนึกย้อนว่าเคยมองนาฬิกาตอนไหนบ้าง

สอง สาม สี่ ห้าครับ

ผมยืนยันคำตอบ คุณหมอดูพอใจกับคำให้การของกอริลลาป่วยจิตตัวนี้ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ งั้นเราคุยเรื่องปัจจุบันก็ได้

ใครเป็นคนพามาหาหมอ?
พี่อู๋ครับ
พี่อู๋คือใครเหรอ?

ผมนิ่ง กัดปากพลางครุ่นคิด

ไม่ทราบครับ
อ้าว แล้วก้องรู้จักพี่อู๋ได้ยังไง?
ผมกำลังจะกระโดดสะพาน แล้วเขาก็เข้ามาขวาง

หมอยิ้ม แสดงออกชัดเจนว่าดีใจที่ผมยอมเล่าให้ฟังบ้าง

ตอนนี้ก้องเรียนหนังสืออยู่รึเปล่า?
ไม่ได้เรียนครับ

ผมจ้องหน้าเขา อย่าเชียวนะ อย่าพูดเรื่องเรียนต่อ ไม่งั้นผมจะคว่ำโต๊ะตัวนี้จริงๆด้วย

ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ?
คะแนนไม่ถึงครับ
ก้องเลือกเรียนที่ไหนบ้าง?

ธรรมศาสตร์ เกษตร ศิลปากร ขอนแก่น

ผมนึกแต่ไม่ได้บอก อยากให้เกมถามตอบนี้จบลงซักที

ก้องสนใจอะไรเป็นพิเศษไหม?
ไม่ครับ
สาขาที่อยากเรียนล่ะ?
คนตายไม่เรียนหนังสือครับ

ผมตัดบท เริ่มแสดงสีหน้ารำคาญ คราวนี้หมอเงียบไปนานมาก เขาคงรู้สึกอับจนหนทางเพราะกอริลลาตัวนี้ดื้อด้านกว่าตัวอื่นๆ

ที่บอกว่าคะแนนไม่ถึงนี่เพราะก้องได้คะแนนน้อยหรือเพราะอะไรเหรอ?
ผมขาดสอบโอเน็ตครับ
ทำไมล่ะ?

ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ?


คำถามกดดันนี้บีบใจผม ทำไมน่ะเหรอ เหตุผลที่นักเรียนมอปลายคนหนึ่งต้องขาดสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตน่ะเหรอ มันจะเป็นเรื่องอื่นได้ไงนอกจากเรื่องคอขาดบาดตาย

“แม่จำวันสอบผิดครับ”

ผมเงยหน้า หมอไม่ถามจี้ต่อ เขาหยุดรอเวลาให้ผมได้เล่าทุกอย่างออกมา เสียงนาฬิกาบนผนังเดินต็อกแต๊กเป็นจังหวะ ความเงียบคือแรงกดดันมหาศาลที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า และหมอก็ใช้มันกดดันผม สายตากับท่าทีของเขาเชื้อเชิญให้ผมต้องพูดอะไรซักอย่าง ไม่งั้นเขาจะฆ่าผมด้วยความเงียบ เขาจะเฉือนเนื้อของผมออกเป็นชิ้นๆจนกว่าจะรู้ความลับที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ข้างใน

จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนกรอบเหล็กดัดของโรงพยาลกำลังพุ่งเข้ามา มันค่อยๆบีบให้จนตรอกเรื่อยๆตามเสียงนาฬิกา ต็อกแต๊ก บีบเข้ามาเรื่อยๆ ต็อกแต๊ก เรื่อยๆ -- ต็อกแต๊ก พูดซักทีสิก้อง ต็อกแต๊ก ระบายมันออกมาเลยก้องเกียรติ ระบาย ต็อกแต๊ก บอกเขาไปว่าใครทำชีวิตแกพัง!

ต็อกแต๊ก
ผมจนมุมแล้ว


ผมกลืนน้ำลายลงคอ กระสับกระส่ายเมื่อคิดถึงวันนั้น ท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมดูแย่จนคุณหมอส่งน้ำให้จิบ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่กรงในใจกำลังบีบผม เหมือนผมจำเป็นต้องพูด ผมต้องระบายมันออกมา ผมต้องบอกให้ใครซักคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ก้อง”

หมอเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ก้องเล่าให้หมอฟังได้นะ มันจะเป็นความลับระหว่างเราสองคน หมอไม่บอกใคร”

มุมปากของผมเริ่มกระตุกถี่ ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะพยายามกลืนก้อนขมในลำคอ คงถึงเวลาที่ผมต้องคายมันออกมา หนามในอกที่ทิ่มแทงผมมาหลายเดือน ผมต้องคายมันออกมาให้ใครซักคนรู้

“แม่ผูกคอตายวันที่มีสอบโอเน็ตครับ”

ผมพูดไปแล้ว

“แม่ผูกคอตายที่บันไดบ้าน ผมต้องทำธุระเรื่องศพก็เลยไปสอบไม่ได้ครับ”




นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงตรง

ไฟในห้องตรวจเริ่มทยอยดับทีละดวงๆ กอริลลาที่เคยนั่งรอบนเก้าอี้พลาสติกจากไปหมดแล้ว เหลือแค่กอริลลาก้องตัวเดียวที่ยังนั่งหน้าห้องตรวจหมายเลขสอง รอเจ้าของพากลับบ้าน

ผมคุยกับหมอเรื่องวันสอบแค่นั้นแล้วหยุด กลายสภาพเป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกชัตดาวน์อย่างเต็มรูปแบบ ไม่พูด ไม่สบตา ไม่ตอบสนองต่อคำถามใดๆนอกจากมองนาฬิกาเท่านั้น หมอเห็นว่าการยื้อคนใบ้เอาไว้ไม่เกิดประโยชน์ก็เลยขอพบญาติ ผมบอกเขาว่า ไม่มีหรอกครับ ผมอยู่คนเดียว หมอจึงพูดสวนขึ้นมา

“พี่อู๋ไง”

เขาไม่ใช่ญาติผม
แต่พี่อู๋ก็เสนอหน้าเดินเข้าห้องตรวจไปแล้ว

หลังการรอคอยอันทรมานและแสบไส้ พี่อู๋ออกมาเสียที ไฟในห้องตรวจที่สองดับลง คุณพยาบาลเชิญไปชั้นล่างเพื่อชำระเงินและรับยา เราจึงเดินลงไปพร้อมกัน

“ก้อง”
“ครับ?” ผมมองพี่อู๋ เขายกมือโคลงหัวผมเบาๆ
“ต่อไปนี้พี่คือผู้ปกครองของก้องนะ”

ครับ เอาที่สบายใจ ต่อให้บอกว่าอย่ายุ่งเขาก็คงไม่ฟังอยู่ดี




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบห้านาที

ผ่านไปสิบวันแล้วหลังจากหาหมอที่โรงพยาบาล ผมได้ยามาสองตัว เป็นยาหลังอาหารเช้าและก่อนนอน พี่อู๋กับเภสัชบอกว่าถ้าได้กินยาจะรู้สึกดีขึ้น โกหกทั้งเพ เพราะตั้งแต่วันแรกที่กินยาจนถึงวินาทีนี้ ไม่มีวันไหนที่ผมไม่ร้องไห้เลย

ก่อนจะเจอพี่อู๋ ผมผ่านช่วงเวลาน้ำตานองหน้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาแล้ว และหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะไม่ยินดียินร้ายที่ร้องไห้ไม่ออก ผมกลายเป็นคนตายด้านกับทุกอย่างรอบตัว ไม่สนุกหรือมีความสุขตามประสาเด็กอายุสิบเจ็ด ไม่มีกิจกรรมที่อยากทำ ไม่มีอนาคตที่อยากจินตนาการ ไม่มีเรื่องให้คิด มันว่างเปล่า มันตื้อตัน มันไม่เหลืออะไร

ภาวะไม่ยินดียินร้ายเหมือนเรากำลังยืนในห้องสี่เหลี่ยมอับๆที่ไม่มีหน้าต่าง เพดานเตี้ยจนเกือบชิดศีรษะ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีสิ่งบันเทิงใจ ไม่มีแสงสว่าง และเราทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนหายใจทิ้งไปเฉยๆ ผมตกอยู่ในภาวะนั้นเป็นสัปดาห์ มุ่งมั่นตั้งใจจะทำลายกำแพงเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้ได้รับอิสรภาพด้วยการฆ่าตัวตาย แต่แล้วพี่อู๋ก็เข้ามา --

พี่อู๋ทำชีวิตผมพัง

เขาทำให้ผมกลับมาอยู่ในวงจรเก่าๆ เขาไม่ได้อยู่กับผมทั้งวัน เขาไม่รู้หรอกว่ากี่คืนที่ผมทุรนทุรายร้องไห้เพราะคิดถึงเรื่องในอดีต ผมนึกถึงใบหน้าที่ลิ้นจุกปากของแม่ นึกถึงรถมูลนิธิมาที่บ้าน นึกถึงงานศพ นึกถึงเชิงตะกอน นึกถึงใบหน้าเรียบเฉยอันสงบสุขของแม่ก่อนเข้าเตาเผา นึกถึงเถ้ากระดูกสีเทาบนผ้าดิบ นึกถึงภาพตัวเองโปรยเศษร่างกายของแม่ลงน้ำ นึกถึงความมืด นึกถึงเสียงพระสวด นึกถึงเชือก นึกถึงทุกอย่าง

มันหลอกหลอนจนผมไม่กล้าแม้แต่จะลงบันไดเพราะกลัวเชือกของแม่ที่พาดอยู่ ผมระแวงตกใจเสียงกุกกักจากบานประตูเมื่อลุงชัยแขวนข้าวเหนียวไก่ทอดหรือแม้กระทั่งตอนที่พี่อู๋มาเยี่ยม ผมเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทนหายใจให้ครบชั่วโมง ดังนั้นเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา ผมก็ปาของใส่เขา

“อะไรเนี่ยก้อง?!”

เขาถาม ส่วนผมเอาแต่ร้องไห้ ฟูมฟาย โวยวายเสียงดังว่าเพราะเขาพาไปหาหมอ เพราะเขาบีบบังคับให้ผมต้องเล่าในสิ่งที่ไม่อยากเล่า ผมก็เลยตกอยู่ในสภาพนี้ แถมยาพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันกำลังฆ่าผม ยาเฮงซวยที่อย.รับรองนั่น มันกำลังกัดกินจิตใจผมจนเปื่อยยุ่ย พอกันที ผมจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เวลานี้ พี่อู๋รอดูได้เลย

“หยุดเดี๋ยวนี้นะก้อง!”

ผมไม่ฟัง

แล้วสงครามยื้อแย่งก็เกิดขึ้นในบ้าน ข้าวของพังระเนระนาดเพราะผมกวาดทิ้งและพยายามขัดขืนพี่อู๋ ผมกรีดร้องจนเจ็บคอ ปวดหัวตุบๆเพราะความดันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของผมคือมีดในครัว

ผมจะกรีดแขนตัวเอง
กรีดให้ลึกถึงกระดูก
กรีดให้ยาวจนถึงข้อศอก
กรีดให้ตาย

ผมเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่นแต่พี่อู๋รู้ทัน เขาคว้าเอวผม กดผมให้นอนลงไปบนพื้นแล้วกอดแน่น จากนั้นก็พยายามพูดให้เข้าใจ

“ก้อง -- ก้อง --” เขาเรียก น้ำเสียงสั่นเหมือนคนกำลังกลัวสุดขีด “ก้องทรมานใช่ไหม? ก้องเหนื่อยใช่ไหม? ยาไม่ทำให้ดีขึ้นเลยเหรอก้อง?”

