ขอเข้ามาเพิ่มตอบเม้นท์ของผู้อ่านนะคะ ตัวนี้เป็นของบทที่ 4 แต่เพราะอยู่คนละหน้ากัน ดิฉันผู้อ่อนด้านไอที จึงไม่รู้ว่าจะจับให้ quote อยู่ในคอมเม้นท์เดียวกันอย่างไร เลยต้องกอปมาใส่เวิร์ดแล้วค่อยมาลง (พยายามมากๆ)
BlueCherriesเพิ่งเคยอ่านคุณแป้งจี่บรรยายบรรยากาศภูมิทัศน์ที่ไม่ใช่ในไทย รู้สึกแปลกๆดี
(ส่วนใหญ่จะติดแนวบ้านสวน ตจว.)
----
อันนี้เป็นเวอร์ชันสาวบ้านป่าโกอินเตอร์ค่ะคุณบลูฯ หวังว่าจะชอบนะคะ แต่ตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าความสัมพันธ์จากพี่น้องจะขยับยังไงต่อ
----
อ่านไปเรื่อยๆ นะคะ เขารักกันไม่ยากหรอกค่ะ โฮะๆๆ♠DekDoy♠ตรังอาจจะนิสัยเด็กผู้ชายสมัยอนุบาลที่ชอบแกล้งด็กผู้หญิงที่ตัวเองชอบ
----
ใช่เลยค่ะ ตรังเป็นเด็กผู้ชายอนุบาลตัวล่ำๆ คนหนึ่ง 55+-west-ตอนนี้ยังไม่ขยับอย่างใจนึกเลยค่ะ แต่มีจับมือกันจึ๋งนึงแล้ว ถึงจะหนักหน่วงไปหน่อยก็เถอะ
อ่านแล้วรู้สึกไม่พอ อยากอ่านต่อเรื่อยๆ ขืนมาเจอรวดเดียวตอนจบแล้วคงอ่านยันเช้าแน่ๆ ลุ้นตรังเหลือเกิน บทพูดน้อยแต่มีเสน่ห์มากก
----
คู่นี้เขาค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปกันนะคะ ยังไงคุณเวสต์ก็เข้ามาอ่านเรื่อยๆ เลยค่ะ (เดี๋ยวดิฉันจะไปอ่านนิยายเรื่องใหม่ของคุณเวสต์ด้วยนะคะ)sirin_chadadaอ่านแต่ละตอนแล้วรู้สึกว่าคนเขียนน่ารัก... ไม่ได้อวยเลยนะ ฮา
ไม่รู้ทำไมเราจิ้นพี่เนย์กับแพนเป็นพักๆ รู้สึกว่าเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วตลกดี
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
----
จริงๆ คนเขียนก็น่ารักนะคะ 55+ เขิน (ความจริงคือ แป้งจี่ฯ ถึกที่สุด ฮือๆๆ) ส่วนพี่เนย์กับน้องแพนนั้น สามารถจิ้นได้ตามสบายเลยค่า อยากบอกว่าแพนเหมือนกับหมาชิสุตัวเล็กๆ ที่คอยแง้งๆ ตลอดเวลาOnlyminเข้ามาเก็บสามตอนรวดเลย
----
ขอบคุณค่า อย่าลืมเข้ามาเก็บเรื่อยๆ นะคะ จุ๊บB52เป็นเราไม่ได้จะผูกใจเจ็บนานๆมาทำนิสัยไม่ดีใส่ *ฉากเมืองโผล่มาเป็นฉากๆ เลยค่ะ
----
ดิฉันขี้สงสารนิดนึงค่ะ ก็เลยทรมานฮีไม่ได้นาน ดีใจนะคะที่ทำให้เกิดภาพขึ้นมาได้ ขอบคุณมากๆ ค่ะQix9y_เป็นการบรรยายที่ฟีลกู๊ด ชอบภาษาการเขียนมากเลย บรรยายได้ละเอียดทำเอาอยากไปเรียนที่อินเดียเลยค่ะ
แค่คิดว่าเจอเด็กไทยที่นั่นมั่ง มันคงจะเป็นอะไรที่ฟินมาก
นึกถึงสองคนนี้คบกัน คงเป็นคู่ที่เงียบๆน่ารักๆแน่เลย เพราะแต่ละคนดูไม่พูดมาก
----
อยากเรียนก็แนะนำให้ลองไปเรียนเลยค่ะ 55+ สนุกดีค่ะ ได้เจออะไรที่เราไม่ได้เจอ โดยเฉพาะการรับมือกับคน (เอ่อ...) ความจริงแล้วตรังกับตาลนี่เขาพูดมากกันนะคะ แต่กำลังตั้งแง่ ก็เลยลองเชิงกันอยู่ หุหุimissyouอ๊ะอ๊ะ
นิยายใหม่
----
ฮั่นแน่ เข้ามาอ่านแล้วขอให้รักให้หลง 55+ เดี๋ยวขอท่องก่อน ตัวเป็นของกู ใจเป็นของกู เสพสมแต่กายกู 555+อันนี้ตอบเม้นท์ของตอนที่ 5 ค่ะ ตรังคะ ตอนหม่ำๆข้าวเนี่ย..
เลือกคำถามหน่อยก็ดีนะโว้ยยย
แหม่ เด็กอาไร๊ เกรียนจุง
ใช่ไหมคะคุณบลูฯ เด็กคนนี้น่าจับตีก้นเนาะ
ตอนนี้อ่านแล้วอยากเรียกไอ้ตรังทั้งตอน
เด็กอะไรกวนประสาทมาก
แล้วตอนกินข้าวชวนคุยเรื่องอะไรไม่ชวนนะ มันน่าตีนัก
ตีมันเลยค่ะ จัดหนักสำหรับเด็กคนนี้
เราไม่ได้รู้สึกไปเองใช่มั้ยยย ว่ามีซัมติงรองระหว่างเนย์กกับแพนน
โมเม้นคู่นี้บรรยายได้ดูน่ารักและละมุนมาก
ซึ่งต่างจากตรังโดยสิ้นเชิง แกเป็นอาร้ายยยยยยย ทำไมสามวันดี สี่วันไข้
ถามหน่อย แล้วไหนจะประโยคทิ้งท้ายนั่นอีกกก ทำเอาค้างกันเลยล่ะทีนี้
ผู้ชายเลือดลมไม่ดีก็อย่างนี้แหละค่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เหมือนวัยพายุบุแคมไงคะ (ฮา) สำหรับประโยคทิ้งท้าย เดี๋ยวมาเฉลยในตอนต่อไปนะคะ
ตามคุณ West มาอ่านค่ะ
เห็นชื่อเรื่องแล้วแต่ไม่ได้เช็คชื่อคนเขียน เอาจริงๆก็คือไม่เคยเช็คชื่อคนเขียนนอกจากตามลิงค์ที่แปะเรื่องที่กำลังอ่านอยู่จนเคยเจอว่าอ่านๆไปเอีะ เขียนแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ไปดูชื่อก็เป็นคนที่เคยอ่านและชอบ 5555
เรื่องนี้จะเรียกว่าเป็นนิราศก็คงได้กระมัง อ่านเพลินและมากๆค่ะ ชอบการเขียนแบบของคุณแป้งจี่ ไปแบบนุ่มๆ ที่ชอบมากๆก็คือตรงที่แทรกความคิดส่วนตัวของตาลลงไปนี่ค่ะ ทำให้เริ่มมองเห็นตาลในมโนภาพจากแต่ก่อนที่แค่รู้สึก ตรังนี่เด็กเกรียนไมีทราบว่ามีปัญหาในการอยู่ร่วมกับคนอื่นหรือเปล่าถึงออกจากบ้านที่เอเจนซี่จัดไว้ให้แต่ท่าทางอ่อนลงเยอะจากที่มาแบบแรงๆซึ่งอาจจะเพราะว่าได้คลุกคลีกันจนเห็นว่าไม่ได้แย่เท่าที่คิดไว้ คู่เนย์-แพนน่าคิดมากๆค่ะโมเม๊นท์นั้นที่ตาลเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั่วคราว
ขอบคุณนะคะที่ตามมาอ่าน และปลื้มมากๆ ที่บอกว่าชอบการใช้ภาษา จะพยายามให้ดีขึ้นกว่านี้ค่ะ ส่วนหนูตรังเขามีปัญหาทางจิตไหม (?) เดี๋ยวตามติดต่อไปคงได้รู้ค่า
เพลงที่ซิมาร้องนั้นคลอบคลุมได้เยอะค่ะ ไม่ว่าจะอยู่วรรณะอะไรรวยแค่ไหนครงนี้ก็ตามไปค่ะ อย่างคนอินเดียที่ย้ายไปอยู่อังกฤษก็เห็นว่าเยอะอยู่ที่ลูกๆแต่งกับคนอินเดียด้วยกัน บางคนกลับมาที่ประเทศแม่เพื่อหาคนแต่งงาน
จริงเลยค่ะ เพื่อนที่เรียนด้วยกัน เขาเล่าให้ฟังว่า แม้แต่คนที่อยู่สหรัฐก็จะหาลูกเขยลูกสะใภ้จากแวดวงคนอินเดียด้วยกัน หรือบางคนก็อย่างที่คุณฟรียาว่า ต้องกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อหาคู่แต่งงานให้ลูก คนฐานะร่ำรวยนี่ยังโอเคนะคะ แต่ถ้าคนที่ฐานะทางฝ่ายหญิงไม่ค่อยดีนี่ก่อให้โศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญเชียวค่ะ เดี๋ยวจะพยายามแทรกไว้เนื้อเรื่องนะคะ คือบางเรื่องนี่เราฟังแล้วตกใจมากๆ เฮ้อ
อ่านเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งอ่านไดอารี่ของตาล
พี่เนย์กับแพน คืออะไร?
เพย์กับแนน แพนกับเนย์? อิอิ ต้องรออ่านต่อไปค่า
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงบรรยากาศสมัยเรียนที่อินเดียเลยค่ะ เราเคยเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำที่ Ooty อยู่สามปีครึ่ง
ว้าย สวัสดีค่า โดยส่วนตัวพี่ไม่ได้เรียนที่อูตี้เลยค่ะ แต่มีคนรู้จักอยู่ประจำที่นั่น สามปีนี่นานพอดูนะคะ ส่วนพี่อยู่ที่อินเดียประมาณเจ็ดปีค่ะ นาน
คนเขียนบรรยายได้ละเอียดมากๆแบบที่อ่านจบบทแรกเราก็มั่นใจเลยว่าคนเขียนต้องเคยไปเรียนไม่ก็ไปทำงานที่บังกาลอร์แน่นอน เพราะขนาดเราอินเดียหลายปียังไม่รู้รายละเอียดเยอะขนาดนี้ (อาจจะเป็นเพราะเป็นนักเรียนประจำ ไม่ค่อยได้ออกไปนอกโรงเรียนด้วยละมั้ง เทอมนึงออกได้ครั้งเดียวแต่เราก็ไม่เคยออกเพราะไม่มีผู้ปกครองมารับ)
เคยไปพระราชวังที่ไมซอร์มาครั้งนึง ยิ่งใหญ่จริงๆค่ะ
พอดีเขียนจากความทรงจำจ้า ก็เลยละเอียดนิดนึง แต่ตอนนี้ก็ค่อนข้างเลือนแล้วนะคะ เพราะนานปีไม่ได้กลับไป พูดถึงโรงเรียนประจำที่นั่น เขาเข้มงวดกันมากเลยนะคะ โดยเฉพาะ warden ที่ดูแล เขี้ยวลากมาก 55+ กว่าจะขอออกมาได้นี่แทบตาย ส่วนพระราชวังที่ไมซอร์ ไปชมกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลย สวยงามจริงๆ แม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ศิลปะการก่อสร้างและภาพตามผนังนี่ โหย เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนกับถูกพาไปสู่ช่วงเวลาในอดีต แถมยังเย็นเจี๊ยบตลอดเวลาไม่ว่าฤดูไหน
ตอนที่เราอ่านช่วงที่เกี่ยวกับการนั่งริคชอว์ เราก็แอบงงว่าเค้าเปิดมิเตอร์กันด้วยหรอ เพราะเราเคยนั่งอยู่สามสี่ครั้ง แต่แทบไม่มีคนขับคนไหนเลยที่เปิดมิเตอร์ ขนาดเราชี้ๆไปที่มิเตอร์ เค้าก็พูดๆว่ามันไม่ทำงานหรืออะไรซักอย่าง เราก็เลยนึกว่าเค้ามีมิเตอร์ไว้ประดับเฉยๆ มีคันนึงยอมเปิดมิเตอร์ แต่เค้าก็พาเราขับวนพร้อมไปจอดหน้าห้างอะไรก็ก็ไม่รู้แล้วก็บอกให้ลงๆไปดูก่อนซะงั้น (คนขับน่าจะได้ค่าคอมที่พาลูกค้าเข้าห้าง) แต่เราเป็นนักท่องเที่ยวก็คงต้องทำใจว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติ 555
ขอยืนยันเลยค่ะ ว่าที่บังกะลอร์เขาเปิดมิเตอร์กันหมด ถ้าคันไหนไม่เปิดนี่ไม่ต้องขึ้นนะคะ เดินหนีทันที ด้วยความที่อยู่ที่นั่นเกือบเจ็ดปี และต้องนั่งริกชอว์จากบ้านพักไปมหาวิทยาลัยทุกวัน (ไป-กลับ) จึงเสียเงินกับการเดินทางอย่างนี้มาก บ้านที่พักเนี่ยระยะทางค่อนข้างพิพักพิพ่วน คือ อยู่ไกลเกินกว่าจะเดินมาเรียนได้ และอยู่ใกล้พอที่จะถูกริกชอร์กดราคา คือ ส่วนใหญ่ก็จะจ่ายประมาณ 20 รูปี แต่คนขับก็จะเห็นว่าราคานี้มันไม่ค่อยคุ้มค่าน้ำมัน เลยต้องต่อฝีปากกันพอสมควร ส่วนเรื่องพาไปดูร้านนั่นร้านนี่ เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นต่างชาติด้วยแหละค่ะ พี่นี่พอเห็นอย่างนั้นก็บอกว่า พาฉันไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตกลงกันไว้ก่อนเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะลงและไม่จ่าย (ฮา) ชีแอบแรง
ป.ล. ที่ Ooty เป็นเนินเขาจริง แต่เราไม่เคยเห็นทุ่งดอกไม้เลยนะ รอบๆโรงเรียนเราเป็นแปลงผักไม่ก็นาซะส่วนใหญ่ 555
55+ ความจริงแล้ว สารภาพเลยว่าไม่เคยไปอูตี้ เคยแต่ได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง แต่กอปรกับมันนานมาแล้วเลยเลือนไปบ้าง เลยใช้จินตนาการเขียนเอา ถ้ามันไปขัดกับความจริงก็ขอโทษด้วยนะคะ แต่ภาพอูตี้ (ที่อยากไปเที่ยวมากๆ) นี่เป็นเหมือนแดนสวรรค์สำหรับดิฉันเลยนะคะ คือ อากาศหนาว ทุ่งดอกไม้ ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี และรวมแปลงผักและทุ่งนาก็ได้ค่ะ 55+
อ่านแล้วเหมือนเราได้ไปอยู่อินเดียด้วยเลยค่ะ
แพนกับพี่เนย์นี่ยังไงงงงงงง
ดีใจนะคะที่ทำให้เหมือนกับได้ไปอยู่ที่ฉากในนิยาย สำหรับคนเขียนแล้ว ถ้าพาผู้อ่านเคลื่อนผ่านจากโลกจริงไปสู่โลกนิยายได้ ก็นับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ส่วนพี่เนย์กับแพนเห็นทีจะเป็นเหมือนที่คุณคิดนั่นแหละค่ะ (ฮา)
ห่ะเเต่งหญิง เดี๋ยวนะเดี๋ยว.
คือบางทีนางก็กวนตียเกินไปนะ
ตาลระเบิดขนาดนี้ยังกวนต่อได้
ใช่ค่ะ ผู้ชายกวนบาทาอย่างนี้ ต้องจับมาหยิกติ่งหูเสียให้เข็ด (ลงโทษแบบนี้คือแรงแล้ว? 55+)
อ่านแล้วคิดถึงอินเดียมากมาย เราเคยไปทัศนศึกษามา 1เดือน ใช้ชีวิตอยู่กับคนอินเดียพออ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คิดถึงเวลานั้น มันใช่เลยอ่า 5555
รู้สึกเหมือนเป็นกระทู้นิยายรวมศิษย์เก่าเลยนะคะ ฮ่าๆ ยังไงก็เข้ามาอ่านอีกนะคะ เพราะปรกตินิยายส่วนใหญ่จะใช้ฉากเมืองไทยบ้าง จีนบ้าง ไต้หวันบ้าง หรือไม่ก็ทางฝั่งอเมริกาหรือยุโรป เอาเป็นว่า มาอ่านอะไรที่ใช้ฉากหลังเป็นแดนชมพูทวีปบ้างก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนรสชาตินะคะ อิอิ
ตอนต่อไปขอเกลาภาษาก่อนนะคะ เดี๋ยวเอามาลงให้
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ ได้กดบวกคะแนนไปให้แล้ว (บางท่านที่ดิฉันกดคะแนนให้เมื่อคืน ตอนนี้ยังกดเพิ่มไม่ได้นะคะ เพราะยังไม่ครบรอบวัน เง้อ ยกยอดไว้งวดหน้านะคะ)