บทที่20
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องที่เงียบสงัด ภายในห้องนอน มีร่างหนึ่งที่กำลังทอดตัวนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ข้างๆมีสายน้ำเกลือที่ถูกเจาะเข้าที่แขนห้อยระโยงระยางอยู่ตรงนั้น เนื้อตัวถูกพันไปด้วยผ้าทำแผล มองเห็นแล้วช่างน่าสงสารนัก
ฝ่ามือหนาที่เอื้อมลงไปแตะที่หน้าผาก อุณหภูมิที่ไม่ได้สูงเหมือนเมื่อวันก่อนทำให้รู้ว่าตอนนี้คนที่นอนอยู่ไม่มีไข้แล้ว เพราะเป็นแบบนั้นเลยหันหลังกลับไปนั่งลงตรงโซฟาข้างๆที่นอนแทน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นเกมส์
“อื้อ พะ...พี่ เหี้ย...เจ๊” เสียงตกใจที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังเล่นเกมส์ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
“อ๊ะอ้าว ฟื้นแล้วหรอคะหนู ฟื้นมาก็ทักคนสวยๆแบบนี้เลยนะคะ แล้วนี่นอนเหมือนซ้อมตายเลยนะคะเราเนี่ย ยังไงๆ โอเคไหมคะ สวยๆได้เหมือนเดิมไหนคะ แต่อาจจะสวยไม่เท่านี่นะคะ เพราะนี่เป็นคนสวยๆ”
“จิ๊”
ยันตัวขึ้นมาจากเตียงพร้อมๆกับจิ๊ปากใจใส่ไอ้คนที่นั่งทำเสียงเล็กเสียงน้อยที่ไม่เข้ากับหนังหน้าอยู่ข้างๆเตียง แถมยังชมตัวเองสวยแล้วสวยอีกอยู่นั่น ถามว่าตอนนี้ช่วยพยุงกูลุกไหม ก็ไม่อ่ะ เจ๊ดานี่มันแค่ละสายตาจากจอมือถือมาถามกูนิดนึงแล้วก้มหน้าไปกดๆจิ้มๆห่าไรอีกไม่รู้
“แป๊บนะหนู อย่าสาระแนลุกขึ้นมาตอนนี้นะคะ กูไม่ช่วยนะคะ ทีมต้องการกูค่ะ” ทีมเชี่ยไรมึงอีก
“หึ้ย” น่ารำคาญชะมัด
“เอ๊ะ อิเด็กกุ๊กๆนี่ไม่ฟังกูเลยนะคะ” เงยหน้ามามองดุๆ สายตาคมที่ตอนนี้ก็เห็นบล็อคตามาซะแน่น ปากแดงเป็นเอกลักษณ์นั่นก็เหมือนกัน ไม่ชอบเลย
“มอง ไร” ว่าออกไปแบบนั้นแล้วพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งอีก แต่พอยังพยายามขยับยิ่งรู้สึกเจ็บแถวสีข้าง เอ๊ะ...จริงสิ
“ไอ้เมลล่ะ!”
ถามออกไปแบบนั้นอย่างตกใจ เพื่อนผมไปไหน แล้วตอนนี้ผมมาอยู่ที่ไหน มองไปรอบๆห้องอย่างตื่นตกใจ อิเจ๊ดานี่ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เลยตอนนี้
“อิดอกกก ตายหมดๆๆค่ะ ทีมกูตายยย โอ๊ย เซ้าซี้เจ๊าะแจ๊ะอ่ะค่ะอิเด็กกุ๊กๆ”
“กูชื่อกุ๊ก กุ๊กเดียวพอ มึงจะหลายกุ๊กทำไมอิเจ๊”
“ตื่นมาก็ปากดี๊ปากดีอ่ะค่ะ กูน่าจะบอกหมอให้เย็บปากมึงนะคะ จิ๊ ทีมตายเลยแม่ง” ดูหงุดหงิดหัวเสียมากพอดู ขมวดคิ้วจนเสียจริตแรดๆนั่นก่อนจะโยนมือถือไปไว้ที่โซฟาข้างๆตัวแบบรำคาญใจ
‘พลึบ’
“เห้ยๆทำไรวะพี่มึง”
“โอ๊ย โวยวายเหมือนจะโดนเยอ่ะค่ะ กะอิเคช่วยพยุงขึ้นนั่ง กูไม่มาก็เห้นนะคะว่ามองแรงสาปแช่งคนสวยๆแบบกูอยู่เนี่ย หวงเนื้อหวงตัวจังอิขี้ก้าง”
“ไอ้สัดพี่เจ๊!”