ผมส่ายหน้าแล้วร้องไห้ ผมด่าเขา ด่าพี่อู๋ว่าเสือก ด่าว่าไม่น่าสาระแนชีวิตคนอื่นเลย น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่โกรธ พี่อู๋ปล่อยให้ผมด่าทอจนพอใจ ยอมให้ด่าจนเหนื่อย และเมื่อหมดแรงจะพูด ตัวผมก็อ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดเขา

“พี่จะรั้งผมให้อยู่ต่อไปทำไม ผมไม่เหลือใครแล้ว”

ผมร้องไห้ บอกเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวอย่างทุกข์ทรมาน

“ไหนพี่บอกว่ามันจะดีขึ้นไง?”
“มันต้องใช้เวลา ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ช่วงอาทิตย์ที่สอง ก้องอดทนหน่อยได้ไหม อีกแค่สี่วันเอง สี่วันพี่จะพาก้องไปหาหมอตามนัดไง เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่อยากไป ผมเกลียดพี่ ผมเกลียดที่นั่น”

มันเหนื่อยจนบรรยายไม่ออกว่าเกลียดแค่ไหน ผมพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อเริ่มสงบลง การปลดปล่อยพลังงานเมื่อครู่ทำให้ผมหมดแรง ผมอ่อนเพลียจนลุกไม่ไหว ทำได้แค่นอนนิ่งๆให้พี่อู๋กอดปลอบเท่านั้น

เขารอเวลาจนแน่ใจว่าผมจะไม่อาละวาดอีกจึงคลายกอดที่รัดแน่นออก เหลือไว้แค่การโอบหลวมๆประคองไม่ให้ผมลงไปกองบนพื้น เขาลูบเส้นผมเหนียวเหนอะที่ไม่ได้สระมาเป็นอาทิตย์อย่างไม่รังเกียจ เขาคือคนแรกที่ปลอบผมแบบนี้ หลังจากสูญเสียทุกอย่างไป ไม่เคยมีใครกอดผมเหมือนเขาเลย

“คืนนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อน”

พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมเริ่มล่องลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ก้องไม่ได้อยู่คนเดียว ก้องยังมีพี่เป็นผู้ปกครองทั้งคน”

แล้วผมก็ร้องไห้อีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเขา


TBC


----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ  หวังว่าจะชอบน้องก้องไม่มากก็น้อยน้า :hao5:


!!! ขอชี้แจงนิดนึงในส่วนที่บรรยายฉากโรงพยาบาลนะคะ ที่ก้องเปรียบเปรยโรงพยาบาลว่าเป็นสวนสัตว์ อันนี้เราใช้มุมมองของคนป่วยที่ไม่เต็มใจรักษามาเขียนนะคะ ไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลเป็นแบบนั้นเพราะจริงๆแล้วรพ.สมเด็จเจ้าพระยาดีมาก พยาบาลดี หมอดี มีแอร์ด้วย ไม่ได้อึดอัดหรือน่ากลัวเลยค่ะ ก้องเกียรติเค้าเว่อร์ เค้าเปรียบเปรยแย่เพราะมีอคติกับโรงพยาบาลจิตเวช เข้าใจหนูด้วยน้า มันต้องอิงตามมุมมองของตัวละคร เพราะถ้าบรรยายสภาพจริงๆก้องก็คงดูไม่ป่วยเลย เพราะโรงพยาบาลดีมากๆ ไม่น่ากลัวซักนิด ขอบคุณที่อ่านคำชี้แจงถึงตรงนี้นะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ ♡´・ᴗ・`♡   !!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2018 19:56:08 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ villevia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านละเครียดตามเลยค่ะ555 แงงงง
มันจะไม่หลอนๆงี้ตลอดไปใช่มั้ยคะ :hao5:

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
ก้อง ลูก เจอมาหนัก แบบนั้น ประคองสติได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว
ยังไม่ใช่วันนี้นะก้องนะ รอก่อน

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ่านแล้วเครียดตามก้องเลย แล้วพี่อู๋จะเป็นไงมั่งเนี่ย  :pig4:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เครียดมากค่ะ สงสารน้องอ่ะ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
04

นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงห้าสิบนาที

กอริลลาก้องกำลังนั่งอยู่ในห้องตรวจโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา

ตรงข้ามผมคือคุณหมอคนเดิม นั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ห้องตรวจเดิม สีขาวเหมือนเดิม มีแต่เสียงนาฬิกาเหมือนเดิม และนายก้องเกียรติที่ยังจิตป่วยเหมือนเดิม

นี่คือครั้งที่สามของการพบกันระหว่างเรา หมอยิ้มดีใจเมื่อเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่และมาตามนัดทุกครั้ง สวัสดีก้อง หมอทักทาย ช่วงนี้เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ผมไม่รู้จะตอบอะไรจึงทำเพียงพยักหน้าส่งๆ เหนื่อยจะพูด เบื่อจะเล่า ช่วยจ่ายยาแล้วปล่อยตัวกอริลลาก้องไปซักทีเถอะ

การรักษาครั้งที่สองไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ ผมเอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมเล่าจนหมอต้องเรียกพี่อู๋เข้ามาแทน พวกเขาคุยนานเกือบครึ่งชั่วโมง คุยเหมือนเขาเป็นคนป่วย ส่วนผมเป็นญาติที่มารอเฉยๆ วันนั้นพี่อู๋เดินออกจากห้องตรวจด้วยสีหน้าเครียดๆแล้วบอกว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อีก ผมคงต้องแอดมิทที่นี่เพราะหมอจะไม่ปล่อยให้กลับบ้าน

“ไม่เอาครับ” ผมตอบเสียงแข็ง ร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับกอริลลาตัวอื่นที่ป่วยหนักไม่แพ้กัน
“ถ้าไม่อยากแอดมิทต้องกินยาให้ตรงเวลา แล้วสัญญากับพี่ว่าก้องจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

พี่อู๋ก็พูดง่าย ใครจะไปห้ามตัวเองได้วะ

ดังนั้นการเจอกันครั้งที่สามของเราจึงมีเรื่องให้คุยเยอะแยะ หมายถึงหมอนะ เพราะตัวผมเองไม่มีอะไรอยากพูดอยู่แล้ว แต่จู่ๆหมอก็ถามถึงแม่ แม่ที่ไม่เคยถูกพูดถึงเลยตั้งแต่กลายเป็นขี้เถ้าเมื่อหลายเดือนก่อน แม่ที่เป็นต้นเหตุของมวลความเศร้าตอนนี้

“ก้องสนิทกับแม่ไหม?”

ผมครุ่นคิด พยายามประกอบเศษความทรงจำที่ไม่ปะติปะต่อตลอดสิบเจ็ดปี แน่นอนว่าผมรู้จักแม่ตัวเอง รู้ว่าแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาแบบไหน แม่เป็นคนผิวขาว ตาสองชั้น มีลักยิ้ม ผมของแม่สีดำขลับ ตัวผอมลีบเหมือนจะปลิวตามแรงลมอยู่ตลอดเวลา แม่คือภาพสะท้อนของผมเวลามองกระจก แม่คือผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก และเป็นคนทำลายผมให้ย่อยยับด้วยเชือกเพียงเส้นเดียว

“สนิทครับ”

ผมตอบ แต่ยังลังเลกับคำตอบของตัวเอง

“ก้องรู้สึกยังไงกับแม่เหรอ?”

ไม่รู้
นั่นคือคำตอบ

คำถามของหมอยากเกินไปจนตอบทันทีไม่ได้ สมองกลวงๆพยายามรวบรวมความรู้สึกต่างๆที่มีถึงแม่ ในหัวของผมไม่มีภาพอื่นนอกจากร่างห้อยต่องแต่งบนราวบันได ไม่มีความทรงจำดีๆที่อยากกล่าวถึง ไม่มีอะไรให้ระลึกถึงผู้หญิงที่เลี้ยงผมมาเลย
หมอไม่กดดันเอาคำตอบแต่ก็ไม่ปล่อยผ่านคำถามนี้ไปง่ายๆ เขาอดทนรอได้อย่างน่าเหลือเชื่อแม้ว่าผมจะเริ่มชัตดาวน์ตัวเองเหมือนครั้งก่อนหน้า เสียงนาฬิกาในห้องดังต็อกแต๊ก กอริลลาบางตัวเริ่มเปิดโรงละครหน้าห้องตรวจ ผมนั่งครุ่นคิดทบทวนถึงแม่ในความทรงจำ แล้วก็นึกออกว่าเคยรู้สึกยังไงกับแม่

แม่ -- คือฤดูฝนที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผม




นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงสี่สิบหกนาที

ผมอยู่ที่เซนทรัลปิ่นเกล้ากับพี่อู๋อีกครั้ง

เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเราคุยกันเรื่องน้ำแข็งไส เขาบอกว่าหลังกินข้าวเสร็จจะพาไปกินน้ำแข็งไสที่อร่อยที่สุดในโลก(ส่วนตัวของเขา) การตะลอนกินของอร่อยๆหลังหาหมอกลายเป็นธรรมเนียมเล็กๆของเราสองคนไปแล้ว สัปดาห์ก่อนเรากินเคเอฟซี อาจจะไม่แปลกใหม่ แต่ไก่ทอดถังใหญ่ก็เล่นเอาซะผมเบื่อไปหลายวันเลย

“วันนี้พี่จะพาไปกินซอลบิง”

พี่อู๋พาผมไปที่เคาน์เตอร์ร้านขายของหวานที่มีตัวอักษรเกาหลีเขียนอยู่ เขายื่นเมนูให้เลือกแต่ผมไม่อยากกินอะไรจึงบอกเขาไปว่าน้ำแข็งไสก็เหมือนกันทั้งนั้น พี่อู๋สั่งเองเถอะ ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ผมไม่มีสิทธิ์เลือกหรอก

“พี่อยากให้ก้องกินของที่ชอบ”
“ผมไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ” ผมตอบ น้ำเสียงเนือยๆเบื่อๆอย่างทุกที
“ชอบสตรอว์เบอร์รี่ไหม?” พี่อู๋ชี้นิ้วบนรูปน้ำแข็งไสโปะหน้าด้วยผลไม้สีแดงสองถ้วยที่วางอยู่ข้างกัน ผมอ่านชื่อเมนูในใจ

ซอลบิงสตรอว์เบอร์รี่ กับ ซอลบิงสตรอว์เบอร์รี่พรีเมี่ยม
มันต่างกันตรงไหนวะ

“มีมะม่วง เมล่อน มีบลูเบอร์รี่ชีสด้วย”

ผมกวาดสายตาดูเมนูคร่าวๆ แพงชิบหาย น้ำแข็งไสบ้าอะไรถ้วยละสองร้อยกว่าบาท ใจผมอยากเดินออกจากร้านแทบแย่เพราะรู้สึกเข้าไม่ถึง แต่ก็รู้ว่าพี่อู๋เป็นพวกอยากกินต้องได้กิน ไม่มีอะไรหยุดปากเขาได้

“ปกติพี่กินอะไรครับ?”
“เมล่อน” เขาชี้ไปที่เมนูชื่อซอลบิงเรียลเมล่อน ผมตาโตเมื่อเห็นราคา เกิดมาไม่เคยเจอน้ำแข็งไสถ้วยละเกือบสี่ร้อยมาก่อน “แต่ถ้าก้องชอบสตรอว์เบอร์รี่ พี่จะสั่งให้”

