ตอนที่ 22
ฆ่าได้ฆ่า
ความรักของผมนับว่าเรียบเรื่อยด้วยดี แต่การงานของผมนี่สิ...
“นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!”
ผมตะโกนลั่นขณะจ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่กะพริบ หวังว่าแค่ตาฝาด แต่ไม่ว่าจะตะแคงมองยังไง...นี่ก็คือผลงานของผม คือเครื่องประดับของดาราลัยจิวเวลรี่ที่จะประกาศขายในวันพรุ่งนี้ แต่กลับถูก...บริษัทคู่แข่งตัดหน้าด้วยผลงานที่เหมือนกันราวกับแกะ!
ใครมันกล้าขโมยผลงานผม!
ช่างเรื่องตัวการก่อน เพราะตอนนี้โทรศัพท์ของผมมีข้อความเข้ารัวๆ ถึงการเรียกประชุมเร่งด่วน ผมรีบโทรหาพี่โชค ซึ่งปกติแล้วจะนั่งเฝ้าอยู่ล็อบบี้คอนโดฯ เผื่อมีเรื่องเร่งด่วน ก่อนจะรีบนั่งรถบึ่งไปบริษัท เพื่อหาคำตอบว่า...งานของผมไปโผล่ในนามของคนอื่นได้ยังไง!!
ที่น่าโมโหคือเครื่องประดับชิ้นนี้ยังถูกปรับแก้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ผมเพิ่งประชุมลงความเห็นกันเมื่อสัปดาห์ก่อนด้วย ตอนนั้นต้องทะเลาะกับฝ่ายช่าง ทะเลาะกับทีมบริหารตั้งนานเนื่องจากใกล้จะถึงวันวางขาย ซึ่งก็เป็นต้นเหตุให้ผมเมาหัวราน้ำจนได้ไปนอนที่ห้องศศิน แต่คุณครับ...ขนาดผมยังทะเลาะกับทีมงานแทบตายกว่าจะได้ตามต้องการ แต่เจ้าบริษัทคู่แข่งก็ยังอุตส่าห์ได้แบบแก้ไขไปด้วย นี่มันยิ่งกว่าวงในแล้ว!!
ไม่สิ ถ้าเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหาร หนึ่งในทีมงาน ทีมออกแบบ ทีมมาร์เก็ตติ้งที่ต้องรู้รายละเอียดของสินค้าเป็นอย่างดีก็ใช่ว่าจะข้อมูลรั่วไหลไม่ได้ แต่ผู้ต้องสงสัยมีเยอะมาก จะจับมือใครดมได้ล่ะเนี่ย!!
เพราะนึกอะไรไม่ออก ผมเลยโทรหาฝ่ายรักษาความปลอดภัยให้ช่วยดูกล้องวงจรปิดเพื่อจับคนร้าย แต่พอโดนถามว่าให้ดูวันไหนบ้าง ที่ไหนบ้างก็ไปต่อไม่ถูกเพราะนี่มันสมัยไหนกันแล้ว แค่ขโมยผลงาน...ไม่เห็นต้องหยิบให้เห็นโต้งๆ เลย ในเมื่อแต่ละคนล้วนมีโอกาสเข้าถึงสินค้า แค่เอากล้องถ่าย ทำทีเหมือนคุยงาน แต่จริงๆ แล้วส่งภาพให้ศัตรูก็ทำได้ไม่ยากเย็น
ผมดึงทึ้งศีรษะตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก
“คุณวาครับ นายโทรมา”
ก่อนจะเงยหน้ารับโทรศัพท์ของพี่โชค เพราะโทรศัพท์ของผมตอนนี้มีคนโทรเข้าสายแทบไหม้
[ที่รักจ๋า ที่รักรับจ็อบพิเศษด้วยเหรอ]
“จ็อบพิเศษอะไรล่ะ มันลอกผลงานวาต่างหาก!” ได้ยินคำทักของศศินผมก็ระเบิดลงทันที ต่อด้วยคำด่ายาวเหยียดอีกเป็นชุด เหมือนมีคนมาให้ระบายพอดีเลยจัดหนักจัดเต็ม “ถึงเครื่องประดับที่ปรับเป็นสร้อย เป็นกำไล หรือเข็มขัดได้จะไม่แปลกใหม่อะไร แต่ดีไซน์มันเหมือนกันเป๊ะเลย! เหมือนกระทั่งขนาดของทับทิมที่ประดับบนตาค้างคาว! ศินดูสิ ขนาดทรงฟักทองที่วาออกแบบใหม่ให้ไม่เหมือนใครยังเหมือนเลย! หางแมวที่ม้วนน่ารักน่าชังก็ด้วย! แถมยังใช้กลยุทธ์เหมือนกันอีก! ทั้งเรื่องเปลี่ยนสีอัญมณีได้ คละแบบคละลายได้ มันเกินไปแล้ว! ศินจำได้มั้ย เมื่ออาทิตย์ก่อนวาขอปรับขนาดความยาวก็ยังอุตส่าห์ปรับให้เหมือนกันด้วย ใครมันหักหลังวา!”
