เพลงรักที่หายไป
เพลงที่ 8 HOME
ศิลปิน Michael Buble
โอบอุ้มและหนูด้วงแวะทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยและซื้อกลับมาฝากใบไม้กับใบหม่อนด้วย ป้าประนอมมาทำความสะอาดบ้านให้ตั้งแต่เช้าเลยช่วยเฝ้าน้องแฝดให้ระหว่างที่โอบอุ้มไปรับหนูด้วง เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงบ้านปรากฏว่าน้องแฝดยังไม่ตื่นเลยสักคน เห็นว่ายังไม่มีใครตื่นโอบอุ้มเลยพาหนูด้วงมาที่ร้านก่อน
“น่ารักจัง”
หนูด้วงชอบการตกแต่งร้านของพี่โอบ มันให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าเป็นร้านเสียอีก ถ้าไม่บอกว่าร้านนี้มีอาหารหรือเครื่องดื่มขายก็คงไม่มีใครรู้ มองจากข้างนอกคงนึกว่าบ้านอยู่อาศัย ถ้าเข้ามาข้างในทุกคนต้องคิดว่าเป็นร้านขายของฝากให้นักท่องเที่ยว
หนูด้วงมองไปทางด้านซ้าย เห็นเคาน์เตอร์ยาวอยู่ติดหน้าต่างกระจกบานใหญ่ มีเก้าอี้ทรงสูงเรียงไว้หกตัว ถ้าเลือกนั่งตรงนี้ก็สามารถมองผ่านบานกระจกออกไปเห็นวิวทะเลได้ ถัดมาทางด้านหลังเคาน์เตอร์อีกทีเป็นพื้นไม้ยกสูง มีโต๊ะญี่ปุ่นเรียงรายอยู่บนนั้นหลายตัว เบาะรองนั่งสีพาสเทลหวานถูกวางอยู่รอบโต๊ะญี่ปุ่นอีกที มีหมอนอิงใบโตวางกระจัดกระจาย มุมนี้ตกแต่งเหมือนห้องนั่งเล่นสไตล์ญี่ปุ่น มีโปสการ์ดเสียบเอาไว้ ส่วนใหญ่เป็นรูปทิวทัศน์บนเกาะแสงแดดกับรูปกล่องดนตรี
ส่วนทางด้านขวาของประตูทางเข้าเป็นเวทีขนาดที่พอจะวางเครื่องดนตรีได้ครบและไม่แออัด เครื่องดนตรีจัดวางเป็นระเบียบไม่มีสายไฟวางเกะกะให้ดูรกรุงรัง ถัดจากเวทีไปก็เป็นเคาน์เตอร์ผสมเครื่องดื่ม เมื่อมองเข้าไปด้านในสุดของร้านจะเห็นตู้โชว์กระจกสูงประมาณเอวที่มีกล่องดนตรีวางโชว์อยู่ด้านในเต็มไปหมด มันน่ารักจนหนูด้วงต้องรีบเดินเข้าไปดู
“พี่ทำเองหมดเลยเหรอฮะ”
“อืม”
“หนูชอบมากเลย ชิ้นแรกที่พี่ส่งมาให้หนูมันพังแล้วนะฮะ หนูไม่กล้าบอกพี่ น้องเม่นหยิบไปเล่นแล้วทำหล่น หนูงอนน้องเม่นไปตั้งสองชั่วโมง”
“ดีแล้วที่หนูไม่โกรธเพื่อนนาน ของพังมันซ่อมได้ แต่ความเสียใจมันซ่อมยาก ถ้าหนูด้วงโกรธน้องเม่นนานๆ มันอาจจะเกิดรอยร้าวในมิตรภาพ พี่ว่า...”
“จิตใจมันซ่อมยากกว่าสิ่งของ หนูจำที่พี่โอบสอนหนูได้” หนูด้วงทวนคำสอนของพี่ชาย ยิ้มให้เขาก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทรงสูงและเหม่อมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า “พี่โอบ”
“ครับ”
“ทำไมพี่ถึงพูดกูมึงกับพวกพี่ทำนุแปะป้ายประกาศ หนูไม่เคยได้ยินพูดโอบพูดแบบนั้นมาก่อน” เจ้าหนูจำไมยังคงเท้าคางมองตรงไปยังทะเลแต่ก็เริ่มตั้งคำถาม
“พวกมันบังคับ มันบอกว่าความสุภาพของพี่ทำให้พวกมันเครียด” โอบอุ้มเดินมานั่งข้างๆ คนช่างสงสัย
“ถ้าพูดหยาบแล้วจะหายเครียดเหรอฮะ” หนูด้วงเอียงคอมองมาพร้อมกับขมวดคิ้ว สักพักถึงคลี่ยิ้มออกมา
“ยิ้มแบบนี้รู้เลยคิดอะไรอยู่ ไม่มีทางหรอก” โอบอุ้มเห็นแววตาระยิบระยับของเจ้าตัวแสบก็รู้เลยว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่
“นะฮะ หนูอยากได้ยิน”
“หนูไม่ชอบให้พี่พูดดีๆ ด้วยรึไง หื้ม..”
“ชอบ แต่หนูอยากลองดูว่าถ้าพี่พูดคำหยาบกับหนูจะเป็นยังไง นะๆๆ”
“ไม่เอา”
“พี่ไม่สงสารหนูเหรอ ถ้าหนูอยากฟังแล้วไม่ได้ฟังหนูจะไข้ขึ้น” หนูด้วงทำตาอ้อน กล้าอ้างเหตุผลที่เชื่อไม่ได้เลยสักนิด
“หึหึ” โอบอุ้มขำพลางส่ายหน้า
“พี่โอบ...”
“กูไม่พูดกับมึงหรอก” โอบอุ้มพูดจบหนูด้วงก็เบิกตาโต อาการอ้อนเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง สักพักก็ไหล่ก็ลู่ลงแล้วยิ้มแห้งๆ
“ดีแล้วที่พี่จะไม่พูดคำหยาบกับหนู หนูไม่ชอบ”
“หึหึ” โอบอุ้มอยากจะหัวเราะแต่ก็กลั้นเอาไว้ รู้ดีว่าหนูด้วงไม่ชอบความรุนแรงหยาบคาย ไม่ชอบการทะเลาะด่าทอเสียงดังหรือการทำให้ตกใจแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นอยากจะลองฟังเขาเลยตามใจจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ
“พี่โอบ”
“ครับ”
“ทำไมพี่ถึงกลายเป็นตำนานของมหา’ลัยโซเลยฮะ พี่มาเป็นรุ่นพี่ที่นี่ได้ยังไง”
“ที่จริงพี่มาช่วยน้าตวงบริหารที่นี่แต่พี่ไม่อยากแต่งตัวเป็นผู้บริหาร พี่เลยใส่เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสีดำให้พอดูสุภาพเวลาที่เข้าไปในมหา’ลัย พอพี่มาเปิดชมรมกล่องดนตรี ทุกคนนึกว่าพี่เป็นนักศึกษารุ่นแรก พี่ก็เลยเนียนเป็นนักศึกษาไปจริงๆ”
“พี่เรียนบริหารแล้วทำไมถึงมาเปิดชมรมกล่องดนตรี อ๋อ พี่เล่นเปียโนเก่ง ประกวดชนะด้วย”
“พี่ไม่ได้เปิดเพราะพี่ชอบ” โอบอุ้มปฏิเสธ หนูด้วงหันกลับมามองหน้าของพี่โอบ สักพักก็ทำตาโต
“เพื่อหนูเหรอ”
“อาน้องบอกว่าหนูชอบร้องเพลง” โอบอุ้มจับคางของหนูด้วงส่ายไปมาเบาๆ
“งั้นหนูต้องไปบอกพี่ทำนุแปะป้ายประกาศว่าหนูคือผู้ก่อตั้งชมรมที่แท้จริง” หนูด้วงพูดจบก็หัวเราะร่วน
“เดี๋ยวให้แปะกับป้ายมันทำรูปปั้นของหนูไปตั้งหน้าชมรมเลยดีไหม” โอบอุ้มหยอก เสียงหัวเราะของหนูด้วงทำให้โอบอุ้มรู้สึกสดชื่น โดยเฉพาะเวลาที่ฝ่ายนั้นหัวเราะจนตาหยีมันดูน่ารักจนไม่อยากละสายตาไปทางอื่น
“พี่โอบฮะ”
“ครับ”
“พี่ต้องเลี้ยงนอนแฝดคนเดียว พี่เหนื่อยไหม”
“เหนื่อย เหนื่อยมาก”
“พี่น่าจะโทรหาหนู หนูจะได้ไปช่วย หนูเก่งนะ หนูเคยใส่แพมเพิร์สให้น้องหมาของพี่มานีกับพี่มีนา หนูเคยรีดนมวัวด้วย”
“ถ้าพี่โทรตามหนู หนูจะมารีดนมของพี่เหรอเจ้าตัวแสบ” โอบอุ้มกำลังจะหัวเราะในลำคอเหมือนเคยแต่ก็ต้องชะงักเมื่อหนูด้วงหันมาแล้วใช้สองมือทาบมาที่หน้าอกของเขา
“แบนแบบนี้รีดไม่ได้หรอก แต่ถ้าพี่อยากลองหนูทำให้ก็ได้ก็ได้”
“ไม่ต้องเลย หยุดๆ” โอบอุ้มรีบเอามือของหนูด้วงออกก่อนที่อีกฝ่ายจะรีดนมเขาให้ดูจริงๆ พอเห็นคนข้างๆ หัวเราะคิกคักก็อดไม่ได้ โน้มตัวไปหอมที่หัวทุยๆ หนึ่งที
“พี่โอบ”
“ครับผม”
“ช่วงที่หนูอยู่ชั้นประถม พี่กลับมาหาหนูทุกปีใช่ไหม” คำถามนี้ทำให้โอบอุ้มอึ้งไปนาน สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับ
“ทำไมถึงรู้ทั้งที่พี่ไม่เคยแสดงตัวให้หนูเห็น”
“ก็หนูเก่ง” หนูด้วงระบายยิ้มกว้างจนโอบอุ้มต้องยิ้มตาไปด้วย
หนูด้วงแค่คาดเดาว่าคนใจดีที่หนูด้วงได้เจอทุกปีต้องเป็นพี่โอบแน่ๆ ที่ยังไม่แน่ใจเพราะฝ่ายนั้นชอบปลอมตัวมาในแบบต่างๆ จากนั้นมาหนูด้วงก็เลยหัดปลอมตัวเหมือนกัน แต่ปลอมทีไรคนในครอบครัวก็จับได้ทุกที
“พี่อยากกลับมาหาหนู หนูคือบ้านของพี่ บ้านที่พี่อยากกลับมาทุกลมหายใจ ขอโทษที่กลับมาช้าและก็...ขอโทษที่ไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียว”
หนูด้วงหันกลับไปมองทะเลเหมือนเดิม เงียบไปสักพักใหญ่หนูด้วงก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ยาว ขยับตัวมานั่งประจันหน้ากับโอบอุ้ม แล้วดึงโอบอุ้มให้มาซบที่อกของตัวเอง
“หนูไม่ชอบการรอคอย การรอคอยมันทำให้เราทรมาน แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้หนูเศร้า เรื่องเดียวที่ทำให้หนูไม่มีความสุขคือคิดว่าพี่จะทรมานขนาดไหนที่ต้องอยู่คนเดียว หนูยังมีทุกคนทุกคนแต่พี่ไม่มีใคร เพราะฉะนั้นเรื่องที่พี่มีน้องแฝดไม่ได้ทำให้หนูทุกข์ใจมากไปกว่าคิดว่าพี่จะอยู่ยังไงคนเดียวตั้งสิบห้าปี หนูรู้ว่ายุงพญาให้พี่ไปใช้ชีวิตให้เต็มที่ พี่จะได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่ต้องการอะไร แล้วหนูจะโกรธพี่ได้ยังไง พี่ก็ไม่ควรโกรธตัวเอง”
โอบอุ้มฟังแล้วแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ คนเดียวที่เข้าใจเขาเสมอมาคือคนเดียวที่กำลังปลอบโยนเขา ทั้งที่มือของหนูด้วงก็สั่นเทาแต่ก็ยังทำว่าเข้มแข็ง หนูด้วงของเขาเข้มแข็งเสมอ เขายังจำวันที่หนูด้วงยืนส่งเขาที่ท่าเรือได้ดี ในวันนั้นเจ้าตัวน้อยไม่ยอมให้เขาเห็นน้ำตาเลยสักหยด
“คือพี่.....” โอบอุ้มอยากจะบอกเหตุผล อยากจะพูดกับคนตรงหน้า แต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะพูดออกไป
“พี่โอบ” หนูด้วงเห็นโอบอุ้มเงียบไปก็พอเข้าใจ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าลำบากใจจริงๆ พี่โอบคงจะบอกตัวเองกับยุงพญาแล้ว ยุงพญาเป็นเหมือนผู้ให้ชีวิต ไม่มีวันที่พี่โอบจะมองยุงพญาเป็นคนอื่น หนูด้วงรู้ดีว่าต่อให้ต้องตายแทนยุงพญาพี่โอบก็ทำได้
“ครับ”
“พี่รักแม่ของน้องแฝดไหม”
“ไม่ใช่รักแบบที่พี่รู้สึกกับหนู”
“แล้วพี่รู้สึกกับหนูแบบไหน”
“รักหมดหัวใจ” คำตอบของโอบอุ้มสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของหนูด้วงอีกครั้ง
“แล้วเขา...จะกลับมาไหม”
“ไม่...เขาจะไม่กลับมา”
“พี่จะไม่ไปไหนอีกใช่ไหม”
“พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว”
“ถ้างั้นเราเริ่มต้นกันใหม่นะ เราสี่คน ครอบครัวของเรา” หนูด้วงคลายวงแขนที่โอบรัดโอบอุ้มเอาไว้แล้วเปลี่ยนไปคล้องคออีกฝ่ายแทน พอเห็นพี่โอบตาแดงๆ ก็รีบแลบลิ้นให้
“หึหึ...” โอบอุ้มขำความทะเล้นของหนูด้วง เขารั้งเอวขอดให้ขยับเข้ามาชิดตัวเอง
“ปู่ช้วนบอกว่าเห็นใครตาแดงให้แลบลิ้นใส่”
“แต่ป๊าสอนพี่ว่า...ใครมาแลบลิ้นใส่เราให้จูบ” โอบอุ้มพูดจบหนูด้วงก็ยืดตัวตรงแล้วกะพริบตาปริบๆ
“ฮ่อๆ โอเค ไม่มีกลิ่น จูบได้” หนูด้วงหันไปพ่นลมใส่มือตัวเองแล้วถึงได้อนุญาต
“ฮ่าๆๆ” คราวนี้โอบอุ้มกลั้นขำไม่อยู่จริงๆ
“หนูจริงจังนะ” หนูด้วงทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นพี่โอบขำ อาน้องสอนว่าเรื่องจูบเป็นเรื่องสำคัญ ปากของเราไม่ควรมีกลิ่นเพราะอีกฝ่ายอาจจะหมดอารมณ์ได้ แล้วตัวเองก็เพิ่งกินข้าวมาก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา โชคดีที่พกหมากฝรั่งรสราสเบอร์รี่เอาไว้และเคี้ยวดับกลิ่นมาก่อนแล้ว
“อยากให้พี่จูบเหรอ”
“อื้อ” หนูด้วงพยักหน้ารัวๆ
“พี่มีคำถาม” คราวนี้โอบอุ้มขอเป็นเจ้าหนูจำไมบ้าง
“หนูจะตอบพี่ทุกข้อเลย”
“หนูรักพี่แบบไหน”
“มีตัวเลือกไหม”
“ไม่มี เพราะพี่อยากให้หนูตอบจากความรู้สึกของตัวเอง”
“ยากจัง อืม...” หนูด้วงเอียงคอทำท่าครุ่นคิด
“คิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร พี่รอได้ หนูด้วงยังรอพี่ได้ตั้งหลายปี” โอบอุ้มไม่อยากเร่งเร้าอีกฝ่าย หนูด้วงอาจจะต้องการเวลาให้แน่ใจว่าคิดกับเขาเกินกว่าความเป็นพี่ชายกับน้องชายหรือเปล่า ที่มาอ้อนเขาทุกวันนี้เพราะนิสัยของหนูด้วงเป็นเด็กขี้อ้อนอยู่แล้ว แล้วหากฝ่ายนั้นยังไม่ได้คำตอบเขาก็ไม่อยากล่วงเกินให้มากไปกว่านี้อย่างที่รับปากกับป๊าพญาเอาไว้
“ก็พี่เป็นทุกอย่างของหนู หนูไม่รู้จะตอบยังไงได้หมด” คำตอบของหนูด้วงสร้างความสุขให้โอบอุ้มเป็นอย่างมาก มากจนต้องลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายโอบกอดหนูด้วงบ้าง
“ผู้วิเศษของพี่จะน่ารักไปแล้วนะ” โอบอุ้มลูบผมของหนูด้วงด้วยความเอ็นดู
“หนูรักพี่ทุกแบบเลย แต่รักแบบไหนที่จะจึ๊กกาดุ๋งกันได้”
“อะไรคือจึ๊กกาดุ๋ง” โอบอุ้มเลิกคิ้วขึ้น
“ก็...ก็...แบบนี้ฮะ” หนูด้วงเอามือป้องที่หูของพี่โอบก่อนจะบอกความหมาย
“หึหึ..ฮ่าๆ ไปเอาศัพท์แบบนี้มาจากไหน” โอบอุ้มทั้งขำทั้งทึ่งเจ้าตัวแสบที่มากระซิบบอกเรื่องบนเตียงกับเขา
“หนูได้ยินยุงพญาชวนอาน้องไปจึ๊กกาดุ๋งบ่อยๆ แต่ถ้าเป็นแด๊ดดี้นะ ก็จะบอกมัมว่า...เราไปคั่วกลิ้งกันเถอะ ถ้าเป็นปู่ช้วนก็จะมีรหัสลับว่า...แม่คุณจ๋าเราไปนวยนาดกันดีไหม แล้วถ้าเป็นพี่พายนะ...”
“พอแล้วครับหนูด้วง พี่เข้าใจที่หนูบอกแล้ว” โอบอุ้มทั้งเอ็นดูและมันเขี้ยวความช่างจดช่างจำ รู้สึกว่าในความใสบริสุทธิ์ของเจ้าตัวดีมีความยั่วยวนซ่อนอยู่จนเขาแทบทนไม่ได้หลายต่อหลายครั้ง คงเพราะจดจำเอาพฤติกรรมของคนใกล้ตัวมารวมไว้จนหมด
“สรุปว่าถ้าหนูกับพี่จะจึ๊กกาดุ๋งกันได้ เราต้องรักกันแบบไหน”
“ก็คงแบบแฟน แบบคนรัก แบบคู่ครอง แบบที่จะอยู่เคียงข้างกันไปจนตาย”
“เอาแบบนี้ หนูชอบอยู่ด้วยกันตลอดไป หนูรู้สึกกับพี่แบบนี้” หนูด้วงรีบบอก
โอบอุ้มยกยิ้มก่อนจะคลายอ้อมกอดออกจากตัวของหนูด้วง อุ้มอีกฝ่ายลงมาจากเคาน์เตอร์สูง จากนั้นตัวเองก็คุกเข่าลงแล้วล้วงกระเป๋าสตางค์เพื่อหยิบแหวนวงเล็กๆ ที่เก็บเอาไว้มานานออกมา
“ถ้าหนูด้วงมั่นใจว่าอยากอยู่กับพี่แบบแฟน แบบคนรัก แบบคู่ครองที่เอ่อ...ที่จะจึ๊กกาดุ๋งกันได้ เป็นแฟนพี่นะครับ”
“เป็นฮะ หนูอยากเป็น” หนูด้วงตอบรับทันทีแบบไม่ต้องคิด ยิ้มกว้างก่อนจะยื่นมือไปให้ เมื่อโอบอุ้มสวมใส่ให้แล้วก็รีบยกนิ้วขึ้นมาดู แหวนเงินเรียบๆ ที่ทำให้หัวใจของหนูด้วงพองโต มันคับนิดหน่อยแต่หนูด้วงชอบมันมาก ความรู้สึกดีใจที่มันเอ่อล้นเสียจนไม่รู้ว่าจะต้องยิ้มกว้างขนาดไหนที่จะบอกถึงคำว่า ‘ดีใจมากๆๆๆ’ ได้
“มันคับเพราะว่าพี่ซื้อเอาไว้นานมากแล้ว แล้วพี่จะไปขยายให้นะครับ ตอนนี้หนูเป็นคนมีเจ้าของแล้วนะผู้วิเศษ” โอบอุ้มลุกขึ้นมาหอมตรงหน้าผากของหนูด้วงเบาๆ ไม่เคยคิดว่าจะได้คำตอบจากหนูด้วงเร็วขนาดนี้ รู้สึกว่าตัวเองได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ฝันที่เคยคิดว่ามันอาจจะไม่มีวันเป็นจริงมันเป็นจริงแล้วในตอนนี้
“ผู้วิเศษมีผู้พิเศษแล้ว เย้” หนูด้วงชูมือดีใจ
“พยัคฆ์รักราชสีห์มากไหม” โอบอุ้มถาม
“หนูยักปี้โอดอุ้นมาดฉุดๆ” หนูด้วงพูดแล้วก็ขำที่ตัวเองเลียนแบบตัวเองในวัยเยาว์
“ปี้โอดก็ยักหนูด้วน” โอบอุ้มล้อเลียนหนูด้วงกลับบ้าง
“คิกๆๆ แต่ดีนะที่ยุงพญาตั้งชื่อพี่ว่าราชสีห์”
“ทำไมถึงว่าดี”
“ก็ถ้าพี่เป็นเสือมันเป็นลางไม่ดี เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แต่เสือกับสิงโตอยู่ถ้ำเดียวกันได้ แล้วก็มีลูกกันได้ คิกๆๆ”
“สรุปว่าชอบพี่หรือชอบสิงโต” โอบอุ้มแกล้งถามเสียงเข้ม
“อ๊ะ...จริงด้วย หนูรู้จักตั้งสองสิงโตนี่นา” หนูด้วงทำท่าครุ่นคิดอีกรอบ
“หึหึ...” เสียงหัวเราะที่เหมือนมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ของพี่โอบทำให้หนูด้วงรีบสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้
“หนูรักสิงโตชีวจิตคนนี้”
“หื้ม” โอบอุ้มไม่เข้าใจมุกของหนูด้วง
“ก็พี่มีลูกชื่อใบไม้กับใบหม่อน แปลว่าพี่ไม่กินเนื้อ รักสุขภาพสุดๆ หนูชอบ”
“ใครว่าพี่ไม่กินเนื้อ”
โอบอุ้มมองตาหนูด้วง เขาอยากจะกินคนขี้อ้อนคนนี้จะแย่อยู่แล้ว จะมีใครที่คิดมุกซับซ้อนซ่อนความน่ารักได้อย่างผู้วิเศษคนนี้อีกไหม น่ารักจนอดไม่ได้ที่จะประทับริมฝีปากลงไปดื่มด่ำกับรสราสเบอรี่หวานๆ อย่างไม่รู้เบื่อ ต่อให้หนูด้วงกินน้ำพริกกะปิมาโอบอุ้มก็คิดว่ามันหอมหวานอยู่ดี
การที่ได้รู้ว่าหนูด้วงรู้สึกตรงกันมันทำให้โลกที่เคยไร้ความหวังพลันสว่างไสวในพริบตา ความเหนื่อยยากที่ผ่านมาหลายปีมลายหายสูญไปสิ้น สมแล้วที่คนในอ้อมกอดมีฉายาว่าหนูด้วงผู้วิเศษ ผู้วิเศษที่เสกทุกอย่างรอบตัวของโอบอุ้มให้ดูเป็นสีชมพู
“เกือบบินได้เลย” หนูด้วงพึมพำออกมาเมื่อพี่โอบถอนริมฝีปากออก ใจเต้นแรงและร้อนผ่าวที่ใบหน้า
“อยากบินได้เหรอ” พูดจบโอบอุ้มก็ช้อนตัวหนูด้วงขึ้น ออกแรงชูแขนให้สูงสุด ถึงหนูด้วงจะโตแล้วแต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยของเขาเสมอ นึกสงสัยเหมือนกันว่าผู้วิเศษกินเก่งแต่ทำไมตัวถึงเบาขนาดนี้
“วู้ๆ พี่อย่าปล่อยหนูนะ” หนูด้วงกางแขนออกทำราวกับว่ากำลังบินอยู่ ตอนเด็กๆ พี่โอบก็ชอบอุ้มแบบนี้เสมอ
“นาโม พี่หนูด้วง เล่นอะไรกัน ให้น้องหม่อนเล่นด้วยคนนะ” เสียงเจื้อยแจ้วของใบหม่อนแว่วมาตั้งแต่หน้าประตูร้าน
“ตื่นแล้วเหรอ” โอบอุ้มวางหนูด้วงลงก่อนจะอุ้มใบหม่อนขึ้นมาแล้วชูให้สูงแบบที่ทำกับหนูด้วง เจ้าของแก้มยุ้ยหัวเราะชอบใจแล้วส่งเสียง ‘ปรื้นๆ’ เหมือนกำลังขับเครื่องบิน
“อยากเล่นไหม” หนูด้วงเห็นน้องไม้เดินตามเข้ามาทีหลังแล้วมองโอบอุ้มกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองด้วยความสนใจ
“ไม่” ใบไม้กอดอกแล้วทำเป็นไม่สนใจ
หนูด้วงตัดสินใจช้อนตัวของน้องไม้ขึ้นมาอุ้ม แต่พอต้องยกแขนชูขึ้นสูงกลับทำไม่ได้ ออกแรงยกจนหน้าแดง สุดท้ายก็ยอมแพ้วางน้องไม้ลง
“ฮ่าๆ เห็นไหม น้องไม้อ้วนกว่าน้องหม่อนแล้ว” ใบหม่อนได้ทีหัวเราะพี่ชายบ้าง ปกติจะโดนพี่ชายบ่นว่าตัวเองอ้วนกว่าเสมอ
“ไม้ไม่ได้อ้วนแต่พี่หนูด้วงอ่อนแอ” ใบไม้รีบหันไปโทษหนูด้วงทันที
“ก็ได้ก็ได้ พี่หนูด้วงอ่อนแอเอง ต่อไปพี่หนูด้วงจะออกกำลังกายทุกวันทุกวัน คราวนี้จะชูน้องไม้ให้ถึงฟ้าเลย” หนูด้วงทุบแขนตัวเองเพราะน้องไม้หนักกว่าที่คิด
“พี่หนูด้วงลองอุ้มน้องหม่อนนะ น้องหม่อนเบากว่าน้องไม้แน่ๆ นาโมยังยกน้องหม่อนได้เลย” ใบหม่อนรีบเข้ามาหาหนูด้วงหลังจากที่โอบอุ้มวางตัวเองลงที่พื้นแล้ว
“ห๊า...เอ่อ...พี่หนูด้วงว่า....เรามาเล่นเดินแบบกันดีกว่า พี่หนูด้วงเอาของเล่นมาเยอะ” หนูด้วงยิ้มแหยๆ เพราะน้องหม่อนตัวกลมว่าน้องไม้เยอะเลย กลัวน้องหม่อนจะเสียใจหากตัวเองอุ้มไม่ขึ้นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องจนโอบอุ้มลอบขำ
“ก็ได้ก็ได้” เสียงของฝาแฝดดังขึ้นพร้อมกัน
หนูด้วงหันมามองโอบอุ้มก่อนจะหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ตอนนี้แม้กระทั่งฝาแฝดก็ติดโรคพูดซ้ำของหนูด้วงเข้าแล้วเหมือนกัน
...
เมื่อใบไม้กับใบหม่อนทานอาหารเช้าเสร็จแล้วตามคำสั่งของโอบอุ้ม ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะได้เล่นเดินแบบกับพี่หนูด้วงเสียที ทั้งสองคนตื่นเต้นเมื่อเห็นชุดสีสันสดใสกับเครื่องแต่งหน้าแบบเด็กๆ ที่พี่หนูด้วงขนมาให้เล่น ปกติอยู่กับโอบอุ้มทั้งสองคนจะได้เล่นระบายสีหรือไม่ก็ตัวต่อเลโก้แค่นั้น ไม่เคยได้เล่นอะไรสนุกๆ แบบนี้
ส่วนโอบอุ้มเลี่ยงมานั่งประเมินงานให้ตะวันและปล่อยให้ทั้งสามคนเล่นกันให้เต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสามคนก็ยังอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา การได้เห็นรอยยิ้มของหนูด้วงและน้องแฝดมันทำให้เขามีความสุขจนไม่อยากละสายตาไปไหน
“พี่โอบ ชื่อจริงๆ ของน้องแฝดชื่อว่าอะไรบ้างฮะ” หนูด้วงตะโกนถามโอบอุ้มเพราะจะประกาศชื่อนายแบบที่ต้องออกมาเดิน
“ไทกอนกับไลเกอร์ ”
“โห...ไทกอน ภูมิเทพ ไลเกอร์ ภูมิเทพ ชื่ออินเตอร์สุด มีสไตล์มากๆ เด็ดๆ” หนูด้วงยกนิ้วให้โอบอุ้ม
ไม่รู้ว่าคิดเข้าข้างตัวเองไหมที่พี่โอบตั้งชื่อน้องแฝดแบบนี้ เพราะมันคือชื่อที่เรียกลูกที่เกิดจากการผสมพันธุ์กันระหว่างราชสีห์กับพยัคฆ์ ต่อให้ไม่ใช่เหตุผลนี้หนูด้วงก็จะเข้าข้างตัวเองอยู่ดี คิดแล้วก็แอบอมยิ้มก่อนจะหันกลับมาจัดการทำหน้าที่พิธีกรเรียกนายแบบทั้งสองคนออกมาเดินโชว์ต่อ
สรุปว่าโอบอุ้มไม่ได้ทำงานต่อเพราะมัวแต่ขำกับชุดที่หนูด้วงและน้องแฝดใส่ ทั้งสามคนเดินวนไปวนมารอบตัวเขาราวกับเป็นแคทวอล์ก ไม่รู้ว่าตัวเองได้แฟนหรือได้ลูกมาเพิ่มอีกคน หนูด้วงยังพกของเล่นพวกนี้มาเล่นที่หอแปลว่ายังมีหัวใจที่รักความสนุกแบบเด็กๆ ไม่เปลี่ยน เสียงหัวเราะร่วนจากสองแฝดยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าได้เพื่อนเล่นที่ถูกใจ นานมากแล้วเหมือนกันที่โอบอุ้มไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของใบไม้กับใบหม่อน
“อ๊ะ พี่โอบ มัมส่งข้อความมาบอกว่าให้คอลไลน์ มัมๆ กับแด๊ดดี้อยากคุยกับรุ่นพี่ของหนู” หนูด้วงเดินหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับยื่นไอแพดให้พี่โอบดู
“ทำไงดี” โอบอุ้มแกล้งทำเป็นตกใจแต่ความจริงแล้วโอบอุ้มรู้ดีว่าทั้งสองคนน่าจะรู้ว่าหนูด้วงขอมาค้างกับใคร
วันที่โอบอุ้มย้ายกลับมาที่เมืองไทยเขาได้เจอกับนับตังค์และมีคุณแล้ว เขาไปกราบขอโทษทั้งสองคนโดยไม่ได้บอกเหตุผลว่าขอโทษในเรื่องอะไร ทั้งคู่ก็ไม่ได้ถามและยังบอกกับเขาว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม อยากให้เขาคิดว่าที่นี่คือบ้านและพร้อมจะต้อนรับเขากลับมาเสมอ เขารู้สึกตื้นตันและดีใจที่ทั้งคู่ไม่ได้โกรธที่เขาหายหน้าไปและทำให้หนูด้วงต้องรอ ส่วนเรื่องของหนูด้วง ทั้งคู่บอกว่าให้หนูด้วงเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ว่าหนูด้วงจะเลือกทางไหนทุกอย่างก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เรื่องน้องแฝดจะไม่มีผลอะไรกับทุกคนในครอบครัวหากหนูด้วงเลือกที่จะคบหากับเขาในฐานะคนรัก
“คิดออกแล้ว” หนูด้วงดีดนิ้วก่อนจะหรี่ตาลง เจ้าตัวแสบส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่โอบอุ้มรู้สึกกังวลเหลือเกิน
ผ่านไป 10 นาที หนูด้วงถึงได้คอลไลน์ไปหานับตังค์ เมื่อปลายทางกดตอบรับหนูด้วงก็รีบส่งเสียงทักทายทันที
“สวัสดีฮะแด๊ดดี้ สวัสดีฮะมัม น้องไม้น้องหม่อนสวัสดีแด๊ดดี้กับมัมๆ ของพี่หนูด้วงก่อน”
“สวัสดีครับ” น้องแฝดที่มานั่งเบียดอยู่บนตักของหนูด้วงยกมือไหว้คนที่อยู่ในจอไอแพดอย่างว่าง่าย
“ลูกชายของรุ่นพี่ที่หนูเล่าให้ฟัง น่ารักไหม” หนูด้วงรีบแนะนำ
‘น่ารัก บอสมาดูดิ เหมือนหนูด้วงตอนเด็กๆ เลย’ นับตังค์เอียงหน้าจอไอแพดให้คนที่นั่งข้างๆ ดู
“เขาหล่อจัง” น้องหม่อนจิ้มนิ้วป้อมๆ ไปที่มีคุณแล้วเงยหน้ามาพูดกับหนูด้วง
‘เห็นไหม เด็กมักพูดความจริง’ นับตังค์ยักคิ้วให้มีคุณ
“น้องหม่อนหมายถึงแด๊ดดี้นะมัม” หนูด้วงรีบบอก เสียงหัวเราะของมีคุณลอดออกมาให้ได้ยิน
“แต่คนนี้น่ารัก” น้องไม้ชี้ไปที่นับตังค์แล้วหันไปพูดกับใบหม่อนบ้าง
“คราวนี้น้องไม้ชมมัมฮะ” หนูด้วงรีบบอกอย่างเอาใจเมื่อเห็นมัมมองแด๊ดดี้ตาขวาง
‘แล้วไหนรุ่นพี่ของหนูด้วงที่ชื่อนโม’ มีคุณถามแทรกเข้ามา
หนูด้วงระบายยิ้มก่อนจะหันไอแพดไปทางโอบอุ้ม เสียงของนับตังค์กับมีคุณดังลอดมาว่า ‘เฮ้ย’ จนหนูด้วงกับน้องแฝดต้องชะโงกหน้ามาดูในจอว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนทางโน้น จนได้เห็นนับตังค์กับมีคุณกำลังปิดปากกลั้นขำจนตัวสั่น
มีต่อด้านล่างค่ะ
V
V