ผมคงใช้เวลาตัดสินใจนานเกินไปจนเริ่มมีลูกค้าต่อแถวรอคิวสั่งข้างหลัง พี่อู๋กดดันผมด้วยการเร่งให้เลือกไวๆ สุดท้ายผมก็เลือกน้ำแข็งไสถั่วแดงและนมเพราะราคาสองร้อยกว่าบาท ถูกที่สุดในร้าน พี่อู๋จะได้ไม่ต้องจ่ายเยอะด้วย

“พี่ไม่กินถั่วแดง”
“งั้นพี่เลือกเองเลยครับ” ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะให้เลือกทำไมตั้งแต่แรก
“เอาเป็นเรียลเมล่อนก็แล้วกันครับ”

พี่อู๋บอกพนักงานและจ่ายเงินสี่ร้อยบาทเพื่อน้ำแข็งไสถ้วยเดียวอย่างง่ายดาย ผมยืนหน้าตึงอยู่ตรงเคาน์เตอร์อีกไม่กี่วินาทีจนกระทั่งพนักงานยื่นใบเสร็จให้พร้อมพลาสติกกลมๆหนึ่งอัน

“พอมันร้อง ก้องก็เดินไปเอาที่เคาน์เตอร์นะ”

ครับ ผมตอบ แล้วนั่งเฉยๆรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับครุ่นคิดว่าน้ำแข็งไสนี่มันวิเศษตรงไหนถึงตั้งราคาได้โหดขนาดนี้ ผมเลื่อนสายตามองพี่อู๋ที่กำลังเท้าคางมองหน้าอยู่พอดี เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมจ้องเขม็งก่อนจะถามว่ามีอะไร

“เปล่าครับ” ผมปฏิเสธ “แค่สงสัยว่าพี่พาผมมากินของแพงทำไม”
“เพราะพี่อยากให้ก้องรู้ว่าโลกนี้ยังมีของอร่อยอีกเยอะที่ก้องยังไม่ได้กิน”
“ผมรู้แล้วมันได้อะไรขึ้นมา กินเสร็จผมก็อยากตายอยู่ดี”
“ก็จะได้มากินเป็นเพื่อนพี่อีกไง”
“ทำไมพี่ไม่ชวนเพื่อนล่ะครับ? เพื่อนไม่คบเหรอ?”

พี่อู๋หัวเราะ ไม่ยอมบอกกว่าทำไมไม่ชวนเพื่อนแทนเด็กประสาทแดกแบบผม ยังไม่ทันได้คำตอบ พลาสติกสีขาวก็แผดเสียงร้อง เขาบอกให้ผมเดินไปรับบิงซูที่เคาน์เตอร์จะได้รู้ว่าทำไมมันถึงแพง

“กินให้หมดนะก้อง ถ้าเหลือนี่เสียดายแย่”

ผมพยักหน้ารับ รู้อยู่เต็มอกว่ากินไม่หมดแต่ขี้เกียจพูด พี่อู๋กินน้ำแข็งไสด้วยท่าทีสบายๆเหมือนกินบ่อย ผมมองเขาแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาหนึ่งคำเพื่อลองชิม เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆแทบจะละลายหายไปทันทีที่สัมผัสลิ้น รสชาติหวานนิดๆคล้ายนมทำให้ผมประหลาดใจจนต้องตักคำที่สอง

อร่อย -- นี่คือน้ำแข็งไสที่อร่อยโคตรๆสมคำโม้ของพี่อู๋

ผมฉวยโอกาสตอนพี่อู๋ก้มหน้าก้มตากินใช้นิ้วแตะเกล็ดน้ำแข็งบนช้อน มันเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวทันทีแค่โดนความร้อนจากปลายนิ้ว  แถมยังเนียนนุ่มเหมือนสำลี น้ำแข็งไสถ้วยนี้ต่างจากที่เคยกินอย่างสิ้นเชิง ผมไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้เวลามันละลายหายไปในปาก เบาบางเหมือนสายไหมแต่ไม่หวานแสบคอ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่อู๋ถึงชอบ เพราะบิงซูมันอร่อยแบบนี้นี่เอง

“คราวหน้าเรากินสตรอว์เบอร์รี่ดีไหม? ก้องจะได้ลองของใหม่ๆบ้าง”
“ครับ”

เป็นครั้งแรกที่ผมตอบพี่อู๋ว่าจะมากินอีก น้ำแข็งไสนี่น่าประทับใจชะมัด ไม่รู้เป็นเพราะความอร่อยหรือเศษเสี้ยวความทรงจำขาดวิ่นที่ทำให้ผมพูดแบบนั้นออกไป

“ราดน้ำแดงเยอะๆนะแม่”

แม่ในความทรงจำพยักหน้า ใช้ยางรวบผมเป็นหางม้าก่อนจะบอกคนขายให้ราดเฮลซ์บลูบอยเยอะๆตามคำขอ   

“ซีกนึงเป็นน้ำแดง อีกซีกเป็นมะลิได้ไหมก้อง?”
“ก็ได้”

เด็กชายก้องเกียรติตอบ แม่ยิ้มที่ผมไม่งอแงเอาแต่ใจ ก่อนเราจะเดินถือถ้วยพลาสติกที่มีน้ำแข็งไสราดน้ำแดงกับน้ำมะลิกลับบ้านด้วยกัน

“มันละลายจนจะหกแล้ว ก้องดูดหน่อยเร็ว”

แม่ยื่นหลอดเล็กๆที่คนขายเสียบบนน้ำแข็งมาให้ ผมรับมันไปดูดอึกๆ รสชาติของเฮลซ์บลูบอยหวานจนแสบคอ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังชอบกินอยู่ดี

“ก้องไม่ชอบรสมะลิเลยแม่”
“งั้นคราวหน้าแม่ซื้อแยกก็ได้ ก้องถ้วยนึง แม่ถ้วยนึง”

ผมยิ้ม เงยหน้ามองแม่

“แม่ ก้องอยากกิน -- ”

บทสนทนาของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่หยุดลงแค่นั้นเพราะสัมผัสอุ่นๆจากมือพี่อู๋เรียกให้กลับมาอยู่ในร้านซอลบิง ผมกระพริบตา มองหน้าผู้ชายที่สร้างความทรงจำกับน้ำแข็งไสขึ้นมาซ้อนทับของแม่ด้วยความงุนงง

“เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมถือช้อนค้างไว้แบบนั้น?”

ผมไม่ตอบนอกจากตักเกล็ดหิมะสีขาวเข้าปากอีกคำ พี่อู๋ไม่สบายใจเมื่อเห็นผมหลุดหายไปช่วงหนึ่ง แต่ผมก็เป็นแบบนี้ ผมมักจะหายไปเหมือนถูกชัตดาวน์เพราะการมีอยู่ของแม่เริ่มปรากฎชัดขึ้น มันดูดผมกลับไปช่วงเวลาหนึ่งเหมือนไทม์แมชชีน พาผมไปเจอภาพเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ บทสนทนาที่เก่าๆเราเคยคุย แต่สุดท้ายแม่จะปล่อยผมให้กลับมาเผชิญโลกแห่งความจริงคนเดียว แม่ไม่ได้ตามมาด้วย แม่ทิ้งผมไว้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริง

พี่อู๋ไม่มีอะไรเหมือนแม่ ทั้งหน้าตา นิสัยและคำพูด แต่บางครั้งผมรู้สึกเหมือนเขาคือหุ่นเชิดที่มีแม่คอยชักใยอยู่ข้างบน เหมือนแม่กำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเขา สั่งให้ทำนั่นทำนี่อย่างเอาแต่ใจ ผมมองหน้าพี่อู๋ มองผู้ชายที่น่าจะแก่กว่าหลายปีด้วยความสงสัยว่าเขาคือใคร ไปหาผมที่สะพานได้ไง แล้วทำไมต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนแปลกหน้าอย่างผมด้วย

“พี่อู๋อายุเท่าไหร่ครับ?”
“รู้จักกันมาสองเดือนกว่า เพิ่งคิดจะถามเหรอก้อง?” พี่อู๋ประชด แต่ใบหน้ายิ้มแป้นราวกับรอคำถามนี้มานาน “ไม่กี่เดือนพี่ก็สามสิบเอ็ดแล้ว”
“พี่เกิดเดือนอะไร?”
“พฤศจิกา พี่เกิดหกพฤศจิกา” เขาตอบ “ก้องจะให้ของขวัญพี่ใช่ไหม?”
“ผมอยู่ไม่ถึงตอนนั้นหรอก เดี๋ยวผมก็ตายแล้ว”
“แต่ก็ยังไม่ใช่วันนี้อยู่ดี” พี่อู๋ยักไหล่
“พี่ทำแบบนี้ทำไมครับ?”
“ทำอะไรเหรอ?”
“เอาเงินมาทิ้งกับคนตาย”
“พี่ไม่ได้ซื้อโลงให้ก้องซะหน่อย จะบอกว่าเอาเงินมาทิ้งกับคนตายได้ไง”

กวนตีน

ผมคิด แต่ไม่ได้พูดเพราะยังอยากกินน้ำแข็งไสอีก

“พี่อู๋ทำงานอะไรครับ?”
“ตอนนี้ตกงานอยู่ เพิ่งลาออกวันที่โทรหาก้องไง”
“พี่ลาออกเพราะผมเหรอ?”
“เปล่า พี่เกลียดนายญี่ปุ่น” พี่อู๋แค่นหัวเราะ สีหน้าอาฆาตแค้นเริ่มปรากฏให้เห็น เขาคงเกลียดมากจริงๆ ถึงขนาดสับเมล่อนออกเป็นชิ้นเละๆ
“งั้นพี่อย่ามาหาผมเลย เปลืองเงินเปล่าๆ พี่ควรเก็บเงินไว้เผื่อว่างยาวนะ”
“ก้อง พี่อายุสามสิบเอ็ดแล้ว พี่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร” เขาเขกหัวผม มันเจ็บจนต้องเอามือลูบป้อยๆ “อีกอย่างงานพี่หาง่าย แค่สมัครก็โดนเรียกแล้ว”
“พี่เคยทำงานอะไรเหรอครับ?”
“ขายโคเคน”

เชี่ย -- พูดจริงเหรอวะ

“ไม่เอะใจเลยเหรอว่าทำไมพี่มีเงินมีเวลามาเลี้ยงก้องขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะขายยา รู้ไหมว่าค่าบิงซูถ้วยนี้ก็ได้มาเพราะโคเคนนะ”

ผมอ้าปากค้าง มือไม้อ่อนปวกเปียกจนช้อนหล่นบนโต๊ะดังเคร้ง

“อย่าบอกใครล่ะ” พี่อู๋โน้มตัวมากระซิบ “พี่เอาล็อตใหญ่มาส่งที่นี่ด้วย เดี๋ยวจะมีผู้ชายมารอที่แมคโดนัล ก้องต้องเป็นคนเอากระเป๋าไปให้เขา ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่พี่เลี้ยงของอร่อยๆก็แล้วกันนะ”




นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงห้าสิบแปดนาที

ไม่มีโคเคน ไม่มีเด็กส่งยา ไม่มีเจ้าพ่อมาเฟียหรือผู้ชายหน้าไหนมารอที่แมคโดนัลทั้งนั้นเพราะไอ้พี่อู๋โกหก และตอนนี้คนขี้โกหกก็พากอริลลาก้องมาพบหมอเป็นครั้งที่สี่แล้ว

หน้าห้องตรวจยังคงเต็มไปด้วยกลุ่มกอริลลาเหมือนเดิม ใบหน้าเฉยชาแสดงออกว่าเบื่อเหมือนเดิม ผมเคยคิดอยากสงเคราะห์ด้วยการเข้าตรวจแค่ห้านาทีเพื่อให้คนถัดไปได้พบหมอเร็วขึ้นแต่ไม่เคยสมหวัง หมอไม่ปล่อยผมออกมาง่ายๆ เขาจะคุยขิงคุยข่า คุยถึงปลาในน้ำ ถึงนกบนฟ้า ถึงอะไรก็แล้วแต่จนกระทั่งผมระบายความอึดอัดออกมาเองด้วยความสมัครใจ

“เป็นไงบ้างก้อง? ดีขึ้นไหม?”

