@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป
การลอยกระทงเป็นเรื่องไร้สาระ
โตป่านนี้แล้วใครที่ไหนจะไปลอยกระทงก็ไปเถอะ แต่บารมีไม่ไป
“เฮียไปลอยกระทงที่ไหนวันนี้”
ช่างวินัยถามไปตามมารยาท และบารมีก็ตอบไปตามมารยาท
“แถว ๆ นี้แหละ”
ตอบส่งๆ ไปและช่างวินัยก็พยักหน้ารับ และยังวุ่นวายอยู่กับการเช็คสภาพรถ
“แล้วช่างนัยไม่ไปไหนเหรอวันนี้”
เอ่ยถามไปตามมารยาทเหมือนกันและช่างวินัยก็ส่ายหน้า
“พวกหน้าปากซอยชวนกินเหล้าอยู่ แต่ไม่ไหว แก่แล้ว กินมาก ๆ เดี๋ยวตับพังหมด ไม่อยากลำบากตอนแก่ กลัวไม่มีใครดูแล”
ช่างวินัยกำลังวุ่นวายกับงานที่ต้องเร่งมือให้เสร็จเพื่อให้ทันส่งรถตามนัดและบารมีก็ยืนมองอยู่ห่าง ๆ
“เฮียไม่พาพิพัฒน์ไปลอยกระทงมั่ง เห็นนั่งจ๋อย ๆ ทั้งวัน พวกที่เตะตะกร้อด้วยกันก็มีคู่ไปลอยกันหมด ไอ้เต๋อนี่หนักกว่าเพื่อน ของมันต้องสลับกันหลายคนไปลอย ไอ้นี่มันร้ายกาจจริง ๆ”
ช่างวินัยเล่าเรื่องบางอย่างให้กับบารมีฟังและช่างวินัยก็หัวเราะเสียงเบาเมื่อนึกไปถึงไอ้เด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม และไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ช่างวินัยก็ยังเห็นเต๋อเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เผลอแป๊บเดียวไม่ทันไรไอ้เต๋อมันจะมีเมียแล้ว นึกไปถึงสมัยเดินไปโรงเรียนตอนเด็ก ๆแล้วไอ้เต๋อเดินตามต้อยๆ ก็ยังอดขำไม่ได้
“ปล่อยมัน วัยอย่างมันนี่กำลังได้ที่เลย ดีที่ยังรู้จักรับผิดชอบงานบ้าง อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ พอทำได้มันก็ยังหยิบจับอยู่ ไม่ทำตัวให้แม่มันหนักใจก็ถือว่าใช้ได้”
บารมีคุยกับช่างวินัยไปเรื่อย และหันไปมองคนที่นั่งเล่นอยู่ในออฟฟิศ
“สองทุ่มทันมั้ย ลูกค้ามารับรถตอนนั้น”
ช่างวินัยปิดกระโปรงรถเรียบร้อยและโยนอุปกรณ์ทั้งหมดใส่ลงไปในกล่องเก็บอุปกรณ์
“เสร็จแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เช็คครบหมดทุกอย่าง”
งานของวันนี้เสร็จเรียบร้อย แค่รอลูกค้ามารับรถเท่านั้น
“ขอบใจมากช่างนัย วันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
ช่างวินัยพนักหน้ารับและเดินไปจัดการล้างมือและเตรียมตัวกลับบ้าน
“นัย นัย เอาใบตองกับดอกไม้ไปให้ไอ้เต๋อมันหน่อย เมื่อเช้าดอกไม้กับใบตองที่เอาไปทำมันไม่พอ กลุ่มมันช่วยกันทำกระทงประกวดกับจังหวัด เอาไปส่งให้มันหน่อยนะ เดี๋ยวมันจะไม่ทัน”
แม่ของเต๋อ เดินลัดมาที่อู่ และช่างวินัยก็รับถุงใส่ใบตองและดอกไม้มาถือเอาไว้
“วานหน่อยนะ น้าเข้าไม่ถึง คนเยอะเดี๋ยวจะหลง”
“โทรบอกมันหรือยังว่าผมจะเอาไปให้”
ช่างวินัยเอ่ยถามเพราะไม่อยากมีปัญหาภายหลังและแม่ของเต๋อก็พยักหน้ารับ ช่างวินัยถึงเดินไปขึ้นรถกระบะเก่า ๆ ที่ใช้อยู่ประจำและขับออกไป
