Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 280503 ครั้ง)

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #900 เมื่อ16-03-2019 23:08:30 »

 :hao4: :hao3: :katai1: :katai1:

โอ๊ยยยยยย... งงในงง... สับสนและมีเบื้องหลังกันไปหมดเลยย.. เป็นซีนพาบินขึ้นฟ้าแล้วปล่อยลงหน้าผาลงหุบเหวชัดๆ... หวังว่าจะไม่มีใครมาเพิ่มความนัวเนียแล้วนะ.. แค่นี้ก็ต้องอ่านพร้อมทำชาร์จ​ความสัมพันธ์​แล้วเนี่ยยยย... อะไรจะตั้งใจกว่าอ่านหนังสือสอบสมัยเรียนขนาดนี้เนี่ย
.... น้องฮาร์ฟสู้ๆนะจ๊ะ.. น้องเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ป้าเป็นสุขได้
:heaven :heaven :heaven

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #901 เมื่อ17-03-2019 20:51:44 »

บทที่ 16 หมดเวลา

“เฮ้ย!”

ภาษิตที่กำลังจะก้าวขึ้นรถสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงห้าวดังขึ้นด้านหลัง เขาหันไปมอง และอมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “มีธุระอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

ร่างสูงยืนนิ่งไม่ตอบคำถามใดๆ เขาจึงลองเดินเข้าไปใกล้ ค่อยยกมือขึ้นสัมผัสที่ต้นแขนเห็นว่าไม่มีท่าทีจะขยับหนีก็สอดมือเข้าคล้องเต็มที่ ไม่คิดว่าของแลกเปลี่ยนที่ขอจะยอมมาหาถึงที่ขนาดนี้

“หรือว่าเปลี่ยนใจอยากลองเล่นกับผมดูครับ”

ตาคมเหลือบลงมอง แล้วใช้มือเชยปลายคางขึ้นให้สบตา “ถ้าอยากเล่นกับไฟก็ตามมาสิ” ก่อนจะก้มลงจูบครั้งหนึ่ง

หนุ่มหน้าตี๋เม้มริมฝีปากที่ยังอุ่นชื้นจากรสสัมผัส “ผมน่ะไม่กลัวอยู่แล้ว คุณต่างหากแน่ใจแล้วเหรอ”

“ไม่มีอะไรแน่ใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

ภาษิตกำลังจะเดินไปขึ้นรถเมื่อลำแขนแกร่งรั้งเอวไว้

“ฉันขับให้” ร่างสูงก้มลงกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับแกล้งเป่าลมอุ่นใส่ทำให้เจ้าของรถใจอ่อนยวบยอมให้กุญแจรถง่ายดายโดยไม่ซักไซ้อะไรอีก

รถของภาษิตเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถไปอย่างรวดเร็ว ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาตามที่นรกรขอร้องไว้ตกใจกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน เขารีบกลับหลังวิ่งกลับไปปลุกคนที่นอนหลับอยู่ห้องพักแพทย์ทันที

“ฮาร์ฟ! ตื่น เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

นรกรที่เพิ่งจะข่มตาหลับได้รีบลุกขึ้นคว้าแว่นมาสวม และแต่งตัวในระหว่างที่ฟังวินทร์เล่าไปด้วย

“ฉันได้ยินหมอนั่นมันเรียกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่าพ่อเต็มสองหูเลย ก่อนหน้านี้ที่มาโรงพยาบาลบ่อยๆ เจอหน้ากันก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแปลกๆ นี่นา เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่เนี่ย!”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าเรื่องที่กฤตเข้าใจมันจะถูกต้อง เขาจะต้องยิ่งโกรธแค้นขึ้นไปอีกแน่ๆ” นรกรบอกพลางกดโทรศัพท์หาไปด้วย “โทรไม่ติดครับ”

“ก็คงปิดเครื่องไปแล้วล่ะ โธ่! ไม่รู้ว่าว่าหมอนั่นวางแผนอะไรไว้ถึงได้ไปหาภาษิต แต่ฉันว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ขับรถออกไปแล้วแบบนี้จะตามเจอได้ยังไงล่ะ… แล้วนั่นนายทำอะไรน่ะ” วินทร์ถามเมื่อเห็นนรกรยังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ต่อไป

“ผมลองใช้โปรแกรมตามหาโทรศัพท์ดูน่ะครับ ถ้าพวกเขาเพิ่งออกไปหาจะยังอยู่ในขอบเขตสัญญาณให้เราตามไปได้” นรกรตอบ

“แล้วถ้าเขาปิดโปรแกรมนั่นไปแล้วล่ะ”

“ผมไม่คิดว่าเจาจะปิดเป็นนะครับ แต่ถึงจะปิดได้ ผมก็ยังมีแผนสำรองเป็นแอประบุตำแหน่งที่แอบลงไว้อีกอันครับ”

“รอบคอบดี” ชมไปวินทร์ก็นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขานรกรก็เป็นคนซื้อให้และลงโปรแกรมจัดเป็นโฟลเดอร์ให้เสร็จสรรพ ดูเหมือนจะมีแอปพลิเคชั่นที่มันหน้าตาแปลกๆ อยู่ด้วย หลงคิดว่ามากับเครื่อง จริงๆ แล้วไม่ใช่สินะ

“เจอแล้วครับ” นรกรบอก “ยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่”

“เรารีบไปกันเถอะ”

ทั้งสองรีบวิ่งออกจากห้องมา นรกรเลือกลงบันไดเพราะขี้เกียจรอลิฟต์ให้เสียเวลา พอมาถึงชั้นสามกำลังจะลงไปชั้นสอง เงาร่างตะคุ่มก็ปรากฏพรวดขึ้นตรงหน้า

“เฮ้ย! มีอะไรครับ… ทำไม…” นรกรก้าวถอยหลังเพราะนอกจากจะไม่หลบ วิญญาณของผู้หญิงซึ่งปกติจะนั่งหลบมุมอยู่เงียบๆ ยังพุ่งเข้ามาหา จังหวะนั้นเองที่ลิฟต์เปิดออกและชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ก้าวออกมาเดินพอดี ทั้งสองจึงชนกันล้มลง

“โอ๊ย!”