กอริลลาก้องยกมือไหว้คุณหมอ ตอบคำถามไปว่า ดีครับ นอนหลับสนิทครับ เริ่มอยากกินโรตีสายไหมแล้วครับ วันก่อนได้กินน้ำแข็งไสยี่ห้อบิงซูด้วยครับ

“ดีจัง พี่อู๋พาไปกินเหรอ?”
“ครับ”
“น้ำแข็งไสอร่อยไหม?”
“อร่อยครับ”
“น้ำแข็งไสของก้องราดน้ำอะไร?”
“เฮลซ์บลูบอยสีแดงครับ”

ผมตอบแล้วนิ่งเงียบ เพราะรู้ตัวว่าไม่พูดถึงน้ำแข็งถ้วยที่พี่อู๋พาไปกินเมื่อสัปดาห์ก่อน เหมือนหมอก็รู้ว่าผมกำลังถูกดึงกลับไป เขาจึงนั่งฟังอย่างตั้งใจ มองด้วยแววตาไร้อารมณ์เพื่อไม่ให้ผมคิดว่าสิ่งที่จะเล่าคือเรื่องน่าเวทนาแต่อย่างใด

“ผมชอบกินน้ำแข็งไส ตอนเด็กๆแม่ซื้อให้กินบ่อยครับ”

หมอไม่ถามต่อ ยังคงรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“แม่จะซื้อแค่ถ้วยเดียวเพราะผมไม่เคยกินหมด ครึ่งหนึ่งราดน้ำแดง อีกครึ่งราดน้ำมะลิ แม่ชอบรสมะลิ น้ำแข็งไสของเราก็เลยเป็นสองสี มีเวเฟอร์แบบแท่งรสช็อกโกแลตปักอยู่ข้างถ้วย มีเยลลี่ มีลูกชิดที่แม่ชอบ”

ผมคิดถึงขวดแก้วใสใบใหญ่ๆ คิดถึงเวเฟอร์แบบแท่งในถังปี๊บ คิดถึงรสชาติหวานชื่นใจของเฮลซ์บลูบอย คิดถึงก้อนน้ำแข็งที่วางอยู่บนแท่นไม้ คิดถึงเสียงกระดิ่งของรถขายน้ำแข็งไส คิดถึงหางม้าของแม่ คิดถึงเสื้อสีขาวตัวเก่งของแม่ คิดถึงเสียงของแม่ คิดถึง --

“ผมคิดถึงแม่”

ผมอ่อนแออีกแล้ว

“ผมไม่เข้าใจว่าแม่ทำแบบนี้ทำไม”

ไม่มีจดหมายบอกลา ไม่มีคำสั่งเสีย ไม่มีอะไรเลยนอกจากเชือกเส้นใหญ่ที่เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึง แม่จากไปโดยไม่บอกเหตุผล ไม่เคยอธิบายว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเจอเรื่องอะไรถึงตัดสินใจแบบนั้น แม่ไม่เคยพูด และนั่นทำให้ผมค้างคามาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ทำเหมือนเราไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

ผมร้องไห้หนักขึ้นจนหมอต้องส่งทิชชู่ให้ ผมดึงออกมาหนึ่งแผ่นเพื่อเช็ดน้ำตา แต่มันขาดยุ่ยจนต้องหยิบแผ่นที่สอง แผ่นที่สาม แผ่นที่สี่ ผมหยุดดึงทิชชู่แล้วสะอื้น ในห้องไม่ได้มีแค่เสียงนาฬิกาหรือเสียงร้องโวยวายของกอริลลาหน้าห้องตรวจอีกแล้ว แต่ยังมีเสียงคร่ำครวญของก้องเกียรติด้วย

“แม่คือฤดูฝนสำหรับผม” ผมเงยหน้าบอกหมอ พูดไปสะอึกไปเพราะหายใจไม่ออก “ผมไม่เคยเข้าถึงแม่เลย”

ในความทรงจำ แม่เหมือนเมฆฝนที่ก่อตัวขึ้นในบ้าน บรรยากาศอึมครึมเย็นๆไร้ชีวิตชีวา สีหน้าท่าทางเฉยชาราวกับเบื่อนักหนาและอยากไปให้พ้นๆจากตรงนี้ แต่ถึงแบบนั้นแม่ก็ไม่เคยเลี้ยงผมแบบทิ้งๆขว้างๆ แม่ส่งผมเรียนหนังสือ ซื้อของดีๆให้ใช้เมื่อมีโอกาส แม่ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอดสิบเจ็ดปีจนกระทั่งวันสุดท้าย และวันนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับแม่

“ผมรักแม่ แต่ผมก็เกลียดแม่”

ผมบอกหมอ

“ตอนนี้ผมเกลียดแม่ที่ทิ้งกันแบบไม่ลา ผมเกลียดแม่ที่เห็นแก่ตัว เกลียดจนไม่อยากพากลับบ้าน หลังวันเผาผมพาแม่ไปลอยอังคาร โปรยกระดูกของแม่ลงน้ำ ไม่แบ่งใส่โกศ ไม่ฝากคอนโดวัดอย่างที่คนอื่นแนะนำ ในเมื่อแม่อยากไปก็ไป ไปให้ไกลแล้วไม่ต้องกลับมา ไม่ต้องอยู่บ้านคอยตอกย้ำให้ผมเสียใจ ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ไปเลย!” 

ผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้งเมื่อพูดถึงแม่ ความเข้มแข็งที่เคยมีสลายหายไปในพริบตาเพียงแค่ได้บอกใครซักคนว่าผมโกรธแม่มากขนาดไหน ผมรู้ว่าการพูดว่าเกลียดแม่คงดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ แต่หมอไม่ว่าอะไรเลย เขาไม่บอกว่าห้ามโกรธแม่ ไม่ตำหนิที่ไม่เก็บอัฐิของแม่ไว้ในบ้าน หมอยังคงเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่แสดงออกว่าสมเพชเวทนานายก้องเกียรติเลยซักนิด

“ก้องโกรธแม่ได้นะ ก้องเป็นคนธรรมดา ก้องมีชีวิตมีจิตใจ มีความรู้สึก ก้องก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน” เขาพูดทั้งๆที่ผมยังสะอึกสะอื้นไม่หยุดง่ายๆ “ก้องบอกว่าไม่ได้เก็บอัฐิกลับบ้านเพราะอยากให้แม่ไปไกลๆ แต่รู้ไหมว่าก้องกำลังล่ามแม่ไว้ ก้องไม่ได้ปล่อยแม่ไปอย่างที่พูดเลย”

แล้วผมต้องทำยังไง ผมถามหมอซ้ำๆ ผมบอกเขาว่าผมเหนื่อย ผมเบื่อ ผมเกลียดที่ชีวิตตัวเองพังเพราะแม่ เกลียดความรู้สึกทั้งรักทั้งชังที่มีต่อแม่ เกลียดความโดดเดี่ยว เกลียดที่ทุกอย่างล้มหมดเพราะความเห็นแก่ตัวของแม่ ผมเกลียดที่แม่ตายไปหลายเดือนแล้วแต่บ้านก็ยังมีแม่อยู่ บันไดยังมีเชือก บนหมอนยังมีเส้นผมของแม่ ในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดตัวโปรดของแม่ แม่ไม่เคยหายไปจากชีวิตผมจริงๆเสียที

“หมอรู้ว่าก้องเสียใจ ก้องโกรธแม่ได้ เกลียดแม่ได้ แต่อย่ายอมให้แม่ทำลายชีวิตที่เหลือของก้องนะ”
“ผมไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร”
“เพื่อแก้ไขสิ่งที่แม่ทำเอาไว้ไง” หมอพูดอย่างใจเย็น “ก้องบอกว่าแม่ทำให้ก้องไม่ได้สอบโอเน็ต ก้องไม่ได้เรียนมหาลัยเพราะแม่ งั้นปีหน้ามาเริ่มกันใหม่ดีไหม? โอเน็ตมีจัดสอบทุกปีไม่ใช่เหรอ หมอเคยดูข่าวนะ ผ้าปูโต๊ะสีฟ้าไง”
“มันสอบได้แค่คนละครั้งครับ ครั้งเดียวในชีวิต ถ้าไม่สอบปีนี้ก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว”
“กระทรวงศึกษาคงไม่ใจร้ายกับเด็กที่เข้าสอบไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัยหรอก ยังไม่ลองถามแล้วจะรู้ได้ไงว่าสอบใหม่ไม่ได้ งั้นเอาเป็นว่าวันนี้หมออยากให้ก้องทำสองเรื่อง หนึ่งคือโทรถามหน่วยงานที่จัดสอบว่าสามารถเข้าสอบใหม่ปีหน้าได้ไหม และสอง -- ปล่อยแม่ไป”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วยื่นกระดาษกับปากกามาให้หนึ่งแท่ง

“หมอให้กระดาษกับปากกาไว้เขียนจดหมายบอกลาแม่ จดหมายฉบับสุดท้ายถึงแม่จากก้องเกียรติ”

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลา หมอบอกว่าการได้เขียนระบายคือการปลดปล่อยภาระใจที่ดีที่สุด ในเมื่อสิ่งที่ยังขมวดเป็นปมคือการวนเวียนคิดถึงแม่ที่ไม่ได้เขียนจดหมายลา งั้นผมก็ควรเป็นฝ่ายเขียนแทน และถ้าเป็นไปได้หมออยากให้ผมมีไดอารี่ของตัวเองซักเล่ม แต่จะไม่มีก็ได้ หมอไม่เคยฝืนใจกอริลลาก้องอยู่แล้ว

“ต้องบอกลาแบบไหนครับ?”
“ยังไงก็ได้”
“เขียนอะไรก็ได้เหรอครับ?”
“อะไรก็ได้” หมอยืนยัน “ทุกอย่างที่ก้องอยากบอกแม่ เขียนลงไปได้เลย”

ผมกัดปาก ก้มมองกระดาษสีขาวกับปากกาด้วยความตื้อตัน การร้องไห้เมื่อครู่ทำเอาหมดแรงจนอยากกลับบ้านไปพักผ่อน ผมถามหมอว่าไว้วันหลังได้ไหมเพราะวันนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะบรรยายความรู้สึกอะไรแล้ว โชคดีที่เขาตอบว่าได้ เพราะถ้าคำตอบออกมาตรงข้าม กอริลลาก้องจะลงไปนอนแผ่บนพื้นแน่นอน

 “อาทิตย์หน้าเรามาคุยกันใหม่นะ หมอมีเวลาฟังก้องทั้งวัน”

ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าทั้งวัน หมอพูดแบบนั้นโดยไม่คิดถึงกอริลลาหน้าบูดที่กำลังนั่งรอตรวจข้างนอกเลย หมอซักถามอาการทั่วไปอีกนิดหน่อยแล้วอนุญาตให้กลับบ้าน ผมยกมือไหว้ บอกเขาว่าขอบคุณครับ ก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจโดยมีกระดาษเปล่าและปากกาติดมือมาด้วย




นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเจ็ดนาที

วันนี้พี่อู๋อยู่กับผมทั้งวัน เขาพาตะลอนทั่วห้างเหมือนเดิมก่อนจะจบที่โรงหนังและจ่ายเงินซื้อป็อปคอร์นถังใหญ่แค่เพราะเห็นว่ามันสวย ผมเลิกถามเขาแล้วว่าพาผมมาเที่ยวทำไม ซื้อของให้กินทำไม จ่ายเงินค่าตั๋วหนังทำไม เพราะถามไปเขาก็ไม่ตอบ

คำถามพวกนั้นเป็นยิ่งกว่าคำถามเชิงปรัชญาที่ซับซ้อนและหาคำตอบไม่ได้ พี่อู๋ไม่เคยบอกเหตุผล เขาพูดแค่ว่าตัวเองโตพอที่จะบริหารชีวิตได้ นายก้องเกียรติน่ะเงียบไปเลย มีหน้าที่กินก็กิน ซื้ออะไรให้ก็รับไว้ ไม่ต้องถามมาก เดี๋ยวทิ้งไว้กลางร้านอาหารให้ล้างจานเองซะเลย

พี่อู๋คงรู้เรื่องผมจากหมอแล้ว เขาหายเข้าไปในห้องตรวจตั้งหลายนาทีจนกอริลลาตัวหนึ่งถอนหายใจเพราะกอริลลาก้องกินเวลาของหมอไปเกือบชั่วโมง ผมรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่ถาม และยิ่งขอบคุณมากๆที่เขาปล่อยให้ผมเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ในโลกส่วนตัว ก่อนจะดึงกลับมาด้วยการพาไปดูหนังและโค้กแก้วยักษ์หนึ่งใบ

ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะสมองของผมเอาแต่คิดถึงคำพูดของหมอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

หมอบอกว่าผมสามารถรักแม่ไปพร้อมๆกับโกรธแม่ได้ ผมเลือกที่จะลืมแม่โดยไม่ต้องรู้สึกผิดได้ ผมเป็นฝ่ายบอกลาแม่เองก็ได้ เพราะนี่คือชีวิตของผม คือความรู้สึกนึกคิด คือหัวใจที่แหลกสลาย คือแก้วแตกๆที่ถูกทากาวเป็นร้อยครั้ง และผมควรทำทุกอย่างเพื่อรักษาความรู้สึกตัวเองก่อน

รักตัวเองก่อน หมอบอก และอย่าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ในเมื่อย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ปล่อยให้แม่เป็นความทรงจำดีๆของก้องดีกว่าเนอะ

คำพูดของหมอช่วยได้เยอะมาก ผมตั้งใจว่าจะกลับไปเขียนจดหมายที่บ้านเพราะคืนนี้พี่อู๋ไม่ได้ไปส่ง ดูเหมือนเขามีธุระด่วนที่ต้องพาใครซักคนไปโรงพยาบาล แต่พี่อู๋ก็ยังเป็นคนเดิม ไม่เคยปล่อยให้ผมลำบาก เขาเรียกแท็กซี่ ยัดธนบัตรสีม่วงใส่มือผม และพูดขอโทษที่ไปส่งไม่ได้

ผมอยากถามพี่อู๋ว่าขอโทษทำไม เพราะการดูแลเด็กจิตป่วยไม่ใช่หน้าที่ของเขาด้วยซ้ำ

“มีเรื่องด่วนนิดหน่อย ถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ”

ผมพยักหน้า ขานรับว่าครับแล้วขึ้นแท็กซี่อย่างว่าง่าย ผมแอบเอี้ยวตัวไปดูพี่อู๋ที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขากำลังมองมาที่แท็กซี่เหมือนกัน ก่อนจะวิ่งหายกลับเข้าไปข้างในเมื่อรถขับไปไกลพอสมควร

การจราจรตอนสองทุ่มไม่คับคั่งเหมือนช่วงเลิกงาน ผมคิดว่าน่าจะถึงบ้านภายในสิบห้านาทีแต่มันกินเวลานานกว่านั้น รถติดยาวตรงสี่แยกก่อนจะถึงบ้านประมาณสามกิโล คนขับถอนหายใจเมื่อต้องค้างเกียร์ไว้ที่ตัวเอ็นเกือบสิบนาทีแล้ว แต่รถแทบไม่ขยับเลย

“น้องลงตรงนี้ได้หรือเปล่า รถติดมาก พี่กลัวเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้”

ผมตอบว่าครับแล้วส่งเงินให้ ค่าโดยสารทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบห้าบาท เขาไม่มีเหรียญห้าเลยถามว่าปัดเป็นร้อยยี่สิบได้ไหม

“ผมมีสิบห้าบาทครับ”

ผมบอกแล้วล้วงเอาเศษเหรียญบาทที่อยู่ก้นกระเป๋าออกมานับ แอบเห็นคนขับแท็กซี่ทำหน้าเซ็งๆด้วย ผมอยากถามเขาว่าจะเซ็งทำห่าอะไร ไม่ส่งถึงบ้านยังพอว่า แต่งุบเงินพี่อู๋ห้าบาทนี่ยอมไม่ได้

เมื่อนับเงินครบผมก็ลงจากรถ เก็บเงินสี่ร้อยบาทไว้คืนพี่อู๋พรุ่งนี้ ระหว่างเดินกลับบ้านผมได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นควันไหม้ๆที่ไม่รู้ว่ามาจากตรงไหน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าตามสัญชาติญาณ มีควันสีดำลอยอัดแน่นเป็นมวลขนาดใหญ่ ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ผมรู้ตัวการที่ทำให้รถติดแล้ว ไฟไหม้นี่เอง

เสียงรถมูลนิธิวิ่งผ่านผมไปสองคันติดๆ ก่อนจะตามมาอีกคัน และอีกคัน เสียงหวีดเล็กแหลมของไซเรนดังเข้าโสตประสาทจนเริ่มสงสัย รถดับเพลิงคันใหญ่เพิ่งวิ่งผ่านผมไป คราวนี้ผมหยุดเดิน พยายามมองรอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนจับกลุ่มกันยืนเต็มฟุตปาธจนผิดสังเกต ผมบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก คงเป็นบ้านใครซักคนที่อยู่แถวนี้ แต่เมื่อรถดับเพลิงคันที่สองเปิดไซเรนขับผ่านไปแล้วเลี้ยวขวาตรงสุดถนน ผมก็เริ่มใจไม่ดี

 เพราะนั่นคือทางไปซอยบ้านผม

มีลุงคนหนึ่งปั่นจักรยานมาด้วยสีหน้าตื่นๆ เขาตะโกนตลอดทางว่า ไฟไหม้! ไฟไหม้! จนผมต้องรีบหยุดรถของเขา

“ไฟไหม้ที่ไหนเหรอครับ?”

ผมถาม เริ่มลนลานเมื่อเห็นรถดับเพลิงวิ่งเข้าซอยไปเป็นคันที่สาม เสียงไซเรนซ้อนประสานกันจนปวดหู ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าทั้งสามคันคงจอดอยู่ไม่ไกล แต่ก็ยังหวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่กลัว ต้องไม่ใช่บ้านของผม ไม่ใช่บ้านผม

“ชุมชนท้ายซอยอ่ะน้อง บ้านเราอยู่แถวนั้นหรือเปล่า รีบไปดูเร็ว”

ผมแทบเป็นลม เพราะชุมชนท้ายซอยที่เขาว่าคือบ้านของผมเอง


TBC
----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคนะคะ จะตั้งใจเขียนเรื่องนี้ออกมาให้สุดความสามารถ ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอบคุณจริงๆค่ะ ;-;

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
เอ้าลูก อะไรจะซวยซ้ำซ้อน
พี่อู๋บอกน้องว่าไม่ใช่วันนี้ แต่บ้านน้องจะถูกเผาวันนี้แล้วค่ะพี่

ก้องเอ๊ย รีบเปิดใจกับหมอ กินยา จะได้หายเร็วๆ นะรู้ไหม

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารน้องก้องแฮะ มันกลายเป็นหลุมใหญ่ในใจจริงๆ แม่ไปแบบไม่มีคำลา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงผลักดันแม่มาถึงจุดนี้ แม่มีปัญหาอะไร ลูกไม่สำคัญสำหรับแม่เหรอ อยู่กับก้องไม่มีความสุขเหรอถึงเลือกจะไป แล้วเลือกวิธีที่... รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก้องก็ต้องเห็น (เล่นผูกคอซะกลางบ้านเนี่ย) เป็นสถานที่ที่ก้องหนีไปไหนไม่ได้ ต้องตื่นมาเจอภาพนี้ทุกวัน มันเกิดอะไรขึ้น

แอบหวังให้เป็นการฆาตกรรมซะยังดีกว่า / โดนไฟไหม้ซะด้วย อาจจะเผาทำลายหลักฐานก็ได้  :katai1:

 

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
05

ผมไม่เคยเห็นคนในชุมชนแตกตื่นขนาดนี้มาก่อน

ผู้คนวิ่งกันวุ่นวายท่ามกลางความร้อนที่แผ่มาถึงจุดที่กำลังยืนอยู่ เสียงไซเรนของรถดับเพลิงยิ่งปั่นประสาทผมให้เตลิดเปิดเปิง ผมพยายามฝ่าฝูงไทยมุงเข้าไป เห็นลุงคนหนึ่งแบกตู้เย็นวิ่งสวนมาแต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้บ้านคือความกังวลอย่างเดียวของผม บ้านหลังสุดท้ายที่เป็นสมบัติในชีวิต บ้านที่แม่ซื้อไว้ บ้านที่มีอนุสรณ์ของแม่

ถ้าเสียมันไป -- ผมจะไม่เหลืออะไรเลย

เสียงร้องหงิงๆคุ้นหูเรียกให้ผมก้มมอง ไอ้แดงวิ่งหูลู่มาทางนี้เหมือนจะฟ้องว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า มันกลายเป็นสีส้มอมดำที่อัดแน่นด้วยควัน เสียงคนร้องตะโกนโหวกเหวกดังจนจับใจความไม่ได้ เอาน้ำมาทางนี้! สาดน้ำเร็ว! ทุกคนเอาแต่ตะเบ็งเสียงดังใส่กัน แต่เปลวไฟที่อยู่ห่างไปไม่ไกลบอกผมว่าพวกเขาทำไม่สำเร็จหรอก ไฟลามมาเกือบปากซอยแล้ว ไม่มีอะไรหยุดมันได้จนกว่าเชื้อเพลิงจากบ้านจะมอดเอง

ผมตั้งสติ พยายามมองหาทุกคนอย่างกระวนกระวาย ไอ้แดงวิ่งนำผมไปทางซ้ายราวกับรู้ว่าผมต้องการอะไร ในที่สุดผมก็เห็นเพื่อนบ้าน ลุงชื่นกับป้าหมอนกอดกันร้องไห้อยู่ข้างรถมูลนิธิ ส่วนคนอื่นๆยังไม่เห็น ผมไม่เจอพี่ลี ป้าเพ็ญ ข้าวฟ่าง และลุงชัยเลย

“พี่! มีเด็กติดอยู่ใน! มีเด็กติดอยู่ในบ้านหลังที่สองอ่ะพี่!!!”

