5th Night [5.1]
“อ๊ะ อ้า... ฮา...”
เสียงหอบปนครางกระเส่าดังระงมจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร เตียงไหวตามแรงโยกคลอนของร่างเบื้องบนที่กระทั้นสะโพก สอดแทรกส่วนที่แข็งขึงและอุ่นร้อนเข้าออกในกายของคนที่ถูกทับด้วยน้ำหนักจนแทบจมหายไปกับเตียงซ้ำๆ อดไม่ได้ที่จะครางในคอด้วยความพอใจ เมื่อช่องทางนั้นตอดรัดตอบ ตอนแก่นกายกระตุ้นโดนจุดที่ไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ
“ลีลาแบบนี้น่ะเหรอ จะมาใช้ต่อรองคิวกับฉัน”
ธวัตรยึดไหล่คนที่นอนหอบอยู่ใต้ร่าง จงใจกดสะโพกหนักๆ หลายครั้งเพื่อย้ำจุดกระสันจนอีกฝ่ายถึงกับหลุดเสียงครางพร่า
“เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะอะไรมาเป็นหลักประกัน?”
“......”
ธวัตรมองใบหน้าชื้นเหงื่อของคนเบื้องล่าง ดวงตาติดปรือแสดงออกถึงความปรารถนาที่ยังไม่ถูกปลดปล่อย ฝ่ายนั้นหอบหายใจระรัวจนหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อสมส่วนสะท้อนขึ้นลงชัดเจน ท่าทางเหนื่อยเหมือนจะตายให้ได้
ไอ้เรื่องรูปร่างหน้าตา มันก็ยั่วยวนใช้ได้อยู่หรอก แต่เด็กนี่ดันไม่มีจริตจะกร้านบนเตียงเลยสักนิด
“นอนครางเป็นอย่างเดียวหรือไง!”
“.......”
ไม่มีคำตอบเป็นรูปธรรม แต่แววตาที่เข้มขึ้นของตุลย์ก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ
ใครเห็นแค่เปลือกนอกคงคิดว่าเด็กคนนี้ซื่อๆ และว่านอนสอนง่าย ไม่ว่าออกคำสั่ง ร้องขอ หรือเปรยอะไร อีกฝ่ายก็สนองให้ทุกครั้ง หารู้ไม่ว่าภายในมันกลับกัน
ลึกๆ แล้วตุลย์เป็นคนหัวแข็ง และไม่ซื่อบื้ออย่างที่แสดงออก ออกจะมีไหวพริบเสียด้วยซ้ำ เขาฝึกมากับมือ มีหรือจะไม่รู้? เสียอยู่อย่างเดียว คือ เรื่องลีลาบนเตียง ที่สอนกี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยจำสักที!
จู่ๆ เขาก็ถูกรั้งคอลงไปหา ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะทาบลงบน บดจูบอย่างดุเดือดเหมือนพยายามเอาชนะคำสบประมาทเมื่อครู่
ธวัตรกดร่างนั้นไว้ด้วยน้ำหนักทั้งหมด ใช้มือยึดกราม แล้วแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากตวัดเกี่ยวลิ้นอีกฝ่ายที่พยายามรุกไล่เขา นำอยู่ได้ไม่นานตุลย์ก็ตกเป็นรองเมื่อจูบดุดันขึ้นตามลำดับ ธวัตรครอบครองจังหวะลมหายใจอีกฝ่ายไว้ได้อยู่หมัดจนคนถูกจู่โจมหนักเข้าต้องดันไหล่เขาออก ผละหาจังหวะตักตวงอากาศคืนสู่ปอด
“ห่วยกว่าเมื่อก่อน ช่วงนี้ฉันคงปล่อยปะละเลยเกินไปล่ะสิ”
ว่าแล้วก็จับต้นขาแยกกว้างขึ้น ดึงสะโพกฝ่ายนั้นเข้ามาชิดตัว ส่งผลให้แก่นกายที่เชื่อมต่ออยู่ถูกดันเข้าไปจนสุด ยิ่งเห็นว่าตุลย์หลุดเสียงครางหนักๆ เขาก็จงใจกระทั้นกายย้ำใส่จุดเดิมซ้ำๆ จนร่างนั้นบิดเกลียว กระตุก และถึงจุดสุดยอดในไม่กี่วินาทีถัดมา
ให้ตายเถอะ... ลีลาห่วยแล้วยังจะเสร็จก่อนอีก
เขาไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ขมวดคิ้ว เค้นบั้นท้ายกระตุ้นให้ช่องทางรัดแน่นขึ้นอีกหน่อย ก่อนจะเร่งจังหวะตามมา จวบจนอารมณ์พุ่งสูงถึงขีดสุด เขาก็ปลดปล่อยด้านใน แช่ไว้สักพักถึงถอนกายออก ดึงถุงยางทิ้งถังขยะข้างหัวนอน แล้วลุกจากเตียง
“คุณจะไปไหน?”