[ทีมช่างรึเปล่า ช่วงนี้ที่รักจ๋าคุยกับทีมช่างเยอะที่สุดไม่ใช่เหรอ]
“ก็จริง แต่ทีมช่างก้มหน้างุดๆ คอยเจียระไนเพชรทั้งวันจะมารู้เรื่องการโปรโมตได้ยังไง จงใจลงตัดหน้าขนาดนี้แสดงว่าต้องรู้ว่าวากำลังจะขายสินค้าวันพรุ่งนี้! ต่อให้เป็นหัวหน้าช่างยังไม่รู้เลย!! แล้วยังเรื่องราคาอีก วาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฝ่ายช่าง!”
[เอ...หรือจะเป็นทีมการตลาดน้า]
ฟังเสียงระรื่นของเขาผมก็ยิ่งปรี๊ด
“วาก็สงสัยเหมือนกัน แต่ฝ่ายการตลาดก็ได้แค่รูปถ่าย! ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แล้วเขาจะสามารถสร้างเลียนแบบได้เหมือนเป๊ะทุกระเบียบนิ้วได้ยังไง ไม่มีทาง!!”
[ฝ่ายทีมออกแบบล่ะ ที่รักสนิทกับทางนั้นมากไม่ใช่เหรอครับ อาจจะเผลอหลุดก็ได้นะ]
“ศินเห็นวาเป็นคนแบบไหน จะไปหลุดเรื่องแผนโปรโมตกับฝ่ายออกแบบที่วันๆ เจอหน้าเป็นจับกระดาษมาวาดรูปใส่กันน่ะเหรอ ถึงวาจะสนิทกับฝ่ายนี้ที่สุดก็ไม่หลุดปากหรอก! นั่นเป็นช่วงเวลาแสนสุขของวาเลยนะ จะเอาเรื่องปวดหัวของทีมการตลาดมาทำให้เสียอารมณ์ทำไม บ้าบอ!”
[งั้นทีมบริหารล่ะ ที่รักจ๋าเพิ่งประชุมกันเมื่อวานเองนี่]
“กับพวกผู้ใหญ่หัวคร่ำครึ ชอบหาว่าวาทำให้ดาราลัยจิวเวลรี่ดูไม่ไฮแฟชั่นน่ะเหรอ...แค่เอาแบบโยนใส่แล้วอธิบายแผนงานทั้งหมดก็ประสาทเสียจะแย่แล้ว พวกนั้นเอาแต่บอกว่าเจาะตลาดให้เข้าถึงวัยรุ่นมากขึ้นนั้นไม่คุ้มทุน สู้ออกแบบให้หรูหราไม่อิงตามงานเทศกาลแต่เน้นที่มูลค่าราคาจะดีกว่า เกลี้ยกล่อมกันจนวินาทีสุดท้าย ขนาดมีลุงสมชิดช่วยวายังแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย แค่ทะเลาะก็เสียเวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว พวกรายละเอียดเจาะลึกน่ะแทบไม่ได้พูดถึงเลย!”
[เอ๊ะ หรือจะเป็นลุงสมชิด]
“ลุงสมชิดทำงานกับแม่วาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น เห็นวาตั้งแต่แรกเกิดจนตัวโตมาขนาดนี้ เป็นคนเก่าคนแก่แถมยังเป็นคนของพี่นทีอีก ต่อให้ลุงสมชิดไม่เห็นชอบกับวา แต่ไม่กล้าหักหลังพี่นทีแน่ๆ อีกอย่างลุงสมชิดไม่เห็นจะได้ประโยชน์เรื่องนี้เลย นอกจากตกงานตอนแก่ ปีนี้ลุงสมชิดอายุหกสิบแล้ว แถมลุงแกไม่มีลูกไม่มีเมีย ไม่เล่นพนัน ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย แทบไม่มีแรงจูงใจอะไรเลย”
[คิดดีๆ สิครับที่รัก ถ้าไม่ใช่ลุงสมชิดก็ไม่เหลือใครแล้วนะ]
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่ลุงสมชิด วาบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ลุงสมชิด! ถึงก่อนวาจะทำอะไรก็ปรึกษาลุงสมชิดทุกอย่าง แต่ไม่ใช่เขาแน่นอน เพราะนอกจากลุงสมชิดแล้วคนที่คอยดูแลโปรเจ็กต์และช่วยติดต่อกับทุกๆ แผนกก็คือ...”
[ใครเหรอครับที่รักจ๋า]
ผมชะงัก...เพิ่งมารู้ตัวหลังสติแตกไปหลายรอบว่าที่แท้...ศศินก็ช่วยผมระบุตัวคนร้ายอยู่
ทั้งที่ตอนแรกคิดหัวแทบระเบิด จับมือใครดมไม่ได้ แต่พอมานั่งไล่เรียงจากแรงอารมณ์ ซึ่งมาจากจิตใต้สำนึกจริงๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปน เรื่องที่คิดว่ายากก็คล้ายจะง่ายขึ้นมาซะอย่างนั้น
ตัดทีมช่าง ตัดทีมการตลาด ตัดทีมออกแบบ ตัดทีมผู้บริหาร ตัดลุงสมชิด...
ก็เหลือความจริงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!
[หัวโล่งขึ้นมั้ยครับ]
“อืม โล่งขึ้นแล้ว” ผมเอ่ยเสียงอ่อน เพราะน้ำเสียงของศศินนั้นแม้จะน่าโมโห เริงร่าได้ไม่ดูจังหวะเอาซะเลยว่าผมกำลังหัวเสีย แต่ก็เพราะความขี้เล่นของเขาซึ่งชอบเย้าแหย่ให้ผมอาละวาดนั่นแหละที่ทำให้ผมตาสว่าง...
ใครเลยจะรู้วิธีรับมือนาวาได้ดีเท่าศศิน
ขนาดตัวผมเองยังขอยอมแพ้
“โคตรรักนายเลยศิน”
[อะไรนะที่รัก พูดใหม่อีกทีซิ ขอฉันอัดเสียงก่อน ที่รักจ๋า ที่รัก!]
ผมวางสาย ก่อนจะเสยผมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ไม่เสียสติจะเป็นจะตายอีก ขนาดตัวไม่อยู่ก็ยังโทรมาช่วยดึงสติผมด้วยประโยคแค่ไม่กี่ประโยค แล้วแบบนี้จะไม่ให้รักเขาได้ยังไง
กับคนที่ทำผมมากขนาดนี้จะไม่ให้รักตอบได้ยังไง
คนร้ายมีเพียงหนึ่งเดียว
แต่เพราะไม่มีหลักฐาน แม้จะรู้อยู่แก่ใจ สงสัยอยู่กับอก ผมก็ไม่คิดเปิดโปงให้เหยื่อตื่นตูม
เหมือนกับที่รู้ว่าตวันลอบคบกับพาฝันลับๆ ก็ไม่เอาหลักฐานมาแฉทั้งคู่ต่อหน้า ค่อยๆ วางกับดักล่ออยู่เบื้องหลัง รอให้พวกเขาติดกับกันเอง โดยที่นาวาคนนี้นั่งไขว่ห้างรอรับชม
“แกใช่มั้ยที่แอบติดต่อกับบริษัทนั้น!”
“ผมจะทำไปทำไม หรือว่านายนั่นแหละที่ทำแล้วร้อนตัว คุณนาวาครับ หมอนี่แน่ๆ ผมเคยเห็นเขาซื้อเครื่องประดับของบริษัทนั้น!”
“ฉันซื้อมาศึกษา! ไม่ได้คิดจะอุดหนุน ถ้าไม่ใช่แก...งั้นก็เธอ เธอนั่นแหละเป็นคนทำ!”
“อย่ามาโทษฝ่ายการตลาดนะ สินค้าที่ออกมาไม่เกี่ยวกับทางเรา! เรามีหน้าที่แค่คิดแผนโปรโมตเท่านั้น!”
“เห็นมั้ยล่ะว่าการลองอะไรใหม่ๆ มันลอกเลียนแบบง่ายๆ ถ้าเกิดทำให้เรียบหรู คงคอนเซ็ปต์เดิมของดาราลัยเข้าไว้ ทางนั้นก็คงไม่กล้าเลียนแบบหรอกเพราะเราเน้นเครื่องประดับออกงาน ส่วนบริษัทนั้นเน้นเครื่องประดับใส่ในชีวิตประจำวัน แทนที่จะได้ตีตลาดดึงกลุ่มลูกค้าทางนั้นมา กลายเป็นฝ่ายเราเสียหายกว่าเดิม!”
เข้าที่ประชุมปุ๊บอารมณ์ที่เริ่มจะดีขึ้นก็พลันคุกรุ่นในทันที ผมนั่งกอดอกอยู่ตรงหัวโต๊ะ รู้สึกเหมือนตกอยู่ในสงครามน้ำลายที่ต่างฝ่ายต่างโทษโยนความผิดกัน แต่ละคนพากันลนลานเสียสติ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมก็เป็นเหมือนกัน
“พี่โชค ขอฉาบหน่อย”
“อะไรนะครับ?”
“ไปหยิบฉาบที่ใต้ชั้นหนังสือในห้องทำงานให้หน่อย ฉันซื้อไว้เมื่อเดือนก่อน อยากจะใช้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาส”
พี่โชคทำหน้ามึนๆ เดินจากห้องประชุมที่ยังทะเลาะกันจนคนฟังชักจะปวดหู ผมนวดขมับพลางหันไปยิ้มบางให้เลขาฯ ข้างตัวที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอย่างปลอบใจ เลขาฯ คนนี้เคยทำงานกับตวันมาก่อน ค่อนข้างเงียบ ทำงานดี ผมเลยชอบมากและจ้างต่อแม้ตวันจะลาออกไปแล้ว
ไม่นานพี่โชคก็เดินเข้ามาพร้อมฉาบอันใหญ่ ผมลุกขึ้น ถือมั่นทั้งสองมือ ก่อนจะตีฉาบดังผ่าง!