เสียงพี่ลีร้องกรี๊ดตะโกนเรียกชื่อผมคอแทบแตก แกร้องเรียก ก้อง! ก้อง! อยู่หลายหนก่อนจะบอกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงว่ามีคนติดอยู่ข้างใน ผมรีบเข้าไปจับไหล่พี่ลี บอกแกว่าผมอยู่นี่ ปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง

“โอ๊ย! ก้อง --”

พี่ลีเข่าอ่อน แกทรุดนั่งบนพื้นกับหมาชิสุสองตัวแล้วร้องไห้

“ไฟไหม้ได้ไงครับพี่?”
“พี่ก็ไม่รู้” พี่ลีอุ้มหมามากอด หมาขนยาวสองตัวเขรอะฝุ่นแต่แกก็ยังกอดมันเอาไว้แน่น “ดีที่อุ้มหมาออกมาทัน ถ้าหมาตายพี่ต้องตายแน่เลย”

ผมรู้มานานแล้วว่าพี่ลีเป็นคนรักหมา แต่เพิ่งเห็นกับตาว่าแกรักมากขนาดไหนก็วันนี้ ผมถามถึงสมาชิกที่อยู่ในระแวกบ้านเรา พี่ลีส่ายหน้า แกบอกว่าเจอแค่ลุงชื่นกับป้าหมอน ส่วนคนอื่นๆไม่เห็นเลย

ผมช่วยพี่ลีอุ้มหมาตัวนึงแล้วพาย้อนกลับไปหาลุงชื่น ตอนนี้ผมเจอเพื่อนบ้านสามคน เหลืออีกหลายคนที่ต้องตามหา เสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงเรียกให้ผมเดินฝ่าฝูงคนเข้าไป แล้วผมก็เจอข้าวฟ่างกับพี่อาสาคนหนึ่ง ห่างจากจุดที่เรารวมตัวกันไม่ไกลเท่าไหร่

“พี่ก้อง!”

ข้าวฟ่างกระโดดกอดผม เนื้อตัวสกปรกเพราะเขม่าไฟ ผมเผ้าเสียทรงและมีกลิ่นไหม้เหมือนเพิ่งถูกช่วยออกมา ผมกอดข้าวฟ่างแน่น เราสองคนร้องไห้โฮด้วยความดีใจ ในบรรดาเพื่อนบ้านที่อยู่ด้วยกัน ผมเป็นห่วงข้าวฟ่างมากที่สุดเพราะน้องยังเด็กเกินกว่าจะเจอเรื่องซวยๆแบบนี้

“แม่อยู่ไหนข้าวฟ่าง?!”
“แม่อยู่ร้านเสริมสวย” เด็กหญิงร้องเสียงดัง “หนูอยู่คนเดียว หนูนอนดูทีวีอยู่ แล้วไฟก็มา ไฟไหม้หมดเลย”

ผมไม่รู้จะเรียกเหตุการณ์นี้ยังไง มันคือความชิบหายซ้ำซ้อนในชิบหายจนผมตั้งสติไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรโฟกัสไปที่บ้านตัวเองหรือออกตามหาเพื่อนบ้าน ใจหนึ่งก็อยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันไหม้หมดแล้ว แต่อีกใจก็อยากหาพวกเขาให้เจอก่อน ผมแค่อยากแน่ใจว่าทุกคนปลอดภัย

ผมอุ้มข้าวฟ่างกลับไปหาพี่ลี ตอนนี้คนสี่คนกับหมาสามตัวได้แต่กอดกันร้องไห้ ผมไม่ร่วมวงกับพวกเขา ผมแค่ยืนมองเปลวสีส้มที่เริ่มลามเข้ามาเรื่อยๆด้วยความสิ้นหวัง จบสิ้นแล้ว หมดกัน นั่นคือสิ่งที่ผมคิดออกตอนนี้

หลังจากทนรอซักระยะ ผมก็เห็นพี่อาสาวิ่งสวนมาทางพวกเรา เนื้อตัวมีแผลไหม้เพราะเพิ่งช่วยคุณป้าคนหนึ่งออกมาได้ ผมรีบเดินตามสัญชาติญาณ มั่นใจว่านั่นต้องเป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านของผม ต้องเป็นป้าเพ็ญแน่ๆเพราะรูปร่างอ้วนท้วมเหมือนกัน

ถึงจะไม่ค่อยสนิทแต่ผมก็ดีใจที่ป้าเพ็ญปลอดภัย พี่อาสาบอกว่าแกยืนร้องไห้ในบ้านจนเป็นลม พร่ำเพ้อถึงเงินสองแสนที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ส่วนลุงชัยมีสภาพไม่ต่างกัน แกเดินเท้าเปล่ามาหาเรา ผมกอดลุงชัยเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ ครบแล้ว ผมบอกตัวเอง พวกเขาปลอดภัยแล้ว สบายใจได้แล้ว

“กู้ภัยบอกว่าดับไม่ได้เพราะเป็นไม้เกือบทุกหลัง ทำได้แค่สกัดไม่ให้ลามมากกว่านี้”

ลุงชัยบอกแล้วร้องไห้ เพื่อนบ้านของผมต่างพยายามให้กำลังใจกันและกันทั้งๆที่ตัวเองก็เสียขวัญ พี่ลีพูดว่าโชคดีที่เราไม่ตาย ของพวกนั้นเป็นของนอกกายยังทำงานสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ แล้วลุงชื่นก็พูดต่อ ลุงชัยพูดต่อ ไอ้แดงเห่าต่อ สลับกันไปท่ามกลางความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้นรอบตัว

ผมเหม่อมองเปลวไฟและความโกลาหลเบื้องหน้า ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่ลีเหมือนคนอื่นๆเพราะมันหมดแล้ว หมดทุกอย่าง ทั้งแม่และบ้าน

ชีวิตของนายก้องเกียรติจบสิ้นแล้ว




เมื่อคืนเราต้องขอพึ่งใบบุญวัด ชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันบริจาคเสื่อกับผ้าห่มให้เรานอนในศาลา ป้าเพ็ญคือคนเดียวที่เข้าโรงพยาบาล ส่วนพวกเราทั้งหมดปลอดภัยดี ทั้งพี่ลีกับแฟน ลุงชื่นกับป้าหมอน ลุงชัย ข้าวฟ่างกับเจ๊หมิว และไอ้แดง ไอ้หมาเวรที่ขนไหม้นิดหน่อย ทุกคนปลอดภัย ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีใครจากไป

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงเพราะแบตโทรศัพท์หมดตั้งแต่เมื่อคืน และไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบยืมใครนอกจากนอนตาค้างในศาลากับผู้ร่วมชะตากรรม พอฟ้าสางลุงชัยก็ลุกขึ้นนั่ง แกชวนเราไปสำรวจบ้านซึ่งกู้ภัยบอกว่าดับไฟได้แล้ว

ถ้าคิดว่าการเห็นไฟไหม้บ้านต่อหน้าต่อตาคือสิ่งที่สะเทือนใจที่สุด ผมขอบอกว่าการเห็นซากของมันต่างหากที่บีบคั้นความรู้สึกมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า เราเดินเท้าจากวัดกลับบ้าน พอเห็นซากที่เหลือจากการเผาไหม้ ทุกคนก็ร้องไห้ ทั้งพี่ลีและแฟน ทั้งลุงชื่นและป้าหมอน ลุงชัยที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ยังแอบปาดน้ำตาเมื่อเดินเข้ารั้วบ้านตัวเอง ส่วนผมว่างเปล่า ไม่รู้สึกอะไรนอกจากตื้อตันเหมือนโดนจับถ่วงน้ำจนหายใจไม่ออก

สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือรั้วอิฐบล็อกสีดำกับแผ่นไม้ปริแตกเพราะความร้อน ผมเดินเข้าบ้านพลางนึกว่าจุดนี้เคยเป็นอะไร ตรงนี้เคยเป็นกำแพง ตรงนี้เป็นประตูบ้าน ทางซ้ายคือบันได ทางขวาคือโซฟา เมื่อวานทุกอย่างยังมีอยู่ แต่วันนี้กลายเป็นเศษผงดำๆกองรวมกันบนพื้น บ้านผมเป็นไม้ทั้งหลังก็เลยเหลือแค่เสาบ้านกับบันได ไม่มีผนัง ไม่มีหลังคา ไม่มีชั้นสอง ไม่มีทีวี ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้กระทั่งอนุสรณ์ของแม่

ผมหยุดยืนจุดที่แม่จากไป จินตนาการถึงเชือกที่เคยมีอยู่ ผมพยายามมองหาแต่ไม่พบ ไม่มีคราบหรือร่องรอยของแม่หลงเหลือเลยซักนิด ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีเทาตอนใกล้รุ่ง กลิ่นเหม็นไหม้ยังคงลอยคลุ้งทั่วโพรงจมูก ในเวลาแบบนี้ผมควรกำลังเปิดทีวีฟังข่าวพี่น้องไบรท์ ควรนอนบนพื้นชั้นสองของบ้าน ไม่ใช่เดินสำรวจหาแม่จากกองขี้เถ้าแบบนี้

เสียงร้องไห้ของเพื่อนบ้านดังมาเป็นระลอก ทุกคนต่างรำลึกความหลังและมองหาความหวังที่น่าจะหลงเหลือในกองเพลิง แต่ไม่มีใครหาเจอ ในซอยบ้านของเรา ไม่มีหลังไหนเหลือรอดเลย

“เมื่อกี๊เจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาบอกว่าไหม้เพราะโคมลอย”

เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ทุกคนรีบวิ่งไปหาผู้กระจายข่าวที่ยืนอยู่กลางซอยเพื่อถามไถ่ต้นเหตุของความบัดซบนี้

“แต่ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงลอยกระทง”
“คงมีใครทำบุญปล่อยโคมมั้ง”
“แล้วเราจะสืบหาตัวมันยังไง ให้ตำรวจตามมันมารับผิดชอบบ้านพวกเราได้ไหม?”
“เมื่อคืนกู้ภัยบอกให้แจ้งตำรวจก่อน เอาใบแจ้งความไปยื่นที่สำนักงานเขตแล้วค่อยไปกรมบรรเทาสาธารณภัยในซอยอารีย์ --”

พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างตั้งใจเมื่อใครคนหนึ่งบอกว่าเรายื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือจากทางรัฐได้ ผมฟังแต่ไม่เข้าร่วม ความเคียดแค้นก่อตัวขึ้นแทนความเสียใจเมื่อรู้ว่าไฟไหม้จนวอดทั้งซอยแค่เพราะโคมลอยอันเดียว

อย่าให้รู้นะว่าใคร

ผมกัดฟัน

ถ้าผมรู้ ผมจะฆ่ามัน ผมจะฆ่ามัน ผมจะฆ่าไอ้คนที่ปล่อยโคมลอย ผมพูดกับตัวเองในใจซ้ำๆแล้วเดินกลับวัดทั้งน้ำตา




ผมไม่รับรู้เวลาอีกเลยตั้งแต่เสียบ้านไป

สองวันแรกความช่วยเหลือจากชาวบ้านช่วยให้พวกเรามีชีวิตอยู่ได้ เราได้เสื้อผ้า ได้เครื่องนอน ได้รองเท้าใหม่ทดแทนคู่ที่ไหม้ไปพร้อมบ้าน ตอนอยู่วัด ทุกคนต่างให้กำลังใจกันและกัน หลวงพ่อเทศน์ให้ปลงในความไม่แน่นอนเพื่อช่วยปลอบอีกทาง ผมเองก็ร่วมวงกับพวกเขาและจำวรรคหนึ่งที่ท่านพูดได้