“เลือกไม่ถูกเลยว่าอยากจะเรียกกูว่าอะไรนะคะ”
หรี่ตามองผมพร้อมๆกับจีบปากจีบคอว่าไปด้วย แต่วงแขนแกร่งก็ยังคงโอบอยู่ที่แผ่นหลัง เพราะแบบนั้นเลยทำให้ใบหน้าหล่อๆของอิเจ๊ดานี่ยังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากใบหน้าของผมมากนัก พอได้มองใกล้ๆแบบนี้ ถ้าพูดตรงนี้ก็ต้องบอกเลยว่า ถ้าลบพวกเครื่องสำอางค์และปากแดงๆเหมือนแดกเลือดนี่ออกไป พี่มันก็คือผู้ชายที่โคตรหล่อคนนึงเลยล่ะ ทั้งหน้าที่โคตรหล่อ หุ่นที่โคตรดี มีกล้ามแขนแต่ไม่ใหญ่เป็นกล้ามปู กล้ามหน้าอกกับไหล่กว้างๆนี่อีก เป็นหุ่นที่ผู้ชายทั้งหลายอิจฉาเลยล่ะ ยกเว้นก็แต่ความแรดของมันนี่ล่ะ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็เลยเลื่อนสายตาขึ้นไปจ้องตาพี่มัน และเหมือนอีกฝ่ายก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว อิเจ๊ที่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะใช้สายตามองไปทั่วทั้งหน้าจนผมร้อนหน้า
“อ๊ะแน่ะๆ มองหน้าแบบนี้ หลงความสวยของกูสินะคะ อิ๊อิ๊”
“อิพ่องเจ๊!” ดูแม่ง
“ทำไมหน้าตาก็ดีถึงปากร้ายแบบนี้ล่ะคะ หื้มม”
“โว้ย ปล่อยผมได้แล้ว ปล่อยๆ”
“ดีดดิ้นๆ แหม่ อยากจะให้มาดิ้นบนตัว”
“อะไรนะพี่มึง!” เบิกตากว้างๆแล้วแหกปากใส่หน้าที่ยิ้มมุมิเหมือนหมาน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวมาให้ ไอ้สัดพี่นี่!
“เปล๊า หูแว่วหูผีจ้าน้องกุ๊กๆกู๋” กุ๊กกู๋พ่อมึง
“อ๊ะๆ...พอๆเลิกด่าคนสวยแบบกูจ๊ะ ตื่นมาแล้วก็ดีจ๊ะ...ว่าแต่ มึงไม่เจ็บที่อื่นมากกว่าที่พันแผลไว้ใช่ไหม”
มันที่ทำเสียงตอแหลจนน่าตบในประโยคแรก ก่อนจะผละตัวออกจากผมแล้วทำสีหน้าจริงๆจังตอนถามเรื่องแผล ผมที่ก้มมองตัวเองแบบสำรวจ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบไปให้
“จริงๆผมแค่โดนซ้อมซ้ำๆ”
“สัดหมา กูหน้าจะกระทืบแม่งให้ลิ้นปี่กระเด็นออกจากปาก”
เสียงเหี้ยมพร้อมสายตาจริงจังว่าออกมาจนผมเผลอสะดุ้งเงยหน้ามองพี่มัน พี่มันที่กำมือแน่น ก่อนจะสะดุ้งที่เห็นผมมองมันอยู่
“อุ๊ยตาย เผลอแสดงด้านก้าวร้าวออกไป แย่จัง อิอิ” กูเกลียดตรงอิอิของพี่มึงนี่แหล่ะ
“สัด กรอกตาใส่เหมือนกูตาบอด มองไม่เห็นเลยค่ะอิเด็กกุ๊กๆกู๋”
“เลิกปัญญาอ่อนสักทีอิเจ๊ดานี่ ไอ้เมลล่ะอยู่ไหน มันเป็นอะไรหรือเปล่า”
“นี่คือคำพูดหลังตื่นนอนที่พูดต่อผู้มีพระคุณแบบกูหรอคะ ชิชะเชอะ ไม่น่าช่วยมึงออกมาให้แขนบอบบางของกูต้องอ่อนล้าเลยจริงเชียว”
“เอ๊ะ?...นี่พี่เป็นคนช่วยผมออกมางั้นหรอ” ตกใจนิดหน่อย แต่จริงๆก็ลืมคิดไปเลยว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“หึ ก็ใช่น่ะสิคะ ทำคุณบูชาโทษโปรดไก่ไม่ได้อะไรจริงๆ”
คนตรงหน้าที่ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมกับกอดอกเชิดหน้าใส่กันแบบหงุดหงิด พอเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาเลย ได้แต่เม้มปากนิดๆตอนที่โดนมันทวงบุญคุณ แต่จะว่าไป สิ่งที่ผมพึ่งเจอมา แค่หลับตานึกถึงก็รู้สึกขวัญเสียแล้ว เอาจริงๆถ้าไม่ได้พี่มันไปช่วยไว้ ตอนนี้ก็ไม่อยากคิดสภาพตัวเองเลยล่ะ
“อ่า...ขอโทษทีที่ผมพูดไม่ดีกับพี่ แล้วก็....ขอบคุณมากนะครับ”
“หื้มมม พูดดีๆก็เป็นเหมือนกันนี่คะหนู”
ฝ่ามือหนาที่เชยปลายคางของผมให้เงยขึ้นไปสบตาคนที่ก้มหน้าลงมามองกัน ดวงตาคมที่เป็นกระกายวาววับจ้องมองมาที่ผมนิ่งๆหลังจากพูดจบ ริมฝีปากของคนตรงหน้าที่กดยิ้มมุมปาก ไม่ได้มองว่ามันดูร้ายกาจ แต่รู้เลยว่าคนตรงหน้ามันเจ้าเล่ห์ไม่ใช่เล่น
“ถ้าอยากขอบคุณกัน เปลี่ยนเป็นจุ๊บๆสักทีจะได้อ๊ะเป่า” ออกเสียงแอ๊บแบ๊ววิบัติมากๆพร้อมทำปากจู๋แล้วกระพริบตาปริบๆ ไอ้เชี่ยพี่แม่ง!