นรกรลุกขึ้นได้ก็รีบเข้าไปพยุงชายคนนั้นให้ลุกขึ้นพร้อมกับขอโทษขอโพยพลางเหลือบตามองไปทางบันได แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้หญิงคนนั้นแล้ว “ขอโทษครับพอดีผมกำลังรีบ”

“ไม่เป็นไรครับผมเองก็ไม่ระวังเหมือนกัน” ชายคนนั้นตอบ

นรกรกำลังจะผละจากไป ชายคนนั้นก็เอ่ยเรียกไว้

“ขอโทษนะครับ ผมรบกวนสอบถามหน่อยว่าไอซียูศัลยกรรมนี่อยู่ชั้นนี้หรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ” นรกรผายมือบอกทาง “เดินตรงไปทางด้านนั้นเลยครับ”

เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นบุคลากรในโรงพยาบาลชายคนนั้นจึงชวนคุยต่อ “พอดีผมมาเยี่ยมเพื่อนโดนรถชนมาน่ะครับ ลูกชายเพิ่งส่งข่าวให้ทราบว่าอาการหนักมาก ผมร้อนใจเลยรีบมา ถึงจะดึกแล้วแต่เขาคงให้เยี่ยมได้ใช่ไหมครับ”

“ได้ครับ กดออดหน้าประตูบอกชื่อคนไข้กับคุณพยาบาลนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

แล้วนรกรก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ว่า คนไข้ที่เพิ่งโดนรถชนมามีแค่เคสเดียวนั่นคืออาจารย์ภูมิศิลป์ เขาเหลือบตามองไปตรงบันไดทางลงตรงที่วิญญาณหญิงสาวปรากฏตัวเมื่อสักครู่ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเพื่อนคุณชื่ออะไรครับ” ถามพลางเขม่นตามองรู้สึกเค้าโครงหน้าของชายคนนี้คล้ายกับใครบางคนที่รู้จัก

“ชื่อภูมิครับ” ชายคนนั้นตอบ “ไม่ใช่สิ เขาเปลี่ยนเป็นภูมิศิลป์ตั้งหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ชินกับชื่อใหม่เขาสักที เขาเป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้แหละครับ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักเขาไหมครับ”

“รู้จักครับเขาเป็นอาจารย์ผมเอง” นรกรตอบ

“บังเอิญจังเลยครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอสอบถามหน่อยได้ไหมครับว่าเขาอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

“ผ่าตัดเสร็จแล้วตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวครับ… เอ่อ แล้วที่คุณบอกว่าลูกชายส่งข่าว ไม่ทราบว่าเขาก็ทำงานที่นี่เหมือนกันเหรอครับ” นรกรถาม “บอกได้ไหมครับว่าเขาเป็นใครเผื่อผมจะรู้จัก”

“เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่นี่หรอกครับแต่เป็นผู้แทนยาน่ะชื่อภาษิต… พอดีหมอที่รักษาอยู่เขาโทรหาให้ช่วยเอายาที่ลูกผมกำลังนำเสนออยู่มาให้น่ะครับ”

“ผมนี่ล่ะครับหมอคนนั้น” นรกรกล่าว

“ขอบคุณที่ช่วยหมอภูมินะครับ”

“เขาจะต้องหายแน่นอนครับ เรากำลังพยายามช่วยเขาอยู่”

ชายคนนั้นพยักหน้า ถึงจะดูเศร้าหากแววตายังคงมีความหวัง ก่อนจะพึมพำออกมาคล้ายให้กำลังใจตัวเอง “เขาเคยรอดตายมาแล้วครั้งหนึ่งครั้งนี้ก็ต้องหายดีแบบคราวที่แล้วสิ… ผมขอตัวไปเยี่ยมเขาก่อนนะครับ”

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ”

“ผมชื่อพลครับ”

“ขอผมเสียมารยาทถามอีกคำถามได้ไหมครับ” นรกรถามต่อ “คือผมบังเอิญได้ยินคุณภาษิตเขาเรียกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่าพ่อ ส่วนคุณก็บอกว่าเขาเป็นลูก… ตกลงว่าเขาเป็น…”

“ลูกหมอภูมิครับ”
.
.
.
“เกิดอะไรขึ้นครับทำไมจู่ๆ คุณถึงเปลี่ยนใจอยากเล่นกับผมขึ้นมาล่ะ” ภาษิตถามคุณหมอหนุ่มซึ่งขันอาสาขอเป็นคนขับรถให้ “หรือว่าทะเลาะกันอีก ตอนเอายาไปให้เมื่อหัวค่ำผมก็ไม่เห็นคุณอยู่กับหมอฮาร์ฟ ทั้งที่ปกติตัวติดกันแท้ๆ”

“อย่าเอ่ยชื่อหมอนั่นให้ฉันได้ยินอีก”

ภาษิตหยักยิ้มพลางเหลือบตามองโทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่ถูกโยนไว้บนคอนโซลหน้ารถ หลังจากที่มันขึ้นชื่อคนโทรมาให้เห็นบนหน้าจอ “แหม บทจะได้มาก็ง่ายดายเสียจริง รู้งี้ผมไม่น่าคิดแผนแยกพวกคุณให้เวียนหัวเลย… แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกันครับ”

“ไปที่ชอบที่ชอบไง”

“หืม” ภาษิตหันควับ แวบหนึ่งที่รู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไปเป็นเยียบเย็นจนน่าใจหาย และมันฟังดูไม่เหมือนเสียงของวินทร์เลย

“ก็แล้วที่ๆ ไม่ชอบจะไปทำไมล่ะ จริงไหม”

“ก็… จริงครับ” ถึงอีกฝ่ายจะยิ้มทำให้ดูเหมือนแกล้งแหย่เล่น แต่ลึกๆ ในใจของภาษิตกลับรู้สึกเบาหวิวราวกับที่อีกฝ่ายพูดนั้นกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง

รถถูกขับวนมาสักพักก็มาจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกหนึ่ง

“เล่าเรื่องพ่อกับแม่นายให้ฟังหน่อยได้ไหม” กฤตถาม

“แม่ตายตอนผมเกิดน่ะ” ภาษิตเล่า “ผมโตมากับพ่อแค่สองคน แต่จะเรียกว่าพ่อก็ไม่ถูกน่ะนะ จริงๆ แล้วเขาเป็นน้องชายของแม่น่ะ”