“บัสไม่ไปไหนเหรอวันนี้”
แม่ของเต๋อหันมาชวนบารมีคุยและบารมีก็ส่ายหน้า
“ผมไม่ไปไหนหรอก กลับบ้านนอนดีกว่า นี่อยู่ส่งรถก่อน นัดลูกค้าไว้สองทุ่ม”
ตอบแม่ของเต๋อไปเรียบร้อยและแม่ของเต๋อก็มองไปทางออฟฟิศ
“เจ้านั้นหายดีแล้วเหรอ เห็นวันก่อนไม่ค่อยสบาย นอนซมอยู่คนเดียว บอกให้ไปนอนที่บ้านก่อนก็ไม่ไป น่าสงสาร”
บารมีมองตามไปที่พิพัฒน์ที่กำลังตั้งใจทำงาน แล้วก็พยักหน้ารับ
“ก็ดีขึ้นแล้ว”
บารมีคุยกับแม่ของเต๋อไปเรื่อยระหว่างรอลูกค้ามารับรถ
“ตอนแรกพอรู้ว่าเป็นผัวเก่าอีปา ก็ไม่อยากจะไว้ใจ พี่น้องทางเราเขาก็มองอยู่ตลอดนะบัส ว่าจะยังไง แต่อยู่ไปอยู่มาเจ้านี้เขาก็เข้าท่าอยู่นะ ใครว่าอะไรใครพูดอะไร ไม่เห็นเคยโกรธเคือง เห็นยิ้มเป็นอยู่อย่างเดียว ท่าทางจะพูดไม่ค่อยเป็น ว่าง ๆ ก็บอกให้แวะไปนั่งเล่นที่บ้านได้นะ มีขนมมีอะไรก็จะได้แบ่งกันกิน”
บารมีพยักหน้ารับ และเข้าใจสิ่งที่แม่ของเต๋อพูดทุกอย่าง พิพัฒน์เป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้าไม่สนิทกันจริง ๆ ก็แทบจะไม่ค่อย ขนาดอยู่ด้วยกันทุกวัน นาน ๆ ถึงจะได้คุยกันที
แต่น่าแปลก เวลาพิพัฒน์อยู่กับไอ้เต๋อทำไมถึงได้คุยกันได้คุยกันดี คิดแล้วชักเริ่มโมโหขึ้นมาอีกแล้ว
“มันคงติดเกรงใจแหละ เดี๋ยวผมไปออกบิลก่อน ลูกค้ามาจะได้เอารถไปเลย”
บารมีเตรียมจัดการงานของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยและเดินไปหาพิพัฒน์ที่เริ่มซบหน้าลงกับหมอนอิงที่วางอยู่บนโต๊ะอีกแล้ว
และเมื่อประตูถูกเปิดออกพิพัฒน์ก็หันไปมองบารมีที่เดินเข้ามาหยิบบิลเงินสดเพื่อเขียนจำนวนเงินและรายการซ่อมลงไป
“เขียนให้”
พิพัฒน์ดึงบิลมาเขียนเองและบารมีก็ส่งบิลให้พิพัฒน์เขียน
“ออกตามรายการพวกนี้นะ”
ส่งรายการอะไหล่ที่ใช้ซ่อมและค่าแรงให้พิพัฒน์และบารมีก็เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้และยืดแขนออกจนสุด เอียงไปทางซ้ายและขวาเพื่อคลายจากอาการเมื่อยล้า
บิลเงินสดเขียนเสร็จแล้ว และพิพัฒน์ก็ส่งให้บารมีเซ็นชื่อกำกับและฉีกเอกสารแยกเอาไว้เพื่อรอลูกค้ามารับรถ
ทุกวันบารมีจะมีเรื่องบ่นและพูดไม่หยุด แต่วันนี้บารมีเงียบจนผิดปกติและพิพัฒน์ก็พอรู้ว่าเพราะอะไรบารมีถึงไม่พูดคุยด้วยเหมือนทุกวัน
พิพัฒน์เอนหน้าลงไปซบกับหมอนอิงและมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอเวลากลับบ้าน
และบารมีก็เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ในท่าสบาย ๆนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ โดยมีพิพัฒน์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
บารมีจมอยู่กับความคิดของตัวเองและพิพัฒน์ก็หลับตาลงอย่างช้า ๆ
“..................”
