[ 19 ]
เช้านั้นเพลิงและรเณศตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปช่วยป้าอนงค์ทำอาหารไปเลี้ยงพระ ป้าอนงค์กับป้าสมัยพากันเอาด้ายสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้เพลิงพร้อมกับให้ศีลให้พรกันยืดยาว ข้างๆ กันนั้นเจ้าเปลวอุ้มแก้มใสที่วันนี้ตื่นมาอารมณ์ดีแต่เช้ามายืนยิ้มอยู่
พอสายๆ หน่อยพวกเราก็พากันไปทำบุญถวายเพลพระที่วัดใกล้บ้าน หลังจากทำบุญเสร็จแล้วเพลิงก็ถือที่กรวดน้ำไปนั่งยองๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะพึมพำท่องบทกรวดน้ำ ท่าทางสงบและสำรวมนั่นน่ามองไม่น้อย รเณศมองฝ่ายนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะผละตามป้าอนงค์ซึ่งถือโอกาสชวนเขาไปทำความสะอาดธาตุอัฐิของตาซึ่งตั้งตระหง่านอยู่หลังกำแพงวัดฝั่งหนึ่ง
“บอกตาเขาสิว่าแกมาเยี่ยม”
ป้าอนงค์ยื่นธูปและไฟแช็คให้เขาจุด
“เสียดายถ้าตาแกยังอยู่คงดีใจไม่น้อยที่มีหลานโตขนาดนี้แล้ว”
รเณศจ้องมองภาพสีขาวดำที่ติดอยู่หน้าธาตุแล้วยิ้มน้อยๆ
“พ่อ”
ป้าอนงค์ลูบไล้ที่ภาพของตา
“หลานมาเยี่ยมนะ ปกป้องคุ้มครองหลานด้วยนะพ่อ”
“ตาครับ”
รเณศเสียงสั่น
“ผมมาช้าไป ตาอย่าโกรธผมนะ ให้อภัยในความไม่รู้ของผมด้วย”
“...”
“ตาครับ ตาให้อภัยแม่กับพ่อผมด้วยนะ ผมเกิดจากความรักของพ่อกับแม่ ถึงแม้จะเป็นความรักที่ตาไม่เห็นด้วย แต่ผมรู้ดีว่าท่านทั้งสองเสียใจไม่น้อยที่ทำให้ตาเสียใจในวันนั้น ถ้าหากพ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ เขาคงหาโอกาสพาผมกลับมาหาตาแน่ๆ”
ป้าอนงค์แอบปาดน้ำตา
“แต่เวลาของคนเรามันสั้นนัก ไม่รู้เลยว่าโชคชะตาจะนำพาเราไปเจอเรื่องเลวร้ายในวันใด”
“...”
“ป่านนี้ตาคงจะได้เจอพ่อกับแม่ผมแล้ว ตาอย่าดุมากนักนะครับ อย่าทะเลาะกันด้วย ผมห่วงนะรู้มั้ย”
ผู้สูงวัยยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะกอดหลานเสียแน่น
“ตาแกน่ะหัวดื้อ ป่านนี้คงทะเลาะกับพ่อแม่แกวุ่นวายแน่แล้ว”
รเณศเผลอหัวเราะออกมา หลังจากนั้นเขากับป้าอนงค์ช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังสุดท้ายของตาจนสะอาด ก่อนกลับป้าอนงค์เลยผละออกไปเข้าห้องน้ำระหว่างนั้นร่างสูงใหญ่ของเพลิงเดินมาทรุดตัวนั่งใกล้ๆ
“สวัสดีครับคุณตา”
เพลิงยกมือไหว้คนในภาพราวกับคุ้นเคยกันดี
“เห็นป้าอนงค์เล่าว่าเวลาว่างๆ คุณชอบมาโขกหมากรุกกับคุณตาบ่อยๆเหรอครับ”
คนถูกถามขยับรอยยิ้มกว้าง
“ผมนี่ศิษย์เอกของคุณตาเลยล่ะ”
“ขี้โม้แล้ว”
รเณศทำหน้าไม่เชื่อ
“ไม่เชื่อไปถามป้าอนงค์ดูก็ได้”
เพลิงยักไหล่ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบธูปมาจุดไฟ ชายหนุ่มพึมพำอะไรบางอย่างแล้วเอาธูปไปปักในกระบะทรายหน้ารูป
“คุณพูดอะไรเหรอ”
ร่างสูงไม่ตอบ
“ขอพรคุณตาเหรอ”
“เปล่า”
“แล้ว?”
“มาฝากเนื้อฝากตัว”
ความร้อนพากันวิ่งไปกระจุกตัวอยู่ที่แก้มทั้งสองข้างของรเณศในทันที
“ไม่ถามเหรอว่าฝากตัวเรื่องอะไร”
“ไม่เห็นอยากรู้เลย”
รเณศทำเสียงค่อยแล้วพาลนึกถึงเหตุการณ์ที่ ‘ทำร่วมกัน’ เขายิ่งทำหน้าไม่ถูก ให้ตายเถอะ ในเขตวัดแท้ๆ เขาดันคิดเรื่องสัปดนไม่เข้าท่า ช่างน่าละอายเสียจริง
“ผมมาฝากตัวเป็นหลานเขย”
“คุณ”
เภสัชกรหนุ่มทำเสียงงุ้งงิ้งด้วยความเขินอาย
“หน้าคุณแดง”
“อากาศมันร้อน”
“ร้อนหรือเขิน”
“คุณ...”
รเณศทำหน้าง้ำ
“ต่อหน้าคุณตาแท้ๆ”
“ก็ต่อหน้าผู้ใหญ่น่ะสิถึงได้พูด คบกับลูกหลานเขาแล้วจะทำเล่นๆ ได้ยังไง ผมอยากให้เกียรติถึงได้มากราบท่าน เพราะคุณสำคัญผมถึงอยากให้คุณตาคุณได้รับรู้นะ”
คนเมืองเผลอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
“คุณไม่อายเหรอที่คบผู้ชาย”
รเณศหลุบตามองพื้นเพราะรู้ดีว่าเพลิงเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ชายหนุ่มไม่มีประวัติหรือรสนิยมแบบเดียวกับเขามาก่อน ต่างจากรเณศที่รู้ตัวเองและมีรสนิยมแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
“รเณศ”
“ครับ”
“คุณอายมั้ยที่คนๆ เป็นผม”
เพลิงจับมือรเณศเอาไว้ตอนที่พากันเดินออกมารอป้าอนงค์ที่ใต้ต้นไม้หน้าศาลาวัด คนถูกถามส่ายหน้าแรงๆ
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ไม่มีเกียรติยศหรือชื่อเสียง ไม่มีตำแหน่งให้กล่าวขวัญ ห้องทำงานผมอยู่ในป่าใหญ่ไม่ได้ใส่ชุดโก้หรู ซ้ำเนื้อตัวผมยังสกปรกมอมแมม ไม่มีสิ่งไหนที่ดูดีในสายตาคนทั่วไป คุณอายมั้ย”
“ผมไม่เคยอาย”
“นั่นสิ” เพลิงยิ้มน้อยๆ “แล้วผมจะอายในสิ่งที่คุณถามทำไม”
“คุณ”
รเณศยิ้มกว้างก่อนจะกระชับมืออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
“อ๊ะ”
คนเมืองสะดุ้งโหยงตอนที่ป้าอนงค์เดินมาทางนี้พอดี รเณศรีบสะบัดมือออกจากการเกาะกุมแต่เพลิงนี่สิดันกุมมือเอาไว้เขาเสียแน่น แน่นอนว่าป้าอนงค์มองเห็นทุกอย่าง แต่แกทำเฉยก่อนจะยิ้มให้เขาน้อยๆ แต่สีหน้ารู้ทันนั่นทำให้รเณศร้อนผ่าวไปทั้งตัว
☘☘☘☘
“คืนนี้จะค้างที่บ้านพักผู้ช่วยมั้ยล่ะเรา”
คำถามจากป้าอนงค์นั้นทำเอาคนมีชนักติดหลังนั่งกระสับกระส่าย คนเมืองค่อยคลานเข่าขยับไปใกล้ผู้สูงวัยซึ่งนั่งเลือกเมล็ดพันธ์สำหรับการเพาะปลูกอยู่
“ป้าครับ”
“ทำหน้าอะไรแบบนั้นล่ะเจ้าเนตร”
“เมื่อคืน...”
รเณศเผลอกัดริมฝีปาก
“ทำไมหรือกับข้าวที่ทำไปให้ผู้ช่วยบูดหรือไง”
“เปล่าครับ”
“แล้วทำหน้าเครียดแบบนั้นทำไมล่ะ ทำหน้าไม่สดใสเหมือนคนมีความรักเลย”
“ป้า”
รเณศทำหน้าไม่ถูกขณะที่แกเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองเขายิ้มๆ
“เมื่อเช้าผู้ช่วยเขามากราบขอพรวันเกิด”
คนเมืองนิ่งฟัง
“น่าสงสารแกนะ วันเกิดทั้งทีก็อยู่ไกลบ้าน พ่อแม่รึก็เสียกันไปหมดแล้ว เพราะอย่างนี้ป้าถึงเอ็นดูแก”
“...”
“แกไม่มีญาติอยู่ใกล้ให้อุ่นใจป้าก็จะเป็นญาติให้” ป้าอนงค์ยิ้มน้อยๆ “แกมาสารภาพกับป้าว่าแกน่ะอยากมาเป็นลูกเป็นหลานแท้ๆ”
รเณศแทบจะสะดุดลมหายใจ
“ผู้ช่วยเขาพึงใจหลานชายป้า เขาเลยมาบอกเพราะไม่อยากทำอะไรลับหลัง เขาอยากคบหาในสายตาผู้ใหญ่ น้อยคนนะที่จะทำแบบนี้”
“ป้า”
“เขินแล้วมากอดทำไมเจ้าเด็กคนนี้”
รเณศไม่ตอบอะไรนอกจากกอดเอวผู้สูงวัยแน่น
“แล้วยังไงกันคืนนี้จะกลับมั้ย ผู้ช่วยเขามาขออนุญาตพาแกไปกินข้าวกับลูกน้องเขา”
“...ครับ”
“พูดอะไรงึมๆ งำๆ”
“กลับดึกหรืออาจจะไม่กลับครับ”
“ก็เท่านั้นแหละ”
ป้าอนงค์หัวเราะร่วนโดยมีป้าสมัยที่อุ้มแก้มใสอยู่หัวเราะผสมโรงไปด้วย
.
.
[สุขสันต์วันเกิดนะลูกเพลิง]
เพลิงยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงจากทางไกล ป้าวดีอวยพรเขาอยู่เสียนาน น้ำเสียงอ่อนหวานนั่นทำให้เขารู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน
[วันเกิดปีนี้ขอให้เพลิงมีความสุขมากๆ นะลูก ป้าคิดถึงและเป็นห่วงเพลิงมากนะ รอคุณลุงท่านว่างก่อนป้าจะไปหาเพลิงหลายๆ วันให้หายคิดถึงเลย]
“ขอบคุณมากครับป้า แล้วป้ากับลุงทัศน์สบายดีนะครับ”
[สบายดีเจ้าเพลิง คิดถึงแกว่ะ ฝีมือหมากล้อมเจ้าธามสู้เพลิงไม่ได้สักกระฝีก เมื่อไหร่จะแวะมาเล่นหมากล้อมกับลุงสักทีล่ะลูก]
เพลิงยิ้มกว้างได้ยินเสียงธามโอดครวญมาตามสายที่ถูกเหน็บเรื่องฝีมือการเล่นหมากล้อม
[ให้ตายเถอะ แกจะทำให้ฉันเป็นลูกอิจฉาไอ้เพลิง]
เสียงธามเล็ดลอดเข้ามา
“พี่น่าจะรู้ตัวนานแล้วนะ”
[ไอ้น้องเวรนี่]
เสียงขลุกขลักจากปลายสายก่อนที่จะได้ยินเสียงธามชัดเจนขึ้น เพลิงหัวเราะน้อยๆ
“สบายดีนะพี่”
[เออ...ยังอยู่ฝึกปรือฝีมือเล่มหมากล้อมกับลุงแกไปได้อีกนาน]
ธามทำเสียงฮึกเฮิม
“ผมว่าเกิดใหม่ยังจะง่ายกว่า”
[ไอ้น้องเวร]
เพลิงยิ้มมุมปากนึกถึงใบหน้าลูกพี่ลูกน้องออกเลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำหน้าแบบไหน ธามเป็นอารมณ์ดีและคนขี้เล่นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
“ของขวัญวันเกิดปีนี้ของผมล่ะครับ”
[แกยังจะกล้าทวงอีกรึไง]
ฝ่ายนั้นทำเสียงระอาไม่จริงจังนัก
“นิดหน่อยหน่าพี่”
[เงินสดโอนเข้าบัญชีแกแล้ว อยากได้อะไรก็ไปซื้อเอาเอง]
เพลิงส่ายหัวเพราะธามเป็นแบบนี้ประจำ หมอนั่นไม่ใช่คนละเอียดอ่อนเอาใจใครหรอก ตั้งแต่ทำงานหาเงินเองได้ ธามก็ให้ของขวัญเขาแบบนี้ทุกปี จนหลังๆ เพลิงเคยเอ่ยปรามไม่อยากให้อีกฝ่ายสิ้นเปลือง แต่หมอนั่นดันตอบมาว่า
‘ฉันรวย จบนะ’
หัวแข็งไม่มีใครเกิน
[เมื่อเช้านี้พ่อกับแม่ก็ไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัดด้วย เขาบ่นกันตลอดว่าอยากให้แกกลับมาอยู่ด้วยกัน อยู่ทางโน้นแกก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ฉันเห็นข่าวไฟไหม้ป่านั่นแล้ว พ่อกับฉันพยายามปิดแม่อยู่ เพราะไม่อยากให้แม่ห่วงแกจนไม่เป็นอันทำอะไร]
“ครับ”
เพลิงยิ้มกว้างเมื่อธามทำเสียงจริงจัง
[เออไอ้เพลิง แกอยากได้ของขวัญวันเกิดก้อนโตมั้ยวะ]
“อะไรวะพี่”
[ย้ายเข้ากรุงเทพฯ สิ รับรองแม่ฉันเซ็นเช็คให้เป็นของขวัญแน่ๆ]
“นี่หลอกล่อกันด้วยเงินเลยเหรอเนี่ย”
ธามส่งเสียงหัวเราะใหญ่ ขณะที่เพลิงส่ายหัวไปมา
“เงินซื้อผมไม่ได้หรอกครับ”
เพลิงแกล้งทำเสียงเข้ม
“ถ้ามันไม่มากพอ”
ปลายสายก่นเสียงดังลั่นเคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะจนเขาขำตาม ก่อนวางสายทุกคนสลับกันอวยพรวันเกิดให้เขาอีกครั้ง เสียงจากคนที่เพลิงเรียกว่า ‘ครอบครัว’ ได้เต็มปากฟังแล้วรู้สึกดีชะมัด อย่างน้อยวันเกิดที่ไร้เงาบุพการีในพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญทุกรูปแบบก็ยังมีความห่วงใยจาก ‘ครอบครัว’
.
.
บ่ายวันนั้นที่มุมหนึ่งของเมืองหลวง ธามกำลังมุ่นหัวคิ้วอย่างประหลาดใจหลังจากทานข้าวกับลูกค้าเสร็จแล้ว ระหว่างนั้นภาพใครบางคนที่ทำลับๆ ล่อๆ เดินตามผู้ชายคนหนึ่งนั้นตกอยู่ในสายตาเขาพอดี ปกติแล้วธามไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นนักหรอก อะไรที่ไม่ใช่ธุระกงการเขามักปล่อยผ่านไม่ใส่ใจ แต่บังเอิญบุคคลหนึ่งในสองคนนี่สิที่ดันเป็นที่สนใจซ้ำยังเป็นที่เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี
ธามในชุดสูทสีกรมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนลงแล้วออกเดินอย่างช้าๆเพื่อสังเกตเหตุการณ์ตรงหน้า เขาถอดแว่นกันแดดมาเสียบไว้ที่คอเสื้อก่อนจะหรี่ตาจับผิดพี่ชายต่างมารดาของเพลิงซึ่งกำลังทำตัวเป็นผู้ร้ายสะกดรอยตามร่างบุรุษท่าทางตุ้งติ้งซึ่งกำลังแวะไปส่งพัสดุที่สำนักงานไปรษณีย์สาขาย่อยในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
เขาเดินตามไปสักระยะหนึ่งจนแน่ใจว่าไอ้หมอนั่นกำลังสะกดรอยตามคนอื่นแน่ชัดแล้ว ธามจึงแยกไปอีกทาง แล้วหาจังหวะที่บังเอิญมีคนเดินตัดไอ้หมอนั่นจนคลาดกับร่างตุ้งติ้ง
ชินกรสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของใบหน้าคมคายโผล่มาเบื้องหน้าของเขา
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ”
“คะ ครับ”
ผู้ชายหัวใจสาวอ้าปากค้างเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าของคำพูดนั้นชัดๆ ชินกรนึกเก้อเขินเมื่อสบสายตาของธามตรงๆ
“คุณมีธุระกับผมงั้นหรือครับ”
ธามยิ้มมุมปากก่อนจะเอียงใบหน้าเล็กน้อย
“ไม่รู้คุณจะเชื่อรึเปล่า” ชายหน้าแสร้งถอนหายใจ “มีคนสะกดรอยตามคุณอยู่”
ชินกรยืนอึ้ง ความรู้สึกเก้อเขินหายตรงหน้าหายวับไปตา เขาทำตาโตก่อนจะมองซ้ายขวาทำให้ธาม ต้องดันหลังให้อีกฝ่ายหลบไปยังหลังต้นคริสต์มาสจำลองต้นใหญ่
“ใครสะกดรอยตามผม”
ธามไม่ตอบแต่พยักพเยิดไปด้านหลัง ชินกรมองลอดต้นคริสต์มาสไปจนเห็นใครคนหนึ่งยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงทางแยกกลางห้างนั่น คนถูกตามทำหน้าซีดก่อนจะอุทานชื่อชายคนนั้นออกมา
“พี่เต”
ชินกรใจหายวาบ
“ฉิบหายแล้ว”
“เขาตามคุณมาสักระยะแล้ว” ธามโคลงศีรษะไปมา “ถ้าคุณรู้สึกว่าถูกคุกคาม ผมแนะนำให้ไปแจ้งความ”
ชินกรส่ายหน้าหวือ
“เขาไม่ได้ตามผมหรอก”
ธามมุ่นหัวคิ้ว เมื่อเห็นแววตาร้อนรนของคนตรงหน้า
“แต่เขากำลังตามหาเพื่อนของผมอยู่ต่างหาก”
ชินกรทำหน้ายุ่งก่อนจะหันมาขอบคุณธามแล้วอาศัยจังหวะที่เตวิชเดินไปทางอื่นวิ่งหนีไปอีกทาง ธามไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่หรอก แต่จังหวะที่เตวิชหันมาแล้วเห็นแผ่นหลังของชินกรไวๆ นั่นทำให้คนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นโผล่ไปยืนขวางทางเตวิชจนทำให้ตามชินกรไปไม่ทัน
“โทษที”
ธามทำทีแกล้งขอโทษที่เดินมาชนไหล่อีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจทั้งที่เขาตั้งใจ เตวิชทำหน้ามุ่ยก่อนจะสบถในลำคอแล้วมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ไม่มีตาหรือไงวะ”
“ตาน่ะมี แต่มันไม่เห็นไงว่ามีคนเดินมาแถวนี้ ต้องขอโทษคุณด้วยคุณเตวิช”
“รู้จักกันงั้นเหรอ”
ธามโคลงศีรษะก่อนจะยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย เพราะนอกจากเดินชนแล้ว เขาดันทำกาแฟหกใส่เสื้ออีกฝ่ายเต็มๆ
“เพื่อเป็นการขอโทษที่ทำสูทคุณเปื้อน ติดต่อให้ผมส่งสูทคุณไปซักรีดได้เลย ผมมีร้านประจำ”
“ธาม อัคราวัตร”
เตวิชเอ่ยชื่อที่ปรากฏในนามบัตรก่อนจะทำตาเข้มจ้องมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางยียวน
“ลูกพี่ลูกน้องไอ้เพลิงงั้นหรือ”
ธามนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าคล้ายจะเย้ยหยัยกัน
“ครับพี่ชายไอ้เพลิง”
เตวิชกัดฟันแน่นเมื่อถูกอีกฝ่ายตอบกลับเสียงเรียบ
“ผมไม่เคยนับญาติกับมัน”
“ผมก็ไม่อยากให้มันนับญาติกับคุณ” ธามยักไหล่ “แต่วางใจเถอะ มันไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณหรอก แม้แต่นามสกุลสูงส่งของพวกคุณมันยังไม่ใช้เลย”
“แน่สิในเมื่อครอบครัวผมกับมันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณด้วย สูทนี่ผมจะส่งซักเองแล้วค่อยส่งบิลค่าใช้จ่ายไปตามที่อยู่นามบัตรนี้”
เตวิชยิ้มเยาะก่อนจะเดินจากไป ขณะที่ธามมองฝ่ายนั้นนิ่ง
“ไม่เกี่ยวกันก็ดีแล้ว เพราะถ้าคุณยุ่งกับไอ้เพลิงน้องผมเมื่อไหร่ ผมเกี่ยวแน่”
☘☘☘☘
“เมนูหมูมะนาวของพี่เนตรโคตรแซ่บ”
เจ้าเต็งสูดปากไม่พอยังยกนิ้วโป้งให้เขาทั้งสองข้างด้วยสีหน้าทะเล้น
“ตลกแดกสิมึง”
พลแกล้งแซว
“ไม่ใช่สักหน่อยพี่” เต็งส่ายหน้าหวือ “รสมือของพี่เนตรอร่อยดีจริงๆ ไม่เชื่อพี่ลองชิมสิ”
“เอออร่อย”
พลเห็นหน้าหงึกหงักหลังจากลองชิมแล้วหันมายิ้มให้คนทำ
“อร่อยจริงๆ นั่นแหละคุณเนตร”
“ขอบคุณครับ”
รเณศยิ้มจนตาหยี เขาอดดีใจไม่ได้ที่เมนูอาหารที่นำมาเลี้ยงเจ้าหน้าที่มื้อเย็นวันนี้เป็นที่ถูกปากถูกใจคนกินไม่น้อย อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้มารดาเขา เพราะตอนเด็กๆ รเณศชอบเป็นลูกมือของแม่ อาศัยว่าลูกพักลักจำเอาเลยได้เทคนิคการทำอาหารติดตัวมาบ้างเล็กน้อย
บรรยากาศยามค่ำที่ความมืดเริ่มโรยตัวไปทั่ว จนต้องอาศัยแสงจากแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งมีไฟสะท้อนมาจากกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แค่อันเดียวเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็สว่างไสวเกินพอสำหรับคนที่ใช้ชีวิตแบบนอนกลางดินกินกลางทราย รเณศยิ้มกว้างที่เห็นสีหน้าเจ้าหน้าที่แต่ละคนดูผ่อนคลาย
“ผู้ช่วยแกยิ้มไม่หุบเลย”
“นั่นสิแกคงดีใจที่เด็กมันนึกถึง”
รเณศเงี่ยหูฟังเจ้าหน้าที่คุยกัน เพราะก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มที่เพลิงเคยเอ่ยปากขออุปการะซึ่งรเณศจำได้รางๆ ว่าสองคนนั้นคือลูกเจ้าหน้าที่ซึ่งเสียชีวิตจากการลาดตระเวนตอนที่รเณศมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้นเขายังนึกกังขาว่าคนอย่างเพลิงจะอุปการะเด็กเหล่านั้นจริงๆ
แต่ความจริงวันนี้ก็ปรากฏขึ้นเมื่อสองหนุ่มในชุดนักเรียนถือมาลัยมากราบอวยพรวันเกิดเพลิงถึงที่ทำการอุทยาน แน่นอนว่าการกระทำนั้นทำให้คนตัวโตถึงกับยิ้มไม่หุบถึงขนาดรีบเอาพวงมาลัยพวกนั้นไปเก็บที่บ้านพักทันที หลังจากเด็กสองคนนั้นกลับไป
การเป็นผู้ให้นั้นมันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เคยมีคนพูดไว้แบบนั้น ซึ่งมันเป็นความจริงทุกประการเมื่อได้ลองเป็นผู้ให้แล้วความรู้สึกนั้นมันดีมากๆ มันเป็นภาพจำที่ไม่มีวันลืมเลือน เพราะการแบ่งปันเป็นความดีที่กระทำได้อย่างง่ายดาย
รเณศนึกถึงสีหน้าของผู้ชายตัวโตที่ยิ้มกว้าง แววตาที่เขามองเด็กสองคนนั้นทั้งอบอุ่นและภูมิใจ เพลิงคงไม่รู้ตัวว่าเขาได้เพาะพันธุ์เมล็ดแห่งความดีในใจของเด็กเหล่านั้นแล้ว เด็กหนุ่มที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และในสักวันหนึ่งเด็กนั่นจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์และมีคุณค่าให้กับสังคม
“ยิ้มอะไร”
เพลิงเดินกลับมาพร้อมของกินในมือยื่นให้เขาชิม รเณศยิ้มกว้างไม่ยอมตอบคำถามนั้นก่อนจะพยักพเยิดไปยังของกินในห่อใบตองซึ่งกลัดด้วยไม้ที่ชายหนุ่มยื่นให้ก่อนหน้านี้
“ไข่ป่าม”
“น่ากินจัง”
“รสชาติคล้ายๆ ไข่นึ่งนั่นแหละ กรรมวิธีคล้ายๆ กัน”
“ยังไงเหรอครับ”
คนเมืองสูดกลิ่นใบตองที่ย่างไฟหอมๆ ชวนทำลายสอ รเณศลองกัดเนื้อไข่สีสวยที่ด้านในมีต้นหอมซอยกับพริกหั่นผสมอยู่ประปราย
“อร่อยครับ ว่าแต่มันทำยังไงเหรอครับ”
“วิธีทำน่ะเหรอ อืมตอกไข่ผสมพวกเครื่องปรุง ใส่ต้นหอมซอยสักนิด ใส่พริกซอยสักหน่อย แล้วเทใส่ใบตองที่กลัดเป็นกระทง เสร็จแล้วก็เอาไปย่างเตาถ่านให้สุก แค่นี้ก็น้ำลายสอแล้ว”
“อื้อ หอมใบตอง”
กลิ่นใบตองย่างไฟมันหอมจริงๆ
“อร่อยมากเลยเหรอ”
เพลิงถามยิ้มๆ ตอนที่เห็นรเณศกินไม่หยุด
“มาก” คนเมืองทำจมูกฟุดฟิดดมใบตองไม่เลิก
“ผมไม่เคยกินอะไรแบบนี้เลย”
“น่าเสียดายนะ”
เพลิงพึมพำ
“ถ้าแม่ผมยังอยู่ คุณคงได้ชิมบ่อยๆ เพราะตอนเด็กๆ แม่ผมชอบทำไข่ป่ามให้ผมกิน” เพลิงเหม่อมองไปไกลเมื่อถึงอดีตในวันวาน น้ำเสียงราบเรียบนั่นพาให้คนฟังใจสั่น
เพลิงคงคิดถึงแม่
รเณศเอื้อมมือไปจับกุมมือของอีกฝ่าย
“คุณคิดถึงท่านใช่มั้ย”
“คิดถึงมาก”
เพลิงเหม่อมองท้องฟ้า
“แม่คุณเขามองคุณจากบนนั้น เขาต้องภูมิใจแน่ๆ เชื่อผมสิ ตอนที่ท่านคงกำลังอวยพรให้คุณอยู่แน่ๆ”
รเณศยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแกล้งทำเสียงอ่อนหวานคล้ายคนสูงวัย “มีความสุขมากๆ นะเพลิง วันเกิดปีนี้ถึงจะไม่ได้กินไข่ป่ามฝีมือแม่ แต่รู้เอาไว้นะว่าแม่รักเพลิง”
“เสียงคุณแก่ไปหน่อย”
เพลิงแกล้งเย้าก่อนจะหัวเราะร่วน รเณศจึงเบะปากก่อนจะทำตาโตเมื่อเหลือบไปเห็นของกินอีกอย่างที่วางอยู่ใกล้ๆ กัน
“โอ๊ะ นั่นอ่องปูนา”
“รู้จักด้วยเหรอ”
รเณศยิ้มจนตาหยี
“ให้ตายเถอะ อุตส่าห์ทำของกินดีๆ มาเลี้ยงเจ้าหน้าที่ แต่ตัวเองมานั่งกินไข่ป่ามกับอ่องปูนาเนี่ยนะ จะฝึกเป็นสะใภ้คนเมืองหรือยังไง”
“แค่กๆๆ”
รเณศไอจนสำลัก ใบหน้าขาวนั้นแดงก่ำจนเพลิงขำ เภสัชกรหนุ่มเลยตอบเสียงแผ่ว
“ถ้าใช่แล้วจะทำไมเล่า”
คราวนี้กลายเป็นเพลิงที่ทำหน้าเหวอก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาซะดังลั่น
☘☘☘☘
ตอนนี้กินไข่ป่าม ตอนหน้ากินไข่เพลิ_ แค่กๆๆๆๆๆๆๆๆ
แอบใบ้ว่าตอนหน้าคือ "อะไรเอ่ยอยู่นอกประตู" ค่อกกกแค่กกกกก
หวีดในทวิตตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