“แล้วพ่อนายล่ะ”

“ผมไม่รู้เหมือนกัน”

“อย่ามาโกหกฉันได้ยินนายเรียกไอ้ภูมิว่าพ่อ!” กฤตเผลอตวาดออกไปด้วยความโกรธ

ภาษิตสะดุ้งเฮือก หันมองคนที่หน้าตาบึ้งตึง ทำตาขวางใส่ เขาไม่เคยเห็นหมอวินทร์เป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่วันนี้แต่เป็นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา นั่นผิดกับผู้ชายอารมณ์ดีขี้เล่นทำให้เขาตกหลุมรักจนคิดจะช่วงชิงราวกับเป็นคนละคน แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่คิดจะถอยเหมือนกัน

“ตกลงไอ้ภูมิมันเป็นอะไรกับนาย!” กฤตคาดคั้น

“เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน… แค่คนรู้จัก”

คำตอบนั้นทำให้กฤตยิ่งอารมณ์เดือดพล่าน “ทำไมพวกแกต้องโกหกฉันทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

“ผมไม่ได้โกหกนะ!”
.
.
.
“เขาเป็นลูกหมอภูมิแล้วก็เป็นลูกผมด้วยครับ” พลตอบก่อนจะขยายความต่อ “จริงๆ เขาเป็นลูกชายของพี่สาวผมที่เสียไปแล้วน่ะครับ”

“แบบนี้เอง” นรกรหันไปสบตากับวิทนทร์

“ผมป่วยเป็นธาลัสซีเมีย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเจ็บออดๆ แอดๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นตอนเขายังเล็กหมอภูมิก็เลยอาสาช่วยดูแลเวลาผมมาโรงพยาบาลน่ะครับ” พลเล่า “ไม่ใช่แค่นั้น แต่เวลาผมลำบาก ไม่ว่าเรื่องอะไร หมอภูมิก็ยื่นมือเข้ามาช่วยตลอด”

“ตกลงอาจารย์ภูมิศิลป์ไม่ใช่พ่อเขาใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่น่ะครับ แล้วเจ้าตัวก็เรียกแบบนั้นมาตลอด แต่หมอภูมิไม่ชอบให้เรียกหรอกครับ”

“แล้วพ่อแท้ๆ ของเขาล่ะครับ”

พลหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย “เสียไปในอุบัติเหตุรถชนครับ นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่หมอภูมิมาช่วยดูแลเขาด้วยล่ะ คงรู้สึกผิดเพราะนั่งไปด้วยกันแต่มีแค่ตัวเองรอดมาได้โดยบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น”

“เขาชื่ออะไรครับ”

เล่าถึงตรงนี้พลก็เงียบไป “ผมขอไม่ตอบได้ไหมครับผมไม่อยากเอ่ยชื่อคนที่ทิ้งพี่สาวผมไป”

พลไม่ยอมพูดแต่นรกรได้คำตอบแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรหาภาษิต
.
.
.
“แฟนคุณโทรหาผมน่ะครับคงรู้ตัวแล้วล่ะมั้งว่าคุณหายมากับผม” ภาษิตบอก

“ปิดโทรศัพท์ซะ!” กฤตตะคอก

“ไม่เห็นต้องเสียงดังใส่เลยนี่ครับ” ภาษิตกดตัดสาย แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตื๊อจัง”

กฤตเอื้อมมือข้ามเบาะมาคว้าโทรศัพท์จากมือภาษิตกดปิดแล้วโยนไปที่เบาะหลัง

“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ เบาๆ หน่อยสิเดี๋ยวโทรศัพท์ผมพังหรอก!” ภาษิตเริ่มเสียงดังกลับ รู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกที เหมือนตัวเองกำลังถูกทำเป็นสนามระบายอารมณ์มากกว่าจะถูกชวนมาเพราะความพิศวาสใดๆ

ไฟจราจรที่เป็นสีแดงอยู่กะพริบเปลี่ยนเป็นสีเขียวรถคันข้างหน้าค่อยเคลื่อนตัวตามกันออกไปยกเว้นก็แต่รถของพวกเขา

“ออกรถได้แล้วคุณ” ภาษิตเร่งเมื่อรถที่จอดต่อท้ายเริ่มบีบแตรไล่ต่อกันเป็นทอดๆ เสียงดังลั่นถนน

แต่กฤตก็ยังไม่ยอมขยับรถ เขากดเท้าเหยียบคันเร่งจนมิดทั้งๆ ที่ยังเข้าเกียร์ว่างทำให้เกิดเสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่ม

“นี่คุณ! คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”

“ก็บอกแล้วไง” กฤตกล่าวเสียงเย็น “ว่าจะพาไปที่ชอบๆ”

เขารอจนถนนถนนด้านหน้าโล่ง แล้วก็เข้าเกียร์ปล่อยให้รถพุ่งทะยานออกไปด้านหน้า เป้าหมายคือเสาไฟฟ้าที่เห็นอยู่ไกลๆ อีกฟากของถนน

ยี่สิบสี่ปีก่อนที่ทำพลาดไป วันนี้เขาจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ พวกมันทั้งหมดจะต้องตายตามกันไป ให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำกับเขาไว้

“เฮ้ย! คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้!!”

ภาษิตพยายามยื้อแย่งพวงมาลัยแต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้ รถเริ่มส่ายไปมาอย่างน่าหวาดเสียวแต่ก็ยังพุ่งตรงไปข้างหน้า และเสี้ยวนาทีน่าสิ่วน่าขวานนั้นเอง จู่ๆ หน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกปิดวางอยู่บนคอนโซลก็สว่างวาบขึ้นมาสะท้อนข้อความขึ้นบนกระจกหน้ารถ
กฤตละสายตาจากเสาไฟฟ้าจ้องมองข้อความนั้น นัยน์ตาเบิกโพลง พลันรถสีฟ้าเมทัลลิกก็พุ่งมาจากถนนอีกด้านแล้วจอดขวางหน้า เขาถอนเท้าจากคันเร่งแล้วกดเหยียบเบรคจนมิด

เอี๊ยดดดด!