“โว้ยยย ไปไกลๆเลยไอ้ตุ๊ดปลอม!” ตะโกนด่าแม่งแบบนั้นแล้วสะบัดหน้าหนีออกมาจากมือหนาๆใหญ่ๆของไอ้พี่มันทันที
“อั๊ย อยากกรี๊ดๆค่ะ ตุ๊ดปลอมเชี่ยไร ตบปากนะคะ กูตุ๊ดก็คือตุ๊ด เป็นตุ๊ดสวยๆค่ะอิเด็กนี่ หึ้ย”
“ไม่ต้องมาพูดเลยนะ มึงถอยๆเลยไอ้พี่”
“อิ้ววว ยังกับว่าอยากอยู่ใกล้ตายล่ะค่ะ ขมคอ”
“เออ ไปขมไกลๆเลยนะ อย่ามาทำหน้าทำตาเหมือนหิวใส่กูอีกนะโว้ย”
“หวงเนื้อหวงตัว หึ”
“หึอะไร มึงหึอะไร๊!!”
“เปล๊า”
เสียงมึงสูงมาก ไม่สูงแค่เสียงนะ หน้าตาก็ยังทำท่ายักคิ้วหลิ่วตาใส่ไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าเจ็บร้าวไปทั้งตัว ตีนไอ้กุ๊กคนนี้ต้องกระตุกไปฟาดปากพี่มันแน่ๆ ไอ้บ้าเอ๊ย
“พอ เลิกด่ากูในใจได้แล้วจ๊ะหนู นอนพักเถอะ หายดีแล้วจะได้มีแรงไปจัดการเรื่องอื่นๆ”
สัญญาณสงบสุขดังออกมาจากคนตรงหน้า พี่ดาบที่ยิ้มมาให้น้อยๆ ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะดึงผ้าห่มที่เลื่อนตกลงไปที่ปลายเท้าขึ้นมาคลุมตัวให้ผม
“แล้วไอ้เมล...”
“น้องคาราเมลหวานๆปลอดภัยดี หนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“จริงนะเจ๊”
“จริงสิคะ”
“อื้ม...” ตอบรับพี่มันไปน้อยๆ แค่ได้ยินว่าไอ้เมลไม่เป็นอะไรผมก็ดีใจ แต่ยังไม่ได้เห็นกับตาตัวเองก็ยังไม่อยากมั่นใจอะไรเท่าไหร่ ผมยังจำเสียงกรีดร้องของมันได้ดีอยู่เลย
‘หมับ’
“อ๊ะ...”
“อย่าคิดมากเลยค่ะหนู น้องเมลไม่เป็นอะไร เราเองก็สภาพไม่ได้ดีนัก พักผ่อนเถอะ ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว”
ช้อนตามองคนที่วางมือลงมาลูบหัวให้ผมเบาๆ อยากจะฝืนดื้อต่อ แต่พอสัมผัสอุ่นๆที่ได้รับมาในตอนนี้ ก็ทำได้แค่ทิ้งตัวลงนอนแต่โดยดี มองคนร่างหนาที่ผละตัวออกจากผมไป แล้วเดินออกไปจากห้อง
“พี่ดาบ...”
“หื้ม?...”
“ขอบคุณนะครับ”
บอกออกไปเบาๆ พร้อมๆกับที่ใบหน้าหล่อๆที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางค์หันกลับมายิ้มอ่อนๆให้ผมพร้อมพยักหน้ารับรู้ และนั่นคือสิ่งสุดท้ายก่อนที่เปลือกตาของผมจะปิดลงอีกครั้งนึง
...
