ลิขิตครั้งที่ 21
อยู่ด้วยกันจนถึงสิ้นเดือนพุดตานก็ย้ายออก สัมภาระมีแค่กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบเหมือนตอนมา ผมได้ยินไอ้กาลมันแซวว่างั้น ขับรถมาส่งถึงหอใหม่ขึ้นมาดูห้องจัดการนู่นนั่นนี่ด้วยกันเรียบร้อยน้องชายผมก็ไปปฏิบัติภารกิจประจำวันหยุดของมัน ทิ้งผมกับพุดตานยืนเคว้งคว้างในห้องโล่งๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่มีชิ้นกันอยู่สองคน
ห้องที่นี่เล็กกว่าหอผมนิดหน่อย เปิดประตูเข้ามาก็เจอเตียงขนาดห้าฟุตกับสู้เสื้อผ้า มองเลยไปอีกนิดก็เจอประตูระเบียงอยู่ข้างๆ ห้องน้ำ
"อยากได้ชั้น" กระเป๋ายังไม่ทันได้เปิด ยังไม่รู้เลยจะจัดของยังไงก็หันมายิ้มตาหยีให้ผมซะแล้ว
"จะเอามาวางตรงไหน"
"อยากกั้นห้องนอน ใช้ตู้เสื้อผ้ากับชั้นวางของกั้น" พุดตานเดินไปชี้จุดที่แบ่งห้องออกเป็นสองฝั่งพอดีให้ผมดู
"อีกฝั่งทำเป็นห้องนั่งเล่นเหรอ"
"ใช่"
"นั่งยังไงอ่ะ นั่งพื้น?"
เจอผมกวนเข้าหน่อยคนหน้าแมวก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ แต่ก็ยังอุตาส่าห์ต่อมุกให้ แบบนี้สิค่อยน่าชื่นใจหน่อย รู้จักช่วยกันทำมาหากิน
"นั่งพื้นทำไม ปูเสื่อดิ"
"เออเนอะ คิดไม่ทัน"
"ไปซื้อของกันนะ ใกล้ที่สุดก็มีแค่บิ๊กซี แถวนี้ไม่มีร้านเฟอร์นิเจอร์เลย"" พาออกนอกทะเลได้แป๊บเดียวพุดตานก็ดึงกลับเข้าเรื่องต่อ
"ซื้อมาต่อเองก็ได้มั้ง ช่วยกันแป๊บเดียว"
พุดตานยิ้มหวานแล้วพยักหน้ารับถี่ๆ
"แล้วก็ซื้อพวกของใช้ด้วย" ผมว่าได้ไปห้างก็ดี ดูจากสภาพห้องตอนนี้มีของต้องซื้อเพิ่มเยอะเลย
"ได้หมด" พุดตานยังคงยิ้มแย้ม คว้ากุญแจเดินนำผมออกไปรอนอกห้อง พอมีคนตามใจแล้วทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นมาทันที
มาถึงบิ๊กซีพุดตานก็พุ่งไปดึงรถมาเข็น ขับเก่งจนผมหมดห่วง เห็นแล้วก็นึกถึงตอนพาล่อนจ้อนมาซื้อของที่ห้างครั้งแรก น่าห่วงจนต้องคอยช่วยประคองตลอด แต่ระดับความร่าเริงตอนนี้นั้นไม่ต่างกันเลย
ก่อนจะถึงโซนเฟอร์นิเจอร์ต้องผ่านโซนของกินของใช้ เดินผ่านของที่ผมเห็นว่าพุดตานยังไม่มีหรือน่าจะซื้อเก็บไว้ก็หยิบใส่รถเข็นให้ ใช้ของอะไรยี่ห้อไหนผมรู้หมดแล้ว เจ้าตัวก็ทำหน้าที่เข็นรถอย่างเดียวจนไม่รู้ว่าสรุปใครที่อยากมาซื้อของกันแน่
ระหว่างทางเข็นผ่านโซนขายหมอนคนขับก็หยุดรถ ในห้องมีแต่ที่นอนไม่มีหมอนให้นี่เนอะ
ผมยืนรอพุดตานเลือกหมอนหนุนกับหมอนข้างมาใส่รถเข็นอย่างละใบ กำลังจะเข็นรถไปต่อแต่เจ้าตัวกลับเดินไปหยิบหมอนมาเพิ่มอีกอย่างละใบจนเต็มรถเข็น
"ซื้อทำไมเยอะแยะ"
"เผื่อมีคนอยากมานอนด้วยไง" พุดตานตอบหน้านิ่ง แต่ผมน่ะอยากดึงตัวเข้ามากอดแล้วงับหูเล่น พูดจาน่รักเก่งจังนะช่วงนี้
"งั้นหมอนข้างไม่ต้องก็ได้"
"ไม่ได้ ต้องกอด"
"ตอนคนนั้นไม่มานอนก็กอดหมอนอีกใบไปก่อนไง ถ้าคนนั้นมานอนด้วยก็กอดคนนั้นแทน"
"คิดว่าคนนั้นคือตัวเองหรือไง"
"แล้วไม่ใช่เหรอ"