รถของภาษิตปัดไปเล็กน้อยจากการเบรคกะทันหันแต่ก็ยังคงทรงตัวอยู่บนถนนได้ก่อนจะจอดสนิท โชคดีที่เป็นกลางดึกไม่มีรถวิ่งมากนัก รถคันอื่นเพียงแค่บีบแตรแทนการสบถใส่ก่อนจะเหยียบคันเร่งให้พ้นไป

“ฮาร์ฟ! นี่นายทำบ้าอะไรเนี่ย!” วินทร์ตะโกนใส่คนที่นั่งหอบอยู่หลังพวงมาลัย รู้เลยว่าถ้าหัวใจยังเต้นอยู่มันจะต้องรัวจนแทบจะระเบิดกับความบ้าระห่ำของนรกร “ถ้านายเป็นอะไรไปอีกคนจะทำยังไง ห่วงตัวเองบ้างสิ!”

นรกรไม่โต้ตอบอะไร เขามองผ่านกระจกเห็นกฤตเปิดประตูลงจากรถแล้วจ้ำพรวดตรงมาหา เขาจึงรีบเปิดประตูรถออกไปเผชิญหน้า

“นี่มันหมายความว่ายังไง!” กฤตถามเสียงดังพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ในมือให้ดู

คุณจะทำร้ายลูกตัวเองไม่ได้นะครับ

นรกรเหลือบตามองข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ที่เขาใช้วิธีส่งข้อความควบคุมระยะไกล รู้สึกดีใจเหลือแสนที่โชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง “เมื่อกี้คุณพลมาเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์… คุณจำคุณพลได้ใช่ไหมเขาเป็นน้องชายคุณพลู”

ภาพเด็กผู้ชายตัวผอม ผิวซีดและใส่มาร์สปิดหน้าทุกครั้งที่เจอกันปรากฏขึ้นในความคิด กฤตพยักหน้า

“เขาบอกผมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกของพี่สาวเขากับเพื่อนของอาจารย์ภูมิศิลป์ที่ตายไปในอุบัติเหตุ นั่นก็คือคุณไม่ใช่เหรอ”

“แต่มันเรียกผู้ชายคนนั้นว่าพ่อ”

“พ่อบุญธรรม” นรกรต่อให้ “ขอร้องล่ะคุณกฤต ผมอยากให้คุณใจเย็นลงสักนิด... ลองนึกดูดีๆ อีกสักครั้ง”

“แต่ฉันไม่…”

พลันภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัว ภาพวันเลี้ยงส่งเขาที่ต้องไปทำงานไกลบ้าน ค่ำคืนที่เขาดื่มจนเมามายและตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้อยู่ที่บ้านของหญิงคนรัก

“นี่… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” ภาษิตลงจากรถในสภาพที่ยังตื่นตระหนกไม่หาย หัวของเขาปูดจากการโขกกับกระจกด้านข้างตอนรถเหวี่ยง

กฤตหันไปกระชากคอเสื้อภาษิตและร้องถาม “ตอบฉันมาอีกทีสิว่าพ่อนายชื่ออะไร”

“ชื่อ… พล มีอะไร” ภาษิตตอบตะกุกตะกักด้วยความมึน

“ไม่ใช่! ฉันหมายถึงพ่อจริงๆ พ่อที่เป็นผัวแม่นายน่ะ”

“คุณจะอยากรู้ไปทำไม!”

“ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับ” นรกรขอร้อง

ภาษิตมองคนนั้นทีคนนี้ที งงเป็นไก่ตาแตกไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ยอมตอบไปเพื่อให้จบๆ เรื่อง “พ่อบอกว่าผู้ชายคนนั้นชื่อ กฤตเขาหลอกฟันแม่ก่อนจะทิ้งแม่ไปแล้วก็ขับรถชนตายไปตั้งแต่ก่อนผมเกิดพวกคุณมีปัญหาอะไรกับเขาหรือไง”

ผัวะ!

ภาษิตกุมปากซึ่งเจ็บจนชาจากแรงหมัดที่กระแทกเข้ามาเต็มๆ “นะ… นี่คุณต่อยผมทำไมเนี่ย!”

“ข้อแรกเลยนะเจ้าหนู” กฤตชี้หน้า “อย่าเรียกพ่อว่าผู้ชายคนนั้น ข้อสองเขาไม่ได้หลอกฟันแล้วก็ไม่ได้ทิ้งแม่แก และข้อที่สามจำใส่กะโหลกไว้ให้ดีเลยนะว่าอย่าริเที่ยวไปยุ่งผู้ชายที่เขามีเจ้าของแล้ว!”

“เฮ้ย! นี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย แล้วคุณก็เป็นคนชวนผมเองนะ”

“แล้วแกปฏิเสธไม่เป็นหรือไงวะ” กฤตบอก พอคิดว่าถ้าหมอนี่เป็นลูกขึ้นมาจริงๆ เขาก็อดอายตัวเองไม่ได้ที่ไข่อะไรทิ้งไว้ให้มาสร้างปัญหาให้คนอื่น ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้เป็นคนเลี้ยงเองก็เถอะ

“พูดบ้าอะไรวะ!” ภาษิตถกแขนเสื้อพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหา

ทั้งสองทำท่าจะวางมวยใส่กัน นรกรจึงเข้ามาจับแยกและขอให้ภาษิตกลับบ้านไปก่อนค่อยมาเคลียร์กันวันหลัง

หลังจากนั้นเขากับวินทร์พากฤตกลับมาที่ตู้ล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนชุดอีกครั้งและตั้งคำถามเดิม

“นี่ใช่คุณพลูหรือเปล่าครับ”

กฤตเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกกับเรือนผมสีดำยาวนั้นอยู่อึดใจ ก็พยักหน้าครั้งหนึ่ง

มีใครบ้างจำคนรักของตัวเองไม่ได้ ต่อให้เธอเปลี่ยนไปแค่ไหนเขาก็จำเธอได้อยู่ดี… ที่ปฏิเสธไปในทีแรกก็แค่กลัว… กลัวที่จะยอมรับความจริงว่าเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นแค่ความเข้าใจผิดของตัวเขาเอง