“สูบบุหรี่”
ว่าจบเขาก็เดินหนี ทิ้งอีกฝ่ายไว้บนเตียงเหมือนทุกครั้ง
--------------------
ตุลย์ขยับตัว การสอดใส่เมื่อครู่ยังทิ้งสัมผัสตกค้างไว้ในร่าง พอลุกขึ้นนั่งดีๆ ถึงรู้สึกแปลกๆ จะว่าเจ็บก็ไม่ใช่ รู้สึกดีก็ไม่เชิง เขาไถลตัวมานั่งห้อยขาข้างเตียง รอสักพักจวบจนร่างกายพร้อม แล้วค่อยลุกขึ้นยืน แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็รู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาเฉยๆ
เดิมทีเรื่องเซ็กซ์ เขาก็ทำได้ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ที่คาดไม่ถึงคือ ธวัตรจะนำส่วนด้อยข้อนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธคำขอเขา ราวกับตั้งใจให้เขาลงเดิมพันกับเกมที่รู้ผลแพ้ชนะอยู่แล้ว
ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจต่อรองก็จริง แต่จะถอยกลับก็ไม่ได้เช่นกัน ตุลย์รวบรวมความกล้าอยู่สักพัก ก่อนจะผลักประตูออกไปห้องนั่งเล่น
“ลองอีกรอบได้ไหม”
ธวัตรปรายตามองแวบหนึ่ง “อีกรอบแล้วได้อะไร ผลมันต่างกันตรงไหน?”
“ผมอยากแก้ตัว”
“......”
ร่างสูงไม่ตอบ แต่เดินหนีออกไปสูบบุหรี่ริมระเบียงคล้ายไม่ต้องการให้ต่อรองอะไรเพิ่มเติม
ตุลย์กลืนน้ำลาย ตัดสินใจจะตามออกไป “ลองให้โอกาสผมดูสักครั้งไม่ได้เหรอ”
“แล้วนายรับประกันได้ไหมล่ะว่า ศานนท์จะร่วมลงทุนกับฉัน งานนี้มันผิดพลาดไม่ได้ ถ้าฉันรับปากเอาคิวไอ้เด็กพวกนั้นออก แล้วนายทำ ‘เขา’ หลุดมืออีกคน ฉันไม่ขาดทุนแย่หรือไง? เด็กพวกนั้นลงมัดจำไว้น้อยเสียเมื่อไหร่” ธวัตรเอี้ยวตัวมาด้านหลัง “จะไม่เหลือกำไรไว้ให้ฉันหน่อยเหรอ?”
ตุลย์กำมือแน่น
ที่ผ่านมาไม่ใช่ ‘เงิน’ เหรอที่ธวัตรกอบโกยจากการบิดเบือนสัญญาเพื่อให้เขาขายตัว ในขณะที่ฝ่ายนั้นนอนกินค่านายหน้า ส่วนเขาได้ส่วนแบ่งแค่สามสิบเปอร์เซ็นท์จากค่าคิวแต่ละครั้ง เมื่อก่อนเขาเคยมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินชีวิตตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งที่ธวัตรบังคับเอามันไป!
“ยังไงตอนนี้คุณก็มีแค่ผมที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด...”
ธวัตรส่ายหน้า ยิ้มเหมือนเหยียดหยันคำพูดเขา “คิดว่าฉันหาคนอื่นมาแทนไม่ได้เหรอ คนที่มีความสามารถกว่านี้? เพรียบพร้อมกว่านี้? ต่อให้ไม่มีนายฉันก็ปั้นคนอื่นขึ้นมาใหม่ได้”
เขาพูดไม่ออก รู้ทั้งรู้ว่าวงการนี้ฉาบฉวยแค่ไหน หากยิ่งถลำลึกก็ยิ่งถอนตัวยาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเฝ้าฝันหาชีวิตปกติแบบเด็กมหาลัยธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ต้องมีอะไรกับ ‘คนแปลกหน้า’ เพื่อแลก ‘เงิน’ ในแต่ละคืน...
“ผมไม่มีหลักประกันให้คุณก็จริง แต่ขอโอกาสครั้งนี้เถอะ”
“แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ...”
ตุลย์เม้มปาก “ผมขอแค่ครั้งนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องคุณศานนท์ ผมบอกได้แค่ว่าจะทำเต็มที่ ยังไงตอนนี้คุณก็ปั้นใครขึ้นมาไม่ทัน...”
ธวัตรเค้นเสียง ‘หึ’ “อวดดีจริงนะ”
อวดดี? เมื่อไม่มีทางเลือก ไม่มีทางหนี เขาก็หมาจนตรอกดีๆ นี่แหละ ต่อให้ต้องบากหน้าขอร้องอีกฝ่ายสักกี่ครั้งก็จะทำเพื่อความอยู่รอด...
ร่างสูงมองลึกเข้ามาในดวงตา ใช้ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นรอบๆ สร้างแรงกดดัน ก่อนจะหลุดหัวเราะในคอเหมือนเขายังนิ่งยืนยันเจตนารมณ์เดิม
“ถูกของนาย มันเร็วไปที่จะปั้นเด็กสักคนขึ้นมาแทน ...ก็ลองดู แต่ถ้าผิดพลาด คงรู้ใช่ไหมว่ามันจะจบไม่สวย?”
ตุลย์พยักหน้า
กระทั่งวิญญาณเขาก็ขายไปเมื่อนานมาแล้ว ถ้าต้องเสียอะไรเพิ่มอีกหน่อยเพื่อให้ได้บางอย่างมาก็นับว่าคุ้มค่า ว่าไหม?
-------------------------
นับจากวันที่ตกลงเรื่องข้อเสนอกันใหม่ ตุลย์ใช้ชีวิตตามปกติ ทำกิจวัตรประจำวันอย่างเคย คือ ช่วงเช้าเรียนมหาวิทยาลัย พอตกเย็นนั่งรถไปที่คลับ หรือไม่ก็ตามสถานที่ที่ศานนท์นัดเจอ ทุกอย่างวนเวียนซ้ำลูปเดิมๆ
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันธรรมดา พอเสร็จจากคลาสที่มหาลัย เขาออกมาเดินเตร็ดเตร่ดูร้านโน้นร้านนี้ตามทางเท้า มันเป็นนิสัยส่วนตัวที่ชอบสำรวจอะไรๆ ฆ่าเวลาเรื่อยเปื่อย ปกติกลางวันเรียนมหาลัย ตกกลางคืนก็ทำงาน พอได้ทำอะไรแบบนี้บ้างเลยรู้สึกเหมือนเปิดโลกกว้างอย่างที่ไม่ค่อยมีโอกาสบ่อยๆ
ปิ๊บๆ!
เสียงแตรรถยนตร์จากด้านหลังทำให้เขาถอยขึ้นมาบนทางเท้าด้านในตามสัญชาตญาณ พอหันไปก็พบซีดานยี่ห้อดังสีดำวิ่งชะลอเรียบฟุตบาทด้วยความเร็วต่ำเหมือนจะหยุดแหล่มิหยุดแหล่ ฟิล์มดำทำให้มองไม่เห็นหน้าคนขับ แต่จากท่าทีลับๆ ล่อๆ แล้วคงไม่ได้มาดี
เดิมทีเขาก็มีคนกว่าครึ่งมหาลัยเป็นศัตรูอยู่แล้ว ออกมาเดินเตร็ดเตร่ย่านนักศึกษาพลุกพล่านตัวคนเดียว ยิ่งตกเป็นเป้าง่ายขึ้นอีก
ตุลย์เร่งฝีเท้า หวังเนียนปะปนไปกับกลุ่มฝูงชนที่กำลังรุมทึ้งของลดราคาในอีกไม่กี่ล็อกข้างหน้าแต่เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทันจึงลดกระจกทั้งที่รถยังเคลื่อนที่...
“ไม่หยุดรอหน่อยเหรอ”
“.......”
“ไม่อยากคุยกับฉันแล้วเหรอ”
“.......” เขาแกล้งทำเป็นหูทวนลม ชักตงิดใจเมื่อน้ำเสียงและประโยคคุ้นหู
“ตุลย์”
คราวนี้พอถูกเรียกชื่อเท่านั้น เขาก็หัน
“คุณ? มาทำอะไรที่นี่...”
อึ้งนิดหน่อยตอนพบว่าคนส่งยิ้มให้คือ ‘ลูกค้าคนสำคัญ’ ที่เพิ่งทำข้อตกลงกับธวัตรไปหยกๆ
“ไม่ใช่ๆ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเดินอยู่แถวนี้”
เคยเปรยเรื่องมหาลัยไปก็จริง แต่ย่านนี้ก็ออกกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ในเขตมหาวิทลัย อยู่ๆ จะมาจ๊ะเอ๋กันคงไม่บังเอิญเท่าไหร่...
“ทางผ่านน่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าเธออยู่มหาลัยนี้จริงไหม แล้วก็ ‘บังเอิญเจอ’ พอดี”
บังเอิญขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าให้ใครตามดูเขาอยู่หรอกเรอะ
“ผมเรียนที่นี่ ไม่ได้โกหกคุณหรอก”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อ... แค่อยากให้แน่ใจน่ะ” หนุ่มใหญ่ยกยิ้ม ก่อนจะกวักมือเรียกเขา “ขึ้นมาก่อนสิ ฉันจะไปส่ง”
เขาก้มมองนาฬิกา อีกตั้งราวชั่วโมงกว่าจถึงเวลานัด
“’โทษครับ ถ้าคุณยังไม่รู้ ผมไม่รับแขกนอกเวลางาน คุณไปรอที่คลับน่าจะดีกว่า”
ว่าจบก็เดินหนีมาอย่างเร็ว เขาไม่ทำโอที และ ‘ไม่’ ก็คือ ‘ไม่อย่างเด็ดขาด’ ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน ถ้าไม่อยู่ในเวลางาน ก็อย่าหวังว่าเขาจะหารายได้พิเศษลับหลังธวัตร นั่นเป็นอีกหนึ่งข้อตกลงในสัญญาซึ่งให้ประโยชน์กับทั้งเขาและฝ่ายนั้น ไม่มียกเว้นแม้ว่าคนที่กำลังคุยกับเขาคือ ‘ว่าที่หุ้นส่วนคนสำคัญ’ ก็ตาม
เขาไม่อยากเอาเรื่องงาน กับชีวิตความเป็นอยู่มาข้องแวะกัน ทุกวันนี้มันก็แย่พอแล้ว
เขาเดินปะปนกับกระแสมวลชนคับคั่งที่มะรุมมะตุ้มอยู่หน้าร้านเครื่องประดับเล็กๆ เบียดเสียดกับคนพวกนั้นจนแน่ใจว่าศานนท์ทำตามคำแนะนำถึงค่อยแทรกตัวหนีออกมา กว่าจะรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่เดินลิ่วๆ เลี้ยวตรงมุมถนนแล้วเห็นรถคันเดิมจอดอยู่ข้างทาง ที่ยิ่งกว่าคือ คราวนี้เจ้าของรถเปิดประตูลงมาดักรอด้วย
“วันนี้เธอดูรีบๆ นะ”
ตุลย์ยืนนิ่ง คร้านจะยิ้ม “ผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ ว่าไม่รับ ‘ลูกค้า’ นอกเวลางาน”
นั่นรวมถึงจะไม่มีการวางตัว และคำพูดคำจาที่ต้องระมัดระวังตลอดเวลาเหมือนตอนรับแขก เดิมทีเขาไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจใครอยู่แล้ว จะให้สวมหน้ากากตลอดเวลาก็ดูน่าอึดอัดเกินไปหน่อย
ขอแค่ไม่กระโตกกระตากมากไปจนเสียเรื่องก็นับว่าใช้ได้ล่ะนะ
คงจับความเปลี่ยนแปลงได้ หนุ่มถึงหัวเราะ “แล้วถ้าฉันไม่ได้มาในฐานะ ‘ลูกค้า’ แต่เป็น ‘เพื่อน’ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“อย่าเลยครับ อีกเดี๋ยวผมก็กลับ เอาไว้เจอกันที่คลับเถอะ”
“ทางเดียวกัน งั้นไปพร้อมฉันสิ”
“ไม่ล่ะครับ ผมเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันยินดีไปส่ง”
ยังไงก็จะตื้อเขาจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการสินะ?
“.......”
ตุลย์เลือกจะเงียบ เมื่อการต่อปากต่อคำระหว่างเขากับหนุ่มใหญ่ เริ่มทำให้หลายคนหันมามองอย่างสนอกสนใจ
ปกติเขาไม่นิยมมีพันธะกับลูกค้าก็จริง แต่พอรู้ว่าเถียงไปไม่ชนะก็ล้มเลิกความคิดที่สิ้นเปลืองน้ำลายโดยใช้เหตุ หยักหน้าอือออไปกับฝ่ายนั้น
เมื่อเขาเลิกปฏิเสธ ศานนท์ก็ถามอย่างใจดี
“ทานอะไรหรือยัง?”
เขาส่ายหน้า
“มาสิ ฉันจะพาไปหาอะไรทาน”
เขาส่ายหน้าอีกครั้ง
แบบนี้มันชักจะเกินขอบเขตไปหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นไปทานเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
เขาส่ายหน้ารอบที่สาม “คุณทานเถอะ”
คราวนี้เป็นศานนท์ที่หัวเราะ ไม่มีท่าทีอารมณ์เสียสักนิด “เธอนี่หัวดื้อใช้ได้นะ”
“......” ตุลย์หน้ากระตุก
จะถือว่าเป็นคำชมจากลุงที่อายุห่างจากเขายี่สิบปีแล้วกัน
“ถ้าอย่างงั้น... ถือซะว่าไปทานกับฉันในฐานะ ‘เพื่อนคุยที่ดี’ คนหนึ่งเป็นยังไง”
บอกตามตรง คำว่า ‘เพื่อนคุยที่ดี’ ฟังดูลื่นหูไม่หยอก ชนิดที่สามารถทำให้เขาเอนเอียงไปตามเจตนารมณ์ของหนุ่มใหญ่ได้ทั้งที่รู้ว่า อีกฝ่ายจงใจใช้วาทะศิลป์เพียงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ตาม
เขาลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายก็พยักหน้า
“อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
ถูกถามเจาะจง เขาก็คร้านจะซ่อนความต้องการ “สเต็ก... ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”
ศานนท์คราง ‘อืม’ ในคอคล้ายไม่ถือสา หนุ่มใหญ่เดินนำเข้าไปในร้านอาหารระดับสูงแห่งหนึ่ง ดูราคาแพงและหรูหราชนิดที่ชาตินี้ไม่คิดจะย่างเท้าเข้าเหยียบ แค่ยื่นบัตรให้พนักงานต้อนรับ เธอก็เดินนำไปที่โต๊ะอย่างไม่อิดออด
เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบ ‘ภัตตาคาร’ ในฐานะ ‘ลูกค้าคนหนึ่ง’ ไม่ใช่คู่ขาที่บังเอิญตกถังข้าวสารชั่วคืนเดียว มันชวนให้รู้สึกดีไม่หยอก ทว่าก็ขัดกับหลักการที่เขายึดถือมาโดยตลอด
เห็นเขานิ่ง มือหน้าก็แตะเบาๆ ที่หลังคล้ายให้เดินมาด้วยกัน “มาเถอะ ทานอาหารเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
กับลูกค้า ไม่ควรมีพันธะ เยื่อใย หรือความสัมพันธ์อื่นใดต่อกันนอกเหนือจาก ‘เซ็กส์’ และ ‘เงิน’
แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะยอมหย่อนยานบ้างแล้วกัน...
-----------------------------
เหมือนว่าเขาจะคิดผิดมหันต์ที่ปล่อยตัวเองเล่นตามเกมของศานนท์ วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งจดเล็กเชอร์อยู่ในคลาส เสียงสั่นในกระเป๋าก็เตือนให้เขารับโทรศัพท์
[ฮัลโหล เย็นนี้ว่างไหม ไปทานข้าวกับฉันหน่อย]
“.......”
ฟังจบก็กดตัดสายทิ้งด้วยความสยดสยอง ภาวนาให้ปลายสายโทรผิด
วันต่อมาขณะที่เขากำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปไนท์คลับ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
[ตุลย์ พรุ่งนี้ว่างไหม ไปดูหนังเป็นเพื่อนฉันหน่อย]
เขานิ่งไปครู่ “’โทษครับ ผมไม่ว่าง” แล้วตัดสายทันที
ศานนท์ไปค้นเบอร์เขามาจากไหน!?
อีกสองวันต่อมา ตอนที่กำลังเดินออกจากมหาลัย จู่ๆ ก็ซีดานสีดำก็เบรกดักหน้า พอเจ้าของรถชะโงกผ่านกระจกที่ลดต่ำ เขาก็ถอนหายใจ
“ตุลย์สุดสัปดาห์นี้ว่างไหม ไป ‘ช็อปปิ้ง’ กับฉันหน่อย”
“......”
เป็นคนแก่ขี้เหงาหรือไง ถึงได้สรรหาเรื่องชวนเขาไปโน้นนี่ได้ทุกวี่ทุกวัน
พอถูกรบเร้าหนักๆ ติดต่อกันหลายวัน หาข้ออ้างเลี่ยงไปก็หลายอย่าง สุดท้ายเขาก็เหนื่อยจะต่อล้อต่อเถียง ปล่อยให้หนุ่มใหญ่พาไปโน้นมานี่ตามแต่ใจเจ้าตัว ในเมื่อไม่มี ‘เซ็กส์’ ไม่มี ‘เงิน’ แลกเปลี่ยน ก็ไม่นับว่าเป็นการทำงานนอกเวลา อีกอย่างเขาไม่เสียอะไร ติดจะได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ
สุดสัปดาห์ หนุ่มใหญ่รับเขาออกมาแถวย่านการค้าเก่าแก่แห่งหนึ่ง โดยเจ้าตัวอ้างว่า ‘มาช็อปปิ้ง’ สองข้างตึกแถวบนถนนเส้นนี้เก่าแก่มีอายุ ดูราวกับมีมนตร์ขลังเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันวาน เดิมทีได้แต่อุดอู้อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ไม่ก็ไนท์คลับ พอได้มาเหยียบสถานที่ใหม่ๆ ตุลย์ก็สนอกสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นพิเศษ .
..สนใจเสียจนคนข้างๆ กลายเป็นหมัน
นอกเวลางาน เขาไม่ต้องคอยบริการ เอาอกเอาใจ หรือหาหัวเรื่องชวนศานนท์พูดคุย เขาแค่เดินตามหนุ่มใหญ่เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ระหว่างทางถ้าเจอหัวข้อที่สนใจตรงกันก็แค่ซักถามจนกระทั่งหมดข้อสงสัยและเลิกไปเอง ฝ่ายศานนท์เห็นว่าเขาไม่เข้ามาเกาแกะ หนุ่มใหญ่ก็เดินดูของสะสมตามประสา ไม่ได้เข้ามาดูแลใกล้ชิด
เรียกว่าต่างคนต่างเดินก็ไม่ผิด
เขาตามศานนท์เข้ามาในร้านค้าของสะสมร้านหนึ่ง สะดุดตาเข้ากับเหยือกก้นกลมสีทองเหลืองเก่าๆ ในตู้โชว์ สีของมันซีดจางเป็นหมอก มองมุมไหนก็หมอง แถมด้านในด้ามจับรูปแพะมีเครายังเขลอะสนิม เขาย่อเข่าลงอีกนิดเพื่อมองให้ชัด
ดูยังไงก็ไม่มีตรงไหนควรค่าแก่การเก็บสะสมสักนิด
“มีคนซื้อของแบบนี้ไปตั้งโชว์ด้วยหรือไง...”
พึมพำคนเดียว ไม่ทันสังเกตเงาหนุ่มใหญ่ที่พาดทับจากด้านหลัง จนกระทั่งฝ่ายนั้นหลุดหัวเราะ
“นี่เป็นเหยือกที่พวกเชื้อพระวงศ์ใช้ในสมัยโรมัน ราคาแพงเอาเรื่องเชียวล่ะ”
“แต่มันหมองหมดแล้ว ไม่เห็นน่าสะสมตรงไหน”
“ศิลปะขึ้นอยู่กับมุมมองของคนสะสม ภาพวาดบางภาพเหมือนจิตกรทำสีหกใส่ แต่ประมูลได้หลักล้านก็มีถมไป”
“ก็จริงของคุณ” เขาไหวไหล่
น้ำหน้าอย่างเขาไม่มีปัญญาซื้อของที่ไม่สวยแถมยังแพงหูฉี่พวกนี้หรอก แล้วจะทุกข์ร้อนแทบเงินในกระเป๋าคนอื่นไปทำไม
หนุ่มใหญ่คุยกับเจ้าของร้านอยู่ครู่ สักพักก็เปิดตู้โชว์ หยิบเหรียญทองแดงเก่าๆ รูปร่างแปลกๆ ออกมาส่องดู ฝ่ายเขาที่ไม่ค่อยสนใจงานอดิเรกเก็บของสะสมแบบคนแก่เท่าไหร่ เลยเดินดูของสะสมแปลกๆ รอ กระทั่งหนุ่มใหญ่จ่ายเงิน ถือถุงกระดาษเดินมานั่นแหละ ถึงได้เวลาออกจากร้านไปดูสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ต่อ
“จะเข้าไปด้วยกันไหม ถ้าเธอเบื่อ จะเดินดูอะไรรอข้างนอกก็ได้” ศานนท์หยุดถามเขา หน้าร้านที่เต็มไปด้วยโพสเตอร์วงดนตรีเก่าหลายยุคสมัย
ตุลย์ส่ายหน้า ด้านนอกร้อนอยู่เอาการ ขืนเขายืนต้องยืนรอตั้งสิบยี่สิบนาทีคงได้หลอมละลายกลายเป็นน้ำของจริง
เขาตามศานนท์เข้าไป ด้านในของร้านตกแต่งด้วยของสะสมเกี่ยวกับวงดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแผ่นภาพ อัลบั้ม แผ่นเสียงเก่า หรือกระทั่งเสื้อยืดสกรีนสัญลักษณ์ประจำวง พอหนุ่มใหญ่ทักทายเจ้าของร้านเป็นพิธี ฝ่ายนั้นก็กุลีกุจอเข้ามาให้ช่วยเหลือ
“อ๋อ อัลบั้มที่คุณศานนท์สั่งเอาไว้เพิ่งมาถึงเมื่อวาน”
ลุงเจ้าของร้านหันไปค้นอะไรในกล่องพัสดุด้านหลัง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกล่องใส่ซีดีสามสี่กล่อง
“อัลบั้มช่วงยุคเก้าศูนย์ ไล่มาจนถึงปีสองพัน”
ศานนท์ไม่รีรอ พอได้ในสิ่งที่ต้องการหนุ่มใหญ่ก็จ่ายเงินทันที เจ้าของร้านเก็บกล่องซีดีใส่ถุง ยื่นให้ลูกค้าก็เป็นอันเสร็จการรายซื้อขาย
บังเอิญตาดีเกินเหตุ ตุลย์เหลือบไปเห็นปกซีดีเข้าก็ตาโต เมื่อพบว่าเป็นรูปคู่ของหญิงวัยรุ่นสองคน คนหนึ่งผมบลอน ส่วนอีกคนผมดำ แถมพวกเธอยังกอดกันกลม
“ทำไมล่ะ ฉันชอบพวกเธอมันแปลกตรงไหน? สมัยหนุ่มๆ ก็ต้องชอบวงสาวๆ เป็นปกติ เด็กรุ่นเธอน่าจะเข้าใจดีกว่าฉัน”
“เปล่า... แค่คิดว่าคนที่ชอบสะสมของเก่าอย่างคุณน่าจะชอบอะไรที่...”
เขาพยายามหาคำที่สุภาพกว่า ‘โบราณคร่ำครึ’
“เอ่อ ดูเก่าแก่กว่านี้สักหน่อย”
หนุ่มใหญ่หลุดหัวเราะ “จะบอกว่าฉันแก่เกินไปสำหรับของพวกนี้ล่ะสิ”
“...อันนั้นคุณพูดเองนะ”
พวกเขาเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้จนกระทั่งโพล้เพล้ ศานนท์ก็อาสาไปส่งเขาที่อพาร์ทเม้นท์ พอขึ้นมาถึงชั้นสี่ ตุลน์ก็ไขกุญแจห้อง
“คุณจะเข้ามาก่อนไหม”
หนุ่มใหญ่พยักหน้า ทว่าตามเข้ามาเพียงหน้าประตู “ฉันอยู่ไม่นาน มีธุระนิดหน่อย”
งั้นก็แปลว่าคิวสองทุ่มของวันนี้ที่จองในชื่ออีกฝ่ายกลายเป็นชั่วโมงว่าง?
เห็นเขาทำหน้าแปลกใจระคนสงสัย ศานนท์ไขให้กระจ่าง “วางใจเถอะ ฉันไม่ได้โทรไปยกเลิกกับธวัตร แค่คืนนี้คงไม่ได้มาอยู่กับเธอ”
“ถ้าคุณไม่ว่าง ยกเลิกไปก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินพร่ำเพรือถ้าไม่มา”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “แบบนี้น่าจะดีกับเธอมากกว่า”
“.....”
“จะว่าไปบ้านเธอก็กว้างใช้ได้นะ” ศานนท์กวาดตาไปรอบๆ “อยู่ที่นี่คงมีความสุขดี”
บ้าน? ช่างฟังราวดูราวกับมุกตลกร้ายเสียจริง
“ไม่ใช่ของผมหรอก...” ตุลย์ยิ้มบางๆ ไม่อธิบายต่อ
ไม่บ่อยที่มีคนถามถึงความเป็นอยู่ของเขา ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างรู้ดีว่า เหตุผลที่คนๆ หนึ่งเลือกจะเป็น ‘เด็กขาย’ก็เพราะต้องการหาเงินทางลัด หรือรายได้แบบเร่งด่วนทันใจ ดังนั้นเรื่องราว ‘เบื้องหลัง’ อะไรนั่น ไม่จำเป็นต้องสนใจสักนิด ในเมื่อข้อแลกเปลี่ยนมันก็ ‘แฟร์’ พอสำหรับทั้งสองฝ่าย
“ขอบคุณ” เขาแค่รู้สึกอย่างพูดคำนั้น... “ที่มาส่งผม”
“ไม่เป็นไร เอาไว้ขอบคุณฉันด้วยการอยู่เป็นเพื่อนคราวหน้าเถอะ”
หนุ่มใหญ่ยิ้มส่งท้าย ก่อนฝ่ายนั้นจะขอตัวออกไปทำธุระตามที่อ้าง ส่วนเขาก็ได้เวลากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เขาต้องตะเกียกตะกายให้พ้นไปแต่ละวัน ไหนจะปัญหาอีกมากมายต้องขบคิด ซึ่งรวมถึงข้อตกลงใหม่ที่เพิ่งทำไว้กับธวัตรด้วย
ช่วงหลังมานี้ ศานนท์ให้ความสนใจกับการมีอยู่ของเขามากจนน่ากลัว แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า นี่ไม่ใช่ความสนใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราว?
จู่ๆ ก็ปิ๊งไอเดีย โชคดีที่จำหน้าผู้หญิงบนปกอัลบั้มได้ แค่เปิดโน๊ตบุ๊ค ค้นหาไม่นานก็รู้ว่าพวกเธอเป็นใคร เขาเริ่มค้นควาข้อมูล ไล่ดูตั้งแต่ชีวประวัติ รูปถ่าย ชื่ออัลบั้ม ไปจนถึงการนั่งฟังแต่ละเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ
‘อายุ’ คือช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขากับศานนท์ เรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ เขาอาจเข้าไม่ถึง กลับกัน เรื่องที่เขาชอบ ฝ่ายนั้นอาจไม่เข้าใจ และถ้าการสละเวลาสักสองสามชั่วโมงเพื่อศึกษาในสิ่งที่ศานนท์ชอบเป็นประโยชน์ เขาก็พร้อมจะลอง แม้ว่างานอดิเรกของฝ่ายนั้นน่าง่วงนอนมากๆ ก็ตาม...
-----------------
ขออนุญาติอัพเป็น .1 .2 เนอะ ไม่งั้นคงอีกนานกว่าจะได้ลง 70% แล้วค่ะ มาต่ออีกนิดก็จบตอน แต่เมลล่าหายไปเป็นสัปดาห์แล้ว กลัวหลายคนลืม อิอิ
ส่องความเห็นแล้วว ขอบคุณที่ให้ความสนใจค่ะ 555+ เก็บทุกความเห็นไว้เป็นข้อมูลเนอะ อิอิ
เมลล่าเขียนช้าจริงค่ะ ถ้าไม่ชอบซีนไหนจะแก้ใหม่จนกว่าจะชอบ ก็เลยช้า 55+
สุดท้ายขอบคุณทุกเม้นท์ค่ะ #รักนักอ่านเสมอ