"ก็ใช่นั่นแหละ" ยอมรับแบบดื้อๆ แล้วพุดตานก็หอบหมอนข้างทั้งสองใบเอาไปเก็บจริงๆ
หุบยิ้มไม่ได้เลยผม
ได้หมอนแล้วเราก็มาเลือกชุดผ้าปูที่นอนกันต่อ เจอสีที่ชอบลายเรียบๆ พุดตานก็หยิบมาโชว์ให้ผมดู
"ลายนี้โอเคมั้ย"
"ชอบก็เอาเลย"
"ลิขิตอ่ะชอบมั้ย"
"แล้วแต่เจ้าของห้องดิ"
"ก็ต้องถามคนที่คิดว่าต้องมานอนด้วยแน่ๆ ด้วยว่าชอบมั้ย"
โดนอีกหนึ่งดอก ถามแบบนี้ชวนผมย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยเถอะ แต่ก็ติดไอ้กาลมาไม่ได้อีก จะนั่งรถมาหาหลังน้องชายหลับก็ไม่ได้ด้วย ไปๆ มาๆ ไม่ได้อนกันพอดี
"เอาอันนี้แหละ"
ได้คำตอบพุดตานก็วางมันลงในรถเข็น ส่งยิ้มตาหยีมาให้ก่อนเดินนำยังไปโซนเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ถัดไปอีกสองล็อก และได้โยนน่าที่คนขับให้ผมเรียบร้อย
ชีวิตนี้ก็คงจะขับเข็งแค่รถเข็นนี่แหละ หรือผมควรจะไปหัดขับรถให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วอ้อนให้พ่อซื้อรถให้ดี จะได้พาแมวไปไหนมาไหนได้สะดวก
มาถึงโซนที่ต้องการพุดตานก็เดินลิ่วๆ ไปตรงชั้นวางของที่มีให้เลือกอยู่ไม่กี่แบบ เดินวนไปมาอยู่สองสามรอบ ยืนคิดอีกสามตลบก็ยังตัดสินใจไม่ได้
"ถ้ายังไม่มีที่ถูกใจเอาไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยววันหลังพาไปดูร้านเฟอร์นิเจอร์"
"ไม่ๆ กำลังคิดว่าจะเอาอันไหนดี ระหว่างอันนี้กับอันนี้" พุดตานรีบส่ายหน้า ก่อนชี้ชั้นวางแบบห้าช่องกับหกช่องให้ผมดู
"จะวางของสูงๆ มั้ย ถ้ามีก็เอาห้า"
"หรือว่าจะเอาสองอันดี"
"อันเดียวพอ" ผมต้องรีบเบรก แค่ของใช้ก็ล้นตะกร้าแล้ว ถ้าจะเอาทั้งสองชั้นผมว่าไม่ไหว เราไม่ได้ขับรถมาเองด้วย มันลำบาก คิดมาถึงตรงนี้ผมว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้องเริ่มหัดขับรถแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ
"งั้นเอาหกช่องก็ได้"
ผมเคลียร์ของในรถเข็นให้มีที่วาง ยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยพุดตานก็ยกกล่องชั้นมาใส่ ทำเหมือนไม่หนักแต่ตอนยกนี่น่ายู่เลย
ได้ของครบถ้วนเราก็ช่วยกันเข็นรถไปจ่ายเงิน จากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่หน้าห้าง กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงหอก็บ่ายแก่ๆ ขนของขึ้นมาไว้บนห้องยังไม่ทันได้จัดการอะไรก็หมดแรงแล้ว
"จะสี่โมงแล้วอ่ะ ลิขิตลุก มาช่วยกันต่อตู้ก่อน" พุดตานฉุดกระชากลากแขนผมที่นั่งขี้เกียจอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้น จะว่าไปห้องนี้ยังไม่มีอะไรพร้อมใช้งานสักอย่าง ผ้าปูที่นอนก็ยังไม่ได้ซักแล้วจะนอนยังไง
"ไปซักผ้าปูก่อนมั้ย"
"มันจะแห้งทันเหรอ"
"ปั่นแล้วมาตากแป๊บเดียวเดี๋ยวก็แห้ง"
"แล้วถ้ามันแห้งไม่ทันอ่ะ"
"มันแห้ง ถ้าเกิดไม่ปูผ้าแล้วจะนอนยังไง กลับไปนอนด้วยกันก่อนมั้ย"
"ก็แค่ไม่มีผ้าปู นอนได้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย" พุดตานน่ะเป็นคนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ แต่นี่มันก็ง่ายเกินไป
"งั้นเดี๋ยวไปซักให้ แกะกล่องรอเลย" ผมลุกไปค้นกล่องผ้าปูที่นอนกับหมอนมาแกะ ตะกร้าใส่ผ้าก็ยังไม่มีเลยหอบลงไปมันทั้งอย่างนั้น พร้อมผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เพิ่งซื้อมา
กลับขึ้นมาอีกทีในห้องก็มีแผ่นไม้หลายชิ้นวางกองอยู่ พุดตานกำลังนั่งอ่านคู่มือการประกอบ พลางพลิกไม้แต่ละแผ่นดูไปด้วย
"เป็นมั้ยน่ะ"
"แค่นี้ง่ายๆ" ตอบด้วยความมั่นใจก่อนวางคู่มือลงแล้วเริ่มหยิบไม้แต่ละแผ่นมาประกอบกัน
ผมหยิบใบคู่มือขึ้นมาดู มองอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีให้ แต่เหมือนจะขาดอะไรไปอีกอย่าง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ล่ะก็ไม่มีทางประกอบเสร็จแน่
"มีไขควงมั้ย"
เจ้าห้องของหันมามองผมด้วยสีหน้ามึนงงในทีแรก ก่อนจะเบิกตาอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกออกว่าต้องใช้
"ไม่มี"
"แล้วมันจะประกอบได้ไง"
"ทำไมลิขิตไม่เตือนตอนไปซื้อ"
"จะไปรู้มั้ยเนี่ย"
"ทำไงดี"
"เดี๋ยวลองลงไปยืมที่สำนักงานดูแล้วกัน" พูดจบผมก็หันหลังเดินออกมาจากห้องอีกรอบ กลายเป็นคนที่จัดการนู่นนี่แทนเจ้าของห้องไปเลย
โชคดีที่สำนักงานมีไขควงให้ยืม เราช่วยกันประกอบตู้หกช่องสูงสามชั้นจนเสร็จ ผิดขั้นตอนไปบ้างเลยใช้เวลานานไปหน่อยแต่ก็ออกมาเหมือนแบบเป๊ะๆ จากนั้นก็ช่วยกันจัดห้อง ย้ายตู้เสื้อผ้ากับชั้นวางมาวางต่อกัน แบ่งเขตระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปผมก็ลงไปเอาผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนที่ซักไว้ หอบไปตากไว้ตรงระเบียง ด้วยอากาศของประเทศไทยแล้วผมว่ายังไงมันก็แห้งก่อนเวลาพุดตานง่วงแน่นอน แต่เจ้าตัวจะขี้เกียจขนมันมาปูมั้ยมันก็อีกเรื่อง
ตากผ้าเสร็จแล้วผมก็มาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกรอบ พุดตานกำลังจัดของที่มีอยู่น้อยนิดใส่ตู้ แต่แล้วอยู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
เราหันมองหน้ากัน ผมไม่รู้น่ะไม่แปลก แต่เจ้าของห้องที่ทำหน้าตกใจไปด้วยนี่แหละที่แปลก
"นัดเพื่อนไว้หรือเปล่า" ผมถาม พุดตานรีบส่ายกลับมา
"ไม่ได้นัด"
"หรือเพื่อนมาเซอร์ไพรส์"
"คนรู้ว่าย้ายมานี่มันอยู่ต่างจังหวัดมาไม่ได้หรอก"
"งั้นใคร"
จากสีหน้าตกใจเริ่มมีแววหวาดกลัวเล็กๆ ตอนเสียงเคาะดังขึ้นอีกรอบ
"เดี๋ยวไปดูให้" ผมลุกจากเตียงเดินไปที่ประตูห้อง ตอนเดินผ่านเห็นพุดตานหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าไลน์ น่าจะกำลังถามเพื่อน
ผมส่องตาแมวดู หน้าห้องมีผู้ชายยืนอยู่ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนดูจากหน้าตาไม่น่าใช่คนไม่ดี แล้วก็ไม่ใช่คนจากสำนักงานด้วยเพราะไขควงผมก็เอาไปคืนแล้ว ยามก็ไม่ใช่ เพื่อนบ้านหรือเปล่าไม่รู้ แถมยังเคาะอย่างเดียวไม่พูดอะไรอีก