“กูจะไม่ทนแล้วนะโว้ย”
“กูว่ามึงใจเย็นๆก่อนไอ้บิน มึงจะไปแจ้งความให้เป็นเรื่องใหญ่ให้พ่อไอ้เมลมาแหกอกมึงหรือไงวะ”
“แต่มันหายไป มึงเข้าใจไหม ไอ้เมลกับไอ้กุ๊กมันหายไปเป็นอาทิตย์แล้ว!”
ตะคอกใส่หน้าไอ้เพื่อนที่ดูไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ ทั้งๆที่เพื่อนในกลุ่มหายไปจะเป็นอาทิตย์ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างบอกไม่ถูก ร้อนใจไปหมดแล้วในตอนนี้
“ไม่ใช่กูไม่ห่วง แต่กูรู้ดีว่าบ้านไอ้เมลไม่ปล่อยให้ลูกเค้าตายหรอก อีกอย่าง...มันยังมีอาจารย์ทัพหน้า”
“อาจารย์ห่านั่นทำเชี่ยอะไรได้บ้าง ทำได้อย่างเดียวคือทำให้มันเจ็บน่ะสิไม่ว่า!”
“แต่ถึงไอ้เมลมันจะเจ็บ แต่มันก็เต็มใจที่มันจะเจ็บจากมือของคนที่มันรัก มึงเข้าใจไหมว่าไอ้เมลมันรักอาจารย์ทัพหน้า”
ไอ้อู๋ที่จ้องหน้าผมแล้วพูดออกมาแบบนั้น มันไม่ได้ตะคอกเสียงดังใส่หน้า แต่มันแค่กดเสียงอย่างหนักแน่นและชัดเจนที่สุดเพื่อบอกผม สายตาของมันที่มองหน้าผมนิ่งๆแบบนั้นทำให้ผมยิ่งละอาย
“กูมั่นใจว่าอาจารย์จะไม่ปล่อยให้มันได้รับอันตราย”
“แต่ถ้ามันได้รับอันตรายล่ะ”
“เค้าก็คงไม่ปล่อยคนที่ทำมันไว้หรอก จริงๆคนที่มึงควรจะห่วง ถ้ามึงยังคิดว่านั่นเป็นเพื่อนรักมึง จริงๆมึงน่าจะถามหาไอ้กุ๊กมากกว่ารึเปล่า”
ผมเสหน้าหนีในตอนนั้น หัวใจเต้นตึกตักตอนที่ได้ยินชื่อนี้ออกจากปากของมัน จริงๆก็เพราะว่าเป็นห่วงไอ้นี่นั่นแหล่ะ ถึงต้องโวยวายถามหาไอ้เมลอยู่แบบนี้
“จริงๆกูมาคิดๆดู กูว่า...พวกเราแม่งไม่ฟังไอ้กุ๊กมันเลยนะ”
ไอ้อู๋ที่พูดออกมาเบาๆ มันที่เอนตัวเอาหลังพิงกำแพงแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ มันที่เงยหน้ามองฟ้าแล้วพ่นควันออกมาในตอนนั้น
“ทำไมต้องฟังวะ”
“แล้วทำไมมึงถึงไม่ฟังมัน”
“ก็หลักฐานมันชัด ถ้าไม่ใช่ มันจะไปอยู่ที่นั่นตอนนั้นได้ไง...กูที่เป็นเพื่อนมันมาตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่านั่นบ้านมัน มันปิดบังกูอย่างตั้งใจ ทุกอย่างมันชัดขนาดนั้น”
“หลักฐานมันชัด หรือคำพูดที่บอกว่ามันชอบอาจารย์ทัพมันทำให้มึงจุกจนเลือกเชื่อกันแน่วะ”
“มึงหมายความว่าอะไร” หันไปมองหน้าด้านข้างของมัน ไอ้อู๋ที่หยิบบุหรี่เข้าปาก ก่อนจะพ่นควันออกมาช้าๆ มันที่ยกยิ้มมุมปาก แต่สายตาก็ยังคงมองท้องฟ้าอยู่แบบนั้น หล่อมากมั้งไอ้สัด
“มึงไม่ต้องมาถามกูหรอก ถามใจมึงก็พอ”
“พูดเหี้ยไรไม่เคยรู้เรื่อง”
บ่นมันออกมาเบาๆ แล้วหันหน้าหนี .... ทำไมกูต้องถามตัวเองด้วยวะ กูจะไปรู้สึกอะไรที่รู้ว่าไอ้กุ๊กชอบอาจารย์ทัพหน้า กำมือจนแน่นตอนที่คิดออกมาแบบนั้น
“ไม่รู้เรื่องต่อไปให้ได้ตลอดล่ะ มึงไม่เห็นไอ้เบนหรอวะ ตั้งแต่ไอ้กุ๊กออกจากกลุ่มพวกเราไปมันก็สนิทกับไอ้เบนที่สุด”
“เหอะ ไอ้แป๊ะเตี้ย”
“ปากดี ใครมันจะเป็นไอ้ตี๋โย่งแบบมึงไอ้สัด”
“มึงเข้าข้างมันหรอวะ!” รู้สึกหงุดหงิดแบบบอกไม่ถูก ตวัดสายตาไปมองแรงใส่ไอ้อู๋ที่ดูจะอารมณ์ดีซะเหลือเกิน
“หึ กูพูดแค่นี้มึงก็ขึ้นแล้ว แล้วถ้าเป็นไอ้กุ๊กพูดล่ะมึงจะต้องขึ้นขนาดไหน”
“สัด”
“ใจเย็นๆไว้พ่อหนุ่ม มึงอย่ามารู้ตัวตอนที่สายล่ะ ถ้าแก้อะไรได้ก็รีบแก้ซะ”
“มาบอกแต่กู แล้วมึงเหอะ ตอนนั้นมึงก็เชื่อว่าไอ้กุ๊กทำเหมือนกัน แล้วถ้าตอนนี้มึงบอกว่าไอ้กุ๊กไม่ได้ทำ มึงจะบอกว่าโพดโกหกหรือไง”
หันหน้ากลับไปมองมัน ไอ้อู๋ที่เสหน้าไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง มันที่ถอนหายใจออกมาหนักๆในตอนนั้น
“บางที...กูก็น่าจะเชื่อคำไอ้อ้วนให้เร็วกว่านี้ กูเองจะได้ไม่ต้องเสียใจ และที่สำคัญ...จะได้ไม่เสียเพื่อนดีๆแบบไอ้กุ๊กไปด้วย”
“ไอ้อ้วน?”
“ไม่เสือกนะหนูบินนี่”
“สัดอู๋ กูจะเหยียบหน้ามึง!”
“ก๊ากกกกกก”
กวนตีนกูจริง ไม่พอยังหันมายิ้มขำก๊ากใหญ่แถมพ่นน้ำลายใส่หน้ากูอีก มึงต้องโดนตีนกูแล้วไอ้เหี้ยอู๋ วิ่งไล่เตะเพื่อนตัวเองออกมาจากหลังตึก ที่ๆเป็นจุดนัดรวมพลคนชอบสูบบุหรี่จะมาสูบได้ ไอ้อู๋ที่วิ่งนำไปเพราะหนีลูกเตะจากผม แหกปากร้องโวยวายไปตามทาง โคตรหน้าอาย แต่เพราะว่ามันที่ไม่ทันระวัง มัวแต่หันมามองผม เลยชนเข้ากับคนเต็มๆ
‘พลัก’
“โอ๊ยยย”
“เห้ย! อะ...อ้าว โพด”
“อู๋ โพดเจ็บนะ”
พวกเราต่างมองไปยังร่างเล็กที่ตอนนี้กองอยู่ที่พื้นไปแล้ว ไอ้อู๋ที่มองนิ่งๆ แว๊บนึงผมเห็นมันกรอกตา แต่ไม่น่าจะใช่ ในเมื่อมันก็ก้มตัวลงไปดึงโพดให้ลุกขึ้นมายืนดีๆ
“โทษที”
“อู๋กับบินไปไหนกันมาอ่า เราตามหาตั้งนาน”
“ตามหาทำไม”
“เอ้า ก็จะได้กลับบ้านด้วยกันไง”
พูดที่ว่าออกมาแบบนั้น ก่อนจะยื่นมือไปเกาะแขนไอ้อู๋เอาไว้ ซึ่งภาพแบบนี้ที่เห็นก็โคตรจะเป็นเรื่องปกติมากๆ แทบจะรู้กันทั้งคณะอยู่แล้วมั้งว่าไอ้อู๋แม่งตามจีบโพด ก็เล่นออกนอกหน้านอกตาขนาดนั้น แต่ในวันนี้ ตอนนี้ เหมือนจะมีบางอย่างที่แปลกออกไป ไอ้อู๋ที่ยืนนิ่งๆไม่กระดี๊ดระด้าเหมือนปกติเวลาที่โพดเข้ามาเกาะแกะ
“เอ้า ลุง หวัดดี โอ้วววว อยู่กันครบเลยเนอะ อิตัวดีทั้งหลาย”
เสียงใสๆที่เรียกให้พวกผมหันไปมอง และเจอเข้ากับเด็กหน้าเป็นคนนึงที่เดินเข้ามา .... เอ่อ...มันคือใครวะ?
“เอ้า ไอ้อ้วน”
“ปากหมานะลุง! ถ้าไม่ติดว่าหิวจะเขวี้ยงขนมครกนี่ใส่หน้าเดี๋ยวนี้!”
เด็กตรงหน้าอ้าปากเถียงกับไอ้อู๋แบบจริงจัง ผมกับข้าวโพดได้แต่มองมันเถียงกันแบบงงๆ แต่จริงๆก็ดูเป็นความเถียงในแบบที่ไอ้อู๋ดูจะชอบใจ มุมปากของมันที่ยกยิ้มออกมาตอนว่าเด็กนั่นว่าอ้วน เอาจริงๆผมว่ามันก็ไม่ได้อ้วนนะ น่าจะอวบๆมีแก้มแบบน่ารักนุ่มนิ่ม ที่สำคัญผิวขาวอมชมพูของมันก็ทำให้มันยิ่งดูนุ่มนิ่มเข้าไปอีก
“หึ มึงมาก็ดีเลย ปะ กลับกัน”
“ห๊ะ?”
ไอ้อู๋ที่ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมๆกับไอ้เด็กนั่นที่เอียงคอมองมันงงๆ ตากลมใสเบิกกว้างขึ้นมาตอนที่ไอ้อู๋แกะแขนไอ้โพดออกจากแขนตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปเอามือคล้องคอไอ้เด็กที่มือข้างนึงล้วงเข้าไปในถุงขนมครกอยู่
“โทษทีนะโพด พอดีวันนี้เรานัดน้องไว้อ่ะ คงไปส่งโพดไม่ได้หรอก”
“ห๊ะ อู๋ไม่ไปส่งโพดหรอ”
“เออ โทษทีนะ”
มันที่ว่าออกมาง่ายๆพร้อมยักคิ้วใส่ เอาจริงๆโคตรกวนตีน ผมหันไปมองโพดที่ชักสีหน้าออกมาทันที จริงๆเหมือนเป็นครั้งแรกที่เห็นโพดมันแสดงท่าทีไม่พอใจแบบนี้
“ไปกันเหอะไอ้แจ เดี๋ยวกูเลี้ยงบอนชอน”
“เชี่ย จริงจังไม่จ้อจี้กูนะลุง”
“สัญญา”
“ชิพหาย น่ารักเด้ออ ไปกันจ้า”
“หึ ไวเชียวนะ”
“จะไปไหมไอ้สัด”
“ครับๆ....ไอ้บินกูกลับก่อนนะ ส่วนมึงน่ะ ก็คิดให้ดีๆ กูว่าถ้ามองดีๆจะชัดมากเลยว่ะ” มันที่กอดคอไอ้เด็กนั่นแล้วเสหน้ามามองผม มันที่กระตุกยิ้มมุมปากหน่อยๆตอนที่ว่าแบบนั้น สายตาของมันมองข้าวโพดนิ่งๆ นิ่งจนผมที่เป็นเพื่อนมันมาสี่ปีรู้ดีว่ามันกำลังหมายถึงอะไร
“อืม มึงกลับดีล่ะ”
“ดีแน่ บาย”
บอกแบบนั้น ก่อนจะดึงไอ้เด็กที่มันกอดคอไว้ให้เดินตามแรงลากของมันออกไป ไม่คิดแม้แต่จะบอกลาโพด ... ผมรู้ดีว่าจริงๆไอ้อู๋มันก็ร้ายนะครับ จริงๆมันก็เป็นคนหล่อคนนึงเลย และที่สำคัญมันไม่มีแฟน ทั้งหญิงทั้งชายมีเข้ามาให้มันไม่เคยขาด แต่ตั้งแต่ที่เห็นเหมือนมันเริ่มจะจีบโพด ผมก็เห็นมันทุ่มเต็มที่ แต่ถ้าดูจากรูปการณ์ตอนนี้ ถ้าบอกว่ามันได้ฟันโพดแล้ว ภาษาชาวบ้านจะเรียกว่าฟันแล้วทิ้ง แต่ถ้ายัง ก็คงบอกแค่ว่า กูเทแล้ว
“หึ้ย”
“หื้ม?...โพดพูดว่าไรนะ” ได้ยินไม่ชัดเลยหันไปถามคนที่ยืนทำหน้าหงุดหงิดอยู่ข้าง อีกฝ่ายที่ค่อยๆปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก็ส่ายหน้า ก่อนจะค่อยๆช้อนตามองหน้าผม
“บิน”
“หื้ม”
“บินช่วยไปส่งโพดหน่อยได้ไหมอ่ะ...อยู่ๆอู๋ก็เทกันแบบนี้ เราไม่ได้บอกที่บ้านไว้อ่ะ”
“อ่า....ก็ได้สิ”
“เย้ น่ารักจัง ขอบใจนะ”
เมื่อตอบรับ อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมๆกับชูมือขึ้นสองแขนตะโกนดีใจ อืม....ก็น่ารักดี เป็นภาพชินตาที่เวลาใครมองมาที่โพดมันก็คงจะเห็นแว่นตาหนาๆพร้อมกับท่าทางซื่อๆแบบนี้นั่นแหล่ะ
.
.
.
“บินสนิทกับอู๋มานานแล้วหรอ” เสียงใสๆที่ดังมาจากคนข้างตัว ทำให้ต้องละสายตาไปมองแว๊บนึงก่อนจะหันหน้ามามองถนนเหมือนเก่า
“ก็รู้จักกับมันมาตั้งแต่ปี1แล้ว ก็สนิทกัน”
“อื้มม เราว่า...เหมือนอู๋จะชอบเราเลย” ผมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆตอนได้ยินแบบนั้น ก็คือพึ่งรู้หรอวะ คนเค้าน่าจะรู้กันทั้งคณะแล้วมั้ง
“อ่อ ก็นะ”
“แต่เรา...เราคิดกับอู๋แค่เพื่อนนะ” ห๊ะ! คิดแค่เพื่อน แต่เล่นให้มันไปรับไปส่งไปนู่นไปนี่ไปนั่นตลอดอะนะ อยากจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่นิ่ง
“อ่อหรอ ...”
“แต่เราไม่รู้จะบอกอู๋ยังไงให้เข้าใจดีน่ะสิ เฮ้อ อึดอัดจัง...ถ้าเรากล้าแบบกุ๊กที่กล้าทำตามใจตัวเองก็คงจะดีสิ”
ชื่อของบุคคลที่สามที่ถูกเอ่ยออกมาจ3ากปากของคนข้างๆ จากที่ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ แต่เพราะแบบนี้มันเลยอดไม่ได้ที่จะต้องถามต่อ
“ทำไม ไอ้กุ๊กมันทำไม”
“ก็แบบที่ว่า อยากทำอะไรก็ทำ ชอบใครก็กล้าบอกไง” มันที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเอียงหน้ามายิ้มหวานให้ผม
“หรอ”
“อื้มม แบบชอบอาจารย์ทัพหน้างี้ ก็กล้าทำตามใจตัวเองให้ได้มา....แบบที่ทำกับเมล”
“ไอ้กุ๊กมันทำหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ บินก็เห็นนี่วันนั้นน่ะ วันที่ทุกคนรู้เรื่องว่ากุ๊กสั่งคนมาทำร้ายเมลน่ะ ก็วันนั้นน่ะกุ๊กเข้ามาวางแผนใหม่กับคุณพ่อไง”
“อืม จำได้ มันวางแผนไว้ว่าไงนะ”
“ก็สั่งพวกไอ้กล้าไปดักทำร้ายเมลมันไงล่ะ ตั้งใจจะไปจัดการเมลแต่พี่ทัพน่ะก็ช่วยมันไว้จนได้ เหอะ....อ่า กุ๊กมันคงหงุดหงิดน่าดูเลยนะตอนนั้นน่ะ”
“หรอ มันเป็นแบบนั้นเลยหรอ”
“จริงๆนะบิน กุ๊กน่ะ...” โพดมันบอกออกมาแบบนั้นตอนที่ผมตบไฟเลี้ยวรถ ก่อนจะค่อยๆชะลอจอดตรงหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ บ้านพ่อไอ้กุ๊ก ....
“เราไม่รู้ว่ากุ๊กอยู่กับพวกบินเป็นยังไง แต่อยู่กับเรา กุ๊กร้ายมากจริงๆ”
เสียงเล็กที่ว่าออกมาอีก พร้อมๆกับฝ่ามือบางที่วางลงบนต้นขาของผม สะดุ้งนิดหน่อยแต่ก็หันหน้าไปมองคนข้างๆตัวนิ่งๆ ใบหน้าใสๆน่ารักภายใต้กรอบแว่นตาหนาของมันที่จ้องมองผม
“บินเชื่อโพดไหม โพดไม่ได้โกหกจริงๆนะ”
ผมใช้สายตามองไปทั่วทั้งหน้าของอีกฝ่ายนิ่งๆ คนตรงหน้าที่เม้มริมฝีปากนิดๆเหมือนเขินอาย สุดท้ายก็ตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายที่เอนตัวไปพิงกับเบาะรถก่อนจะช้อนตามามองหน้าผม ยกยิ้มนิดๆตอนที่เลื่อนมือเข้าไปวางไว้ข้างๆตัว อีกฝ่ายที่ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรมองจ้องตาผมอยู่ตอนนี้ เอียงหน้าเข้าไปใกล้จนลมหายใจประทะใบหน้าเล็ก
‘แกร๊ก’
“ถึงบ้านพอดีเลย อย่าเสียเวลานั่งอยู่เลย ลงเถอะ”
“เอ๊...”
ผมที่ผละตัวออกมาตอนที่ปลดสายคาดเบลท์ออกให้ พร้อมๆกับเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้ด้วย คนที่เอนตัวลงแนบกับเบาะเบิกตามองหน้าผมแบบคาดไม่ถึง
“อ่ะ อืม”
‘ปัง’
ข้าวโพดที่พูดแค่นั้น ก่อนจะเดินลงจากรถแล้วปิดประตูซะเสียงดัง
“สัด! รถกูแพงนะแม่ง” บ่นมันออกไปแบบนั้น แต่แน่ล่ะมันไม่ได้ยินหรอก
“เป็นคนแบบนี้เองหรอวะ เหอะ...สัดอู๋ มึงหลุดพ้นแล้วล่ะ”
เหลือจะเชื่อ ไม่คิดไม่ฝันว่าโพดมันจะทำแบบนี้ คือไรวะ แค่ลูบต้นขาก็รู้แล้วว่าไม่ใส ... แต่ทำไม ทำไมถึงต้องว่าไอ้กุ๊กแบบนั้นด้วยวะ
ขับรถออกไปให้พ้นจากหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ ขับตรงไปแล้วถอยหลังกลับรถตรงซอยข้างๆบ้านพ่อไอ้กุ๊ก ตั้งใจว่าจะขับกลับเลย แต่สายตามันดันสะดุดตากับรถคันหนึ่งที่เห็นบ่อยๆในช่วงนี้จากทางกระจกมองหลัง เผลอเหยียบเบรคในตอนนี้ มองเห็นผู้ชายร่างสูงคนนึงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกรถเหมือนกำลังรอใคร พอเพ่งมองชัดๆก็จำได้แม่น
“นี่มันไอ้คนที่ชอบมาส่งเมลตอนเช้าๆนี่หว่า ทำไมมาอยู่ตรงนี้วะ?” ชัดแน่ไม่มั่วนิ่ม ไม่จ้อจี้ใดๆ ไอ้ผู้ชายสูงๆที่ว่าเป็นคนของไอ้อาจารย์ที่ชอบมาส่งเมลตอนเช้าไม่ผิดแน่ ผมรีบถอยรถออกจากซอยแล้วไปแอบจอดที่อื่น ก่อนจะย่องไปแอบดู ผู้ชายคนนั้นที่จอดรถพิงกำแพงบ้านไอ้กุ๊กอยู่เหมือนรอใคร และในไม่กี่นาทีต่อมา ประตูด้านข้างของบ้านไอ้กุ๊กก็เปิดออกมา และคนที่เดินออกมาก็คือ
‘ข้าวโพด’
“เชี่ย”
เผลออุทานออกมาเบาๆ มองเห็นข้าวโพดกับผู้ชายคนนั้นกำลังคุยกันหน้าเครียด ผู้ชายร่างสูงที่จับมือไอ้โพดไว้แน่นๆ แต่มันกลับสะบัดมือออก ทำท่าทางรังเกียจก่อนจะผลักอกแกร่งนั่นแรงๆจนเขาเซไปชนรถ ไม่รู้ว่าทั้งคู่ทะเลาะอะไรกัน แต่เสียงดังน่าดู แต่ผมก็ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะระยะที่ไกลพอดู แต่ก่อนที่ผมจะคิดออกว่าควรทำอะไรต่อไปดี รถตู้สีดำคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าไปในซอย ก่อนที่ชายฉกรรจ์ในขุดดำใส่แว่นหลายคนจะกระโจนลงมาจากรถ พร้อมๆกับล็อคตัวไอ้โพดและผู้ชายคนนั้นอุ้มขึ้นรถไปต่อหน้าต่อตาผม ในจุดนี้กูมุดหัวลงแนบถังขยะเลย ไม่กี่นาทีต่อมารถตู้ก็แล่นออกไปแบบไร้ล่องลอย เหลือเพียงแค่กูที่นั่งตาเบิกกว้างมือสั่นอยู่ข้างถังขยะเปียก
“ไอ้ชิพหาย! นี่มันเรื่องเชี่ยไรกันวะ!!”
โทรบอกตำรวจดีไหม เมื่อกี้โพดโดนจับตัวไปด้วย นี่มันเรื่องอะไรกันวะ ไม่ได้ นี่มันเรื่องใหญ่เกินกว่าผมจะจัดการคนเดียวไหว เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนกดโทรออก
“ฮัลโหลไอ้สัดอู๋ กูเจอเรื่องใหญ่!!”
...
(มีต่อจ้า)