คนเรามาแต่ตัวไปแต่ตัว ทรัพย์สินเงินทองไม่จีรังยั่งยืน ไม่ตายก็หาใหม่ได้

ผมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในคราวเดียวกัน ทรัพย์สินหาใหม่ได้ก็จริง แต่อนุสรณ์ของแม่หาใหม่ไม่ได้ มันคือความคิดขบถในหัวของเด็กอายุสิบเจ็ดที่กำลังเคว้งคว้างหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ศาสนาไม่ช่วยให้ความเศร้าของผมดีขึ้น คำให้กำลังใจของเพื่อนบ้านก็ไม่ช่วยให้ผมดีขึ้น อ้อมกอดของลุงชัย ลุงชื่น พี่ลี ข้าวฟ่าง แม้แต่ไอ้แดงที่เข้ามาอ้อนก็ไม่ช่วยให้ผมดีขึ้น ผมจมอยู่กับความสูญเสียทั้งวัน หวนคิดอาลัยอาวรร์ถึงแม่ คิดถึงบ้าน และกลัวอนาคตจนร้องไห้ตลอดเวลา

เข้าสู่วันที่สาม ทุกคนเริ่มแยกย้ายตามทางของตัวเอง เพราะผมไม่ใช่เด็กเล็กจึงเป็นไปได้ยากที่จะมีใครเมตตาอุปการะพาไปอยู่ด้วย ยิ่งในภาวะที่หมดเนื้อหมดตัวกันแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต้องเลือกครอบครัวตัวเองก่อนด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าผมเข้าใจ แต่ความเข้าใจไม่ทำให้รู้สึกดีเลย

คนแรกที่ย้ายออกจากวัดคือพี่ลีกับแฟน แกจะไปอยู่ชั้นสองของร้านเบเกอรี่ซึ่งเป็นตึกคูหาเดียวและมีห้องนอนเดียว คนที่สองคือข้าวฟ่างกับเจ๊หมิว ทั้งสองคนจะอยู่ห้องเช่าของร้านเสริมสวยชั่วคราว เจ้าของร้านใจดีเลยให้พวกเขาพักฟรีจนกว่าจะตั้งตัวได้

คนที่สามคือลุงชื่นกับป้าหมอน ลูกสาวกับสามีที่เป็นข้าราชการขับรถกระบะมีหลังคาจากโคราชมารับถึงวัด วันนั้นผมรู้สึกแย่ที่สุดเพราะเห็นไอ้แดงได้นั่งรถไปกับลุงชื่นด้วย มันร้องหงิงๆดีใจเมื่อรู้ว่าสถานะของตัวเองไม่ได้กลายเป็นหมาวัด ลุงชื่นกับป้าหมอนรักมันมากจนทิ้งไม่ลง แกบอกว่าจะพาไปอยู่บ้าน จะเลี้ยงอย่างดีเพราะบ้านลูกสาวที่โคราชมีสนามหญ้าให้วิ่งเล่นเป็นไร่ๆ

“ดีจังเลยแดง”

ผมบอกขณะลูบหัวหมาไทยพันธุ์ทางสีน้ำตาลแดงเบาๆ ร้อยวันพันปีเราไม่เคยญาติดีกันเพราะไอ้แดงประจบทุกคนยกเว้นผม ส่วนผมหมั่นไส้มันที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตัวจึงไม่อยากผูกมิตรเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าถึงเวลาต้องแยกกัน ไอ้แดงกลับเข้าหาผมราวกับจะบอกลา

“ไปอยู่โคราชก็อาบน้ำบ่อยๆนะ เหม็นสาบ”

มันร้องหงิง กระดิกหางแล้วเอาคางมาเกยเข่า ไอ้หมาเวรเอ๊ย รู้ว่าตัวเองเหม็นก็ยังจะเข้ามาใกล้อีก ท่าทางไม่ได้สำเหนียกฟังสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปเลย

“ทำตัวดีๆด้วย อย่าหยิ่งกับลูกลุงชื่นล่ะ เดี๋ยวจะโดนทิ้งให้เป็นหมาเฝ้าสวน”

ผมพูดต่อ เริ่มรังเกียจความสากที่ติดมือเพราะไอ้แดงไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่ปีใหม่ คราวนี้มันครางงื้ดเสียงยาว คงกำลังปลอบหรือไม่ก็กำลังด่าผมอยู่ ต้องเป็นอย่างหลังแน่ๆ เพราะไอ้แดงไม่มีทางคิดอะไรดีๆเหมือนหมาทั่วไปหรอก

พอถึงเวลาพวกเขาก็ไป ผมมองรถกระบะของลุงชื่นหายออกจากวัดจนลับสายตา ลุงชัยคือคนเดียวที่ยังอยู่วัดเพราะแกไม่มีใคร แกเลิกกับเมียและไม่ติดต่อพี่น้องมายี่สิบกว่าปีแล้ว ลุงบอกว่าถ้าวิ่งวินได้เงินก้อนใหญ่เมื่อไหร่จะย้ายไปอยู่ห้องเช่าและจะพาผมไปด้วย แต่ตอนนี้เราคงต้องพึ่งใบบุญของหลวงพ่อไปก่อน

ดังนั้นสถานะของผมจึงกลายเป็นเด็กวัดโดยสมบูรณ์ ผมต้องย้ายจากศาลาไปนอนห้องรวมที่มีเด็กผู้ชายห้าคน กำลังเรียนประถมสามคน มัธยมหนึ่งคน แก่กว่าผมหนึ่งคน พวกเขาพยายามปลอบใจด้วยการบอกข้อดีของการเป็นเด็กวัดแต่ผมเข้าไม่ถึงเลย

“แมวที่วัดเราดีนะ น่ารักทุกตัว ขี้อ้อนด้วย ตัวนั้นชื่อส้ม ตัวนี้ชื่อสีนวล ส่วนตัวดำๆนั่นชื่อปลานิล เป็นลูกรักหลวงพ่อแต่ก้องจะไปอุ้มมาเล่นที่ห้องก็ได้”

ผมไม่ชอบแมว

“เซเว่นอยู่ไม่ไกล หิวเมื่อไหร่เดินออกไปซื้อของกินได้ตลอด แถมหลังวัดก็มีตลาดทุกวันพุธด้วย ของกินเพียบ ไม่ต้องกลัวอดอยาก”

ผมไม่มีกะจิตกะใจจะกิน โดยเฉพาะหลังไฟไหม้บ้านตัวเองเมื่อวันก่อน

“แต่หลวงพ่อใจดีมากนะ เวลามีคนถวายขนมเค้ก หลวงพ่อยกให้พวกเราหมดเลย”

น่าดีใจตรงไหน ก็แค่เค้ก ผมเคยกินของอร่อยกว่านั้นมาตั้งเยอะ

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคดีที่พระท่านเมตตาให้ที่ซุกหัวนอน ผมคิดแค่ว่าทำไมวันนั้นไม่กลับให้เร็วกว่านี้ ถ้ากลับตามเวลาปกติคงได้ตายสมใจ แถมเป็นการตายที่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเผาศพด้วย พอนึกถึงวันนั้น ผมก็นึกถึงพี่อู๋ วันก่อนผมมัวแต่ยุ่งเรื่องที่ซุกหัวนอนเลยไม่ได้โทรบอกเขา ป่านนี้กล่องข้อความคงระเบิดแล้วแน่ๆ เขามักจะทำอย่างนั้นถ้าผมไม่ยอมรับสาย ยิ่งหายไปสามวันแบบนี้ ต้องยิ่งโทรมาเป็นร้อยสายแน่นอน

ผมขอยืมสายชาร์ตของพี่บอลซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อายุเยอะสุดในวัด เมื่อหน้าจอสว่างก็นั่งรอข้อความจากพี่อู๋แต่มันว่างเปล่า ไม่มีการแจ้งเตือนบอกว่าเบอร์พี่อู๋พยายามติดต่อมาแต่อย่างใด เขาไม่ได้โทรหาผมเลยนับจากวันสุดท้ายที่เราเจอกัน

พี่อู๋อาจจะยุ่งอยู่

วันนั้นเขาบอกว่ารีบกลับเพราะมีเรื่องด่วน บางทีอาจเป็นครอบครัวของเขา เป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นใครซักคนที่สำคัญกว่านายก้องเกียรติ น่าแปลกที่ครั้งหนึ่งผมเคยอยากให้พี่อู๋ออกไปจากชีวิต พอเขาหายไปจริงๆกลับรู้สึกเหมือนถูกทิ้งทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นญาติกัน พี่อู๋ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตผมด้วยซ้ำ แต่การหายไปของเขาทำให้ผมจมดิ่งในความโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิม

ไม่เหลือใครแล้ว

ผมร้องไห้เงียบๆในห้องนอนที่ต้องแชร์ร่วมกับคนอื่น ใช้เวลาทำใจอยู่นานจนเด็กคนหนึ่งเปิดประตูเรียกให้ไปกวาดลานวัด เมื่อเห็นผมกำลังร้องไห้ เขาก็จากไปโดยบอกว่าวันนี้จะกวาดให้ก่อน พรุ่งนี้ผมค่อยกวาดแทน

สิ่งที่พี่อู๋ทำส่งผลต่ออารมณ์ของผมมาก มันเจ็บยิ่งกว่าหัวใจสลาย เจ็บยิ่งกว่าเห็นบ้านกลายเป็นขี้เถ้าเพราะมันคือการถูกทิ้งครั้งที่สอง ผมถูกทิ้งอีกแล้ว แต่ที่น่าเสียใจยิ่งกว่าคือการที่พี่อู๋ไม่บอกเหตุผลว่าทำไมไม่ติดต่อกลับมา ความคลุมเครือของเขาทำให้ผมเห็นภาพซ้อนของแม่ พี่อู๋เหมือนแม่ตรงที่ไม่เคยบอกเหตุผลว่าทำไม ทำไมถึงทิ้งผมไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ





วันที่สี่ พี่บอลเล่นมุกว่าผมควรรับจ้างร้องไห้หน้าโลง เพราะสภาพผมตอนนี้ดูเศร้าและชวนหดหู่ยิ่งกว่าญาติคนตายเสียอีก

เย็นนี้มีงานศพคืนแรกของอดีตนักการเมือง ที่วัดจึงวุ่นวายเป็นพิเศษเพราะต้องเตรียมงานใหญ่โต ผมกับเด็กวัดคนอื่นๆถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยจัดสถานที่ หลังจัดเก้าอี้ห้าร้อยตัวเรียบร้อย เจ้าภาพก็บอกว่าถ้าอยู่ช่วยจนจบงานจะให้เงินพิเศษ ทุกคนดีใจที่ได้เงินเพิ่ม ผมเองก็ดีใจเพราะจะได้มีเงินจ่ายค่าน้ำมันเผาศพล่วงหน้าให้ตัวเองเสียที

ลุงชัยก็มาช่วยโรงครัวทำกับข้าวเหมือนกัน ช่วงนี้ลุงยุ่งๆเลยไม่มีเวลาใส่ใจผมเท่าไหร่ วันนึงเราเจอกันแค่ช่วงเช้า ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าเดินตามหลวงพ่อไปบิณฑบาต ส่วนลุงก็วิ่งวินหาเงินจ่ายค่ามัดจำบ้านเช่า กว่าลุงจะกลับก็สองสามทุ่ม ตอนนั้นผมเก็บตัวใต้ผ้าห่มแล้ว ทุกคนคิดว่าผมเป็นพวกนอนเร็ว แต่เปล่าเลย ตลอดสี่วันที่ผ่านมาผมหลับวันละสองสามชั่วโมง ที่เห็นนอนใต้ผ้าห่มก็แค่หาที่ส่วนตัวเพื่อร้องไห้เท่านั้น

