#3.2หลังจากแยกย้ายกับเหล้ารัม ผมก็ดำเนินการตามแผนที่ตั้งใจไว้ คืออาบน้ำและเตรียมตัวนอนอย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกเพลียนิดหน่อยจากเรื่องต่างๆ ที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน ส่วนเรื่องงานที่อาจารย์สั่งก็แพลนไว้ว่าจะตื่นมาหาข้อมูลพรุ่งนี้เช้าแทน
พอคิดทุกอย่างคร่าวๆ เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปที่สวิตช์ไฟซึ่งอยู่ข้างๆ ประตูห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้กดปิดมันลง ในหัวก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่มายังไม่ได้โทรบอกที่บ้านเลย ก็เลยต้องเปลี่ยนทิศทางไปหยิบไอโฟนบนโต๊ะมานั่งคุยบนเตียงแทน
(สวัสดีครับ ขอพูดสายใครครับ) แล้วหลังจากที่รออยู่ประมาณสี่วินาที โทรศัพท์บ้านก็ถูกรับด้วยเสียงสุภาพที่ผมคุ้นเคย
"พ่อ นี่วาฬเองนะ"
(อ้าว วาฬหรอลูก เป็นไงบ้าง แม่เขานอนแล้วนะ มีเรื่องด่วนมั้ย เดี๋ยวพ่อไปปลุกให้)
"ไม่เป็นไรครับ คุยกับพ่อก็ได้ พอดีผมแค่จะโทรมาบอกว่าถึงคอนโดเหล้ารัมนานแล้วครับ แต่อาบน้ำเพิ่งเสร็จ ก็เลยโทรมาบอกช้าไปหน่อย"
(งั้นหรอ ก็ว่าอยู่ทำไมเงียบไปเลย แล้วเป็นไงบ้างล่ะคอนโดของพ่อมดคนนั้นน่ะ ปลอดภัยดีมั้ยลูก)
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่พอได้ยินคำว่า 'ปลอดภัย' จากปลายสาย ผมก็หลุดยิ้มออกมาทันที เพราะนอกจากจะทำให้คิดถึงหน้าตาเวลาที่พ่อคอยกังวลเรื่องของผมอยู่ตลอดเวลาแล้ว ก็ยังรู้สึกตลกอย่างบอกไม่ถูกด้วย เมื่อผมเอาแต่ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของห้อง แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่กลับมองไปอีกทาง และมันก็มักจะเป็นทางที่สำคัญเสมอ ทว่าคนเป็นลูกกลับชอบที่จะละเลยมัน
แม้หลายครั้งจะรู้สึกอึดอัดและขาดความเป็นอิสระจากความรักความห่วงใยที่พ่อกับแม่ทุ่มเทให้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมยังโชคดีกว่าใครอีกหลายๆ คนที่แทบจะไม่เคยได้สัมผัสกับความรักเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
ตอนอยู่ใกล้กันก็มองไม่เห็นหรอก แต่พอต้องห่างกัน..ทุกอย่างกลับกลายเป็นภาพสวยงามชัดเจน..
"ก็ดีครับพ่อ อยู่ไม่ไกลจากมหา'ลัยด้วย"
(ดีแล้วๆ ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ)
"งั้นก็แสดงว่าถ้าผมโทรไปตอนพ่อหลับแล้ว พ่อก็จะตื่นมารับสินะ"
(แน่นอน)
"..."
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะพูดแหย่พ่อ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายที่หยุดนิ่งไปนิดนึงเมื่อได้ยินคำตอบของพ่อที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะดูขี้เล่น เพราะผมรู้ดีว่าถึงจะไม่ได้เน้นน้ำเสียงหนักแน่น แต่พ่อของผมหมายความตามที่พูดออกมาจริงๆ
(เออนี่วาฬ พ่อว่าจะพูดตั้งแต่ตอนอยู่บ้านแล้ว แต่มันหาจังหวะไม่ได้จริงๆ) และก็ดูเหมือนว่าพ่อจะจับสังเกตอาการของผมไม่ได้ ก็เลยยังคงพูดต่อไป
"เรื่องอะไรครับ" ซึ่งก็ค่อนข้างน่าสนใจฟังมากเลยทีไปเดียว..
(เรื่องของเหล้ารัมน่ะ) ..เพราะว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของคนที่ผมต้องมาอยู่ร่วมด้วยนับจากนี้ (คือพ่ออยากให้วาฬทำดีกับเขาให้มากๆ นะลูก อะไรที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ก็จงทำซะ เพราะพ่อเชื่อว่าเขาคือคนที่จะสามารถช่วยชีวิตวาฬได้)
ผมเผลอพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่ปลายสายเองก็ไม่มีทางเห็น ก่อนจะตอบ "ครับพ่อ"
(นี่พ่อจริงจังนะวาฬ เหล้ารัมไม่ใช่แค่ความหวังของลูก แต่เป็นความหวังของพ่อกับแม่ด้วย พ่อเชื่อจริงๆ ว่าเขาจะช่วยให้ลูกรอดตายได้อย่างที่เขาบอก ถ้าเกิดว่าเขาต้องการอะไร และพ่อกับแม่สามารถช่วยได้ ก็ขอให้บอกทันทีเลย เข้าใจมั้ย) แต่ดูเหมือนว่าแค่การตอบรับสั้นๆ จะยังไม่เพียงพอ เพราะปลายสายพูดย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าพ่อกังวลกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
"เข้าใจแล้วครับพ่อ ผมจะใช้โอกาสนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ และก็จะทำดีกับเหล้ารัมให้มากที่สุดตามที่พ่อบอกครับ" ผมก็เลยต้องพูดให้ชัดเจนและหนักแน่นขึ้น
(ดีแล้วลูก) ปลายสายจึงดูจะคลายความกังวลลง (นี่ก็ดึกแล้วนะ พ่อว่าลูกพักผ่อนเถอะ ไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่)
"โอเคครับพ่อ ฝันดีนะครับ"
(ฝันดี)
แล้วพ่อก็วางสายไป
ทิ้งให้ผมนั่งมองหน้าจอไอโฟนอยู่เงียบๆ ต่ออีกสักพัก...
ดูท่าว่าพ่อจะคาดหวังกับเหล้ารัมมากกว่าที่ผมคิดแฮะ จนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านอกจากรายละเอียดที่เหล้ารัมบอกกับผม มันยังมีเรื่องอะไรที่พวกเขาไปคุยกันแบบลับๆ อีกหรือเปล่า?
เรื่องที่สำคัญมาก.. แต่ไม่ยอมให้ผมรู้..
เฮ้ออออออ~ แต่เอาเถอะ ผมว่าคิดมากไปก็เท่านั้น ถ้ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะรู้ ต่อให้พวกเขาพยายามปิดบังมันยังไง ผมก็ต้องได้รู้เข้าสักวัน มันไม่มีประโยชน์ที่จะเสียเวลาชีวิตอันน้อยนิดไปกับการนั่งขบคิดถึงสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจหรอก รู้แค่ว่าการเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้มันน่าจะเป็นไปได้ด้วยดีก็พอแล้ว
แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชิลจนประมาทหรอกนะ ต่อให้ภาพที่เหล้ารัมให้มามันจะสวยงามมากแค่ไหน ก็ต้องไม่ลืมที่จะระวังตัวด้วย เพราะยังไงเหล้ารัมเองก็ยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม ไม่สามารถไว้ใจได้ซะทุกอย่าง มันยังมีเรื่องที่ผมจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับพ่อมดผมบลอนด์คนนี้อีกเยอะ
ก๊อกๆๆแต่ดูท่าว่าเหล้ารัมนี่จะตายยากน่าดูแฮะ เพราะในขณะที่กำลังคิดถึงเขา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ซึ่งก็คงจะไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากนายพ่อมดหน้าลูกครึ่งเจ้าของห้องหนึ่งสามหนึ่งสามแห่งนี้
"ผมเข้าไปได้มั้ยวาฬ"
"ได้ครับ ประตูไม่ได้ล็อค"
พอผมอนุญาต เหล้ารัมก็เปิดประตูเข้ามาด้วยเสื้อผ้าใหม่หมดทั้งชุด ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นชุดนอนของเขา ไม่ว่าจะเป็นกางเกงผ้าวอร์มขายาวสีเทา กับเสื้อยืดรัดรูปสีดำที่เผยให้เห็นความแน่นของรูปร่างภายใต้เสื้อได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ทำเอาผมนี่ถึงกับแอบกลืนน้ำลายลงคอเลยเมื่อนึกภาพว่าถ้าเหล้ารัมถอดเสื้อออกจะเป็นอย่างไร?
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้แกยังบอกให้ตัวเองระวังตัวอยู่เลยไม่ใช่หรอวาฬ!?
นี่กลับเป็นว่าคนที่ไม่น่าไว้ใจกลายเป็นผมชัดๆ!
"ทำไรอยู่ครับ"
"เอ่อ.. เพิ่งคุยโทรศัพท์กับพ่อเสร็จน่ะ"
คำถามของอีกฝ่ายดูยากไปเลยเมื่อสายตาของผมโฟกัสอยู่ที่หุ่นของเขา ดังนั้นพอเหล้ารัมถาม ผมเลยอึกอัก เพราะต้องบังคับตัวเองให้เลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้า เขาแบบเนียนๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าจินตนาการของผมเกี่ยวกับรูปร่างจองเขามันไปไกลขนาดไหนแล้ว!
"ถ้างั้นก็นี่ครับ นมสำหรับคุณหนูวาฬ"
แต่แล้วทุกความรู้สึกภายในใจของผมเกี่ยวกับหุ่นของเหล้ารัมก็เป็นอันต้องพลันสลายหายไปในอากาศ เมื่อคนหัวยุ่งที่ดูรู้ว่าสระผมแล้วไม่ยอมเช็ดให้แห้ง (แต่โคตรของโคตรดูดี) ยื่นแก้วนมมาให้ พร้อมกับเน้นคำว่า 'คุณหนู' เหมือนต้องการจะหยอกล้อ ทำเอาผมนี่ถึงกับต้องขมวดคิ้วใส่เลย
"เอามาให้ผมทำไม ผมไม่ได้ขอนะ" เพราะว่าปกติผมก็ไม่ชอบกินนมด้วย ถ้าแม่ไม่บังคับให้กินทุกคืน ผมก็ไม่แตะหรอก
"รู้ครับว่าไม่ได้ขอ แต่คุณแม่ของวาฬกำชับผมไว้ว่าต้องให้คุณดื่มนมทุกคืนก่อนนอน แล้วผมก็รับปากท่านแล้วด้วย เพราะฉะนั้นดื่มเถอะครับ จะได้รีบนอน"
แล้วใครจะไปคิดล่ะ ว่าถึงตัวจะไม่อยู่ แต่พลังอำนาจของแม่ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับชีวิตผมราวกับพลังของเจได โดยมีเหล้ารัมเป็นทายาทผู้สืบทอดการส่งนมก่อนนอนแบบนี้!
"โอเค" ผมรับแก้วนมจากเหล้ารัมมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเขาเองก็คงโดนแม่ผมครอบงำมาอีกทีเหมือนกัน แต่พอฝืนใจดื่มจนหมดแล้ว ก็เลือกที่จะวางแก้วเปล่าไว้บนหัวเตียง ก่อนจะประกาศให้ทราบชัดเจนเลยว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะเอาแก้วไปล้างเอง แล้วคราวหน้าคุณก็ไม่ต้องเอามาให้ผมแล้วนะ แค่เตือนก็พอ เพราะว่าผมจะหากินเอง ผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ"
แค่เป็นเด็กในสายตาพ่อแม่ก็พอแล้ว อย่าให้ต้องมาเป็นเด็กในสายตาของเหล้ารัมอีกคนนึงเลย
"อ๋อ แบบนี้นี่เอง ผมก็ลืมไปว่าคุณน่ะโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ : )" นายพ่อมดตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเป็นปกติมาก ถ้าไม่ติดว่าเขาดันยิ้มมุมปากพลางหันไปมองเหล่าบรรดาตุ๊กตาปิกาจูทั้งเก้าอย่างจงใจ ทำเอาผมนี่รู้สึกว่าแก้มมันร้อนขึ้นมาเลยทั้งสองข้าง ก่อนจะรีบเถียงออกไปอย่างไวด้วยความรู้สึกอาย
"มะ...มันไม่เหมือนกันสักหน่อย! ปิกาจูน่ะมันเป็นความชอบส่วนตัว ไม่จำกัดอายุว่าเด็กหรือแก่ แต่ไอ้การที่ต้องรอคนหานมมาให้ดื่มก่อนนอนน่ะ มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่จะทำกัน"
แต่กลับกลายเป็นว่าเหล้ารัมยังคงนิ่ง แถมผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า แล้วพูดในสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอายยิ่งกว่าเดิม! "ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย ก็แค่หันไปมองว่าเจ้าพวกปิกาจูมันน่ารักดีก็เท่านั้นเอง : )"
"แต่..." ใจจริงผมอยากจะเถียงออกไปเพื่อทำลายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงหน้า แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก เพราะรู้ตัวว่าเสียท่าไปแล้ว เลยได้แต่ทำหน้ายู่หันไปทางอื่นแทน ทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ จากร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมตั้งแต่เดินเข้ามา
คอยดูนะ อย่าให้ถึงทีผมบ้างก็แล้วกัน จะเอาให้เสียท่าแบบต้องม้วนตัวลงดินหนีไปเลย!
"ว่าแต่ว่าชุดนอนคุณดูดีนะ"
จนกระทั่งเหล้ารัมเอ่ยปากชมนั่นแหละ ผมถึงได้ลากสายตากลับมามองเขา ก่อนจะมองชุดนอนของตัวเองด้วยความสงสัย ก็แค่... เสื้อยืดสีเทากับกางเกงขาสั้นสีเหลืองเนี่ยนะ?
มันดูดีถึงขนาดที่ต้องกล่าวชมกันเลยหรอ?
"ดูดีตรงไหนกัน ก็แค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ไม่เห็นจะ.." แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจนจบประโยค ผมก็สังเกตเห็นสายตาของเหล้ารัมที่ไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ชุดของผมเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นต้นขาที่โผล่พ้นออกมาจากกางเกงขาสั้นต่างหาก!
ฟึบ!"มองอะไรไม่ทราบ!" ผมร้องถามทันทีที่ดึงผ้าห่มมาปิดช่วงขาของตัวเองเอาไว้
แต่แทนที่นายพ่อมดเหล้าจะสำนึก เขากลับยิ้มกว้างจนตาเป็นประกาย "มองขาคุณไง ขาวชะมัด : )"
ถะ..แถมยังพูดออกมาได้ไม่อายปาก!
ไหนจะสายตาเจ้าชูที่เพิ่งจะฉายแววให้เห็นอีก นี่มันเป็นเวลาเผยธาตุแท้หรือไงเนี่ย!?
"บ้า! กลับห้องไปเดี๋ยวนี้เลยนะเหล้ารัม" ผมเลยรีบออกปากไล่ทันที รู้สึกว่าคืนนี้ควรจบลงแค่นี้ล่ะ
"ไม่เอาอะ ขอนอนด้วยคนนะ" แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ฟังผมเลยสักนิด!
"นี่!"
แถมยังพุ่งตัวเข้ามาหาที่เตียงนอนทันทีที่พูดจบ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนพวกพระเอกเกาหลี จนผมต้องรีบกระถดตัวถอยหลังให้ห่างจากเขา
น่ะ..นี่มันใกล้เกินไปแล้วนะ! จนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของเขาแล้วเนี่ย!!
"นะๆ ให้ผมนอนด้วยคนนะครับวาฬ" เอาแล้วไง มีการอ้อนพร้อมกับส่งสายตาหวานมาแบบไม่ยั้ง แล้วดูท่าว่าจะไม่ยอมเลิกง่ายๆ ด้วยนะ เพราะขนาดผมถอยหนีขนาดนี้ เหล้ารัมก็ยังคงคลานตามมาอยู่เลย
ผมเลยตัดสินใจจะผลักเขาออก ทว่า.. "ออกไปเลยนะ อย่ามาทำแบบ.. เฮ้ย!" ..พอจะยกมือขึ้นมาผลัก กลับเสียหลักซะเอง!
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมหงายหลังล้มตัวลงนอนกับเตียง ส่วนนายพ่อมดเจ้าเล่ห์ (ฉายาใหม่แบบแกะกล่อง!) ก็อาศัยจังหวะที่ผมพลาดท่าขึ้นคล่อมตัวผมอย่างไว โดยใช้มือกดกับที่นอนทั้งสองข้างของผมเอาไว้ เป็นการล็อคไม่ให้สามารถหนีไปไหนได้อีก
ระ..ร้ายกาจ!
วินาทีที่ตาประสานตา... ผมเดาใจเหล้ารัมที่อยู่บนตัวผมไม่ออกเลยว่าเขาแค่ต้องการจะหยอกเล่นหรือจริงจัง แต่ไม่ว่าจะทางไหนมันก็ดูจะไม่ถูกต้องทั้งนั้น
ตึกตัก ตึกตักถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะมีผลกับใจของผมก็ตาม แต่มันดูจะเร็วไปมาก และไม่ใช่ภาพในหัวที่ผมคิดไว้เลย เพราะฉะนั้นผมจึงตัดสินใจกระทำการบางอย่างเพื่อป้องกันตัวเอง
"เฮ้ยยย!" เหล้ารัมร้องเสียงหลงพลางสะดุ้งโหยงทันทีที่เห็นว่าผมคว้าอะไรออกมาจากใต้หมอน
มันไม่ใช่ปืน ไม่ใช่มีด ไม่ใช่สเปรย์พริกไทย
หากแต่เป็นสิ่งอื่นที่อันตรายจนทำให้พ่อมดที่มีเวทมนตร์อย่างเหล้ารัมถึงขนาดกระโดดหนีไปยืนหอบหายใจถี่อยู่ที่ประตูห้อง ซึ่งแน่นอนว่าห่างจากเตียงไปไกลทีเดียว
เพราะว่ามันคือ
'เครื่องรางไร้มนตร์' ที่เหล่าพ่อมดแม่มดกลัวนักกลัวหนายังไงล่ะ
จริงอยู่ที่ตระกูลอลิชาของผมเป็นมิตรกับพ่อมดแม่มดมาอย่างยาวนาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหลงลืมความเจ็บปวดของคำสาปที่ยังคงฝังรากลึกจากสมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ตรงกันข้าม มันกลับทำให้พวกเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับพวกเขาอย่างปลอดภัย โดยเลือกที่จะไม่ทำร้ายหรือทำลาย แต่ปกป้องตัวเองให้พ้นจากความสามารถของพวกเขา นั่นก็คือการคิดค้นเครื่องรางขึ้นมาจากพืชเก่าแก่เก้าชนิด ซึ่งเมื่อนำมาหลอมรวมกันไว้ในถุงผ้าแม้เพียงขนาดเล็กๆ ก็จะส่งผลร้ายแรงต่อพ่อมดแม่มดที่สัมผัสมัน เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่ให้ห่างจากมันก่อนด้วยความหวาดกลัว เป็นความกลัวแบบที่ทำให้ลืมการใช้เวทมนตร์ไปเลย จึงเป็นที่มาของชื่อ 'ไร้มนตร์' ที่ถูกตั้งขึ้น
ซึ่งจริงๆ ความรู้ในการทำเครื่องรางชนิดนี้ก็ตกทอดมาถึงผมนานแล้วนะ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้มันตอนที่อีกสี่เดือนกำลังจะตายแบบนี้ แถมยังได้ใช้กับพ่อมดที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตอยู่ได้เกินสี่เดือนด้วย!
ไม่เสียเปล่าจริงๆ ที่พกติดตัวมาเนี่ย
"คะ..คุณไปเอามันมาจากไหน!?"
"ก็จากบ้านผมไงครับ มีเยอะเลย เพราะว่าตระกูลผมเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา เอาไว้ป้องกันตัวจากพวก
พ่อมดหื่น แต่ถ้าไม่เชื่อว่าเป็นของจริง ลองเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ได้นะ" ไม่พูดเปล่า ผมแกล้งทำเป็นยื่นถุงเครื่องรางไปทางเหล้ารัมด้วย ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชนหลังติดกับประตู
"ยะ...อย่านะครับ!"
"เอ้า ก็ถ้าไม่ดูใกล้ๆ จะรู้ได้ยังไงว่าของจริงของปลอม ผมอาจจะหลอกคุณก็ได้นะ : )"
"ขะ..ขอร้องล่ะ อย่าเอามันเข้ามาใกล้ผมเลย มันอันตรายนะครับ"
"แหมๆ แล้วที่คุณทำกับผมเมื่อกี้ไม่อันตรายเลยสินะ : )"
"เอ่อ.. อะ..อันตรายที่ไหนกันครับ ผมแค่ขอนอนด้วยเฉยๆ เอง ไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย"
หึ! ทีอย่างงี้ล่ะทำมาเป็นพูดดี ทีตอนร้องห้ามล่ะไม่ยอมฟัง ไอ้พ่อมดเจ้าเล่ห์เอ๊ย!
"หรอครับ งั้นสาบานสิว่าไม่ได้คิดจะทำอะไรจริงๆ อย่างที่คุณว่า แล้วผมจะเชื่อ"
แล้วเหล้ารัมก็ทำให้ผมคิดไม่ผิดคาด เพราะเขาไม่ยอมสาบานตามที่ผมบอก ได้แต่ยิ้มแหยพลางหัวเราะแหะๆ อย่างยอมจำนน
แสดงว่าคิด!
เพราะคำสาบานสำหรับพ่อมดแม่มด หากเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นจริงตามนั้นทุกประการ เช่นถ้าเหล้ารัมบอกกับผมว่า
'ถ้าเขาคิดจะทำอะไรจริงๆ ขอให้ฟ้าผ่าตาย' แล้วปรากฏว่าคิด ฟ้าก็จะผ่าเขาตายในทันที ไม่มีการมาสาบานส่งๆ เหมือนพวกมนุษย์หรอก
"ผมรู้นะว่าคุณอยากให้ผมเป็นมากกว่าเพื่อน แต่จีบกันวันแรกแล้วมาทำแบบนี้ ผมบอกเลยนะว่ามันยังเร็วเกินไป ถึงแม้ว่าผมจะย้ายมาอยู่กับคุณทั้งๆ ที่เรายังไม่สนิทกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะง่ายนะ ถ้าอยากนอนด้วยกันจริง ก็ใช้เวลาพิสูจน์ให้ผมเห็น ว่าคุณคือคนที่ผมสมควรจะมอบทุกอย่างให้ ตกลงมั้ย?" ผมเลยตัดสินใจพูดรัวเป็นชุดออกไปตรงๆ เพื่อให้เหล้ารัมรู้ว่ามันไม่ยากนักหรอกหากเขาต้องการตัวและหัวใจจากผมน่ะ ขอแค่พิสูจน์ให้ผมเห็นว่าเขาดีพอ ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น
ซึ่งเหล้ารัมเองก็ดูจะพอใจกับการพูดกันตรงๆ แบบนี้ เพราะถึงแม้จะยังทิ้งร่องรอยความกลัวบนใบหน้า แต่ความพึงพอใจก็ฉายชัดเจนในแววตาคู่นั้นเช่นกัน "โอเค ผมเข้าใจแล้วครับ ขอโทษด้วยที่ใจร้อนจนเกินไป"
ผมพยักหน้ารับคำขอโทษ เพราะรู้สึกว่าตัวเองพูดในสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ถึงเวลาที่ต้องนอนเสียที ถ้าไม่ติดว่าเหล้ารัมตั้งท่าจะเดินเข้ามาอีกรอบน่ะนะ
"นี่ ถ้าเข้าใจก็กลับห้องไปได้แล้ว จะเดินกลับมาอีกทำไมเล่า" ผมร้องถามพลางชูเครื่องรางเพื่อป้องกันตัวในกรณีที่เขาอาจจะบ้าระห่ำขึ้นมา แต่ปรากฏว่าทิศทางที่เหล้ารัมต้องการจะไปจริงๆ คือแก้วนมบนหัวนอนต่างหาก
"ผมแค่จะเก็บแก้วนมไปล้างให้ครับ รู้ว่าคุณอยากทำเอง แต่ผมถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ทำไปเมื่อกี้ก็แล้วกัน"
พอเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดี (รึเปล่า?) ผมเลยลดระดับเครื่องรางลง ก่อนจะเก็บมันเข้าใต้หมอน โดยไม่ลืมที่จะทำหน้าทำตาให้เหล้ารัมเห็นว่าถ้ามีเจ้าสิ่งนี้อยู่ ยังไงผมก็เหนือกว่าเขา เพราะฉะนั้นอย่ามาคิดแหยมเด็ดขาด!
ซึ่งเหล้ารัมก็คงไม่กล้าเหมือนตอนแรกแล้วล่ะ ขนาดว่าตอนที่เดินมาหยิบแก้วนมยังดูหวาดๆ เลย คงกลัวว่าผมจะหยิบเครื่องรางไร้มนตร์ออกมาอีกรอบสินะ
"อ๊ะ..!"
แต่ในขณะที่ผมกำลังมองแผ่นหลังของนายพ่อมดเหล้าที่กำลังจะเดินจากไป จู่ๆ ร่างสูงที่ยังคงกลิ่นตัวหอมก็หันกลับมาหาอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมตกใจรีบล้วงมือเข้าใต้หมอนแทบไม่ทัน!
ทว่า..
"ลืมบอกไป ว่าฝันดีนะครับ
" ..สิ่งที่เหล้ารัมทำคือการวางมือข้างที่ว่างลงบนหัวของผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบอกฝันดีด้วยน้ำเสียงน่าฟังที่มาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"ฝะ..ฝันดี"
จนผมต้องบอกฝันดีกลับไปด้วยอาการติดอ่างแบบฉับพลัน ก่อนที่นายพ่อมดหน้าลูกครึ่งจะหมุนตัวเดินจากไป..
ปล่อยให้ผมนั่งอึ้งอยู่กับตัวเองว่าเมื่อกี้นี้เหล้ารัมบอกฝันดีหรือว่าร่ายเวทมนตร์ใส่ผมกันแน่ ทำไมนอกจากอาการติดอ่างกับใบหน้าร้อนผ่าวแล้ว สิ่งรอบตัวก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อเขาปฏิบัติกับผมแบบนั้น!?
ตึกตัก ตึกตักพ่อมดคนนี้นี่ อะ..อันตรายจริงๆ!
จบตอนที่ 3
ป.ล. หากใครอยากพูดคุยอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใน twitter ฝาก #พ่อมดเหล้า เพื่อง่ายต่อการตามอ่านของคนเขียนนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ
my page :
https://www.facebook.com/hamsterisanauthor/