“..................”
ต่างคนต่างเงียบ แต่ไม่ได้รู้สึกแย่หรืออึดอัดใจเลยสักนิด
บางครั้งการที่ไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ลูกค้ามารับรถก่อนเวลา และบารมีก็ลุกขึ้นเดินออกจากออฟฟิศไปหาลูกค้า
พิพัฒน์มองตามและก็เห็นบารมีเดินไปคุยกับลูกค้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ท่าทางอย่างนั้นคงจะคุยกันอีกพักใหญ่ พิพัฒน์สามารถหลับรอได้เลย
หลับไปพักใหญ่ พิพัฒน์มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเปิดประตูออฟฟิศและบารมีก็เดินเข้ามาหา
“ป่ะ กลับบ้าน”
ลุกขึ้นยืนและจัดการเก็บเอกสารขึ้นบนชั้นวางเรียบร้อย ปิดแอร์ปิดไฟ และล็อคออฟฟิศตามมาขึ้นรถ และพิพัฒน์เพิ่งนึกได้ว่าลืมให้อาหารกระต่าย
“ผักบุ้งหมด”
หันไปบอกกับบารมีที่เดินไปจะถึงรถแล้วและบารมีก็หันกลับไปมองพิพัฒน์ที่เดินไปข้างบ้าน ที่มีกรงกระต่ายอยู่ตรงนั้น
“แล้วไม่เสือกทำให้เรียบร้อยวะไอ้ห่าพัฒน์”
บารมีตะโกนบอกคนที่เดินไปที่กรงกระต่ายและก็ส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายกับความเชื่องช้าของพิพัฒน์
“..................”
พิพัฒน์นั่งลงที่ข้างกรงกระต่ายโดยมีบารมีมายืนอยู่ข้าง ๆ
มีผักบุ้งอยู่ในกรงกระต่ายแล้ว และพิพัฒน์ก็เปิดกรงและดึงกระต่ายออกมาอุ้มและลูบหัวของกระต่าย
“กูอยากจะบ้า ไอ้พัฒน์เอ้ยยยย มึงอยากเล่นกับกระต่ายตอนนี้เนี่ยนะ มันใช่เวลาเล่นหรือไง ไปลุกขึ้น กลับบ้านได้แล้ว”
เรียกให้คนที่เล่นกับกระต่ายลุกขึ้นยืนและพิพัฒน์ก็ลุกขึ้นยืนแต่ไม่เก็บกระต่ายเข้ากรง
ดึงมือของบารมีให้ลูบที่หัวกระต่าย และบารมีก็ถอนหายใจ แต่ก็จำใจลูบหัวกระต่ายตามที่พิพัฒน์อยากให้ทำ
“ตัวนี้ชื่อบั๊ด”
“บั๊ดพ่อง เอาชื่อกูไปตั้งให้กระต่ายมึงคิดจะล้อเลียนกูหรือไงไอ้ห่าพัฒน์”
“บัดดี้ ไม่ใช่บั๊ดเฉย ๆ”
“จะบัดด้งบัดดี้ห่าอะไรก็แล้วแต่มึงเหอะ แต่อย่าเรียกให้ใครได้ยินเชียวนะ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามึงบ้า”
บารมีถึงกับส่ายหน้าและรีบบอกให้พิพัฒน์จัดการยัดกระต่ายเข้ากรงให้เรียบร้อยแต่พิพัฒน์ก็ยังโอ้เอ้เชื่องช้า
“โว้ยยยยยยยยยย จะสนิมสร้อยอะไรของมึงนักหนาวะไอ้พัฒน์กูไปรอที่รถแล้ว มึงพร่ำคำอำลากระต่ายมึงทั้งคืนไปแล้วกัน กูไปแล้ว”
บารมีบ่นพิพัฒน์และเตรียมจะหันหลังเดินไปขึ้นรถ แต่เพราะได้ยินพิพัฒน์พูดบางอย่างก็เลยหยุดชะงักเท้าและหันกลับมามองอีกครั้ง
“บัดดี้........กินผักบุ้งเยอะ ๆ นะ อย่าอ้าปากพะงาบ ๆ แบบนั้นสิบัดดี้ เดี๋ยวก็เอาไปย่างซะเลยนี่”
นี่มึงคิดจะเอากูไปย่างเลยเหรอไอ้พัฒน์
“ไอ้ห่าพัฒน์”
มองหน้าของคนที่แกล้งล้อเลียนและพิพัฒน์ก็ทำเป็นนิ่งเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กรงกระต่ายถูกปิดเรียบร้อยและพิพัฒน์ก็เดินตามหลังบารมีที่เดินบ่นไปตลอดทาง
“แม่ง ห่าอะไรนักหนาวะ จะร่ำลากันถึงชาติหน้าเลยหรือไง”
บารมียังบ่นพึมพำไปเรื่อย แต่พิพัฒน์ที่เดินมาใกล้ ใช้มือสองข้างแตะไปที่แผ่นหลังของบารมีและแกล้งผลักให้บารมีเดินไปข้างหน้า
“ไอ้พัฒน์”
บารมีหันมาตะคอกใส่พิพัฒน์แต่พิพัฒน์แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและเดินไปรอที่รถ โดยมีบารมีเดินตามมาและยังบ่นสิ่งที่พิพัฒน์ทำไม่เลิก
“เล่นห่าอะไร มึงเป็นเด็กสามขวบหรือไงพัฒน์ เล่นไม่รู้เรื่อง”
ประตูรถถูกเปิดออกแล้ว และบารมีก็ขึ้นมาบนรถโดยมีพิพัฒน์นั่งอยู่ข้างๆ และหันมามองหน้าของบารมีตรง ๆ
“นึกว่าวันนี้จะไม่ยอมพูดด้วยซะแล้ว”
อะไร
นึกว่าวันนี้จะไม่ยอมพูดด้วยอะไรของมึงพัฒน์
บารมีส่ายหัวและทำเป็นไม่สนใจพิพัฒน์ แต่พิพัฒน์สนใจบารมีมากกว่าทุกวัน
“มึงจะจ้องหน้ากูทำไมพัฒน์ ประสาทกลับหรือไง จ้องอยู่ได้ ไอ้ห่า”
ประสาทไม่ได้กลับหรอก ประสาทยังดีอยู่ แล้วที่มองก็มีเหตุผลในการมองด้วย
“....................”
พิพัฒน์ยังคงนิ่งเงียบ และบารมีก็เงียบตาม
บางทีการที่ต่างคนต่างเงียบเกินไป มันก็ไม่ค่อยดีมากนัก
พิพัฒน์เปิดวิทยุเพื่อให้มีเสียงอย่างอื่นบ้างนอกจากความเงียบ และเพลงที่ไม่เคยได้ยินก็ถูกเปิดในคลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง
“ไกล ไกลแสนไกลเกินตาเพียงสายลมพา ขอบฟ้าจะเปลี่ยนสีไป
จากหยดน้ำเป็นฝนพรำโปรยปราย คือฤดูกาล โลกนี้ยังคงหมุนไป
ไม่มีอะไรที่มันจะยืนยาวเท่าความผันเปลี่ย¬น และบางทีเราอาจเรียนรู้คุณค่าไอแดดเมื่อฝนมา………”
ไม่ได้ตั้งใจฟัง
บารมีไม่ได้ตั้งใจฟังและพิพัฒน์ก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจกับเนื้อหาของเพลง
แต่เมื่อดวงตาสองคู่หันมาสบกันกลับปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆของทั้งพิพัฒน์และบารมี
“จะยิ้มรับมันวันที่ใจอ่อนแอแม้ทุกเรื่องราวมันยังคงโหดร้าย สุขทุกข์ที่เราพบพาน.......มันคือชีวิตของเรา”
บารมีพยักหน้ารับ และยกมือขึ้นมาเขย่าหัวพิพัฒน์เบา ๆ
ไม่เคยรู้……..
บารมีไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน
การที่มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆมันทำให้กล้าที่จะอ่อนแอและพร้อมที่จะเข้มแข็ง
........วินาทีนั้นบารมีคิด.........
ถ้าได้พิพัฒน์มาอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต ก็คงดี
TBC.