มีเพียงบุญหากไร้วาสนา
เกิดในไข่จากลามามิพ้น
ตายในรังไม่ลืมชีพมาเป็นตน
เก็บถนอมลอมมิสนลนเชื้อใคร
กอบพิธีกรรมทางดับจับอสูร
ทวงวิญญาณทั้งตระกูลสาปคุณไสย์
มิอาจยอมให้เชื้อ ‘จ้าว’ สิ้นชีพไป
ได้ดวงใจใครใส่มาหาทดแทน
เฝ้าฟูมฟักถนอมด้วยกายรัก
พึงประจักษ์เก็บชีวิตคิดหวงแหน
อดีตคนรักให้กำเนิดบุตรต่างแดน
มิดูแคลนทำหน้าที่…แทนบิดา
-๓๕-
เขาเห็น ‘แก้ว’ กำลังเดินเข้ามาในถ้ำ
พร้อมๆกับใครบางคนที่พวกผมคิดเอาเองว่าคงเป็น ‘วรรณนา’
และเมื่อถามถึงรายละเอียด โป๊ยบอกว่าแก้วเดินเข้ามาเอง…ท่าทางเหมือนไม่ได้มีใครมาบังคับ และสิ่งที่ทำให้โป๊ยตกใจไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะเขาอธิบายว่าทั้งสองคน ‘คล้าย’ กันมาก
“ไม่ใช่รูปร่างหน้าตานะที่เหมือนกันน่ะ…”
โป๊ยระล่ำระลักบอก มันกำลังพยายามอธิบายด้วยความทรงจำที่เหลืออยู่อันน้อยนิดนั่น
“กูก็บอกไม่ถูก สีผมแก้วอาจจะอ่อนกว่าหน่อยนึง หน้าตาอีกคนออกจะสวยแบบ..เข้มกว่า ทั้งคิ้วทั้งดวงตา แต่แก้วจะแบบขาวๆใสๆ…เดี๋ยว กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะว่ามันคล้ายตรงไหนว่ะ รู้แค่ว่าคล้าย…เหมือนกับ…เหมือนกับ…….”
“เหมือนกับอะไร?”
คำนั้นที่ถามขัดขึ้นมาเพราะผมก็ตื่นตระหนกตกใจไม่แพ้กัน วูบหนึ่งที่ผมกลัวเหลือเกินกับสิ่งที่โป๊ยกำลังจะพูดต่อไป แต่ต่อให้กลัวมากแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี
โป๊ยยกมือบีบจมูกตัวเองเรียกสติ
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่ผม..เหมือนกำลังพยายามทบทวนบางอย่างมากกว่า
“…เหมือนกับ….” มันพึมพำ คล้ายไม่แน่ใจนัก
“ฝาแฝด” ลมหายใจผม…เหมือนจะหยุดชะงักแต่เพียงแค่นั้น
ผมคิดว่าตัวเองกำลังเซที่จะล้ม เลยคว้าเอาโต๊ะหินอ่อนตัวนั้นเกาะไว้ได้ โป๊ยจับแขนผมไว้ด้วยอารามตกใจ มันสิดูงุนงงไม่แพ้กัน อีกสองคนที่ยังอยู่ในห้องไม่ได้มีท่าทางร้อนรนอย่างที่ผมคิด ท่านจ้าวปู่เพียงแค่ตะโกนเรียกทหารยามหน้าห้องให้ไปดูลาดเลา ในขณะที่สมองของผมกำลังทบทวนเรื่องต่างๆซ้ำไปซ้ำมา
…ข้อความ..คำพูด…
…และความจริงทุกอย่าง… ‘นี่พี่สุวรรณนา..พี่สาวฝาแฝดของเราเอง’ ‘เป็นร่างที่ลงอาคมไว้น่ะ มีการเติบโต มีพัฒนาการ เพียงแค่…ไม่มีวิญญาณ’
‘ตอนนั้นเราสองคนอายุได้สามขวบ…’
‘…ข้อเสนอ…สัญญา…’
‘แผนปลิดชีวิตจ้าวธารา’
‘มาลาอายุสิบสี่ ส่วนวรรณนาอายุสิบเจ็ด’
‘…สามขวบ...’
‘…สิบเจ็ด...’
‘เกิดมายี่สิบปียังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน’
‘ท่านอาพันวังมีลูกไม่ได้’ ลำคอแห้งผากเป็นผุยผง แม้แต่จะกลืนน้ำลายก็ยังเจ็บ
สัมผัสของเส้นประสาทที่ขมับปวดตุบๆ ชีพจนที่เต้นเร็วจนผิดสังเกต
‘…วรรณนา…ไม่ใช่ลูกของท่านอาพันวัง…’ …นั่น…ก็เพราะ…. “ไกร” เสียงทุ้มเรียกอยู่ที่ข้างหู พร้อมมือใหญ่ที่เกี่ยวคว้าแขนผมดึงเข้าไปจนหัวชนอกกว้าง ไอ้พี่วันขมวดคิ้วก้มลงมองดูผม…ซึ่งยอมรับว่าตัวเองในตอนนั้นยังรวบรวมสติได้ไม่เต็มนัก
ภาพสะท้อนตัวตนของผมเองออกมาจากดวงตาคู่นั้น ฉายภาพผมซึ่งบางทีอาจจะดูหวาดกลัวมากกว่าใครต่อใครก็ตามในที่นี้เสียอีก
พี่วันยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกลี่ยที่ข้างแก้มผม สัมผัสแผ่วเบานั้นเรียกให้ร่างกายรู้สึกตัวขึ้นมา
“มีอะไร…ที่ไม่ได้บอกพี่รึเปล่า?”
น้ำคำถามนั้นทำให้ผมหายใจทั่วท้องอีกครั้ง ทั้งอาการอึดอัดที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อครู่ก็พลันหายไป ไม่ว่าจะเพราะคนที่พูดมันออกมาคือไอ้พี่วัน หรือเพราะกระแสเสียงที่อ่อนโยนราวไม่สนใจเลยว่าโลกภายนอกจะเป็นเช่นไรแบบนั้นก็ตาม
ผมกำเสื้อเขาจนยับ จ้องมองอีกคนอย่างไม่ลดละ
“เยอะมาก เยอะ…มากๆ ไม่รู้จะเล่ายังไงให้หมด”
“ไม่เป็นไร” เขาลูบหัวปลอบผม “ใจเย็นๆนะ..”
“แต่…แต่มีเรื่องนึงที่อยากยืนยันให้แน่ใจก่อน” ผมรัวคำพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน เขาพยักหน้าตามทีละประโยคคล้ายกับจะบอกให้ผมใจเย็นลงอีกหน่อย เลยสูดลมหายใจเว้นจังหวะ “พี่วันมั่นใจรึเปล่า…ว่าวรรณนาเป็นจระเข้จริงๆน่ะ?”
อีกฝ่ายมองฉงน “มั่นใจสิ”
“มั่นใจแค่ไหน?”
“พี่เคยเห็นวรรณนากลายร่าง”
..ชัดเจน.. “แล้ว…แล้วเค้าเป็นยังไง? มีอะไรผิดปกติรึเปล่า?”
“หมายความว่ายังไงไอ้ที่ว่าผิดปกติน่ะ?”
“แบบ….แบบ…..”
ผมกลอกตาลนลาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะพูดอะไรออกไป
“…มีบางอย่างที่วรรณนา…คล้ายมนุษย์บ้างรึเปล่า?” ไอ้พี่วันเลิกคิ้วกับคำถามนั้น เขาดูฉงนมากกว่าผมมาก..เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนี้(ปกติจะรู้แล้วอมพะนำตลอด)
“…ไกรหมายความว่ายังไง?”
“ท่านจ้าวขอรับ!!” ทว่าเสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้นจากหลังหมู่ม่านสีขาว จ้าวปู่รำไพที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างเงียบงันอยู่นานจึงได้พยักหน้า แล้วม่านพวกนั้นก็แหวกออกโดยงายยังจะเวทมนต์ในแฮร์รี่พอตเตอร์……..
…ไม่ดิ นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นมุขกากนะเว้ย จระเข้ตนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาฉับๆ โค้งคำนับหนึ่งทีก่อนแจงความ “หนึ่งสตรี…กับอีกหนึ่งจระเข้ที่คาดว่าน่าจะเป็น…วรรณนาขอรับ แต่เพราะเห็นผิดสังเกตนัก ซ้ำยังไม่แจ้งความประสงค์ว่ามาที่นี่ทำไมด้วย จึงให้คุมตัวไว้ก่อน..จะทำเช่นไรดีเล่าขอรับ?”
พี่วันที่ยังกอดผมอยู่หันไปมอง ไม่ได้สนใจผมที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนสักนิด ช่างเป็นจระเข้ที่ละเอียดละอ่อนเรื่องการแสดงความสัมพันธ์เสียเหลือเกิน
“แล้ววรรณนาได้บอกอะไรบ้างรึเปล่าครับ?”
“ไม่ครับจ้าวน้อย” คนถูกถามส่ายหน้า “น่าฉงนนัก แต่ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักนิด”
ได้ฟังดังนั้นคนตัวเล็กที่สุดก็ขยับยิ้มมุมปาก โบกมือกวักเป็นคำตอบทั้งหมด
“นำตัวเข้ามา” น้ำเสียงของจ้าวปู่ไม่ได้มีวี่แววความกังวลแต่อย่างใด “วันนี้รังข้าแขกเหรือเยอะจริงแหะ รีบๆจัดการธุระให้เสร็จกันเลยดีกว่า”
“แต่ถ้าหากมีอันตราย…..”
“ข้าสิจักกินมันเอง”
เป็นคำตอบที่สวนควับเหมือนประโยคติดปาก แต่เล่นเอาผมต้องสะดุ้ง ด้วยไม่ได้ยินคำว่า ‘กิน’ จากปากจระเข้มานานแล้ว
ผมทุบไอ้พี่วันแรงมากพอจะให้เขาปล่อยผมออก ก่อนจะม้วนตัวออกมาไปยืนข้างๆโป๊ยได้อย่างสวยงาม มันพะงาบปากเหมือนอยากจะแซวอยู่..เพียงแค่ไม่มีโอกาส ที่สำคัญคือมันยังงุนงงมาก
“แก้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง?” เป็นคำถามที่ผมอึกอักอยู่นานสองนาน แล้วตอบ
“..เรื่องมันยาวมาก ไว้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”
มันเลิกคิ้ว “หรือว่าแก้วก็เป็นจระเข้?”
“บ้าเหรอ!”
“…อ้าว ก็อย่างพี่วันยังเป็นจระเข้ได้ กูแม่งคงไม่มีห่าอะไรให้แปลกใจอีกแล้วล่ะ”
โป๊ยว่าด้วยน้ำเสียงเนือยเต็มทน ก่อนจะขยับตัวจากไอ้ที่ยืนเกร็งๆจนถึงเมื่อครู่มาผ่อนคลายมากขึ้น มันคงกำลังปรับตัวอยู่…ผมเชื่อว่าแบบนั้นนะ
แต่ยังไม่ทันจะอะไรเพิ่มเติม เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นแล้วหยุดที่หน้าห้อง ท่านจ้าวปู่ตัวเล็กกระโดดลงจากเก้าอี้..เดินลากชุดคลุมยาวออกไปก่อนเป็นคนแรก ไอ้พี่วันหันมาส่งสัญญาณให้ผม..แล้วเดินตามออกไปด้วย
ส่วนผมก็หันมามองหน้าโป๊ย พยักหน้าให้กัน ก่อนเดินตามออกไปเป็นคนสุดท้าย
ก้าวแรกที่ข้ามธรณีประตูออกไป ความกดดันทั้งหลายแหล่ก็ถาโถมเข้ามา
ผมไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร รู้เพียงว่าจากโพรงขนาดใหญ่ที่ผมเดินผ่านมา มีเพียงยามเฝ้าอยู่บ้างประปราย…แต่ในเวลานี้กลับต่างออกไปนัก เมื่อทุกคนที่กำลังยืนรายล้อมอยู่ตรงนั้นมีดวงตาสีอำพันแกร่งกล้า…
….นับสิบ…นับร้อยคน….. ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ลูกเล็กเด็กแดงมากมาย นางหนึ่งกระเตงลูกแฝดมาถึงสองคน…จ้องหน้าพวกผมฉงนจนต้องหลบตา พลทหารเต็มวัยยืนรายล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม กันแยกพวกเราออกจากชาวชนจระเข้ธรรมดา
หัวใจผมเต้นแรงดั่งฆ้องลั่น เบิกตากว้างกวาดตามองไปรอบๆ บรรดาผู้คนมากมายส่งเสียงกระซิบกระซาบกันไม่ได้ศัพท์…ยืนอยู่บนพื้นที่ที่น่าจะถูกเรียกได้ว่า.. ‘ท้องพระโรง’
‘…เราเป็นจระเข้ เพียงเผ่าพันธุ์ที่เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น…’
‘…จระเข้อย่างเรากำลังจะสูญพันธุ์…’ …ไม่จริง…สักหน่อย…
…….แล้วไอ้กำลังคนที่มากพอจะเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมที่ผมเห็นอยู่นี่ล่ะ…คืออะไร?
“ขอคารวะท่านจ้าวรำไพ” เสียงที่ดังก้องกังวานเช่นนั้นดังมาจากตรงกลางวง เรียกให้ผมได้สติจากความตะลึงงันดังกล่าว แล้วชะโงกหน้าสอดสายตาออกจากแผ่นหลังของพี่วัน จึงได้เห็นร่างที่คุ้นเคยทั้งสองร่างยืนอยู่ตรงกลางวง
ผมกำลังจะอ้าปากทักแก้ว…แต่ไม่ต้องทำแบบนั้น เพราะเธอเห็นผมแล้ว
แก้วทำท่าลังเลไม่น้อยว่าจะเดินมาหาผมดีรึไม่ เธอมองไปรอบๆด้วยสายตาที่พยายามข่มความตื่นตระหนกไว้ในใจ แต่เพราะเธอคงทราบดีว่าที่นี่คือรังจระเข้ และรู้จักความน่ากลัวของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ดีถึงได้อยู่เฉยๆเช่นนั้น
ส่วนผมก็โล่งอกได้เต็มที่ เมื่อเห็นว่าอีกคนปลอดภัย
โป๊ยเองก็โบกมือทักทายนิดหน่อย แล้วรีบลดมือลงมา
ไอ้พี่วันก้าวเท้าไปเคียงข้างผู้เป็นปู่ของตัวเอง ด้วยขนาดที่แตกต่างกันนั่นทำให้ร่างสูงต้องโค้มศีรษะนิดหน่อย เพื่อกล่าว
“ใช่วรรณนาแน่นอนครับจ้าวปู่”
คนถูกทักโค้งให้ แล้วขยับยิ้มบางทักทายนายเหนือหัวของตนเหมือนเช่นเคย
“เช่นนั้นรึ..?” คนฟังรับคำอย่างเลื่อนลอย ทอดสายตามองร่างบอบบางตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง “ได้ยินว่าเจ้าเป็นลูกของเจ้าพันวังงั้นรึ วรรณนา?”
เจ้าของนามโค้งศีรษะลงอีกครั้ง แล้วน้อมรับ “ใช่ขอรับ”
“สามหาวนัก!” สุรเสียงนั้นเข้มดังขึ้น สะท้อนก้องไปทั่วผนังจนผมสะท้าน
“น้อยคนนักที่รู้ความจริงข้อหนึ่งนั้น คือเรื่องที่ว่าอ้ายพันวังมีลูกมิได้ ถึงจักมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงแต่ข้าก็เอ็นดูเจ้าหนุ่มนั่นมิใช่น้อย คิดจะลบหลู่ผู้ตายด้วยคำอ้างของเจ้างั้นรึ!? เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่!?”
และไม่ว่าทุกคนในที่นั้นจะตะลึงงันกับอาการเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งจระเข้ด้วยกันเองที่ถึงกับผงะไปด้านหลังด้วยกันหมด แก้วที่ยืนเคียงข้างกับ ‘ผู้ต้องหา’ สั่นเล็กน้อย เอื้อมมือไปเกาะชายเสื้อด้านหลังของวรรณนาเอาไว้แน่น
ไอ้พี่วันขยับมือทั้งสองข้างไพล่หลังเพื่อบีบเข้าหากัน และผมรู้ว่าเบื้องหน้านั้นเขาคงข่มอารมณ์ตกใจที่เกิดขึ้นไม่ใช่น้อย…ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเช่นที่เขาทำเป็นปกติเช่นนั้น
ทว่าเพียงคนเดียวที่ไม่ตกใจกับน้ำเสียง
“…หากพูดตามจริง คงเรียกได้ว่าเป็น ‘ลูกเลี้ยง’ ขอรับ” คำนั้นทำให้จ้าวปู่เองก็สับสนไม่แพ้กัน
ผมคิดว่าความเงียบกำลังเข้าครอบงำพื้นที่แห่งนี้ช้าๆ ทั้งอุณหภูมิห้องที่ลดลงอย่างรวดเร็วนี้ด้วย…ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือตัวผมเองเนี่ยแหละที่ร้อนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกนี่
“…นามเดิมของข้าคือ ‘สุวรรณนา’ ...” ‘เขา’ ตอบ…ด้วยด้วงตาที่ไม่โป้ปดแต่อย่างใด
“เป็นมนุษย์ขอรับ”+++++++++++++++++++
ถังใบหนึ่งซึ่งถูกเติมเต็มด้วยน้ำใสจนปริ่มที่ขอบถูกวางลงที่กลางวง เด็กหนุ่มวัย17ปีคนนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าท่ามกลางเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ทั่วสารทิศ ดวงตาคู่งามทอดมองภาพสะท้อนของตัวเองบนผิวน้ำ ก่อนจะค่อยจุ่มมือทั้งสองข้างลงไปในของเหลวนั้นช้าๆ
ผิวกายเนียนละเอียดค่อยเปลี่ยนเป็นแข็งขึ้นก่อนจะแตกออกเป็นเกล็ด สีน้ำผึ้งของผิวเดิมค่อยเข็มขลับออกสีน้ำตาลอมเขียวเลื่อมทอง เสร็จจึงค่อยดึงมือออกมาประกาศตนว่าเป็นจระเข้เผ่าเดียวกัน…โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ
เสียงซุบซิบพวกนั้นทวีความดังขึ้นอีกครั้ง
ผมเห็นแก้วที่ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเบิกตากว้างผงะเท้าถอยหลังครึ่งก้าว แต่ก็ตั้งสติได้แล้วหยุดยืนเหมือนเช่นเดิม
ตึง! จ้าวปู่ตัวเล็กกระทืบเท้าครั้งหนึ่ง ทุกคนหุบปากฉับลงมาทันที
มันเป็นช่วงเวลาที่ความเงียบมีชัยอีกครั้งหนึ่ง ราวกับท่านจ้าวปู่กำลังถักทอบรรยากาศมึนตึงนั้นขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว และในที่สุด..เขาก็เอ่ยขึ้นมาเป็นคำแรก
“เจ้า” จ้าวปู่ชี้ไปที่วรรณนา “ตามข้ามา”
พวกเราขยับตัวไปด้วย
เขาจึงย้ำอีกครั้ง
“..คนเดียว” พวกเรามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า
วรรณนาดูเกร็งไม่น้อยหลังจากคำพูดนั้น เขาขยับตัวลุกขึ้นยืน สาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่คนเรียกกลับหลังหัน แล้วเดินเข้าห้องส่วนตัวไปนั้น
เด็กหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆไอ้พี่วัน
ดวงตาสีอำพันคู่นั้นมองอีกคนด้วยสายตาประหลาดไม่น้อย ก่อนจะโค้งให้
“วรรณนา” พี่วันเรียก…ก่อนที่อีกคนจะก้าวเท้าข้าวประตูไป แน่นอนว่าเจ้าของนามหยุดยืนอยู่ตรงนั้น เพียงไม่ได้หันมามอง
ผมหันกลับไปมองไอ้พี่วัน เขาไม่ได้มีท่าทีลังเล เพียงแค่จ้องไปที่คนตรงหน้าเท่านั้น
“…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…” เขาพูด
“…พี่ก็เชื่อใจเรานะ” มันเป็นช่วงเวลาที่แม้กระทั่งผมก็หยุดหายใจ
วรรณนาชะงักอยู่นาน ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ลุ้นกับคำต่อบทตรงหน้า แต่เขาเดินต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย…ซึ่งไม่ได้เกินคาดการณ์เท่าไหร่
…แต่ไอ้พี่วันทำสีหน้าเหมือนเจ็บปวดไม่น้อย
ผมลังเล คิดว่าหัวใจตัวเองก็เจ็บไม่แพ้กัน จึงค่อยก้าวเท้าเข้าไปหาเขา “พี่วัน…”
“แก้ว”
...เออ..เกือบลืมปัญหาของเราชาวมนุษย์ซะแล้วสิ… ผมหันกลับมาที่เจ้าของนามนั้น แก้วเดินเข้ามาหาโป๊ยโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด เธอมองหน้าเราสองคนสลับกันไปมา ดวงตากลมโตสั่นระริกอย่างลนลาน แม้กระทั่งริมฝีปากก็เผยอขึ้นลงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง…แต่พูดไม่ออก
โป๊ยเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน มันเป็นผู้ชายที่ไม่ถนัดในการแสดงออกกับผู้หญิง เลยทำได้แค่ลูบไหล่แก้วเบาๆ
ผมคิดว่าโป๊ยเองก็อยาก ‘ถาม’ …เพียงแต่มันไม่รู้ว่านี่ใช่เวลาอันสมควรรึเปล่า
“ไม่เป็นไรนะ..” ผมคิดว่าเราควรทำลายความเงียบตรงนี้สักที
“..ไว้จบเรื่องนี้…แล้วเรากลับกรุงเทพฯกัน” แล้วแก้วก็ร้องไห้ออกมาตรงนั้น
เธอผู้หญิงตัวเล็กที่อดทนมากๆ…กับสถานการณ์ตึงเครียดและน่าอึดอัดเช่นนี้…ในขณะที่เราต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ผมกับโป๊ยเป็นแค่ตัวประกอบฉากราคาถูก ที่แค่จับพลัดจับผลูเข้ามาก็เท่านั้นเอง
ผมล้วงๆหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้อีกคน
แก้วรับเอาไว้ซับน้ำตา แต่ไม่ได้หยุดสะอื้น
“ขอโทษที่ต้องถามนะครับแก้ว..” พี่วันเอ่ยขึ้นมา..ด้วยน้ำเสียงที่ถูกปรับให้อ่อนโยนมากที่สุดแล้ว “…วรรณนากับแก้ว…เกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ?”
เธอยกมือโบกไปมา กำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่นจนมือแดงไปเสียหมด พอเอ่ยปากจะพูดทีนึง..ก็หอบทีนึงจนไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไร
แก้วเงยหน้ามองผม ช้อนดวงตาแดงก่ำนั่นขึ้นมาราวกับจะบอกอะไรสักอย่าง
ผมพยักหน้าช้าๆ ไม่คิดว่าตัวเองต้องมายืนอยู่ ‘ตรงกลาง’ เหมือนกัน
“คือ…ไกรเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักหรอก แค่รู้เท่าที่คิดๆรวบรวมมาเท่านั้นเอง ถ้าผิดก็ช่วยแก้ด้วยนะ”
ผมเอ่ยเสียงเอื่อย กระแอมกระไอเสียหนึ่งหน แล้วหันไปมองไอ้พี่วัน
“…ข้างในนั้น…คงเป็นพี่สุวรรณนา พี่สาวฝาแฝดของแก้วน่ะ…” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เรียกได้ว่าการประหลาดใจแล้วของเขา..ที่เป็นพวกเก็บอารมณ์เก่งน่ะนะ
“พี่ไม่เข้าใจ..?” พี่วันยังคงทวนคำ “ถ้าเป็นพี่สาวฝาแฝดของแก้ว…ที่เป็นมนุษย์? แล้วทำไม…?”
“…ร่างกายของจระเข้ตัวหนึ่ง…ที่ตายตั้งแต่ยังอยู่ในไข่น่ะค่ะ…” แก้วสูดลมหายใจ และเอ่ยตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตะกุกตะกัก
“แก้วก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่เป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่างที่คล้ายกับการเก็บร่างของพี่สุวรรณนาที่ไกรเห็นที่บ้านจ้ะ ต่างแค่ครั้งนี้เก็บร่างของจระเข้นั้นไว้ เป็น..คล้ายกับเป็น….
ภาชนะรองรับดวงวิญญาณ….”
ดูเหมือนพี่วันเองก็ยังไม่เข้าใจคำพูดนั้นด้วยซ้ำ
เขาขมวดคิ้ว แล้วรำพันกับตัวเอง “พี่เห็นวรรณนา…ตั้งแต่ยังเล็กมาด้วยซ้ำนะ..?”
“แก้วก็เสียวิญญาณของพี่สาวไป…ตั้งแต่ยังเล็กมากเช่นกันจ้ะ”
“แต่มันก็…”
“เอาล่ะ ไกรจะสรุปให้นะ” ผมคิดว่าการนั่งเถียงกันอย่างนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ “คือมีจระเข้ตัวนึงที่ตายตั้งแต่ยังอยู่ในไข่ แล้วท่านอาพันวังก็เอาดวงวิญญาณของพี่…สุวรรณนา ใส่ลงไปใช่มั้ย? ทีนี้ก็เลี้ยงดูฟูมฟักบอกว่าเป็นลูกของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก จนโตป่านนี้…พอท่านอาพันวังตายไป รังจระเข้ที่กรุงเทพฯก็แตกกระจาย วรรณนาก็หายไปด้วย….แล้ววรรณนาก็มาหาแก้ว แล้วก็มาที่นี่??”
“ก็เมื่อวาน…ตอนที่ไกรหายไปนานๆน่ะ แก้วคิดว่าไกรต้องไปหาพี่วันแน่ๆ แก้วก็เลย…ก็เลยคิดว่าถ้าจู่ๆแก้วหายตัวไป ไกรต้องมาถามพี่วันแน่ๆจ้ะ”
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ต้องขอโทษที่หลอกใช้ไกรด้วยนะจ้ะ แต่พี่สุวรรณนา…หนีมาอยู่กับแก้วด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราเป็นฝาแฝดกัน ความทรงจำเลยยังเชื่อมกันอยู่บ้างน่ะจ้ะ”
แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “แล้วทำไมวรรณนาต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
“…แก้วเองก็ไม่รู้หรอก” เธอส่ายหน้า “แค่…พี่สุวรรณนาบอกว่าอยากพบ..เอ่อ..ท่านจ้าวรำไพน่ะจ้ะ”
ทุกสายตาหันกลับไปมองที่ทางเดินเข้าห้องส่วนตัวของท่านจ้าวปู่อีกครั้งหนึ่ง อะไรบางอย่างบอกผมว่าจ้าวปู่รำไพรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นชอบกล
“แต่พี่มีคำถาม”
ไอ้พี่วันเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเบาๆ
“เกิดแก่เจ็บตายเช่นจระเข้เป็นเรื่องปกตินะครับ แล้วทำไมแค่จระเข้ตายในไข่เพียงตัวเดียว…ท่านอาพันวังถึงต้องยอมประกอบพิธีกรรมปลุกชีพนั่นขึ้นด้วยล่ะ?”
ผมคิดตามไอ้พี่วันไปทีละประโยคช้าๆครับ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งนั้น
“…ร่างกายที่เรียกว่า ‘ภาชนะ’ นั่นน่ะ…มีความสำคัญอะไรรึเปล่า?” คำถามนั้นเหมือนหลุดออกมาทั้งเสียงแหบแห้ง
เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมคิดว่าไอ้พี่วันรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะผมนี่แหละที่ยังงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ รู้สึกวันนี้ดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหลายมามากเกินไปจนหัวระเบิด เลยต้องขมวดคิ้วหันกลับไปมองหน้าแก้ว
เธอเองก็จ้องตาพี่วันอยู่เช่นกัน
แล้วพยักหน้า..คล้ายกับว่าเรื่องนี้ช้าหรือเร็วก็ต้องบอกอยู่ดี
“แก้วเองก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้ชัดเจนจ้ะ…แต่พี่สุวรรณนาบอกแก้วว่า…เหตุผลที่คุณพันวังเก็บร่างนี้ไว้เพราะมีความสำคัญต่อตัวเขามาก มีความสำคัญต่อจระเข้ทั้งหลายมาก…”
มันคือห้วงจังหวะที่ถูกเว้นไว้ ที่ผมนึกอยากจะให้ตัวเองหมุนเวลาให้เร็วขึ้นอีกสักหนึ่งวินาทีก็ยังดี
“…ร่างกายนั้น…เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของ ‘จ้าว’ น่ะค่ะ”TBC===========================