การช่วยงานศพทำให้ผมได้ขบคิดหลายๆอย่าง ระหว่างเดินเสิร์ฟของว่าง ผมแอบชำเลืองมองบรรยากาศโดยรอบ วงดนตรีไทยบรรเลงเพลงโศก ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยเดินเข้ามาร่วมแสดงความเสียใจกับญาติๆ หลังจากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารที่เจ้าภาพเตรียมให้ ฟังพระสวดอีกนิดหน่อย แยกย้ายกันเมื่อบทสวดจบ การเห็นภาพพวกนี้ทำให้ผมได้ข้อสรุปกับตัวเอง งานศพคืองานฉลองสุดท้ายของคนตาย

ต่อให้บรรยากาศจะเศร้าแค่ไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคล้ายงานเลี้ยงขนาดย่อม มีทั้งดนตรี มีอาหาร มีการพบปะพูดคุย มีการประดับตกแต่งดอกไม้หน้าโลงศพ แถมยังมีพวงหรีดและพัดลมที่แขกนำมาถวายอีก งานศพจึงเปรียบเหมือนงานฉลองสุดท้ายของชีวิตซึ่งผมมองว่าเป็นงานเลี้ยงที่ถูกคุมโทนให้สวมชุดขาวดำ แต่จริงๆแล้วคือการสังสรรค์อำลาคนตายเพื่อให้คนเป็นสบายใจต่างหาก

ผมกำลังจินตนาการว่าตัวเองคือคนที่นอนในโลงแทนอดีตนักการเมือง ในนั้นคงเย็นมาก คงหนวกหูเสียงพูดคุยจอแจของแขกที่มาร่วมงาน แถมกลิ่นธูปกับดอกไม้สดก็ตีผสมกันจนคลื่นไส้ แต่อย่างน้อยก็เป็นงานสังสรรค์ที่ดีเพราะอดีตนักการเมืองคนนี้ยังมีญาติมิตรที่คิดถึง ในขณะที่ผมไม่มีใคร เพื่อนบ้านแยกย้ายไปหมดแล้ว ส่วนผมไม่เป็นที่ต้องการ ไม่สามารถไปอยู่กับใครได้เพราะเป็นส่วนเกิน

แล้วจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

ผมถามตัวเอง ความคิดฆ่าตัวตายเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่องานศพดำเนินมาถึงตอนจบ เจ้าภาพเรียกพวกเราไปรวมตัวด้านในเพื่อให้ซองทุกคนที่มาช่วยงาน ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเตรียมหันหลังกลับ แต่คุณน้าที่เป็นลูกสาวคนตายก็จับแขนผมเอาไว้

“น้องไม่สบายหรือเปล่า?”

ผมส่ายหน้างุนงง ต่อให้เด็กวัดไม่สบายก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้าภาพเสียหน่อย ไม่รู้จะใส่ใจทำไม ผมยกมือไหว้แล้วขอตัวกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนเด็กวัดคนอื่นๆตามพี่บอลไปซื้อขนมที่เซเว่น เขาถามผมว่าอยากได้ขนมไหม ผมตอบว่าไม่ ผมไม่อยากกินอะไร ผมอยากปล่อยให้กระเพาะอาหารว่างจะได้ดูดซึมง่ายๆ

พวกเขาวิ่งไปเซเว่นอย่างเริงร่า ปล่อยให้ผมได้ใช้เวลาวางแผนเงียบๆคนเดียวในห้อง ผมหยิบสมบัติหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้มาถือ กระเป๋าผ้าเขรอะฝุ่นใบนี้มีสิ่งที่จะช่วยปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระ ยานอนหลับสองแผงสำหรับสองอาทิตย์ร่วงหล่นลงตรงหน้า ผมอ่านชื่อตัวยาบนแผ่นฟอยล์

ผมไม่รู้หรอกว่ายานี่แรงพอที่จะช่วยส่งผมไปเจอแม่ได้หรือไม่ แต่ยี่สิบเม็ดคงทำให้ได้หลับยาวสมใจแน่ๆ ผมแกะมันออกจากแผงหมดรวดเดียว ยัดยาทรงกลมเม็ดเล็กสีขาวใส่ปากแล้วกระดกน้ำตาม จังหวะนั้นผมไม่คิดอะไรนอกจากอยากหลุดพ้นจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ผมแค่อยากพักจากทุกอย่าง อยากลืมว่าถูกทิ้ง ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว

น่าแปลกที่ผมร้องไห้โฮเมื่อกินยาทุกเม็ดจนหมดเกลี้ยง ไม่ได้ร้องเพราะกลัวตาย แต่ร้องไห้เพราะต้องเขียนจดหมายลาตายของตัวเองต่างหาก ผมหยิบกระดาษกับปากกาที่หมอให้ขึ้นมา บรรจงเขียนอย่างตั้งใจเพื่อส่งความปรารถนาสุดท้ายถึงทุกคน

ช่วยสงเคราะห์ค่าเผาศพให้หน่อยครับ เผาเสร็จแล้วจะทำอะไรก็ได้ ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือจนถึงวันนี้ครับ ลงชื่อ ก้องเกียรติ

หยดน้ำตาพรั่งพรูราวกับรู้ว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่จะได้ร้องไห้ ผมพับจดหมายวางข้างหมอนแล้วล้มตัวลงนอน ความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันทำให้ร่างกายหนักอึ้ง หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ทุกอย่างก็มืดสนิท นายก้องเกียรติพร้อมจะออกตามหาแม่แล้วครับ




เสียงเอะอะตึงตังปลุกให้ผมรู้สึกตัว แต่ไม่ใช่การรับรู้แบบเต็มร้อย แค่ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องดังแว่วมาเท่านั้น

“ก้อง! มีคนมาหา!”

พี่บอลเรียก เขาเขย่าตัวผมจนต้องลืมตาทั้งๆที่มึนสุดขีด ทันทีที่เห็นหน้าพี่บอลผมก็ขมวดคิ้ว ผมควรเจอแม่ เจอยมทูต หรือใครซักคนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมห้อง แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงเห็นพวกเขาถือถุงซาลาเปาเซเว่นกับไอศกรีมแท่ง ทำไมผมยังอยู่ในห้องเดิม ทำไมยังได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของพัดลมเหมือนเดิมราวกับแค่งีบหลับไปไม่นาน

“ก้อง! ไปเจอพี่เขาก่อนแล้วค่อยมานอนต่อก็ได้ เร็วๆเลย”

เสียงตำหนิของพี่บอลผ่านเข้าหู ผมพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลก่อนจะถามเขาว่าใคร พี่บอกบอกว่าไม่รู้ เป็นผู้ชายตัวสูงๆใส่ชุดสีชมพู เดินถามหาก้องมาสิบนาทีแล้ว

หรือจะเป็นยมทูต

ผมเดา

ยมทูตยุคใหม่ที่สวมเสื้อสีชมพู

ผมทึกทักเอาเองว่านี่คือช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างความเป็นกับความตาย สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการเดินไปหายมทูตแล้วขอร้องให้เขาพาผมไปไกลๆจากที่นี่เสียที ดังนั้นผมจึงพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็มึนมากจนเซล้มอยู่หลายครั้งกว่าจะถึงประตู

ผมได้ยินเสียงพี่บอลคุยกับใครซักคนอยู่หน้าห้อง เริ่มสงสัยว่าเดี๋ยวนี้ยมทูตสื่อสารกับเด็กวัดได้ด้วยเหรอ ผมใช้มือเปิดประตูก่อนจะหน้าคว่ำลงไปกองบนพื้นดัง ตุ้บ! แรงกระแทกไม่ทำให้เจ็บเท่าไหร่ ผมแค่รู้สึกง่วงนอนมากๆแต่ยังรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวบ้าง

ง่วงจัง

ผมคิดพร้อมกับพยายามลุกขึ้น แล้วก็ล้มหัวโขกพื้นอีกครั้ง

ไม่ไหว ผมเดินต่อไปไม่ไหว
สงสัยต้องนอนก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอยมทูตก็ได้

“ก้อง!”

ทำไมได้ยินเสียงของพี่อู๋เรียกชื่อผม

“ก้อง! ก้องเป็นอะไร!”

ผมถอนหายใจอย่างรำคาญ แม้แต่ตอนตายเขายังขัดขวางการนอนของผม ระหว่างที่กำลังด่าพี่อู๋ในใจ ใครบางคนก็พลิกตัวให้ผมนอนหงาย เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่และสวมเสื้อสีชมพูเหมือนที่พี่บอลว่า ผมคิดว่ายมทูตจะใจเย็นกว่านี้แต่เปล่าเลย เขาร้องโหวกเหวกโวยวายเสียงดังเหมือนพี่อู๋ ไม่เห็นสุขุมเยือกเย็นอย่างที่คิด

“เงียบ รำคาญ”

ผมพึมพำ ยมทูตที่เสียงคล้ายพี่อู๋พยายามหิ้วผมไปที่ไหนซักแห่ง ผมคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นพาหนะสำหรับรับส่งวิญญาณ แต่แปลกใจที่มันเบาะนั่งของมันดูเหมือนวีออสของพี่อู๋เปี๊ยบเลย ผมอยากอ้าปากถามยมทูตว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช้วัวเทียมเกวียนกันมารับวิญญาณแล้วเหรอ แต่สุดท้ายความง่วงก็เป็นฝ่ายชนะ ผมหลับสนิทโดยยังไม่ทันรู้เลยว่ายมทูตชื่ออะไร




TBC

----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้น้องก้องเกียรติยี่สิบเม็ดหน่อยนะคะ ♡


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2019 22:48:50 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
น้องก้องลูกกกก อยากจะจับมาหอมหัว ฮือ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหลือเกิน
พี่อู๋ช่วยน้องทันใช่ไหม พาไปโรงพยาบาลเลย บ้านก็ไม่มี โรคก็กระหน่ำ
เดี๋ยวมันก็ผ่านไป สู้หน่อยนะ

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ก้องงงงงงง  :katai1: ขอให้ช่วยน้องทัน

เคยอ่านหนังสือชีวประวัติใครสักคนผ่านๆ เขาพูดคล้ายๆน้องตรงนี้เลย ตัวคนเล่าเจอเรื่องต่างๆประดังประเดจนปวดหัวไปหมด เลยเทยาแก้ปวดซัดไปทั้งกำมือ กะว่ากินเผื่อทั้งชีวิต จะได้ไม่ต้องปวดหัวอีก เหมือนตลกแต่เศร้ามากเลย  :hao5:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
มาตามค่า เป็นกะลังใจให้น้องก้อง

ออฟไลน์ UnisonMinor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นกำลังใจให้น้องก้อง  :L2:

ออฟไลน์ ลิงภูเขา

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-4
เป็นเรื่องเศร้า ที่อ่านได้แบบเพลิน ๆ ที่สุดเลย

น้องก้องน่ารักมาก เป็นคนอยากตายที่บ่นขิงบ่นข่าอะไรไปเรื่อยตลอดเวลา  :m20:

อ่านไปแบบ..ขำไปเรื่อยตลอดทาง คนอ่านเลยไม่ทรมานสักเท่าไร :serius2:

รอตอนต่อไปนะฮับ  :m1:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น้องงงงงงงงงงง  :hao5:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
รออ่านต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องก้องได้กลับมามีความสุขในชีวิตอีกครั้งค่ะ อ่านไปเครียดไปแต่เพลินมากค่ะ น่าติดตามมากค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด