[ 10 ]
เพล้ง!
เสียงกรอบรูปที่ร่วงหล่นลงมาจนกระจกแตกกระจายนั่นทำให้หญิงสูงอายุที่เผลอปัดมันตกถึงกับหน้าเสีย
“ตายแล้ว”
เธออุทานเสียงสั่นแล้วรีบผวาไปหยิบเอาภาพถ่ายของใครคนหนึ่งออกมาเศษกระจกเหล่านั้น
“แม่ระวัง”
ประมุขของบ้านที่เห็นภรรยานั่งจ้องเศษกระจกนั่นอยู่รีบคว้าตัวเธอให้ถอยออกมา
“พ่อ”
คุณวดีครางเสียงแผ่ว
“แม่ทำรูปเจ้าเพลิงตกแตก”
อดีตนายทหารสูงวัยชะงักไปก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่อเห็นแววตาไม่สบายใจของภรรยา เขาจึงลูบบ่าลูบไหล่เธอเป็นการปลอบประโลม
“มันไม่มีอะไรหรอกน่าแม่”
“แต่ว่า...”
เธอยังมีสีหน้ากังวล
“เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
“แต่แม่เป็นห่วงหลาน นี่ก็เป็นอาทิตย์แล้วที่เจ้าเพลิงไม่โทรหาแม่เลย”
“ก็มันบอกอยู่ว่าต้องไปลาดตระเวน”
“นั่นแหละที่แม่ห่วง”
เธอทำหน้าเครียด
“เข้าป่าไปแบบนั้นไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง” คุณวดีพึมพำก่อนจะผุดลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กมากดโทรออก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีสัญญาณตอนกลับเสียทีนั่นยิ่งทำให้เธอร้อนใจ ภาพสีหน้าร้อนรนของ ขณะที่บิดายืนปลอบใจอยู่ข้างๆ กันนั่นทำให้ธามที่เพิ่งเดินเข้ามามุ่นหัวคิ้วทันที
“มีอะไรกันเหรอครับ”
“ธาม”
คุณวดีผวาไปเขย่าแขนลูกชาย
“แม่ติดต่อเพลิงไม่ได้เลย”
“มันเข้าป่านี่ครับ”
ธามนิ่วหน้าเพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันเจ้านั่นมันบอกว่าต้องลาดตระเวนในป่า
“อาจจะยังไม่กลับออกมา”
“แม่ร้อนใจ”
“มีอะไรหรือครับ เอ๊ะ” ธามหันไปเห็นเศษกระจกเกลื่อนพื้น
“รูปเพลิงตกลงมาแตก แม่ใจไม่ดีเลยธาม แม่เป็นห่วงน้อง”
ธามถอนหายใจก่อนจะหันไปเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษกระจก เพราะเกรงว่ามารดาที่เดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นจะเผลอเหยียบเข้าจนได้
“รูปตกลงมาโบราณเขาว่าเป็นลางไม่ดี คนในรูปจะได้รับเหตุรับอันตราย”
คนพูดน้ำตาคลอขึ้นมาทันทีเดือดร้อนให้ผู้เป็นสามีต้องปลอบใจยกใหญ่
“ใจเย็นๆ ก่อนแม่”
“แม่สัพเพร่าเองที่ทำรูปเพลิงหล่นลงมา แม่ผิดเอง”
คนสูงวัยโทษตัวเอง ในใจยิ่งร้อนรนเมื่อนึกถึงหลานชายที่ทำงานอยู่ในที่ห่างไกล ก่อนหน้านี้ทั้งขอร้องทั้งบังคับให้เจ้าเพลิงมันกลับใจยอมย้ายมาทำงานในเมือง แต่ทำอย่างไรคนหนุ่มกินอุดมการณ์นั่นก็ไม่เปลี่ยนใจเสียที สุดท้ายกลายเป็นคนสูงวัยเองที่ต้องยอมจำใจปล่อยให้หลานไปทำงานที่ตัวเองรัก เพลิงมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึงงานของตัวเอง แม้จะลำบาก หลานก็ไม่เคยปริปากบ่นให้ได้ยิน นั่นจึงทำให้เธอห่วงใยเป็นที่สุด
เพลิงน่าเวทนาเพราะสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปแล้ว เธอถึงได้ทั้งรักทั้งเวทนาหลาน คิดดูสิเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาท่ามกลางความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ดีเท่าไหร่แล้วที่เพลิงมันเติบโตมาได้อย่างดีงาม ไม่ใช้ปมด้อยของตัวเองเป็นข้ออ้างเข้าสู่วังวนของสิ่งไม่ดีและอบายมุขทั้งหลาย มันน่าภูมิใจไม่น้อยเมื่อเด็กคนหนึ่งถูกคนกลุ่มหนึ่งชิงชังรังเกียจรังงอนไม่ยอมให้ใช้นามสกุลร่วม กลับโตขึ้นมาได้อย่างน่าภูมิใจ
คุณวดียอมรับว่าแม้จะไม่เห็นด้วยกับงานของหลาน แต่ลึกๆ ก็อดภูมิใจไม่ได้ที่หลานซึ่งท่านรักปานลูกตัวเสียสละตัวเองขนาดนี้ คนหนุ่มที่มีความคิดเพื่อส่วนร่วม เด็กน้อยวันนั้นคือที่พักให้ใครอีกหลายๆ คนในวันนี้ เพลิงมีความสุขที่ทำเพื่อคนอื่น เขาไม่เคยเรียกร้องความสุขสบายให้ตัวเองตัวซ้ำ
คิดแล้วก็เจ็บใจไม่น้อยทั้งๆ ที่เกิดมาเป็นหนึ่งในทายาทของศศิกุลนารถ ตระกูลผู้ดีมีอันจะกัน แต่ทำไมถึงได้มีชีวิตแตกต่างกับพี่ชายต่างมารดาเช่นนี้ ขณะที่เพลิงขวนขวายทุกอย่างมาด้วยตัวเอง ทำงานที่เสี่ยงอันตรายยากลำบาก แต่พี่ชายเพลิงกลับเกิดมาท่ามกลางกองเงินกองทองและผู้คนเอาใจประคบประหงม
หลายครั้งที่คุณวดีนึกอยากให้เพลิงเรียกร้องสิทธิ์ที่ตัวเองควรได้บ้าง แค่บ้านและที่ดินไม่กี่ไร่นั่นมันเทียบไม่ได้กับความร่ำรวยของครอบครัวทางบิดาหรอก ผู้ชายใจร้ายที่หลอกลวงน้องสาวเธอให้ตกหลุมรักกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นน้อยเขาก็ตอนที่ท้องเจ้าเพลิง นั่นจึงทำให้น้องสาวเธอต้องหลวมตัวเป็นรอง แม้กล้ำกลืนฝืนทนก็ยอมเพราะอยากให้เพลิงเป็นลูกมีพ่อ
‘พอเถอะนะ หลานคนเดียวพี่เลี้ยงได้’คุณวดีเคยพูดกับน้องสาวเธอแบบนั้น แต่ฝ่ายนั้นนิ่งเฉยยอมอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพราะคำว่ารักคำเดียว แม้สุดท้ายความรักนั้นจะพล่าผลาญเธอให้มอดไหม้และจากไปก่อนวันอันควร คุณวดียังรักษาสัญญาที่ให้น้องสาวตั้งแต่วันนั้นเสมอ เพราะเพลิงสูญเสียมารดา ครอบครัวบิดาไม่ยอมรับ นั่นจึงทำให้คุณวดีกางปีกปกป้องหลานรักอย่างเต็มที่
‘ใครไม่รักเพลิงก็ช่าง ป้ารักของป้าคนเดียวก็พอ’ยังจำได้ว่าตอนที่เพลิงได้ยินแบบนั้น เจ้านั่นถึงกับหัวเราะร่วนก่อนจะทรุดตัวลงนอนหนุนตักหล่อน แม้จะถูกธามแกล้งเบียดก็ตาม คิดแบบนั้นแล้วอดนึกถึงเจ้าพวกนี้ตอนที่ยังเด็กไม่ได้ เธอถอนหายใจเหลือบตามองรูปเจ้าเพลิงที่ถ่ายตอบรับปริญญาในมือ แม้กรอบจะแตกแล้วแต่ภาพยังชัดเจน เธอจำได้ดีว่าวันนั้นเธอเคี่ยวเข็นให้เจ้าธามขนดอกไม้ไปให้กำลังหลานด้วยกลัวว่าฝ่ายนั้นจะน้อยใจที่ไม่มีครอบครัวทางฝ่ายบิดาไม่ไปร่วมยินดีด้วยสักคน ถึงได้ปลุกทั้งพ่อทั้งลูกแต่เช้าตามไปเฝ้าหลานตั้งแต่ยังไม่เข้าหอประชุมจนค่ำมืด หลายปีแล้วตั้งแต่วันนั้น ภาพนั้นทำให้ถึงเจ้าตัวในปัจจุบันที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง จะได้กินอิ่มนอนหลับสบายหรือไม่ จะได้รับบาดเจ็บตรงไหนอยู่ในป่าก็ไม่อาจรู้ได้
คุณวดีแอบน้ำตาคลอก่อนจะเบือนหน้าไปยังลูกชาย
“ธามช่วยโทรหาน้องให้แม่ที โทรไปเรื่อยๆ จนกว่าจะติดนะ”
ธามพยักหน้าอย่างแข็งขันเพราะแอบห่วงไอ้น้องหัวดื้อไม่น้อย ยิ่งติดต่อมันไม่ได้แบบนี้เขาเองก็ร้อนใจพอกัน
“แม่จะไปสวดมนต์ไหว้พระ ขืนอยู่แบบนี้แม่คงได้อกแตกตาย”
คุณวดีพึมพำ
☘☘☘☘
เพลิงได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ด้านขวา กระสุนหน้าไม้พุ่งทะลุปักทะลุเสื้อลายพรางเข้าไปถึงเนื้ออ่อนๆ อย่างจัง ดีว่ามันปักไม่ลึกนักจึงดึงเอาได้ง่ายดายก่อนจะใช้ผ้าพันลวกไว้ๆ เนื่องจากมีเลือดไหลออกมาจากเนื้อที่ปริออก
“พวกมึงเป็นใคร”
เกิ้งถามเสียงเครียดหลังจากซัดพวกมันจนหมอบ สองคนนั้นถูกมัดมือไขว้หลังโดยที่เปลวและเจ้าหน้าที่อีกสองคนยืนคุมเชิงอยู่ สภาพใบหน้ายับเยินของผู้ร้ายทั้งสองไม่น่าดูสักเท่าไหร่ คิ้วแตก ริมฝีปากม่วงช้ำ ขอบตาบวมเป่ง และอาจจะถึงหากชีวิตได้หากเพลิงไม่ห้ามปรามเอาไว้ก่อน
“พวกผมไม่ใช่ผู้ร้าย”
“แล้วพวกนายเข้ามาทำอะไรในป่า”
เพลิงถามเสียงเรียบ เพราะหากปล่อยให้เกิ้งสอบปากคำต่อมีหวังว่าอารมณ์ที่ยังกรุ่นๆ ในอกจะประทุขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ต้องไปพูดดีกับพวกมันหรอกพี่เพลิง”
เปลวพูดอย่างมีอารมณ์เพราะนึกโกรธแค้นพวกมันที่ทำให้พี่เพลิงต้องบาดเจ็บ ดูสิขนาดพันผ้าเอาไว้ยังเห็นรอยเลือดซึมออกมา แต่หัวหน้าชุดลาดตระเวนยังทำหน้านิ่งเฉยทั้งที่เหงื่อผุดขึ้นตามไรผมแบบนั้น
เพลิงขยับมาหยุดตรงหน้าชายฉกรรจ์ทั้งสอง
“พวกนายเป็นใคร”
“พวกผมเป็นคนจากหมูบ้านท้ายเขาครับ”
หนึ่งในสองที่ก่อนหน้านี้ยกมือไหว้เขาปลกๆ พวกมันอ้างว่าตกใจคนแปลกหน้าเลยออกอาวุธป้องกันตัว ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ขณะที่อีกคนซึ่งเป็นเจ้าของหน้าไม้ปล่อยกระสุนใส่กลับทำสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้แววตานั่นจะดูกริ่งเกรงเขาไม่น้อย
“แล้วเข้ามาทำอะไรในป่า”
เกิ้งถามเสียงห้วน
“มาดักไก่ป่าครับ”
“งั้นเหรอ” เกิ้งทำหน้ายียวนใส่ “แล้วได้ยินเสียงปืนก่อนหน้านี้มั้ย”
“มะ ไม่”
“แปลกนะ”
เพลิงพูดเสียงเรียบ “เสียงดังขนาดนั้น ซ้ำมันยังดังแถวๆ นี้พวกนายกลับไม่ได้ยินเลย”
สองคนนั้นลอบสบตากัน
“สารภาพมาดีกว่าว่า พวกมึงเข้ามาทำอะไร นี่กูยังไม่ได้เอาความเรื่องที่มึงทำร้ายผู้ช่วยนะ”
ไม่เอาอะไรล่ะ หน้าเยินกันขนาดนี้ พวกมันทำปากขมุบขมิบ
“พวกผมมาดักสัตว์จริงๆ นาย”
ไอ้คนที่ยกมือไหว้เพลิงก่อนหน้านี้รีบละล้ำละลักตอบท่าทางมันขี้กลัวมากกว่าอีกคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น
“งั้นดี กูจะจับพวกมึงกลับหมู่บ้าน แล้วให้หัวหน้าหมู่บ้านได้รับรู้ว่าพวกมึงทำร้ายเจ้าหน้าที่และมาทำลับๆ ล่อๆ ในป่านี่ หลังจากนั้นจะส่งตัวให้ทางการ”
พวกมันหน้าเผือดลงถนัดตา
“นายๆ พวกผมไม่ตั้งใจทำร้ายนายนะ”
“ไปคุยกันที่หมู่บ้านเถอะ”
เพลิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเกิ้งและเปลวดูมีอารมณ์ขึ้นมาอีก ขืนยังสอบสวนกันเองแบบนั้น พวกนั้นได้เอาไอ้สองคนนี่ตายแน่ๆ รอให้ไปถึงหมู่บ้านและเจอกับอีกทีมที่แยกไปก่อนดีกว่าค่อยสอบสวนกันใหม่
หลังนั้นพวกเราจึงออกเดินทาง โดยให้เจ้าหน้าที่สองนายประกบสองคนนั้นพาเดินมาจนถึงทางเข้าหมู่บ้านท้ายเขา ชายหนุ่มเหลือบตามองบ้านเรือนที่ใช้ไม้ปลูกยกพื้นสูงจากพื้นดินเล็กน้อย หลังคาใช้หญ้าแฝกมุง การสร้างที่อยู่อาศัยตามกำลังทรัพย์นั้นบ่งบอกชีวิตของคนที่นี่ซึ่งประชากรสาวใหญ่เป็นชาวเขาและชนกลุ่มน้อยที่ยังไร้สัญชาติอยู่ เด็กน้อยชาวเขาทั้งชายหญิงซึ่งอยู่ในชุดชาวเขาต่างพากันวิ่งมาเมียงมอง มีบางคนที่พอคุ้นตาก็ร้องทักเพลิงไปตามประสา
“พี่เพลิง”
เต็งวิ่งหนีตื่นมาแต่ไกล ด้านหลังนั้นคือเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนซึ่งแยกกันก่อนหน้านี้ พวกนั้นคงมาถึงหมู่บ้านก่อนหน้านี้ไม่นานนัก พลซึ่งอยู่ทีมนั้นเดินมาสมทบก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเมื่อเห็นหัวไหล่ที่พันผ้าอยู่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
“ผู้ช่วยเลือดออก” พลร้องถาม “เกิดอะไรขึ้นครับ”
ถามแล้วก็วนสายตาไปยังชายแปลกหน้าซึ่งถูกมัดมือไขว่หลังโดยมีเจ้าหน้าลาดตระเวนอีกสองนายยืนประกบ
“พี่ซา”
เต็งร้องทักหนึ่งในสองที่ถูกมัดมือไขว่หลังอย่างตกใจ
“ไอ้เต็ง”
คนที่นิ่งเงียบไปมาตลอดเปิดปากพูดกับเต็งทันที
“ทำไมหน้าพี่ถึงได้ยับเยิบขนาดนี้”
“มันโดนหมัดกูเอง”
เกิ้งพูดเสียงห้วนนั่นทำให้เต็งตื่นยิ่งกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้นพี่”
“มันทำร้ายผู้ช่วย”
“หา”
เต็งมองยังหัวไหล่ของเพลิงก่อนจะสลับไปมองพี่เขยและเพื่อนพี่เขยที่ถูกจับมัดมือไขว้หลัง
“ให้ตายเถอะทำไมวันนี้มีแต่เรื่อง” เด็กหนุ่มครางเสียงแผ่วก่อนจะทำหน้าตื่นอีกครั้งเมื่ออะไรขึ้นมาได้ “พี่เนียงรอ”
“เนียงรอทำไม”
‘ซา’ ร้องถาม
“แม่เฒ่าบอกพี่เนียงรอน้ำคร่ำแตกตั้งแต่เมื่อคืน แต่ตอนนี้ยังคลอดไม่ได้เลย”
ซาไม่รอให้เต็งพูดซ้ำมันวิ่งฉิวไปยังบ้านตัวเองทันที ท่าทางตื่นตระหนกนั่นทำให้เพลิงและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พากันวิ่งตามผู้ร้ายที่วิ่งไปทางหนึ่งทั้งที่มือยังถูกมัดอยู่ ระหว่างนั้นเพลิงนิ่งพิจารณาความสัมพันธ์ของเต็งกับคนที่ประทุษร้ายตัวเอง จำได้ว่าเด็กนั่นมีน้องสาวและพี่สาวอย่างละคน ซึ่งหากเพลิงจำไม่ผิดเจ้าเต็งเคยเล่าว่าพี่สาวแต่งงานกับคนหมู่บ้านเดียวซึ่งนั่นคงเป็น ‘ซา’ ข่าวว่าตั้งท้องใกล้คลอดแล้ว
เพลิงและเจ้าหน้าที่มาหยุดที่หน้าบ้านไม้แห่งหนึ่ง บนชานบ้านนั้นมีผู้เฒ่าผู้แก่นั่งล้อมวงคุยกันเสียงเครียด
“เขาว่าไอ้ซาผัวมันไปดักสัตว์ในป่าแล้วไม่ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาเค้า ท่านเลยจะมาเอาชีวิตนังเนียงรอมัน”
“พ่อเฒ่าว่าอย่างนั้นหรือ”
เพลิงเงี่ยหูฟังชาวบ้านสูงวัยสองคนที่นั่งกระซิบกระซาบกันอยู่ ก่อนจะมองเลยไปยัง ‘ผู้เฒ่า’ ที่ว่าซึ่งนั่งบริกรรมคาถาอยู่หน้าหม้อดินอันหนึ่ง เพลิงจำได้ดีว่าชายชรานั่นคือผู้นำทางจิตวิญญาณของคนที่นี่ อารมณ์เหมือนพ่อหมอประจำหมู่บ้านที่เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์และสิ่งลี้ลับที่คนศรัทธา แต่บอกตรงๆ ว่าเขาสะดุดใจกับสายตาฝ้าฟางคู่นั้นยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก จะว่าเจ้าเล่ห์แสนกลก็ดูจะเกินเหตุไป แต่แววตาที่เหลือบแลชาวบ้านของพ่อเฒ่านั่นมันยังไงชอบกล
“เจ็บท้องจะคลอดทำไมไม่ส่งโรง’บาล”
พลเอ่ยท้วง
“มึงดูด้วยว่าระยะทางจากหมู่บ้านนี้ไปโรง’บาลในตัวอำเภอมันไกลกันแค่ไหน”
เกิ้งตอบ
“อีกอย่างหมู่บ้านแบบนี้น่าจะมีหมอตำแย”
“มีๆ ผมได้ยินไอ้เต็งมันบอกว่ามีหมอตำแย แต่พี่สาวมันน้ำคร่ำแตกนานแล้วแต่เด็กในท้องไม่ยอมกลับหัว เลยคลอดไม่ได้”
เปลวเล่าเสริมคำพูดนั้นจึงทำให้เพลิงมุ่นหัวคิ้วคิดตาม
‘แม่เฒ่าบอกพี่เนียงรอน้ำคร่ำแตกตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ยังคลอดไม่ได้เลย’ตั้งแต่เมื่อคืนถึงจนป่านนี้แล้ว
อาการน่าเป็นห่วง
“พ่อหมอช่วยลูก ช่วยเมียผมที”
ซาซึ่งก่อนหน้านี้รีบรุดไปดูเมียในบ้านก่อนจะผลุนผลันออกมาคุกเข่ายกมือไหว้พ่อเฒ่านั้นปลกๆ
“เอ็งต้องไปขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาก่อน”
“เวลาแบบนี้มาขมาอะไรวะ แทนทีจะพาส่งโรง’บาลในเมือง”
เปลวบ่นกระปอดกระแปด
“แต่ผมเข้าไปดักสัตว์ทุกครั้ง ผมขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาตลอด อีกอย่างผมทำตามที่พ่อเฒ่าบอกทุกวิธีแล้วทำไมเมียผมถึงยังคลอดไม่ได้”
พ่อเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีท่าทางโกรธไม่น้อยที่ถูกปรามาส
“ยังไงเอ็งก็ตั้งทำตามวิธีของข้า ถ้าเอ็งอยากให้นังเนียงรอมันรอด”
ซาทำหน้าลังเลใจก่อนจะยินยอมทำตามพิธีกรรมพ่อเฒ่า เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านพิธีกรรมไปไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงร้องของคนจะคลอดที่ร้องโอดโอยเจ็บปวดเจียนขาดใจ
“พอเถอะ”
เพลิงผุดลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาของคนในหมู่บ้านที่หันมามองเขา
“ผมไม่ได้จะลบหลู่พ่อเฒ่านะครับ แต่เมื่อทำพิธีเสร็จสิ้นแล้วผมว่าพาคนเขาไปคลอดที่รพ.เถอะ เด็กไม่กลับหัวมันอันตรายมาก”
“นั่นสิ”
ผู้นำหมู่บ้านที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่พยักพเยิดมาทางเพลิง
“ห้ามพานังเนียงรอไปจากที่นี่ ไม่งั้นมันจะตายทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าพวกเอ็งไม่เชื่อข้าก็แล้วแต่”
พ่อเฒ่าหรี่ตามองเพลิงท่าทางไม่สบอารมณ์
“จากนี่ไปโรง’บาลจะทันเหรอผู้ช่วย”
เกิ้งกระซิบถาม
เพลิงได้แต่ถอนหายใจ เขาเองก็ให้คำตอบไม่ได้เช่นกัน แต่มันก็ยังดีกว่ารออยู่ที่นี่แบบไม่ทำอะไรเลย เพราะไม่ช้าไม่นานทั้งแม่ทั้งลูกมีโอกาสเสียชีวิตสูง ชายหนุ่มขยับออกมาก่อนจะล้วงเข้าไปในเป้แล้วคว้าว.สื่อสารออกมา
“ต้องแจ้งไปที่หน่วยขอความช่วยเหลือ”
พูดจบเพลิงก่อนผละไปหาสัญญาณ
ระหว่างนั้นซาซึ่งถูกพ่อเฒ่าและครอบครัวทางฝั่งเมียรุมกดดันให้ตัดสินใจ
“อย่าพาเมียเอ็งไปเด็ดขาดไอ้ซา”
ผู้เฒ่าถลึงตาใส่
“ตัดสินใจเร็วพี่ซา”
เต็งร้องโวยวาย “อย่าช้าไม่งั้นพี่เนียงรอกับหลานผมตายแน่”
“ข้า...”
ซาส่ายหัวก่อนจะมองเลยไปยังเจ้าหน้าที่ที่ยืนรออยู่เบื้องหน้า
“เร็วสิวะ”
เต็งร้องใส่
“ข้าอยากพามันไปหาหมอ แต่ข้าไม่ไว้ใจพวกเจ้าหน้าที่”
“พี่คิดเอาเองแล้วกัน ระหว่างชีวิตลูกเมียกับคำพูดของพ่อเฒ่า” เต็งโกรธหน้าดำหน้าแดง “อีกอย่างนะ ผมจะบอกให้รู้ไว้ว่าคนที่พี่ยิงหน้าไม้ใส่เขาจนบาดเจ็บนี่แหละ คือคนที่กำลังหารถมารับเมียพี่ไปโรง’บาล”
ซายืนอึ้ง
.
.
“ติดต่อใครไม่ได้เลย”
เพลิงทำหน้าเครียดตอนที่กวาดตามองเจ้าหน้าที่คนอื่น ระหว่างนั้นผู้นำหมู่บ้านที่คุ้นเคยกันดีก็เดินหน้าเครียดเข้ามา
“ผู้ช่วยครับ”
เพลิงพยักหน้ารับ
“วันก่อนมีชาวบ้านมันขี่รถอีแต๋นมาช่วยญาติที่หมู่บ้านขนข้าว ตอนนี้รถมันจองอยู่หน้าบนผม” ลุงแกทำหน้าเครียด “แต่เจ้าของมันท้องเสีย ตอนนี้นอนซมอยู่ ไม่มีใครขับไอ้รถนั่นเป็นสักคน”
เพลิงคลึงขมับนึกภาพเครื่องยนต์ทางการเกษตรนั่นทันที ชายหนุ่มยืนนิ่งก่อนจะหันไปมองหน้าลูกน้องแต่ละคนที่ส่ายหน้าหวือเพราะไม่มีใครขับเป็น ระหว่างนั้นเสียงร้องโอดโอยของพี่สาวเจ้าเต็งก็ดังขึ้น
“ผู้ช่วยฯ”
“เดี๋ยวผมขับเอง”
เป็นไงก็เป็นกัน
“แต่ว่า...”
พรานธีปอเอ่ยท้วง
“ดีกว่าเดินเท้าครับลุงพราน ถ้าเดินเท้าต้องใช้เวลาเป็นวัน หลานลุงเขาทนไม่ไหวขนาดนั้นหรอก”
“เอาไงก็เอา”
พรานธีปอรับคำก่อนจะวิ่งนำเจ้าเต็งไปเคลื่อนย้ายคนเจ็บ ระหว่างนั้นบังเอิญว่าซาหันมาสบตาเพลิงพอดี เขาเห็นแววตาสับสบคู่นั้นทั้งระแวงทั้งจนใจ เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกเจ็บที่หัวไหล่ไม่น้อย พอเหลือบมองจึงเห็นว่าผ้าที่พันแผลอยู่ชุ่มไปด้วยเลือด
“พี่เพลิง”
เปลวทำหน้ากังวลเมื่อเห็นเลือดที่ซึมออกมา
“เปลี่ยนผ้าพันแผลก่อนเถอะพี่”
“ไม่เป็นไรพี่ยังไหว”
“แต่...”
เพลิงส่ายหน้าก่อนจะเดินไปบ้านผู้นำหมู่บ้าน โดยมีบรรดาเจ้าหน้าที่คนอื่นตามมาติดๆ สีหน้าทุกคนในทีมดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เห็นเพลิงโดยทำร้ายจนบาดเจ็บ ซ้ำมันยังแสดงท่าทางหยิ่งยโสใส่เพลิงที่ให้ความช่วยเหลืออีก
“ผู้ช่วยไม่น่าไปช่วยมันเลย”
เกิ้งบ่นเบาๆ
เมื่อได้ข้อสรุปว่าจะพาหญิงสาวไปคลอดในเมืองท่ามกลางสีหน้าเกรี้ยวกราดของพ่อเฒ่า หลังจากนั้นเพลิงก็บังคับเครื่องยนต์ทางการเกษตรซึ่งด้านหลังบรรทุกคนเจ็บและเจ้าหน้าที่มาจนถึงครึ่งทาง ต้องขอบคุณพาหนะนี้ที่ทำให้ประหยัดเวลาไปโข ขณะที่กำลังจะเลี้ยวผ่านถนนลูกรังนั่นก็มีเหตุให้ต้องหยุดชะงักเมื่อรถติดหล่ม ชายหนุ่มนิ่วหน้าทันทีก่อนจะเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยกันดันรถ ขณะที่คนจะคลอดหน้าตาอิดโรยลงมากแล้ว
“ตรงนี้มีสัญญาณโทรศัพท์แล้วพี่”
เจ้าเปลวร้องดีใจ
“รีบโทรไปที่หน่วยเลย”
เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินไปยังบริเวณที่มีสัญญาณเสถียร ก่อนจะหน้ามุ่ยกลับมา
“ไม่มีใครรับเลยพี่”
เพลิงทำหน้าเครียด ขณะที่เปลวจ้องโทรศัพท์ในมือก่อนจะนึกอะไรออก
“ผมนึกออกแล้วจะโทรขอความช่วยเหลือจากใคร”
.
.
บ่ายแก่ๆ วันนั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของรเณศดังขึ้น ทำเอาคนเมืองซึ่งกำลังอุ้มหนูน้อยเล่นอยู่ต้องวางเจ้าหนูก่อนจะเดินไปรับสาย และชื่อที่ปรากฏขึ้นที่หน้าจอนั่นทำเอาเขาหน้าตื่น
เจ้าเปลวโทรมาอย่างนี้แสดงว่าคงออกจากป่าแล้ว
‘ว่าไงเปลว’
[คุณ]
เสียงทุ้มที่เล็ดลอดมาตามสายทำให้หัวใจเขาเต้นแรง เพราะมันเสียงที่ไม่ได้ยินมาเกือบสัปดาห์ เสียงของในป่าที่ทำให้รเณศเผลอทอดหมูมาหลายวัน
แค่ได้ยินเสียงในอกก็สั่นระรัวดีใจอย่างบอกไม่ถูก
[คุณรเณศ...ได้ยินผมมั้ย]
‘ครับ’
คนเมืองรับคำเสียงแผ่ว จนนึกขัดเขินที่เผลอตอบฝ่ายนั้นด้วยเสียงประหลาดแบบนั้น
[ผมมีเรื่องให้คุณช่วย]
.
.
ป้าอนงค์หน้าตื่นตอนที่หลานชายวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกลบอกให้แกช่วยโทรติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อขอรถ ก่อนที่คนเมืองจะคว้ากล่องปฐมพยาบาลแล้วสตาร์ทรถกระบะขับไปโน่น หญิงวัยกลางคนถึงได้ละมือจากงานทันที
ขณะเดียวกันคนเมืองที่จับบังคับพวงมาลัยอยู่ตอนนี้นึกวิตักกังวลสารพัด เนื้อความที่เพลิงเล่ามาคือบังเอิญมีชาวบ้านจะคลอดกะทันหันในป่า มีความจำเป็นต้องใช้รถไปส่งที่โรงพยาบาล ตอนแรกรเณศก็ อยากจะรอให้ทางหน่วยไปช่วยนั้นแหละ แต่เขาก็ทนร้อนใจไม่ไหวเพราะได้ยินเสียงเจ้าเปลวลอดมาในสายว่าเพลิงไหลเลือดออกมาอีกแล้ว
เพลิงบาดเจ็บ!
แค่ได้ยินหัวใจเขาก็วูบโหวงจึงจับสัญญาณจีพีเอสจากโทรศัพท์เจ้าเปลวซึ่งก็คือโทรศัพท์เครื่องเก่าที่เขาให้น้องเอาไว้นั่นแหละ รเณศเหยียบคันเร่งจนกลัวว่าความเร็วนั้นจะพาเขาลงข้างทาง แต่เพราะนึกห่วงคนเจ็บที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็ทำให้เขาลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังขับรถเร็วเฉียดตายขนาดนี้
รเณศตัวสั่นไปหมดตอนที่รถชะลอความเร็วแล้วจอดอยู่ใกล้กับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังดันรถอยู่เบื้องหน้า ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเพลิงในชุดลายพรางดันรถอีแต๋นที่ติดหล่มอย่างแรง รเณศเม้มปากแน่นเมื่อเหลือบไปเห็นหัวไหล่ด้านขวาที่มีเลือดซึมออกมา
“คุณ”
เพลิงทำหน้าประหลาดใจที่เห็นเขา ขณะที่เขายังจ้องบาดแผลคนเจ็บนิ่ง
“คุณบาดเจ็บเหรอ”
“อือ”
เพลิงครางอืออา ใบหน้าที่เริ่มซีดเผือดและมีเหงื่อที่ผุดตามไรผมนั่นเป็นคำตอบ เพลิงกำลังเจ็บปวดเพราะแผลที่เริ่มอักเสบแล้ว แต่เขาไม่สนใจตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อเจ้าตัววิ่งไปช่วยหญิงสาวที่นอนแผ่อยู่บนรถ สีหน้าอิดโรยใบหน้าขาวซีดนั่นทำให้รเณศใจเสีย พวกเขาไม่มีเวลาคุยกันอีกเลยหลังจากเพลิงและเจ้าหน้าที่คนอื่นช่วยกันอุ้มเธอขึ้นรถกระบะของเขา จังหวะนั้นรถอุทยานก็สวนมาพอดีแล้วรับเอาเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ตามกันไปติดๆ
(มีต่อค่ะ)