เขาเคาะประตูเป็นรอบที่สาม ผมหันมองพุดตานที่เงยขึ้นมาสบตาก่อนก้มลงไปกดมือถืออีกรอบ ประเมินด้วยสายตาแล้วผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร เข้ามาในตึกได้แสดงว่าคงเป็นคนในหอนี่แหละ อาจจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยากมาทำความรู้จักจริงๆ ก็ได้
ผมเปิดประตูออก ชายตรงหน้ามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ผมเลยชิงถามออกไปก่อน
"มีอะไรหรือเปล่าครับ"
"ตานอยู่มั้ยครับ"
"ตาน?"
"พุดตานน่ะครับ อยู่มั้ย"
"ครับ แล้วคุณเป็นใครครับ เพื่อนพุดเหรอ" กลุ่มเพื่อนของพุดตานผมเคยเห็นจากในรูปมาบ้าง แต่มั่นใจว่าไม่มีคนหน้าตาแบบนี้แน่ๆ
"เปล่าครับ เป็นแฟน..."
"พี่ธันวา"
ผมหันกลับไปมองเจ้าของห้องที่เพิ่งเดินออกมา พุดตานพูดอะไรบ้างสมองผมไม่รับรู้แล้ว ในหัวมีแต่คำว่า 'เปล่าครับ เป็นแฟน' ที่ผู้ชายคนนั้นพูดออกมา มันหมายความว่ายังไง ไหนบอกไม่คุยซ้อน แต่ถ้าคนคนนั้นเป็นแฟนไม่ใช่คนคุยก็ไม่นับสินะ มันเป็นแบบนี้ใช่มั้ย
ประตูห้องปิดลงพร้อมกับคนสองคนที่เดินออกไปด้วยกัน ผมยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อ จะหนีกลับหรือยังรออยู่ที่นี่ รอเพื่อฟังคำอธิบาย ที่ไม่รู้จะทำให้ใจรู้สึกปวดหนึบยิ่งกว่านี้อีกหรือเปล่า
เจ็บที่รู้ว่าแมวที่เฝ้าเลี้ยงดูมามีคู่อยู่แล้วไม่พอ ยังเจ็บที่เขาเรียกกันว่าตานอีก ดูพิเศษสุดๆ ไปเลย
ห้านาที
สิบนาที
เวลาที่ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีมันช่างยาวนานกับใจคนรอ ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง หยุดความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ตัดสินใจแล้วว่าจะรอฟังคำอธิบาย หากจะเจ็บหนักกว่าเดิมก็ให้มันรู้กันไป ความจริงแล้วพุดตานอาจจะกลับมาเพื่อแก้แค้น ไม่ใช่เนื้อคู่หรือสิ่งดีๆ อย่างที่ผมเคยเข้าใจ ผลลัพธ์ที่พ่อบอกมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด
ประตูห้องเปิดออกอีกหลายนาทีให้หลัง เจ้าของห้องกลับมาเพียงคนเดียว ไร้วี่แววของใครอีกคนที่บอกว่า 'เป็นแฟน'
พุดตานกลับมานั่งจัดของต่อเหมือนไม่รับรู้อะไรเกิดขึ้นกับผม ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวต้องการอะไร อยากจะพิสูจน์กันเหรอ คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องอธิบายเลยไม่พูด หรือคิดว่าเพราะผมไม่ถามเลยไม่ตอบ
ความสงสัยที่มากขึ้นทำให้สมองผมเริ่มทำงานหนัก จากที่พยายามไม่คิดกลับคิดเยอะกว่าเดิม มีแฟนแล้วทำไมถึงไม่บอก ทำไมผมถึงไม่เคยเห็น ทำไมไม่เคยได้ยินพูดถึง มันคือการลงโทษที่ผมทำให้พุดตานกลายเป็นแมวงั้นเหรอ ลงโทษที่เคยปฏิเสธ ลงโทษที่เคยทำตัวน่ารังเกียจใส่ ถึงโดนหลอกให้รักแบบนี้
มันคงเป็นการแก้แค้น
"ลิขิต!"