เสียงสนั่นสะท้อนก้องไปทั้งห้องประชุม เล่นเอากลุ่มคนที่ถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงกลายเป็นฝ่ายอุดหู แล้วหันมามองผมอย่างตื่นตะลึง
ไม่คิดว่าจะได้ผลขนาดนี้นะเนี่ย ตอนเห็นผ่านช็อปปิ้งออนไลน์ ผมคิดว่าตลกดี ไม่เคยเห็นคนขายฉาบออนไลน์มาก่อนเลยซื้อเล่นๆ แล้วเอามาเก็บไว้ในห้องทำงานด้วยความคิดพิเรนทร์ว่าถ้ารำคาญพวกผู้บริหารมากๆ ตีฉาบใส่ก็ไม่เลว
ผมส่งฉาบคืนให้พี่โชค ก่อนจะกระแอมกระไอแก้เก้อแล้วนั่งลงด้วยมาดประธาน
“ก่อนจะหาว่าใครคือตัวการ ก่อนอื่นเราควรหาแผนรับมือวันพรุ่งนี้ก่อนดีกว่ามั้ยครับทุกคน”
“จริงสิ สินค้าถูกกระจายไปตามร้านแล้ว ต้องระงับไม่ให้วางขายก่อน!”
“แสดงว่าจะห้ามโปรโมตเลยใช่มั้ยคะคุณนาวา”
“แบบนี้ก็เท่ากับว่าเรายอมให้ฝ่ายนั้นขโมยผลงานไปง่ายๆ สิคะ”
“แถมยังเสียทุนฟรีทั้งหมดอีก ฝ่ายการเงินต้องดิ้นพล่านแน่”
“ไม่ได้สิไม่ได้! เราต้อง...”
เมื่อสถานการณ์เริ่มบานปลาย ผมก็หันไปให้สัญญาณพี่โชคตีฉาบอีกครั้งเพราะขี้เกียจลุกแล้ว
พลันทั้งห้องประชุมกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง ให้ตาย ผมรักฉาบ!
“ใครบอกว่าจะระงับการขาย?”
“คุณนาวาคะ ถ้าเราฝืนดันทุรังจะยิ่งแย่นะคะ!”
“นี่เป็นแผนโปรโมตที่ยอดเยี่ยมเลยต่างหาก พรุ่งนี้ทำเหมือนเดิม ไม่ต้องระงับการขาย โปรโมตให้เต็มที่! ฉันบอกให้เตรียมรับมือคือตั้งรับเรื่องกระแสข่าวด้านลบต่างหาก จำไว้นะทุกคน ถ้ามีคนนำเครื่องประดับของเราไปเปรียบเทียบ หาว่าไปลอกเลียนแบบอีกบริษัทหนึ่ง ให้ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ใช่ นี่เป็นคอลเล็กชั่นใหม่ที่นาวา ดาราลัยออกแบบเอง”
“ไม่น่าจะดีนะคะคุณนาวา”
“ไม่ใช่ไม่น่าจะดี แต่ยอดแย่เลยต่างหาก! คุณสมชิด คุณยกยอว่าลูกชายคุณนายเก่ง ผมก็ยอมรับในฝีมือนะ แต่ให้เด็กมานั่งบริหารมีแต่จะเจ๊งมากกว่า คนคนเดียวถือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ คิดว่าจะมีอำนาจสั่งทั้งหมดหรือไง เราไม่ยอมรับ! จะให้เอาชื่อเสียงดาราลัยจิวเวลรี่มาแลกกับเรื่องฉาวๆ พรรค์นี้เหรอ เดินหน้าพุ่งชน? แผนรับมือบ้าบออะไร ระงับการขายเดี๋ยวนี้!”
“ขอโทษนะครับคุณประจักษ์ ถ้าคุณไม่พอใจ กลัวว่าดาราลัยจิวเวลรี่จะต้องมาเจ๊งในมือผม งั้นขายหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในมือมั้ยล่ะครับ ผมยินดีแบกรับความเสี่ยงซื้อคืนทั้งหมดเอง” ผมคลี่ยิ้มหวานหยด สมัยก่อนผมกับตวันถือหุ้นคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ทำให้นายประจักษ์คนนี้มีสิทธิ์มีเสียงในการประชุมรองเป็นอันดับสอง ใครเห็นเป็นต้องเกรงใจ อีกอย่างให้ประจบตวันที่มีข่าวลือว่าเป็นลูกคนใช้ สู้มาประจบนักธุรกิจอนาคตไกลยังดีกว่า เขาเลยมีคนถือหางเยอะ เสียก็แต่หลังผมควบหุ้นรวมเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ใช้นามสกุลดาราลัยเข้ายึดตำแหน่งประธาน ทั้งสิทธิ์ทั้งเสียงของเขาก็ลดฮวบฮาบในบัดดล เอะอะเป็นต้องขัดไว้ก่อน พยายามโจมตีให้ดูแย่
ทะเลาะกับคนหัวอคติคือศึกที่น่าปวดหัวที่สุดในโลกหล้า!
“คุณวา...” ลุงสมชิดปราม เขาเป็นคนกลางย่อมลำบากใจ เห็นแก่ลุงสมชิดที่เคยเป็นเลขาฯ แม่ของผมมาก่อน และถือหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ ผมเลยยอมละสายตาจากนายประจักษ์
“สรุปว่าพรุ่งนี้เราจะโปรโมตสินค้าเหมือนเดิม ไม่สิ เอาให้ยิ่งใหญ่อลังการกลบฝั่งนั้นไปเลย! ไม่ต้องห่วง คนที่จ่ายเงินเดือนก็คือฉันคนนี้! ใครอยากได้โบนัสสิ้นปีก็ฟังคำของฉัน ส่วนผลที่ออกมา ไม่ว่าจะดีหรือแย่ ฉันรับผิดชอบเอง!”
ไม่ต้องให้ตีฉาบเป็นครั้งที่สาม การประชุมแบบเร่งด่วนก็จบลง
กล้าท้าชนกับดาราลัยจิวเวลรี่ ผมก็จะไม่ทำให้ฝ่ายนั้นผิดหวัง ชนมาชนกลับ ไม่โกง!!
บางทีผมก็สงสัยตัวเองนะว่าเป็นตัวซวยรึเปล่า ทำไมถึงมีแต่เรื่องชวนใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อย
ตั้งแต่งานแฟชั่นโชว์ที่เกือบล่ม เปลี่ยนตัวประธานกะทันหัน แล้วยังมาเรื่องลอกแบบเครื่องประดับคอลเล็กชั่นล่าสุดของบริษัทคู่แข่งอีกต่างหาก การเปิดตัวด้วยเวลาไล่เลี่ยกันชนิดห่างแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง กับการโปรโมตที่เหมือนกันเด๊ะ เครื่องประดับเหมือนกันเป๊ะ กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโซเชียลว่าใครเลียนแบบใครกันแน่
ไม่สิ นี่ไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นการขโมยผลงาน!
ผมได้รับการติดต่อจากรายการโทรทัศน์ซึ่งสนใจประเด็นนี้หวังให้คู่กรณีทั้งสองเผชิญหน้ากัน ผมไม่อิดออด ทำไมต้องกลัวด้วยในเมื่อนี่เป็นผลงานของผม
เรตติ้งวันนั้นสูงสมใจอยาก อย่างน้อยหลายคนก็ต้องจำชื่อของดาราลัยจิวเวลรี่และนายนาวาได้อย่างแน่นอน เพราะผมแบบร่างที่ตัวเองวาดมาเป็นหลักฐาน แต่ทางบริษัทคู่กรณีก็มีหลักฐานเป็นแบบร่างตั้งแต่แรกซึ่งได้รับการปรับแก้มาเรื่อยๆ
เหมือนกันทุกแผ่น ซึ่งผมไม่แปลกใจ ก่อนจะหยิบแฟ้มอีกใบขึ้นมาเปิด
“ที่ให้ทุกคนดูเมื่อครู่เป็นแบบร่างที่ผมนำเสนอให้กับที่ประชุมครับ แต่สำหรับคนออกแบบเครื่องประดับย่อมไม่ใช่แค่การตวัดลายเส้นบนกระดาษแล้วเสร็จ ก่อนจะออกมาสรุปเป็นลายแมว ฟักทอง และเจ้าค้างคาวน้อยนั้นผมมีตัวเลือกอีกเยอะมาก และนี่ก็เป็นภาพร่างอื่นๆ ที่ผมคัดออกไป ไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น”
มีหลายคนหาว่าผมโง่ เอาหลักฐานมาเปิดที่สถานีโทรทัศน์ทำไม ทำไมไม่เอาไปฟ้องแล้วเปิดโปงที่ศาล แต่โทษที ผมไม่ฟ้อง มันช้าเกินไป แล้วยังไม่นับที่ผมขี้เกียจไปขึ้นศาล อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากได้เงินค่าเสียหายด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว...คนที่กล้าขโมยผลงานของผมก็ต้องแพ้ภัยตัวเองอยู่ดี
ขอตอกหน้าใส่คนทั้งประเทศ แฉมันสดๆ กลางรายการ สะใจกว่าเยอะ!
ภาพร่างของผมมีทั้งหมดเกือบสองร้อยแผ่น มีตั้งแต่แบบขีดๆ เขียนๆ อย่างไร้คอนเซ็ปต์ เป็นแค่ร่างแบบของตัวสร้อยที่จะนำมาปรับเป็นกำไลยังไงและเปลี่ยนเป็นเข็มขัดด้วยลูกเล่นแบบไหน จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มลวดลายเข้ามา ตอนแรกผมออกแบบให้ใช้อัญมณีเป็นตัวหลัก เน้นเรียบหรูดูแพง แต่ดันเบื่อก่อน คิดอยากทำอะไรแผลงๆ ประจวบเหมาะกับใกล้วันฮัลโลวีนเลยเริ่มวาดออกมาเป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ
เริ่มจากค้างคาว ผมวาดค้างคาวทั้งหมดสี่สิบแบบ มีทั้งกางปีก หุบปีก ยกปีกข้างหนึ่ง เอียงหัวทางซ้าย เอียงหัวทางขวา มาที่ฟักทองกันบ้าง อันนี้ผมมีแค่ยี่สิบแบบ ตอนแรกกะจะใส่ตาฟักทอง แต่สุดท้ายก็ไม่ใส่ลงไปเพราะกลัวซ้ำกับแบบอื่น มีทั้งฟักทองโดนกัด ไม่โดนกัด ฟักทองหยึกๆ แบบฮัลโลวีนและอีกมากมาย
สุดท้ายมาที่ตัวแมว
แบบแมวมีทั้งหมดเก้าสิบกว่าใบ เพราะผมร่างสนุกมือมาก แค่เฉพาะส่วนหางก็วาดเล่นไปแล้วกว่ายี่สิบแบบ เมื่อโดนผมเอาหลักฐานมาเทกระจายเต็มโต๊ะ ซึ่งยังมีแวมไพร์ ซอมบี้ และผีผ้าคลุมอีกไม่ต่ำกว่าห้าสิบใบ ฝ่ายตัวแทนของบริษัทคู่กรณีก็ถึงกับเบื้อใบ้ไป
ยัง ยังไม่จบ
ผมยังนำวิดีโอที่ศศินเป็นคนถ่ายช่วงที่นั่งวาดรูปในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งด้วย วันนั้นจู่ๆ ผมก็ไอเดียพุ่ง กลัวจะลืมแล้วพูดในที่ประชุมไม่เหมือนเดิมเลยขอให้ศศินเป็นคนช่วยอัดวิดีโอ นั่งเปิดแต่ละภาพแล้วบรรยายอย่างละเอียด วิดีโอมีระบุวันเวลาที่ถ่ายอย่างชัดเจน ไม่สามารถเนรมิตได้ในข้ามคืนแน่นอน
“คุณเป็นคนขโมยผลงาน รู้อยู่แล้วว่าจะมีวันนี้เลยสร้างหลักฐานปลอมก็ได้”
ยัง...ยังจะเถียงอีก!
“ผมคือนาวา ดาราลัย เป็นคนออกแบบเครื่องประดับทั้งสามชิ้นนี้กับมือแน่นอน ถ้าคุณคิดจะสู้ ก็ให้คนออกแบบของคุณมาแสดงตัว มาคุยกันด้วยหลักฐาน อย่ามาป้ายสีกันด้วยลมปากพล่อยๆ!”
ยกแรกผมชนะอย่างสวยงาม กระแสด้านบวกย้ายกลับมาที่ดาราลัยจิวเวลรี่
และในเมื่อมียกแรกก็มียกสอง
ครับ ยกสองผมโดนหมัดฮุคเข้าอย่างจัง
เพราะหลังจากเรียกร้องให้คนออกแบบของบริษัทคู่กรณีมาแสดงตัว เธอก็เผยโฉมหน้าจริงๆ แถมยังเป็นคนที่ไม่มีใครคาดคิด!
[สวัสดีค่ะ ฉันพาฝัน เป็นคนออกแบบเครื่องประดับทั้งสามชิ้นซึ่งถูกขโมยผลงานไป]
นางแบบสาวผู้โดนข่าวฉาวเรื่องมือที่สามจนตกอับในวงการ กลับมาผงาดและเป็นที่พูดถึงอีกครั้งด้วยภาพลักษณ์ของสาวน้อยใบหน้าซูบตอบ ใต้ตาคล้ำ ไร้สง่าราศี บ่งบอกว่าระหว่างที่ตกงานนั้นเธอต้องตกระกำลำบากขนาดไหน
[ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงออกแบบเครื่องประดับได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะ เมื่อปีก่อนงานแฟชั่นโชว์ของดาราลัยจิวเวลรี่ ชุดเครื่องประดับที่ฉันสวมใส่และเดินปิดท้ายงาน...คือเครื่องประดับชุดแรกที่ฉันออกแบบเอง]
“นังแพศยา!”
ผมปารีโมตใส่โทรทัศน์อย่างเกรี้ยวกราด พาฝันนะพาฝัน เธอวิ่งแจ้นไปให้คนสัมภาษณ์โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ห้ามเชิญใครเป็นอันขาด แถมรายการยังฉายในช่วงค่ำ ช่วงที่มีเรตติ้งดีซะด้วย
[นั่นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ฉันโด่งดังในวงการ Real Diamond คือผลงานที่ฉันภูมิใจมากที่สุด นับจากนั้น ฉันก็มีโอกาสได้เข้าไปร่วมเสนอความคิดที่บริษัทดาราลัยจิวเวลรี่หลายครั้ง และหลงรักตวัน...ประธานบริษัทในขณะนั้นอย่างที่ทุกท่านคงทราบกันดี ฉันไม่ขอพูดถึงกรณีมือที่สาม เพราะฉันยอมรับผิดและได้รับบทลงโทษจากการกระทำนั้นแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ฉันไม่กล้าแสดงตัวในตอนแรก และอยากขอร้องให้ทุกคนแยกแยะเป็นคนละกรณีกัน เพราะครั้งนี้ฉันมาเรียกร้องความยุติธรรม นาวา ดาราลัยคนนี้...คือคนที่แย่งผลงานของฉัน!]
พูดจบพาฝันก็น้ำตาร่วงเผาะๆ ออสการ์ปีนี้ต้องให้เธอแล้ว
[เขาโกรธแค้นที่ฉันแย่งคนรัก เลยแกล้งฉันไม่ให้ขึ้นเดินแบบในโชว์สุดท้ายของปีนี้ ทุกคนคงสงสัยว่าฉันแพ้อาหารได้ยังไง นางแบบที่ใกล้จะขึ้นโชว์ต้องควบคุมอาหารอย่างดี แต่เพราะเป็นอาหารที่คุณนาวาเตรียมให้ ฉันจึงวางใจยอมทาน กลายเป็นว่าฉันแพ้อาหารรุนแรง! โดนส่งเข้าโรงพยาบาล!! และค่ำคืนนั้นคุณนาวาก็ขึ้นเดินแทน ถ้าไม่เตรียมพร้อมไว้ก่อน จะเดินได้อย่างมั่นใจขนาดนั้นเหรอคะ ไม่ว่าใครเมื่อขึ้นโชว์ครั้งแรกก็ต้องตื่นเวทีทั้งนั้น แต่เขาทำได้สมบูรณ์แบบ มันเป็นไปได้เหรอคะที่ทุกอย่างจะบังเอิญขนาดนั้น]
“กล้าพูดได้ยังไง...กล้าพูดออกมาได้ยังไง!” ผมอาละวาดจนขว้างปาข้าวของเพื่อระบายอารมณ์พลุ่งพล่าน ถ้าไม่ติดว่าพาฝันอยู่ในโทรทัศน์ ผมคงพุ่งเข้าไปบีบคอเธอ
[แต่ฉันไม่โทษเขาหรอกค่ะ ฉันบอกแล้วว่ายอมรับผิด จึงไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน แต่ที่ฉันต้องพูด! เพราะอยากให้รู้ว่านาวาผูกใจเจ็บกับฉันมานานแล้ว เครื่องประดับสุดท้ายที่ขึ้นโชว์ เขาก็ปรับเปลี่ยนใหม่ ทั้งที่ฉันเคยออกแบบไว้อีกอย่างหนึ่ง]
พาฝันกางแบบเครื่องประดับที่โดนผมโละทิ้ง
[นี่คงพิสูจน์แล้วว่าฉันเองก็ออกแบบเครื่องประดับเป็น และมีประสบการณ์มากพอจนเคยขึ้นโชว์เมื่อปีก่อน หลังจากถูกแบนจากวงการ ฉันก็ลำบากมาก ฉันถูกทิ้ง ไม่เหลือใคร...แต่แล้ววันหนึ่ง...ตวันก็กลับมา เขาเลิกกับนาวาแล้ว และบอกจะดูแลฉันอย่างดี] เธอเผยยิ้มอย่างดีใจที่สุดในชีวิต แถมยังนำโทรศัพท์มาเปิดให้ดูว่าทุกอย่างที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ภาพของคู่รักซึ่งดูแลรักใคร่ เพราะตวันคิดว่าเธอท้องนั้น มองยังไงก็ดูเหมาะสม
คราวนี้เสียงเริ่มแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือรอชมว่าใครเป็นผู้ออกแบบแท้จริงกันแน่ ซึ่งเริ่มเอนเอียงไปทางพาฝัน ส่วนเสียงที่สองคือฝ่ายที่ตามมาตั้งแต่ข่าวมือที่สาม เมื่อรู้ว่าสุดท้ายชู้รักทั้งสองกลับมาคบกันอีกครั้ง ก็ไม่พอใจจนด่าทอสาดเสียเทเสีย
[ฉันเริ่มมีแรงบันดาลใจออกแบบเครื่องประดับช่วงนั้นค่ะ แต่ฉันไม่กล้าทำเครื่องประดับออกงานเลี้ยงอย่างที่ดาราลัยจิวเวลรี่เคยทำ จึงเลือกออกแบบเครื่องประดับที่ใช้งานง่าย มีลวดลายน่ารัก ซึ่งฉันเองก็มีภาพร่างทั้งหมดเหมือนกันค่ะ]
พาฝันนำหลักฐานซึ่งเป็นภาพร่างเกือบสองร้อยใบมาวางแผ่ตรงหน้า เตรียมการขนาดผูกเรื่องราวได้น่าคล้อยตามขนาดนี้ จะวาดภาพมาข่มผมเพิ่มอีกสักหน่อย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ
[จุดหักเหคือฉันกับตวันเราไปกันไม่รอด เพราะตวันยังคงรักมั่นในตัวคนรักเก่า สุดท้ายเขาก็กลับไปงอนง้อขอคืนดีกัน ซึ่งฉันคิดว่า...คุณนาวาคงจะยังแค้นฉันอยู่ เลยขอให้ตวันช่วยขโมยผลงาน สำหรับคนที่เมามายในรักอย่างฉัน ทั้งที่รู้ว่าผิด ก็ยังจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อตวันมาขอ ฉันก็ให้โดยไม่คิดอะไรสักนิดเดียว]
พาฝันร้องไห้อีกครั้ง ปานคนช้ำรักโดนหลอกน่าสงสาร
[ขอแค่เขาติดต่อมาหาก็มีความสุขจะแย่แล้ว ฉันเล่าให้ตวันฟังว่าลองยื่นแบบเครื่องประดับชุดนี้ให้บริษัทหนึ่ง และก็ได้รับโอกาส ตวันชื่นชมฉัน ดีใจกับฉัน เมื่อเขาขอดูแบบที่แก้ใหม่ ฉันก็ให้เขาดูไม่ปิดบังเพราะอยากได้รับคำชมสักนิดก็ยังดี...]
คราวนี้กระแสเริ่มแตกอีกครั้ง จากด่าพาฝันว่าเป็นหญิงชั่ว ก็เริ่มเห็นใจว่าแท้จริงแล้วเธออาจจะโดนหลอก พาฝันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาตามหาความฝันในกรุงเทพฯ มีความสามารถแต่แทบไม่มีโอกาส เมื่อได้รับโอกาสจากตวัน จะตกหลุมรักก็ไม่แปลก
ทั้งที่รู้ว่าผิดก็ยังทำ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่รักก็ยังยอมให้โดนหลอก
ผมโกรธจนตัวสั่น โทรศัพท์ดังครืดคราด คงเป็นศศินไม่ก็ตวันที่ทราบข่าวแล้ว
พลิกลิ้นเก่งจริงๆ พาฝัน! สมแล้วที่เคยชมเธอว่าไม่โง่ แต่ความฉลาดนั้นไม่เคยใช้ในทางที่ถูก ดันมาจองล้างจองผลาญผมไม่จบสิ้นสักที!!
ใครกันแน่ที่เกลียดขี้หน้ากัน ผมหรือพาฝัน ใครกันแน่ที่วางแผนกลั่นแกล้ง ผมหรือพาฝัน ไม่เจอกันหลายเดือน อัพเลเวลขึ้นจมเชียวนะ ขนาดตวันก็ไม่เห็นหัวกันแล้ว
หรือเพราะตวันมองเมินเธอเหมือนไร้ตัวตนก่อน พาฝันเลยเจ็บแค้นใจเอาคืนบ้าง
ดูสิ ถ้าคบกับศศินแล้วอันตราย ผมว่าคบกับพาฝัน เด็กต่างจังหวัดที่ดูไม่มีพิษมีภัยยังอันตรายกว่าหลายเท่า!
สิ่งที่คาดเดายากที่สุดคือใจคน
เธอเดินหมากตานี้ก็นับว่าฆ่าได้ฆ่า ไม่ผมก็เธอต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายกันไปข้าง!!
------------------
พาฝันอีสรีเทิร์นค่ะ
ครั้งนี้กลับมาแบบไม่ธรรมดาด้วย นาวาเองก็มีจุดเดือดเหมือนกัน ครั้งนี้รับประกันว่าไม่ปล่อยไปง่ายๆ อีกแล้วค่ะ มาฟาดกันเลยด้วยจิวเวลรี่แบบเด็ดๆ ยกนี้ใครจะแพ้ จะมีพลิกกลับ หักมุม น็อคเอ้าหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป!!!
ปล.เราชอบตอนนาวาเอาฉาบมาตีมาก ถ้าเราเป็นหนึ่งในคนร่วมประชุมเจอคนก็อปงานว่าเหวอแล้ว เจอนาวาตีฉาบเข้าไป...เหวอกว่าค่ะ!! 5555555555
#นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป น้องจะแก้เกมส์อย่างไรนั้นนนน
“จะได้ผลเหรอคะคุณนาวา”
“พวกคุณแค่ทำตามคำสั่งก็พอ”
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja