#Re2love •8
“น้าวาดไม่สบาย”
เสียงของทนายความประจำตัวของบิดายังดังวนเวียนอยู่ในศีรษะ โฬมพ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะค่อยเตะเบรกเมื่อเห็นไฟแดงตรงสี่แยกกลางถนน ชายหนุ่มเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะระหว่างเฝ้ารอให้ตัวเลขบอกเวลานับถอยหลังที่ปรากฏอยู่ใกล้ๆ กับสัญญาณรถหยุด สายตาคู่คมจ้องมองเวลาที่นับถอยหลังอย่างช้าด้วยใจกระวนกระวาย นั่นเพราะตอนนี้จิตใจเขาไม่ปกตินัก เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวโฬมรอให้รถที่เคลื่อนตัวจากอีกเลนเคลื่อนไปจนหมดก่อน เขาจึงเตะคันเร่งออกตัว ถึงแม้จะใจร้อนมากแค่ไหนความปลอดภัยก็ย่อมสำคัญที่สุด
ไม่นานโฬมพาฟอร์จูนเนอร์คันทีขาวมาถึงประรั้วบ้านหลังหนึ่งที่เขาคุ้นเคย ชายหนุ่มไม่ต้องรอนานเพราะเพียงแค่บีบแตรเรียกประตูรั้วอัตโนมัติก็ค่อยๆ เคลื่อนเปิดออก ร่างสูงเลยหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปจอดในที่หน้าบ้าน ขณะที่สับเท้าอย่างว่องไวเข้าไปในตัวบ้านนั้น เสียงพูดคุยกันระหว่างคนสองคนที่เขาคุ้นเคยก็ดังขึ้น
โฬมมุ่นหัวคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อก้าวมาถึงโถงกลางแล้วคนที่เขาห่วงจนแทบจะขับรถเหาะมาหา กำลังนั่งยิ้มเจื่อนท่าทางมีเรื่องให้ครุ่นคิด ถึงอย่างนั้นก็มองออกว่าไม่ได้เจ็บป่วยแต่อย่างใด ซ้ำในมือของเธอยังมีเข็มถักเสียบคาอยู่ในไหมขนแกะ เดาไม่ยากว่าก่อนหน้านี้คงกำลังขะมักเขม้นกับการถักไหมนี่อยู่แน่ๆ แล้วคนป่วยที่ไหนจะสามารถนั่งหลังขดหลังแข็งถักไหมพรมได้
“น้าวาด”
“คุณโฬม”
วาสนารีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มละไมอ้าแขนรอท่าหลานรักที่พุ่งเข้าไปสวมกอดทันที มือบอบบางนั่นลูบบ่าลูบไหล่หลานและพึมพำด้วยความยินดีอยู่นานสองนาน แต่ถึงอย่างนั้นโฬมก็ยอมให้กอดอย่างไม่อิดออด ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆ เมื่อมองเลยบ่าเล็กๆ ของน้าสาวไปเห็นทนายประจำตระกูลนั่งยิ้มเผล่อยู่เบื้องหลัง แค่นี้โฬมก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาคงถูกตาแก่นี่ต้มจนเปื่อย
“เป็นไง มาไงล่ะลูกวันนี้ถ้ามาหาน้าได้ เห็นคุณโฬมบอกช่วงนี้งานยุ่ง ให้ตรีโทรไปชวนมาทานข้าวที่บ้าน เราก็ไม่มาสักที”
คุณวาสนาบ่นเสียยืดยาวถึงอย่างนั้นแววตาก็ยังเต็มไปความเอื้ออาทรเวลาที่ทอดมองชายหนุ่ม
“ผมก็มาแล้วนี่ไงครับ”
“โฬมผอมไปรึเปล่าลูก ได้ยินข้าวบ้างรึเปล่า แก้มตอบลงไปเยอะเลยนะ”
คุณวาสนาลูบใบหน้าซูบซีดของหลานชายนึกกังวล “เรายิ่งทำกับข้าวกับปลาไม่เป็นด้วย นี่คงกินข้าวไม่ตรงเวลาเลยสินะ”
โฬมยิ้มอ่อนคว้ามือเหี่ยวย่นที่ลูบแก้มเขาอยู่มากุมไว้
“บ่นเหมือนผมยังเด็กเลยนะครับ”
..เพี๊ยะ..
วาสนาตีบ่าโฬมเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
“ก็คุณโฬมน่ะดื้อเหมือนเด็กไม่มีผิด น้ายังจำได้ดีตอนส่งไปเรียนต่างประเทศใหม่ๆ”
โฬมกดยิ้มมุมปากกับความหลัง เขาจำได้ว่าคนที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไม่ขาดสายคือคนตรงหน้าและเป็นคนเดียวที่ค้านหัวชนฝาจะไม่ยอมให้บิดาเตะโด่งเขาไปเมืองนอก น้าวาดเป็นผู้หญิงคนเดียวนอกจากแม่ที่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องเขาทั้งๆ ที่เกรงอำนาจของบิดา
โฬมแนบแก้มลงไปสัมผัสกับมือคุณวาสนาที่เขากุมอยู่ กิริยาเหมือนเด็กๆ นั่นทำเอาหญิงชราแอบน้ำตา เพราะเห็นใบหน้าหลานรักทีไร ก็ให้นึกถึงพี่สาวที่มาด่วนจากไปตั้งแต่ยังสาว คุณวาสนาลูบศีรษะหลานอย่างแผ่วเบาแววตาเต็มไปด้วยความรัก
“มีคนบอกผมว่าน้าวาดไม่สบาย”
“เปล่านี่”
โฬมเหลือบตาไปมองทนายความวัยใกล้เกษียณโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ คุณวาสนาเห็นแบบนั้นเลยลอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “คุณจักรเขาคงมีเรื่องอยากคุยกับเรา”
“คงงั้นล่ะครับ”
“ลุงต้องขอโทษด้วยที่พูดไปแบบนั้นแล้วทำให้คุณโฬมเข้าใจผิด”
ทนายอาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ท่าทางแบบนั้นทำให้อารมณ์กรุ่นๆ ในอกพาลชะงักไปทันที
“แต่ลุงจำเป็นที่จะต้องคุยกับคุณโฬมให้เร็วที่สุด เรื่องนี้รอเวลาไม่ได้แล้ว”
โฬมถอนหายใจแรงๆ วาสนาเลยตบบ่าหลานเบาๆ ก่อนเอ่ยขอตัว
“คุณโฬมมาเหนื่อยๆ เดี๋ยววันนี้น้าจะเข้าครัวทำปลาหมึกผัดไข่เค็มของโปรดเราให้นะลูก”
“ขอบคุณครับ”
“อ๋อต้องไม่ใส่ต้นหอมแบบที่โฬมชอบด้วย”
น้าวาดรู้ใจเข้าเสมอ!
ชายหนุ่มทอดสายตาอ่อนโยนมองตามร่างสูงวัยของคุณวาสนาที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวด้วยกิริยาอาการเนิบนาบตามแบบฉบับคนเรียบร้อยมาแต่ไหนแต่ไร
“ว่ามาสิครับ”
ทนายจักรยิ้มอ่อนๆ มองใบหน้าเฉยชาของคนรุ่นลูกแล้วนึกขัน ถึงภายนอกจะแสดงออกอย่างขึงขังและไม่เป็นมิตรมากนัก แต่อย่างน้อยก็มีสัมมาคารวะอย่างการลงหางเสียงทั้งที่อารมณ์ยังไม่เป็นปกติ
“คุณท่านกำลังจะแต่งงาน”
โฬมชะงักไปเล็กน้อยเขารีบเหลือบตามองไปยังหน้าประตู พอเห็นว่าไม่มีใครร่วมถึงวาสนาที่เดินลับเข้าห้องครัวไปแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา
“ผมจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
หัวแข็งทั้งพ่อทั้งลูก! ทนายจักรนึกในใจ
“จำเป็นมากครับ เพราะคุณโฬมคือทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวของคุณอดุลย์”
โฬมทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อได้ยินชื่อบิดาตัวเอง
“ผมว่าคุณลุงน่าจำผิด พ่อไม่ได้มีผมคนเดียว ตรีกับติณณ์ก็เป็นลูกพ่อเหมือนกัน”
โฬมเอ่ยถึงน้องชายต่างมารดาอีกสองคนที่เกิดกับคุณวาสนา เอาจริงๆ โฬมก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอกที่พี่น้องร่วมอุทรอย่างมารดาเขาและน้าวาดใช้สามีคนเดียวกัน แต่ก็นั่นแหละคนหัวอ่อนอย่างน้าวาดจะรอดพ้นจากพญาเทครัวอย่างบิดาจอมเจ้าเล่ห์คงเป็นเรื่องยาก ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ตอนนั้นโฬมในวัยสิบห้าต้องมารับรู้ว่าตัวเองมีน้องชายต่างมารดาก็แทบช็อกเหมือนกัน แต่เขาพอจะรู้ว่ามารดาเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอดถึงได้ให้น้องสาวตัวเองมาคอยดูเรื่องในบ้านให้ซ้ำยังยกฐานะน้องสาวให้เสมอตัวเอง
สรุปแล้วบิดาเขาได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง ความคิดซับซ้อนของผู้ใหญ่ในตอนนั้นเขาก็ไม่เข้าใจนักหรอก ถึงจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างแต่ก็ยอมรับได้ไม่ยากหรอก ความจริงใจของคุณวาสนาทำให้กำแพงในใจเขาทลายลงไม่ยาก ยิ่งหลังจากมารดาเสียไม่นานแล้วบิดาเนรเทศให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วงเวลานั้นโคตรเคว้งคว้าง แต่ใครจะเชื่อว่าคนหัวอ่อนอย่างคุณวาสนาจะกล้าตีตั๋วนั่งเครื่องเพียงลำพังไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง
“ครับเป็นลูกเหมือนกัน”
ทนายจักรรับคำ
“แต่คุณแม่ของคุณโฬมเป็นภรรยาเพียงคนเดียวที่คุณท่านจดทะเบียนสมรสด้วย นั่นก็หมายความว่าคุณโฬมเป็นทายาทตามกฎหมายที่มีอำนาจรองมาจากคุณท่าน”
“แล้วไงครับ”
โฬมยักไหล่ “ยกแม่น้ำมาทั้งห้าผมก็ไม่ได้ยินดีกับความพิเศษนี้หรอกครับ ผมไม่เคยสนใจธุรกิจของพ่อ”
“แต่ว่า..”
“ผมรู้ว่าคุณลุงจะพูดอะไร” โฬมถอนหายใจ “แต่เสียใจครับ ผมไม่เคยชอบงานบริหารเลย”
ทนายจักรถอนหายใจเพราะรู้ดีว่าโฬมหัวแข็งเกินกว่าจะโน้มน้าวใจ
“คุณท่านกำลังจะแต่งงานกับสาวรุ่นลูก เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของนักธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง”
“เหอะ”
“ธุรกิจที่ท่านสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ผมอยากให้มันอยู่ในมือของคุณโฬม”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่พ่อจะแต่งงานใหม่”
ทนายจักรทำหน้าไม่สู้ดีนัก
“ผมว่าคุณโฬมน่าจะรู้เหตุผลดี”
โฬมส่ายหน้าไปมา
“ถามจริงเถอะครับ พ่อบอกให้ลุงมาพูดกับผมแบบนี้รึเปล่า”
“ท่านแค่อยากให้ผมมาตามคุณไปทำงาน แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ท่านจะแต่งงาน”
“เหอะเด็กรุ่นลูกกับตาแก่คราวพ่อ ท่าทางคงจะรักกันปานจะกลืนกิน แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าพ่อจะแต่งงานเป็นรอบที่เท่าไหร่ ผมไม่อยากยุ่งกับธุรกิจของเขา เพราะผมไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอ ยังไงลุงหาคนอื่นเถอะครับ”
“คุณตรียังเรียนไม่จบ คุณติณณ์เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉะนั้นคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิมีแค่คุณโฬมคนเดียว”
“ช่างภาพอย่างผมเนี่ยนะครับ”
“คุณโฬมจบปริญญโทด้านเศรษฐกิจที่อังกฤษ”
โฬมจนด้วยคำพูด
“คุณท่านเคยพูดว่าจะไม่จดทะเบียนกับใครอีกนอกจากคุณแม่ของคุณโฬม แต่มันไม่แน่เสมอไปนะครับ”
ทนายจักรพูดเสียงเรียบ โฬมได้แต่กำหมัดแน่นอย่างอึดอัดในสิ่งที่ได้ยิน เหอะ! ดูเหมือนนั่นจะเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวที่บิดาเขามี พ่อเคยพูดว่าจะจดทะเบียนกับแม่แค่คนเดียวและจะไม่ยกย่องใครให้เท่าเทียมกับแม่และน้าวาด แต่สุดท้ายก็ไม่ทิ้งลายเจ้าชู้
โฬมรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดงุ่นง่านใจกับเรื่องได้ยิน
“ผมมีความสุขกับงานที่ผมทำอยู่”
“คุณท่านแก่ลงทุกวัน ถึงได้อยากให้คุณโฬมรับช่วงต่อ”
“อยากจะวางมือแล้วอยู่กับเมียสาวมากกว่ามั้ง” โฬมแค่นยิ้ม “พ่อไม่เคยเปลี่ยนทั้งๆ ที่นิสัยกินไม่เลือกนั่นทำให้แม่ต้องตาย แต่พ่อก็ยังทำเหมือนเดิม”
“....”
“แล้วน้าวาดทราบเรื่องหรือยังครับว่าพ่อจะแต่งงานใหม่”
“ทราบแล้วครับ”
โฬมถอนหายใจแรงๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าซีดเซียวและรอยยิ้มฝืนๆ ของคุณวาสนาตอนที่เขามาถึง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าน้าวาดแยกตัวออกมาอยู่บ้านอีกหลังหลายสิบปีแล้วเพราะทนพฤติกรรมของบิดาเขาไม่ได้ ใครเล่าจะทนเป็นเมียที่อยู่จับไว้บนหิ้งในบ้าน แล้วปล่อยให้สามีไปหาความสำเริงสำราญนอกบ้าน แต่ถึงจะแยกกันอยู่ โฬมก็รู้ดีว่าคุณวาสนายังไม่เสื่อมรักที่มีต่อบิดาจอมเจ้าชู้ของเขา
ความเข้มแข็งของคุณวาสนามีไม่ถึงครึ่งของมารดาเขาหรอก หากมารดาเขายังอยู่รับรองว่าพ่อถูกแหกอกอย่างไม่ต้องสงสัย เสียแต่ท่านอายุสั้นไม่อย่างนั้นคงได้อยู่ปราบนิสัยเจ้าชู้ของบิดาจนเป็นเรื่องเป็นราวไม่เว้นแต่ละวันแน่
“ลุงอยากให้คุณโฬมลองกลับไปคิดดูก่อน”
“ถึงยังไงคำตอบผมก็เหมือนเดิมครับ”
.
.
ทนายจักรขอตัวกลับไปแล้ว ถึงแม้คุณวาสนาจะชักชวนให้ทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธพร้อมกับให้เหตุผลว่ามีงานด่วนต้องรีบไปจัดการดังนั้นสมาชิกร่วมโต๊ะมื้อเย็นจึงมีแค่สี่ชีวิตอันประกอบไปด้วยคุณวาสนา โฬมและน้องชายต่างมารดาอีกสองคนที่กลับมาจากเรียน
“ช่วงนี้พวกนายเป็นยังไงบ้าง”
โฬมถามขึ้นหลังจากอยู่ตามลำพังกับน้องชายทั้งสอง ขณะที่คุณวาสนาไปจัดเตรียมของหวาน
“กำลังทำธีสีสจบครับคุณโฬม”
โฬมทำหน้าไม่ชอบใจนักที่ได้ยินน้องชายต่างมารดาใช้คำเรียกเขาว่า ‘คุณ’ เหมือนคุณวาสนาไม่มีผิด ฟังแล้วมันดูเหมือนห่างเหินกัน โฬมรู้ดีว่ามันเป็นการจำกัดฐานะตัวเองของอีกฝ่ายให้ดูต้อยต่ำลง ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ต่างจากคุณวาสนาทำให้เขาคิดไม่ตก เพราะไม่ว่าจะเอ็ดหรือขอร้องให้ตัดคำนำหน้าที่ฟังแล้วห่างเหินเหลือเกินทิ้งไป แต่ยังไงก็ดูไม่ได้ผลสักที
“อย่าเรียกพี่ว่าคุณ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ตรีและติณณ์หน้าเสียไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เจ้าติณณ์ดีหน่อยเพราะเป็นคนขี้เล่นอยู่ทุนเดิมจึงปรับสีหน้าเป็นยิ้มทะเล้น ต่างจากคนพี่อย่างตรีที่นั่งอยู่เงียบๆ
“ถ้าแม่ได้ยินพวกผมเรียกแบบนั้น โดนบ่นแน่”
“เรื่องนั้นพี่จะคุยกับน้าวาดเอง”
“ครับพี่โฬม”
ติณณ์รับคำต่างจากตรีที่หันไปปรามน้อง
“พวกนายสองคนเป็นน้องพี่ ถึงจะคนละแม่ แต่แม่พวกเราเป็นพี่น้องกัน และพี่ก็รักน้าวาดเหมือนแม้แท้ๆ”
“ขอบคุณครับพี่”
ตรียิ้มน้อยๆ
“อืมว่าแต่ช่วงนี้น้าวาดเป็นยังไงบ้าง”
“แม่ก็สบายดีนี่ครับ”
“...”
“ผมหมายถึงสบายกายครับ ส่วนสบายใจ...”
สีหน้าไม่สู้ดีของน้องชายต่างมารดาบ่งบอกว่าทั้งคู่คงทราบเรื่องที่บิดาจะแต่งงานใหม่แล้ว
“เรื่องนั้น..”
โฬมชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาอ่อนไหวของทั้งคู่ ตรีและติณณ์ไม่สนิทกับบิดาผู้ให้กำเนิดนักเพราะฝ่ายนั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน เลยอาจจะละเลยทั้งคู่ไปโดยปริยาย เอาจริงๆ จะเรียกว่าทิ้งๆ ขวางๆ ก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะตาลุงนั่นยังดูแลส่งเสียสองพี่น้องนี่ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเดียวที่ทำให้ทั้งคู่ขาดไปคือความใกล้ชิดระหว่างพ่อลูก คงเหมือนกับที่โฬมเคยรู้สึกในอดีตแต่ดีว่าในตอนนั้นเขาโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองเลยเลิกโหยหาความรักจากบิดาได้ไม่ยาก
ตรีและติณณ์ยังโชคดีที่มีคุณวาสนา แน่นอนว่าเธอเป็นแม่ที่ดี ถึงสองพี่น้องนี่จะโหยหาความรักจากบิดาแต่คุณวาสนาก็เติมเต็มได้ ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์นัก แต่มันก็สมบูรณ์ในแบบของมันเพราะสองพี่น้องนี่เติบโตขึ้นมาอย่างดีสมความตั้งใจของคุณวาสนา
“อย่าไปคิดอะไรมากเลย พวกนายมีหน้าที่เรียนก็เรียนไปให้จบ ส่วนเรื่องน้าวาดก็คอยดูแลกันให้ดีๆ ล่ะ นอกเหนือจากนั้นพี่จะจัดเอง”
“ครับ”
แม้จะสงสัยในคำพูดของเขาแต่ทั้งคู่ก็รับคำแทบจะทันที
“ตรี”
“ครับพี่โฬม”
“เรียนจบแล้วคิดไว้รึยังว่าอยากทำงานอะไร” ได้ยินมาว่าตรีเรียนบริหารปีสุดท้ายที่มหาลัยชื่อดังกลางกรุง
“คงสมัครงานตามบริษัทครับพี่”
“สนใจไปทำงานที่บริษัทของพ่อมั้ยล่ะ”
ฝ่ายนั้นส่ายหัวแทบปฏิเสธทันที “พ่อไม่ชอบให้พวกเราไปยุ่งย่ามกับท่านเท่าไหร่ครับ”
โฬมหัวร้อนขึ้นมาทันทีเพราะพอจะทราบความเป็นอยู่ของสามแม่ลูกบ้านนี้ว่านอกจากอยู่ใต้อาณัติของบิดาแล้วยังกริ่งเกรงกันจนไม่ตัวของตัวเอง อาจไม่ใช่ความกลัวแต่คงเป็นความห่างเหินที่ทำให้ลืมสิทธิที่ตัวเองควรมีกัน
“นายจบด้านนี้มาจะไปทำงานให้คนอื่นทำไม มาช่วยงานคุณพ่อเถอะ”
“แต่ว่า..”
“อย่าเพิ่งปฏิเสธ ลองเก็บไปคิดดูก่อน ถ้านายสนใจพี่ช่วยนายได้ แต่ถ้านายไม่อยากทำจริงๆ พี่ก็จะไม่บังคับใจ”
★ ☆★ ☆★ ☆
“โตขึ้นหนูอยากเป็นภารโรง”พุฒิชะงักปลายนิ้วที่กำลังรัวนิ้วใส่แป้นพิมพ์อย่างเมามันแล้วเงยหน้ามองใบหน้ากลมแป้นแล้นที่กำลังพูดไปยิ้มไป
“หนูว่าไงนะลูก”
“โตขึ้นหนูอยากเป็นภารโรงฮะพ่อจ๋า”
หา!
พุฒิทำตาปริบๆ และละความสนใจจากงานตรงหน้าเดินไปดูเจ้าหมูกำลังขีดเขียนสมุดในมือ
“พ่อจ๋า”
“ครับ”
มือป้อมๆ กวักให้พุฒิขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะเลื่อนสมุดมาตรงหน้าเขา
“ครูเคทให้การบ้านหนูมา”
“การบ้านอะไรครับ”
“ให้วาดภาพสิ่งที่หนูอยากเป็นตอนโต”
“อ๋อ”
พุฒิยิ้มขำเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าหมูพูดก่อนหน้านี้ พ่อลูกหนึ่งก้มลงดูสมุดตรงหน้าที่วาดภาพก้างปลาเสื่อใส่สีน้ำตาลนั่นคงเป็นภารโรงในจินตนาการของเจ้าหมูน้อย
“ทำไมหนูถึงอยากเป็นภารโรงล่ะครับ”
พุฒิเอ่ยถามเป็นการตะล่อมให้เจ้าตัวได้อธิบายถึงจินตนาการของตัวเองมากกว่าจะตัดสินใจใส่เหตุผลของตัวเองแล้วชี้นำว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี เด็กวัยนี้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการ ดังนั้พุฒิคิดว่าเขาไม่ควรไปปิดกั้นความคิดเจ้าลูกหมู
“ลุงภารโรงเป็นคนดี”
“หือ?” พุฒิทำหน้าสนใจ “เป็นคนดีนี่เป็นยังไงนะ พิกเล็ตลองเล่าให้พ่อจ๋าฟังหน่อยซิลูก”
“หนูเห็นลุงภารโรงทำความสะอาดห้องน้ำให้พวกหนูใช้ด้วยแหละ สะอาดหอมฟุ้งเลย บางทีหนูเห็นลุงภารโรงไปทำความสะอาดเครื่องเล่นให้พวกหนูด้วย เล่นแล้วลื่นปรื๊ดๆ เลยฮะพ่อจ๋า”
“โอ้โหลุงภารโรงนี่ใจดีจังเลยนะ”
“ช่ายยย”
“พ่อจ๋าบอกว่าเป็นคนดี ทำตัวดีๆ จะมีแต่คนรัก หนูเลยอยากเป็นแบบลุงภารโรง”
โธ่ลูก!
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วและท่าทางไรเดียงสาที่เล่าเรื่องได้เป็นฉากๆ นั่นทำให้คนเป็นพ่อนึกปลื้มปริ่มอยู่ในอก
“เป็นคนดีจะได้ขนมกินเยอะๆ ด้วยแหละ”
เดี๋ยวนะ!
“ทำไมล่ะครับ”
“ลุงภารโรงได้ขนมถุงโตจากคุณครูทุกวันเลย” พิกเล็ตตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงของกิน “วันก่อนครูเคทให้โดนัทลุงภารโรงไปกินด้วยแหละ เพราะลุงภารโรงเป็นคนดีเลยได้กินขนมเยอะๆ หนูต้องเป็นคนดีถึงจะได้กินขนมเยอะๆ โตขึ้นหนูต้องเป็นภารโรง”
พิกเล็ตชูมือขึ้นสุดแขนท่าทางภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองบอกไม่น้อย แต่มันทำเอาพุฒิกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว โธ่เจ้าลูกหมูเอ้ย เหตุผลที่อยากเป็นภารโรงนี่ไม่พ้นเรื่องกินอยู่ดี
ตกลงหนูอยากเป็นคนดีหรือหนูอยากได้ขนมกันเนี่ยลูก!
“พ่อจ๋าหัวเราะทำไมอ่า”
“เปล่าครับ”
“โกหก” พิกเล็ตทำหน้าอูม “พ่อหัวเราะหนู พ่อไม่เข้าใจหัวอกเด็กอย่างหนูเลย”
แก่แดดไม่มีใครเกิน สงสัยว่าคงดูละครหลังข่าวกับส้มมากไปหน่อย
“พ่อไม่ได้หัวเราะหนูนะลูก พ่อแค่ชอบจินตนาการของหนู”
“จริงเหรอฮะ?”
ดวงตากลมโตมีแววชอบใจ
“แต่หนูเล่าให้อั๋นฟัง อั๋นบอกว่าหยี เป็นภารโรงสมปรกและจนด้วย หนูไม่ชอบที่อั๋นพูดเลย ไตตั้นเลยบอกว่าไม่ต้องสนใจ ไตตั้นบอกว่าหนูเป็นอะไรก็ได้ จริงมั้ยฮะพ่อจ๋า”
“จริงครับ”
พุฒิลูบกระหม่อมบางแล้วจูบที่ขมับอย่างเอ็นดู ได้ยินว่าช่วงนี้มีเรื่องกับเพื่อนต่างห้อง แต่เจ้าตัวบอกว่าชิวๆ เพราะมีไตตั้นคอยเป็นองครักษ์ให้ตลอด
“เป็นภารโรงไม่ดีเหรอฮะพ่อจ๋า”
พุฒิส่ายหน้าปฏิเสธ
“หนูเป็นทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ครับพิกเล็ต อาชีพหรือสิ่งที่หนูอยากเป็นไม่ได้ตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี คนจนเยอะแยะที่เขาเป็นคนดี และมีคนรวยอีกมากมายที่เป็นคนไม่ดี ฉะนั้นอาชีพไม่ได้ติดสินว่าคนไหนดีเลว”
พิกเล็ตนิ่งฟังตาแป๋ว ถึงจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ แต่ก็ยังมีความสนใจ
“แล้วหนูอยากรู้มั้ยครับว่าสิ่งไหนที่ตัดสินว่าใครเป็นคนดีหรือคนไม่ดี”
“หนูอยากรู้”
“ถ้าพ่อจ๋าถามหนูว่าหนูอยากเป็นคนแบบไหนระหว่างเป็นแบบลุงภารโรงทำความสะอาด วันๆ อาจต้องจับของสกปรก แต่ทุกๆ วันคุณครูต่างให้ขนมเพราะคุณลุงเป็นคนดี กับคนที่แต่งตัวดีๆ มีรถหรูๆ ขับ และมีเงินเยอะๆ สามารถหาซื้ออะไรก็ได้ แต่เขาเป็นคนนิสัยไม่ดีชอบรังแกคนอื่น มีแต่คนรังเกียจในการกระทำของเขา”
“หนูไม่ชอบที่คนที่ชอบรังแกคนอื่น หนูไม่ชอบอั๋นเพราะอั๋นชอบแกล้งน้องเมญ่าให้ร้องไห้ ไม่เหมือนไตตั้นที่ใจดีชอบให้ขนมหนูและช่วยเมญ่าจากอั๋นได้ตลอดเลย”
พุฒิลูบศีรษะลูกน้อยที่เขาอุ้มมานอนบนตัก
“แล้วหนูอยากเป็นคนแบบไหนครับ”
“หนูอยากเป็นแบบลุงภารโรง เพราะหนูอยากเป็นคนดีฮะ”
ชื่นใจจังเลยลูกเอ๊ย!
พิกเล็ตรีบกระเด้งตัวจากตักเขาแล้วกลิ้งไปวาดรูปสิ่งที่อยากเป็นตอนโตท่าทางเจ้าตัวจะถูกใจกับงานตรงหน้าไม่น้อย
“หนูจะเอาไปอวดอาโฬม”
พุฒิยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะเผลอมองไปข้างบ้านที่ปิดเงียบมาสองวันก็ตั้งแต่วันที่โฬมมาส่งวันนั้นก็เหมือนว่าเพื่อนบ้านจะหายลับเข้ากลีบเมฆไปเลย ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่า
พุฒิถอนหายใจพอดีกับที่ออดหน้าบ้านข้างๆ ดังขึ้น เขาจึงรีบไปดูด้วยความสนใจจึงเห็นว่าโฮมออฟฟิศข้างบ้านปิดสนิท แต่กลับมีชายวัยกลางคนผมสีดอกเลายืนกอดออดหน้าบ้านอยู่นานสองนาน
“เอ่อ..มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ”
พุฒิตะโกนข้ามรั้วถามเมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของแขกผู้มาเยือน
“พอดีผมมีธุระกับคุณโฬมเจ้าของบ้านหลังนี้ครับ ผมติดต่อคุณโฬมไม่ได้เลย”
ท่าทางคุณลุงตรงหน้าดูร้อนรนจนเขานึกร้อนใจไปด้วย
“ผมไม่เห็นโฬมมาวันสองวันแล้วครบคุณลุง ไม่ทราบมีธุระอะไรด่วนรึเปล่าครับ ฝากบอกผมไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมเจอเขาแล้วจะบอกให้”
“ครับ” ผู้อาวุโสพยักหน้ารับ “ยังไงถ้าเจอคุณโฬมฝากบอกให้ติดต่อผมกลับด้วยนะครับ”
ฝ่ายนั้นยื่นนามบัตรให้ก่อนจะขับรถออกไป พุฒิก้มมองนามบัตรในมือแล้วได้แต่ถอนใจ เขาเก็บของดังกล่าวในกระเป๋าก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หางตาดันเหลือบไปเห็นเงาคนที่ชั้นสองของโฮม ออฟฟิศ ซ้ำรถของเจ้าของยังจอดสนิทอยู่หน้าบ้าน
โครม!
เสียงอะไรสักอย่างหล่นพื้นเสียงดังทำเอาพุฒิสะดุ้งโหยง ก่อนจะมาหาที่มาของเสียงที่ดังมาจากข้างบ้าน ชายหนุ่มหันรีหันขวางนึกกังวลว่าคนในบ้านที่ปิดเงียบอาจมีความผิดปกติอะไรบางอย่าง ขณะที่กำลังมองหาทางเข้าบ้านอีกฝ่ายพอดีเหลือบไปเห็นช่องทางเล็กๆ ตรงรั้วบ้านที่จำได้ว่าเจ้าหมูเคยมุดรั้วบ้านอีกฝ่าย
พุฒิมองไปยังในบ้านตัวเองเห็นส้มนั่งเล่นกับเจ้าหมูอยู่ เลยตัดสินใจมุดรั้วข้างบ้านทันที โชคดีว่าตัวเองเป็นคนตัวไม่ใหญ่มากทำให้มุดผ่านรั้วไปได้ไม่ยาก พ่อลูกหนึ่งรีบวิ่งไปหน้าประตูบ้านก่อนจะเขย่าประตูและตะโกนเรียก โชคดีว่าถึงแม้รั้วบ้านฝ่ายนั้นจะล็อกแต่ประตูรั้วกลับไม่ได้ล็อกเอาไว้ ทำให้เขาเปิดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มรีบกระโจนขึ้นชั้นสองของโฮมออฟฟิศอย่างว่องไว ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาเขาใจหายวาบ เพราะเห็นร่างสูงใหญ่ของโฬมนอนคว่ำอยู่กับพื้น
“โฬม”
พุฒิเขย่าตัวเรียก
“โฬมๆ ได้ยินพี่มั้ย โฬม นายเป็นอะไร”
คงเพราะเสียงดังใกล้ใบหูทำให้ร่างสูงรู้สึกตัว ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพของอดีตคนรักที่กระทบเข้ามาในเลนส์ตาทำเอาคนเพิ่งรู้ตัวมึนงง
“พี่พุฒิ?”
“โฬมเป็นไข้รึเปล่า ทำไมตัวร้อนขนาดนี้”
เป็นไข้งั้นเหรอ?
คงงั้นมั้ง โฬมตอบในใจก่อนจะสะบัดหัวตัวเองแรงๆ จำได้ว่าสองวันที่ผ่านมาทำงานโต้รุ่งกับเจ้าพวกสามตัวนั้น เมื่อเช้านี้ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่หรอก แต่ก็กินยาแก้ไข้ก่อนที่พวกมันสามตัวจะออกไปแล้วนี่หว่า
“ผมกินยาแล้ว”
“กินแล้ว?”
พุฒิตวัดสายตาใส่
“กินกับอะไร”
พ่อลูกหนึ่งกวาดตมองไปรอบๆ เห็นแต่กระป๋องน้ำอัดลมและขนมขบเขี้ยวกระจายอยู่โดยรอบนั่นหมายความว่าก่อนหน้านี้คงมีสงครามกันอยู่แถวนี้แน่นอน
“น้ำอัดลม”
“โฬม!”
พุฒิฟังแล้วอยากทุบคนตรงหน้าแรงๆ สักที มีอย่างที่ไหนกินยากับน้ำอัดลม ไม่รู้รึไงว่าแก๊สในน้ำอัดลมจะไปกัดกระเพาะและขัดขวางการดูดซึมของตัวยา ให้ตายเถอะไอ้เด็กโข่งนี่
“ลุกเลย”
“โอ๊ยพี่”
“ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองไม่สบายหนักขนาดนี้”
“ขี้บ่น”
คนป่วยทำหน้ายู่
“เดี๋ยวเถอะ”
“บ่น...ทำไมชอบบ่น”
“ก็ทำให้ห่วงทำไม”
พุฒิใส่อารมณ์ไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งสบตากับดวงตาพราวระยับนั่นแหละถึงรู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้ว
“เอ่อ..”
“พี่ห่วงผมเหรอ?”
“แล้วโฬมคิดว่าไงล่ะ”
“พี่ห่วงผมในฐานะอะไร? เพื่อนบ้านหรือคนรักเก่า”
“จะฐานะอะไรก็คือห่วงเหมือนกันนั่นแหละ”
โฬมกดยิ้มมุมปาก
“ไม่เหมือน”
“ลุกเลย นายตัวหนักมากพี่ประคองนายไม่ไหว”
พุฒิเปลี่ยนเรื่องคุย โฬมเลยยักไหล่ก่อนจะขยับลุกไปนอนแผ่ที่โซฟาใกล้ๆ ชายหนุ่มนอนประสานมือไปกับท้ายทอยมองไปยังร่างของอดีตนักที่วิ่งวุ่นไปหยิบผ้าเช็ดตัวและรองน้ำใส่กะละมัง
“จะทำอะไรครับ”
“เช็ดตัวไงเล่า”
“งั้นแก้ผ้าผมสิครับ”
พุฒิแยกเขี้ยวให้อีกใส่ที่นอนแอ่นตัวราวกับเสนอตัวให้จนน่าหมั่นไส้
“ถอดเสื้อออก”
“ถอดแต่เสื้อเหรอ?”
“ไอ้โฬม!”
พุฒิแทบอยากจะจิ้มตาอีกฝ่าย นี่เห็นว่าป่วยหรอกนะ ไม่งั้นคงไม่ยอมให้ขนาดนี้ พ่อลูกหนึ่งนึกปลงตอนที่บิดผ้าหมดๆ แล้วเช็ดตัวให้เด็กโข่งที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเสื้อกล้ามแขนกุดกับกางเกงบอกเซอร์ นึกแล้วก็ขำ ตัวโตซะเปล่าพอป่วยที่นอนแบ๊บตาปรือแล้วดูเด็กชะมัด
“ต้องกินข้าวก่อนกินยานะ”
“อืม”
“แล้วโฬมอยากกินอะไร”
“ปลาหมึกผัดไข่เค็ม”
พุฒิแยกเขี้ยวใส่
“นายป่วยอยู่ต้องกินอาหารอ่อนๆ”
โฬมเบ้ปาก
“ป่วยทีไรงอแงทุกที”
“งอแงแบบนี้แล้วพี่อยากดูแลมั้ยล่ะ”
พุฒิชะงักไปแป๊บนึง “ก็ดูแลมาตั้งแต่ป่วยครั้งแรกตอนเป็นแฟนกันแล้วนี่”
เขายังจำได้ดีถึงตอนที่โฬมป่วยตอนไปรับน้องและเป็นครั้งแรกที่เขาได้ดูแลอีกฝ่าย โฬมตอนป่วยเหมือนเป็นคนละคนทั้งขี้อ้อน ทั้งเอาแต่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นพุฒก็เต็มใจที่จะดูแล
“ที่ผมถามว่า พี่เป็นห่วงผมในฐานะอะไร ผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนบ้านเพราะความหมายมันคือการเป็นคนอื่น และไม่อยากเป็นแค่แฟนเก่าเพราะมันเป็นแค่อดีต”
“โฬม”
“ผมอยากได้คำตอบปัจจุบัน”
“อะไรเล่า”
“พุฒิ..”
พ่อลูกหนึ่งหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเขาเฉยๆ ไม่มีคำเรียกน้ำหน้า ไม่อยากคิดไปเองหรอกว่ามันมีสำเนียงอ้อนๆ ติดมาด้วย
“ปัจจุบัน”
“ปัจจุบันอะไรครับ”
ดวงตาคนป่วยพราวระยับ
“โฬมคือปัจจุบัน”
แม่งๆๆๆ
พูดออกไปแล้ว พุฒิเหมือนคนลิ้นพันเมื่อพูดจบเขารีบผละหนีออกมา ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาตามมาติด
“พุฒิ..”
หยุดเรียกเขาแบบนั้นเลยนะเว้ย
“พุฒิ..”
หยุดเรียกชื่อเฉยๆ เลย ไม่รู้หรือไงว่ามีคนเคยพูดว่า
‘ไม่มีใครเขาเรียกแฟนตัวเองว่า“พี่”กันหรอก’บ้าจริง!
★ ☆★ ☆★ ☆
หายไปนานเราไม่สบายค่ะ เป็นหวัดไม่หายสักที ตอนนี้ไอจนหูอักเสบ ถถถ
หวีดในโซเชี่ยลติด #Re2love ให้ด้วยนะคะ
ปล.เม้นท์บอกหน่อยเนอะว่าสนุก ไม่สนุก เราไม่อยากรู้สึกเหมือนคุยอยู่คนเดียว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