เสียงเรียกที่ดังจนเหมือนตะคอกเรียกให้ผมหลุดจากความคิด เมื่อหันไปสบตาก็เจอแววตาคู่นั้นมองมาด้วยความสงสัย
"เป็นอะไร"
"เปล่า"
"เปล่าอะไร นั่งเหม่อตั้งนานแล้วเนี่ย"
"เหรอ" มองกันด้วยเหรอ นึกว่าจะสนใจแค่ของที่กำลังจัดเสียอีก
พุดตานวางของในมือก่อนลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าผม เอียงคอมองแบบแมวขี้สงสัย ถ้าเป็นปกติผมคงชมในใจว่าน่ารักไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์
"มีอะไรก็ถามดิ"
"ต้องรอให้ถามด้วยเหรอ"
เพียงคำถามเดียวของผมบรรยากาศในห้องก็ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ผมโกรธไม่บ่อยโดยเฉพาะกับคนตรงหน้า อีกอย่างอารมณ์ตอนนี้ยังไม่เข้าใกล้ทำว่าโกรธเลยด้วยซ้ำ ก็แค่ผิดหวัง น้อยใจ แต่มันทำให้บรรยากาศดีๆ พังไปหมดแล้ว
"งั้นเราถามก็ได้ ลิขิตเป็นอะไรวะ อยู่ๆ ดีก็ตึง ไม่พอใจอะไรก็บอกดิ"
"ต้องให้บอกอีกเหรอ"
"ถ้าไม่บอกแล้วจะรู้มั้ย"
ผมรู้ว่าพุดตานกำลังจะโมโหแต่ยังคุมน้ำเสียงไม่ให้ตะคอกโวยวาย แปลกนะ แสดงอาการขนาดนี้ ควรจะรู้ได้แล้วว่าต้นเหตุของความไม่พอใจคืออะไร แต่เหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง
"แฟนน่ะ กลับไปแล้วเหรอ"
คิ้วที่ขมวดชนกันของคนตรงหน้าคลายออกทันทีเมื่อผมเฉลย พุดตานหันหน้าไปทางอื่นแล้วถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาจ้องกัน
"ไปได้ยินอะไรมา"
"เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอกับคนนั้นน่ะ"
"พี่ธันวาบอกเหรอ"
ผมไม่ตอบ แต่คนฟังน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"แล้วไม่ได้ยินที่เราพูดบ้างหรือไง"
อีกครั้งที่ผมเงียบ สารภาพในใจว่าไม่ได้ยิน หูดับตั้งแต่พี่คนนั้นบอกว่าเป็นแฟนพุดตาน แล้วในหัวก็เบลอไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนเขาเดินออกไปด้วยกัน
"ขอสักทีเถอะ" พูดจบพุดตานก็กระโจนใส่โดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวจนหงายหลังทั้งคู่ มือสองข้างขยุ้มหัวผมเหมือนอยากจะถอนผมให้หลุดออกมาทั้งหัว
"เป็นบ้าอะไรเนี่ย"
"ลิขิตนั่นแหละเป็นบ้าอะไร"
พุดตานกำลังนั่งอยู่บนท้องผม สองแขนดันไหล่ผมไว้ ใช้สายตาแมวโกรธจ้องมองมา แน่นอนว่าแรงแค่นี้หยุดผมไว้ไม่ได้หรอก แค่พลิกตัวผมก็เปลี่ยนให้คนข้างบนลงมาอยู่ข้างล่างได้แล้ว แต่ที่ไม่ทำเพราะยังอยากฟังเหตุที่โดนด่ากลับ
"ถ้ารู้แล้วว่าเราเป็นอะไรก็อธิบายมาดิ"
"ก่อนจะออกจากห้องเราพูดว่าไง"
"ไม่ได้ฟัง"
คนข้างบนดึงแก้มผมทั้งสองข้างจนรู้สึกเจ็บ มันใช่เวลาที่ผมต้องมายอมให้พุดตานรังแกแบบนี้มั้ยเนี่ย
"หยุดเล่นก่อนได้มั้ย"
"เราพูดว่านี่พี่ธันวานะ เป็นแฟนเก่า เดี๋ยวมาขอออกไปคุยแป๊บนึง"
"แฟนเก่า"
"ก็ใช่ไง มันเป็นคำต้องห้ามเหรอ ได้ยินไม่ได้เลยเหรอ ทำไมแค่นี้ต้องตึงใส่ ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่พูด หึงก็บอกว่าหึงสิวะ" พุดตานใส่มาชุดใหญ่จนผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไงกับความเข้าใจผิดครั้งนี้ ผิดเองที่ไม่ฟังให้ดี
กับคนที่เป็นแค่อดีตน่ะผมไม่คิดมากหรอก พุดตานจะเคยมีแฟนมากี่คนผมไม่สนใจ รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเพียงความทรงจำใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมา ในอดีตของพุดตานมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างที่เจ้าตัวเข้าใจ ผิดกับปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่ ผมถึงได้สติหลุดตอนที่เข้าใจผิดว่าพี่ธันวาอะไรนั่นเป็นแฟนพุดตาน
"เงียบทำไม" รอบนี้โดนถามเสียงแข็งผมเลยยอมรับไปแบบตรงๆ
"ขอโทษ พอดีหึงจนหูดับ"
"ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้อีกนะ"
"ครับ"
พุดตานลุกขึ้นผมเลยคว้ามือเอาไว้แต่กลับโดนแมวฟาดดังเพี้ยะ ก้าวลงจากเตียงเดินกลับไปนั่งจัดของต่อ พร้อมกับบรรยากาศในห้องที่ค่อยๆ กลับมาดีเหมือนเดิม
ใจผมอยากจะรั้งแล้วดึงมากอดอยากง้ออีกสักหน่อย แต่ในเมื่อแมวไม่ยอมเลยต้องกระโดดลงจากเตียงไปป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ ลูบหัวเกาคางสักหน่อยน่าจะอารมณ์ดีขึ้น
"ขอโทษ"
"ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วไง" ปากตอบมือหยิบของไม่ได้มองกันเลย
"หายโกรธแล้วจริงดิ"
"อืม ไม่อยากคนโกรธคนบ้า"
"ด่างี้เลยนะ"
"แล้วบ้าจริงมั้ยล่ะ"
"ครับ บ้าครับ"
พุดตานหันมาย่นจมูกใส่ ก่อนจะกลับไปสนใจของที่ยังจัดไม่เสร็จเหมือนเดิม
"ยังไม่ได้เล่าเลยว่าพี่คนนั้นมาได้ไง จริงๆ ที่โกรธเมื่อกี้คือรอฟังอันนี้อยู่"
"ให้พูดอีกที"
"ล้อเล่นครับ จริงๆ คือไม่ได้ฟัง" ผมน่ะหูลู่ไปแล้วเรียบร้อย ส่วนหางแม้ไม่มีก็จุกตูดได้
"ที่จริงเรื่องนี้ก็พูดไปแล้วนะ"
"พูดตอนไหน"
"ก็เอาแต่เหม่ออ่ะ ตอนมานั่งจัดของต่อก็บอกไปแล้วว่าเพื่อนเป็นคนบอกที่อยู่หอใหม่ไปเพราะพี่ธันวาตื๊อจะเอาของมาคืน แต่ลิขิตไม่ฟังอ่ะ พอถามว่าเป็นอะไรก็มาตึงใส่อีก พูดแล้วก็อยากโกรธอีกรอบ"
"ใจเย็นน้า" ผมรวบตัวพุดตานไว้ก่อนจะโดนกรงเล็บตะปบ เอาแต่คิดไปเองจนไม่ได้ฟังเจ้าตัวพูดเลย แม่งโคตรแย่
"ปล่อยเลย" สุดแสนจะเชื่อฟัง บอกให้ปล่อยผมก็ปล่อย
"แล้วพี่เขาเอาอะไรมาคืน"
"มือถือ ตอนเลิกทะเลาะกันแล้วพี่เขาทำมือถือเราพังตอนพยายามจะแย่งไปดู มันก็ค่อนข้างรุนแรงอยู่แหละ ตอนนั้นอยู่ห้องตรงข้ามกันเลยอยากย้ายหอหนีแต่หาหอไม่ได้ แม่ไปเล่าให้คุณพิทักษ์ฟังว่าอยากได้หอใหม่ คุณพิทักษ์ก็มาบอกคุณพิภพ ก็เลยให้มาอยู่กับลิขิตก่อน ขอโทษเหมือนกันที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่าให้ฟัง"
ผมเข้าใจแล้ว ความทรงจำใหม่มันเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่น่าทำไมพุดตานถึงยังใช้มือถือเครื่องเก่ากับเบอร์ใหม่ที่ผมซื้อให้ล่อนจ้อน
"งี้ทุกคนก็รู้หมดเลยดิว่าแฟนเก่าพุดเป็นใคร" ทั้งอาพิทักษ์แล้วก็พ่อผม
"ไม่รู้หรอก มีแค่แม่รู้คนเดียว ตอนนี้ก็รู้ว่าคุยกับใครอยู่" แบบนี้ถ้าได้กลับบ้านสวนอีกครั้งก็เตรียมฝากเนื้อฝากตัวไว้ได้เลย
"บอกแม่ทุกอย่างเลยเหรอ" ผมไม่ได้คิดมากหรือไม่ชอบใจที่พุดตานบอกป้าบุหงา ที่ถามแค่อยากรู้ว่าเจ้าตัวปรึกษาปัญหากับแม่ทุกเรื่องเลยหรือเปล่า
"ก็เหลือแค่แม่คนเดียวแล้วนี่ จะให้ไปคุยกับใคร"
"ขอโทษ"
"ขอโทษทำไม"
พอได้คำตอบแล้วก็รู้สึกจุกที่อกขึ้นมา ผมรู้ว่าความทรงจำของพุดตานไม่เหมือนเก่า แต่มันก็ลบล้างความรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี
"แต่เครื่องมันพังแล้วจะเอามาคืนทำไม" ก่อนบรรยากาศจะชวนให้เศร้าผมเลยชวนวกกลับมาเรื่องเดิม มันมีรายละเอียดที่ยังไม่เคลียร์
"พี่เขาเอาไปซ่อมมาให้ มันก็พอใช้ได้แหละ ซิมเก่าก็ยังอยู่"
"แล้วเพิ่งเอามาคืนตอนนี้เนี่ยนะ"
"ตอนนั้นโกรธมากไง ย้ายหนีแล้วก็บล็อกทุกอย่าง พี่ธันวาติดต่อไม่ได้ไปตื๊อเพื่อนอยู่นานเลย ตอนอยู่กับลิขิตเพื่อนมันไม่อยากบอกเพราะกลัวรำคาญ พอมันรู้ที่อยู่ใหม่แล้วเลยบอกไป ตอนพี่ธันวามาถึงเจอคนเปิดประตูพอดีเลยเข้ามาได้"
"แล้วไม่ไปหาที่มหา'ลัยอ่ะ"
"พี่เขาทำงานแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาไปตามหรอก"
"ชอบคนแก่กว่าเหรอ เราแก่กว่าสี่เดือน" สบายใจแล้วก็แบบนี้ มีโอกาสก็ต้องเล่นเสียหน่อย
พุดตานมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม ต้องกำลังคิดอยู่แน่ๆ ว่าจะแกล้งผมกลับยังไงดี
"เราชอบคนมีเหตุผล"
"เรามีเหตุผลนะ" ตอบได้ไม่เต็มปากแต่ก็จะตอบ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ช่วยพิสูจน์แล้ว
"เหรอ"
"มีเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ ไง มีการพัฒนา"
"อืม" ตอบคำเดียวสั้นๆ ขณะที่ริมฝีปากยังอมยิ้ม เว้นจังหวะให้ได้ลุ้นก่อนพุดตานจะเอ่ยอีกคำออกมา
คำที่ฟังทีไรก็รู้สึกใจฟูทุกที
"ตอนนี้ชอบลิขิต"
tbc
มีแอบให้ลุ้นกันนิดหน่อย
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า