“ล็อกเกอร์นี่เคยเป็นของเธอ” กฤตเอ่ยขึ้นช้าๆ “เธอเรียนจบแล้วทำงานก่อนฉัน เวรของเธอก็ยุ่งไม่ใช่น้อยส่วนฉันก็วุ่นวายกับการสอบ เวลาที่ว่างพวกเราจะนัดเจอกันใต้ต้นลั่นทมในสวน แต่เวลาทำงานฉันจะแอบแวะมาหาเธอที่วอร์ด ได้เจอก็ถือเป็นโชคดี แต่ถ้าเธอยุ่งฉันก็จะเอาขนมหรือบางทีก็เป็นจดหมายใส่ไว้ในตู้ล็อกเกอร์ของเธอ เข้าทำนองว่าไม่ได้เห็นหน้าขอเห็นล็อกเกอร์ก็ยังดี ฉันทำแบบนี้ทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรของเรา เธอเคยบอกว่าตู้นี้เหมือนเป็นกล่องวิเศษที่ให้พลังกับเธอ ฉันไม่ได้ให้อะไรเลิศเลอหรอกบางวันก็แค่ดอกลั่นทมดอกเดียวที่เก็บมาจากในสวนเธอก็เก็บใส่กระเป๋ายิ้มหน้าบานได้ไปทั้งวันแล้ว…”

กฤตเล่าไปยิ้มไปกับความทรงจำแต่หนหลัง

“วันนั้นฉันเอาแหวนมาใส่ในล็อกเกอร์ และแอบอยู่รอเธอเลิกงาน รอให้เธอมาเจอแหวนแล้วฉันจะขอเธอแต่งงาน แต่คนที่มาถึงก่อนกลับเป็นไอ้ภูมิ แวบแรกที่เปิดตู้ไปเห็นกล่องแหวนมันดูตกใจมากทีเดียว ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน ในเมื่อนี่เป็นตู้ส่วนตัวของเธอ เป็นที่นัดพบของเราแล้วมันมาทำอะไรที่นี่ แล้วสักพักเธอก็เดินมาหามัน มันปิดประตูตู้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นฉันก็เห็นพวกมันสองคนโผเข้ากอดกัน คุยกันอย่างสนิทสนม ฉันทนไม่ไหวก็เลยออกจากที่ซ่อน แล้วเราก็เลยทะเลาะกัน…”

“กฤตฟังฉันก่อนมันไม่ใช่อย่างที่แกคิด”

“ไม่ใช่ได้ยังไงก็เห็นอยู่ตำตา… ใครๆ ก็เตือนฉันว่าแกมันไม่ซื่อ ฉันก็โง่ไม่ฟังหลงเชื่อใจแกมาตลอด สุดท้ายมันก็เป็นจริงตามที่คนเขาว่า!”

“กฤต…” พูดได้เท่านั้นกำปั้นก็พุ่งเข้าเต็มแสกหน้า

“กฤตอย่าทำภูมิ ฟังพลูอธิบายก่อน”

“นี่เธอปกป้องมันเหรอ”

“มันเป็นความผิดพลูเอง อย่าโทษภูมิเลย”

“ตกลงพวกแกสองคนแอบเป็นชู้กันแล้วสวมเขาให้ฉันจริงๆ ใช่ไหม” เขาต่อยตู้เสียงดังด้วยโทสะแล้วเดินกระทืบเท้าปึงปังออกไปเพราะไม่อาจทนดูภาพบาดตาต่อไปได้

“กฤต…”

“ฉันไปเอง” ภูมิบอกพร้อมกับลุกขึ้น “เธอรออยู่ที่นี่นะพลูเดี๋ยวฉันพาไอ้กฤตกลับมา”


“แต่ฉันก็ไม่ได้กลับไป และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเธอ” กฤตผ่อนลมหายใจออกมายืดยาวและเงียบไปอึดใจ “พวกนายพูดถูก มันอาจเป็นการเข้าใจผิดของเองก็ได้ ที่ฉันเห็นมันก็แค่กอด แต่อย่างนั้นทำไมสองคนถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ ลับหลังฉัน ถ้าพลูยังรักและรอฉัน แล้วหมอนั่นมันเป็นลูกฉันจริง ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงไม่บอกฉัน… ทุกอย่างมันดูสับสนและย้อนแย้งกันไปหมด”

“คุณลองเปิดล็อกเกอร์ดูสิครับ” นรกรบอก “คำตอบอาจจะอยู่ในนั้นก็ได้นะ”

กฤตเอื้อมมือไปจับประตูตู้ ทั้งนรกรและวินทร์พากันกลั้นใจลุ้นตามไปด้วย กฤตออกแรงดึง แต่ว่า…

“มันเปิดไม่ออก” กฤตบอก

“เปิดไม่ออก?” วินทร์ย้อนถาม

กฤตพยักหน้าพร้อมกับออกแรงดึงให้มากขึ้น “มันเปิดไม่ออกจริงๆ นะ” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวที่มองลงมา “พลู นี่ฉันเอง กฤตไง จำฉันได้ไหม”

“กฤต” เธอทวนคำ

“ใช่! เธอจำฉันได้ใช่ไหม”

“ฉัน… รู้จัก… ชื่อนี้…” เธอทวนคำด้วยเสียงที่ยานคางไปอีก “ฉัน… รอ… เขาอยู่”

“เธอรอฉันอยู่เหรอ ฉันกลับมาหาเธอแล้วนี่

หญิงสาวชะโงกหน้ามองลงมา “คุณ… ไม่ใช่เขา”

“ใช่สิ!” กฤตว่า “ฉันนี่ไงกฤตของเธอ ในตู้นี่มีอะไรขอฉันดูหน่อยได้ไหม”

“ไม่ได้!”

กฤตทั้งอ้อนวอนและขอร้องจนอ่อนใจแต่หญิงสาวบนตู้ล็อกเกอร์ก็ไม่ทีท่าจะใจอ่อนเลย

นรกรกับวินทร์มองหน้ากันแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยังคงจับประตูไว้แน่น “ถ้าคุณไม่ใช่คนที่จะเปิดได้ งั้นใครกันล่ะคือคนที่จะเปิดได้”

“บางทีอาจจะเป็นอาจารย์ภูมิศิลป์” วินทร์บอกความคิดของตน “เรื่องราวมันต้องมีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้อีก เรายังไม่ได้คำตอบว่าจดหมายที่พวกคุณเขียนหากันมันหายไปไหน ใครเป็นคนปลอมจดหมายลายมือกฤตส่งไปให้นาย ไหนจะเรื่องคุณกฤตธีแล้วก็เรื่องที่คุณพลูมีลูก อาจารย์ก็รู้และคอยดูแลส่งเสียมาตลอด ฉันคิดว่าอาจารย์นี่แหละคือคนที่กำความลับทุกอย่างไว้ ถ้าอยากรู้ความจริงก็มีทางเดียวคือเราต้องช่วยอาจารย์ให้ได้แล้วก็ถามกับเจ้าตัวเขาเอง”


(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #902 เมื่อ17-03-2019 20:58:06 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)
ในตอนสายๆ ของวันต่อมาภาษิตก็กลับมาโรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับพล

“สวัสดีครับ” พลกล่าวกับคุณพยาบาลพร้อมกับส่งขนมที่ถือติดมือมาฝากให้พวกเธอ “แบ่งกันทานนะครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลหมอภูมิ”

“ขอบคุณค่ะ”

“ดูเขาเป็นคนดีผิดกับลูกชายลิบลับเลยนะ” วินทร์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่กระซิบกับนรกรที่นั่งทบทวนแผนการรักษาพร้อมกับผลสแกนสมองตอนเช้าวันนี้หลังให้ยาหมดไปหนึ่งคอร์ส ซึ่งผลที่ได้ดูเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

“ถ้าไม่นับเรื่องนั้นผมว่าเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะครับ” นรกรตอบพลางมองข้ามคอมพิวเตอร์ไปดู

“นึกยังไงถึงชมคนที่จะมาแย่งแฟนตัวเอง” วินทร์ว่า

“นึกว่าตัวเองโชคดีได้ของดีถึงขั้นมีคนอยากมาแย่งไงครับ” นรกรพูดติดตลก

พลกับภาษิตแยกตัวจากพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์และเดินตรงมาหาพวกเขา

“สวัสดีครับคุณหมอ” พลทักทายอย่างยิ้มแย้มผิดกับภาษิตที่ดูไม่ค่อยกล้ามองหน้าเขาเท่าไหร่ “วันนี้หมอภูมิอาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวครับ แต่ว่าสมองยุบบวมลงอย่างเห็นได้ชัด และไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นเพิ่มมาอีกครับ” นรกรตอบ

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย แบบนี้เขาก็มีโอกาสหายใช่ไหมครับ”

“ครับ” นรกรตอบ “แล้วก็ต้องขอบคุณคุณพาสมากเลยนะครับที่ช่วยเหลือเรื่องยา ถ้าไม่ได้คุณเอายามาให้เมื่อคืนการรักษาคงล่าช้าและทำให้อาการของอาจารย์แย่ลง”

ภาษิตตกใจเล็กน้อยที่โดนเอ่ยชื่อ เขาพยักหน้ารับคำขอบคุณเขินๆ

“ผมขอตัวไปเยี่ยมหมอภูมิก่อนนะครับ” พลบอก และเดินเข้าไปในห้องในขณะที่ภาษิตยังยืนอยู่ด้านนอก

นรกรเห็นว่าสบโอกาสที่จะเคลียร์เรื่องเมื่อคืนจึงเอ่ยขึ้น “เอ่อ… คุณพาสครับ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมต้องขอโทษแทนพี่วินทร์ด้วยนะครับ คุณก็รู้ว่าเขาเพิ่งได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองมาช่วงนี้อารมณ์ก็เลยแปรปรวนน่ะครับ”

“ครับ” ภาษิตตอบ “ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ฉวยโอกาสทำเรื่องโง่ๆ ที่เลวร้ายกับคุณ ทั้งที่คุณกำลังพยายามช่วยชีวิตคนอยู่… และคนๆ นั้นก็เป็นคนสำคัญของผมด้วย”

แล้วต่างคนก็เงียบไปอีกครั้งก่อนที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คือว่า… ที่พวกคุณถามถึงคนชื่อกฤต… เอ่อพ่อผมน่ะ… มันทำไมเหรอครับ”

“พอดีเรารู้จักกับพ่อคุณน่ะครับ แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งรู้ว่าเขามีลูกก็เลยอยากรู้ว่าเป็นใคร แล้วยิ่งตกใจไปอีกพอรู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวอย่างคุณน่ะครับ”

ภาษิตพยักหน้าเข้าใจ

“คุณเคยบอกว่าแม่คุณเป็นพยาบาลใช่ไหมครับ แล้วเธอก็เสียไปหลังจากที่คุณเกิดไม่นาน ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”

“แม่ผมเสียเพราะคลอดผมออกมานี่แหละครับ” ภาษิตบอก “แม่ป่วยครับแต่ก็ยังฝืนท้องผมและคลอดออกมา”

“แม่คุณป่วยเป็นอะไรครับ”

“มะเร็งสมองครับ” ภาษิตอบ “เพิ่งรู้ตัวก่อนจะท้องผมได้ไม่นาน จริงๆ แม่จะทำแท้งก็ได้เพื่อจะได้ไปรับการรักษาเต็มที่ แต่ก็ฝืนจนคลอดผมออกมาครับ แม่บอกว่ายังไงตัวเองก็ต้องตายและผมคือของขวัญที่จะมาต่อชีวิตให้แม่ ถ้าผมรอดแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ในตัวผม”

“คุณพลเล่าให้คุณฟังเหรอครับ”

“เปล่าครับ” ภาษิตบอก “พ่อบอกความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกตั้งแต่ยังเด็ก แต่คนที่เล่าเรื่องแม่ให้ฟังคือหมอภูมิ พ่อเกลียดผู้ชายที่ชื่อกฤตมากเพราะทิ้งแม่ไปแล้วก็ทำให้ใครๆ เข้าใจผิดว่าแม่เป็นสาเหตุให้เขาตาย แต่หมอภูมิไม่อยากให้ผมคิดกับพ่อแท้ๆ แบบนั้น ก็เลยแอบเล่าเรื่องเขาให้ฟังบ่อยๆ น่ะครับ”

“อาจารย์สนิทกับครอบครัวคุณมากเลยนะครับ”

“มากๆ เลยล่ะครับ” ภาษิตตอบ “จนผมคิดว่าจริงๆ แล้วเขานี่แหละคือพ่อแท้ๆ ของผม แต่เขายืนยันว่าไม่ใช่ แล้วก็ไม่ชอบที่ผมเรียกเขาว่าพ่อด้วย แต่ผมก็ยังดันทุรังเรียกอยู่ดี”

“ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง”

“ผมขอตัวไปเยี่ยมหมอภูมิบ้างนะครับ”

“ครับ”

นรกรมองตามเข้าไปในห้อง พลยืนอยู่ข้างเตียงด้านหนึ่งมองคนที่ยังไม่รู้สติ ภาษิตเข้าไปยืนอีกด้านและสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มจับมือคนบนเตียงส่งกำลังใจไปให้

“อาจารย์เก็บความลับอะไรไว้กันแน่ครับ รีบตื่นขึ้นมาแล้วเล่าให้พวกผมหน่อยเถอะครับ” นรกรรำพึงกับตัวเอง

OOOOOO

ถึงจะยอมรับได้ส่วนหนึ่งว่าอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่กฤตก็ยังทำใจไปเยี่ยมอดีตเพื่อนรักไม่ได้ เขาจึงมาขลุกตัวอยู่ที่ตึกกายภาพกับกฤตธีเหมือนที่เขาแอบสองคนนั่นทำมาตลอดหลายวัน แต่ต่างตรงที่วันนี้ไม่ต้องแอบอีกแล้ว

ตอนนี้กฤตธีอาการดีขึ้นมาก การทำกายภาพเป็นไปด้วยดี เขาเริ่มช่วยเหลือตัวเองและทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีอาการเหม่อลอยหรือเผลอหลับเป็นช่วงๆ และยังพูดได้ไม่ชัด การสื่อสารส่วนใหญ่จึงใช้วิธีเขียนใส่กระดาษ

หลังจากทำกายภาพตามตารางประจำวันเสร็จกฤตก็อาศัยร่างที่เป็นหมอในโรงพยาบาลนี้ของวินทร์ขอพาชายหนุ่มออกมานั่งเล่นในสวน และในขณะที่กำลังเหม่อมองต้นลั่นทมที่กำลังชูช่อและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จู่ๆ กฤตธีก็หันมาดึงแขนเสื้อเขา

“ว่ายังไง” กฤตถามพลางนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นเพื่อให้สายตาเสมอกัน

“เขาไปไหน” กฤตอ่านคำถามที่ถูกเขียนส่งมาในสมุดโน้ตเล่มเล็กก่อนจะถามกลับ “นายหมายถึงใครเหรอ”

…หมอภูมิศิลป์...

กฤตมองตัวหนังสือโย้ไปเย้มาเพราะเจ้าตัวยังจับดินสอเขียนไม่ค่อยถนัดอย่างไม่เชื่อสายตาและตอบออกไป “เขาไม่สบายน่ะ”

…เป็นอะไร…

“รถชน”

ชายหนุ่มมีสีหน้าตกใจขึ้นทันที

…ผมขอไปเยี่ยมเขาได้ไหม…

กฤตกลั้นหายใจ เขามองสายตาวิงวอนแกมขอร้องที่ส่งมาก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ เดี๋ยวฉันพาไป”

…ขอบคุณครับ…

กฤตมองคนป่วยที่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันตา ไม่คิดจะถามว่าทำไมถึงรู้จักเพราะคำตอบนั้นเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในหัวแล้ว… คำตอบที่เขาปฏิเสธมันมาโดยตลอด บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว

พยาบาลสาวที่หน้าเคาน์เตอร์ในห้องไอซียูโบกมือทักทายทันที่ที่เห็นร่างสูงเดินผ่านประตูเข้ามาและกระวีกระวาดมาช่วยเขาเข็นรถ

“อาจารย์ฮาร์ฟเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง ไม่สวนกันเหรอคะ”

“พอดีผมพาคนมาเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์น่ะครับ” กฤตตอบ

“นี่ใช่คุณกฤตธีที่เคยนอนอยู่เตียงหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มบนรถเข็นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้

“ดูแข็งแรงขึ้นเยอะเลยนะคะ อีกไม่นานก็คงได้กลับบ้านแล้วนะคะ”

กฤตธียกมือไหว้พร้อมกับค้อมศีรษะรับคำอวยพร

พยาบาลสาวยกมือรับไหว้และเข็นรถมาส่งจนถึงข้างเตียงจึงปลีกตัวไปทำงานต่อ

กฤตไม่เข้าไปด้านใน เขายืนอยู่แค่หน้าประตูห้องและมองดูคนบนรถเข็นสัมผัสแขนบีบมือคนที่ยังนอนไม่รู้สติอยู่บนเตียง
ครู่หนึ่งกฤตธีก็เปิดสมุดโน้ตที่ไว้ใช้สื่อสารและพยายามฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ด้วยความที่ยังจับอะไรไม่ค่อยถนัดดูเงอะงะ คนที่ยืนดูอยู่หน้าห้องจึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วย

“จะฉีกออกใช่ไหม ฉันทำให้” กฤตบอกและรับสมุดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงแต่ในขณะที่กำลังจะฉีกก็สังเกตเห็นว่ามันเป็นจดหมายที่เจ้าตัวเขียนขอบคุณอาจารย์ภูมิศิลป์ เมื่อดูจากความยาวของจดหมายแล้วคงต้องใช้ความตั้งใจและความพยายามเป็นอย่างมาก

กฤตธีรับกระดาษมาพับและสอดใส่สมุดเยี่ยมที่วางไว้บนโต๊ะตรงข้างเตียง

เสร็จหน้าที่ฉีกกระดาษ กฤตก็ถอยออกมายืนหน้าห้องตามเดิม และหันหลังให้ เขาไม่อาจทนมองภาพร่างที่นอนนิ่งศีรษะพันผ้าพันแผลหนา มีท่อช่วยหายใส่และสายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางเต็มไปหมดได้

ตอนนั้นเองที่ใครคนหนึ่งเดินมา

ถึงจะดูไม่เหมือนเด็กชายตัวผอมผิวซีดในความทรงจำตรงที่ร่างกายนั้นดูมีเนื้อหนัง แข็งแรงขึ้นและใบหน้าก็เริ่มมีริ้วรอยไปตามวัย แต่เขาก็ยังคงหน้าตาไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน… หน้าที่เหมือนกันกับพี่สาวของเขา

“พล” กฤตเผลอเรียกชื่อออกไป

“สวัสดีครับ” เจ้าของชื่อรับคำงงๆ เพราะเพิ่งเจอคุณหมอคนนี้เป็นครั้งแรก “รู้จักผมได้ยังไงครับ เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ”

“นี่หมอวินทร์ครับ” ภาษิตที่เดินตามหลังมาบอก “เป็นแฟ… เพื่อนคุณหมอนรกรที่รักษาหมอภูมิครับ”

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลหมอภูมิ” พลกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะ

“แล้วนั่นใครมาเยี่ยมหมอภูมิน่ะพ่อ” ภาษิตถาม “ใส่ชุดคนไข้ด้วย”

พลมองเข้าไปในห้อง “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวพ่อเข้าไปคุยดู”

แล้วพลก็เดินเข้าไปทักทายแขกในห้องด้วยท่าทียิ้มแย้มเสมือนตัวเองเป็นญาติของคนป่วย

“เรื่องเมื่อวานขอโทษที” กฤตเอ่ยขึ้น “คือฉัน…”

“คุณป่วยอยู่” ภาษิตพูดขึ้น “หมอฮาร์ฟคุยกับผมเมื่อเช้าแล้ว เขาขอโทษแทนคุณแล้วก็อธิบายเสียยืดยาวเลย”

กฤตเงียบไป รู้สึกผิดที่สร้างความยุ่งยากให้สองคนนั่นทั้งที่สัญญาไว้แล้ว

“เอาจริงๆ นะผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าตกลงนี่เป็นนิสัยคุณจริงๆ หรือเพราะคุณป่วย หรือจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ผมยอมแพ้แล้ว ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าจะทนอารมณ์แปรปรวนแปลกๆ ของคุณไม่ไหวหรือเพราะคุณไม่ได้เหมือนกับตอนที่ผมแอบชอบ แต่ผมยอมแพ้ผู้ชายคนนั้น”

“อืม”

“ผมแค่อยากเอาชนะน่ะ” ภาษิตพูดต่อ “ผมเห็นพ่อแอบชอบคนๆ นึงมาเป็นสิบๆ ปี โดยไม่คิดที่จะแย่งเขามาทั้งๆ ที่ก็ทำได้ แล้วก็คิดว่าตัวเองจะต้องไม่เป็นแบบนั้น… แล้วผมก็คิดผิด”

กฤตมองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงร่างกายจะโตเป็นผู้ใหญ่แต่ประสบการณ์รักยังอ่อนนัก “นายก็แค่ยังไม่เจอคนของนายก็แค่นั้นเอง” เขาบอก “ถ้านายเจอเขา นายจะรู้ว่าเขาเป็นของนายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามหรือแย่งชิงมาเลย”

ภาษิตหัวเราะแห้ง “ผมอุตส่าห์ตัดใจแล้วนะ อย่ามาทำให้ไขว้เขวได้ไหม”

“ขอโทษที” กฤตบอก “แล้วนี่นายไม่เข้าไปเยี่ยมภูมิเหรอ”

“หน้าที่ผมคือขับรถมาส่งพ่อ” ภาษิตบอก

เห็นว่าสบโอกาสกฤตจึงเอ่ยถาม “แล้ว… แม่นายเป็นอะไรตายเหรอ”

ภาษิตเหลือบตามองคนถามครั้งหนึ่ง แต่ก็ยอมตอบ “มะเร็งสมองน่ะ”

“มะเร็งสมอง” กฤตทวนคำด้วยเสียงแหบแห้ง นึกจำได้ว่าเธอชอบบ่นปวดหัวให้ฟังอยู่บ่อยๆ และเขาก็ไล่ให้เธอไปนอนพักคิดว่าแค่ทำงานหนักไปก็เท่านั้น ไม่คิดว่านั่นจะเป็นอาการนำของโรคร้ายแรงขนาดนี้ “แล้วทำไมเธอไม่รักษา”

“ถ้าแม่จะรักษา แม่ต้องเอาผมออกเพราะต้องให้คีโม แม่ก็เลยเลือกจะเก็บผมไว้”

กฤตอึ้งไปเล็กน้อยที่ได้ยิน “เรื่องนี้พลกับภูมิรู้หรือเปล่า”

“รู้สิ หมอภูมินี่แหละที่เป็นคนพาแม่ไปหาหาหมอ”

ทั้งสองหยุดบทสนทนาเมื่อพลเดินกลับออกมาหา “เขาบอกว่าหมอภูมิเป็นคนให้ทุนเขาเรียนจนจบน่ะ ตัวเขาเองก็เพิ่งเกิดอุบัติเหตุเมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากแวะมาเยี่ยมหมอภูมิที่โรงพยาบาลน่ะ”

กฤตเม้มปากสนิท นั่นตอกย้ำการคาดเดาของเขาและเนื้อความในจดหมายของกฤตธีที่เขาแอบเห็นได้เป็นอย่างดี

“แหม พ่อนี่สุดยอดเลย ทำหน้าที่รับแขกได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องสมกับเป็น…จริงๆ” ภาษิตแกล้งเว้นวรรคอย่างมีเลศนัยน์

“อะไรเจ้าพาส ฉันก็แค่ถามไปตามมารยาท”

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา... เพื่อนสนิทไงเพื่อนสนิท… ว่าแต่พ่อจะอยู่เฝ้าหมอภูมิต่อใช่ไหม งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะเดี๋ยวตอนเย็นมารับ”

“ไปพักบ้างเถอะ นายเองก็ไม่ค่อยแข็งแรงนี่นา” กฤตเอ่ยขึ้น

“ผมไหวครับ” พลบอก 

ภาพเด็กชายในความทรงทรงจำซ้อนทับขึ้นมาในความคิด คนที่ยังคงยิ้มให้อย่างร่าเริงเสมอและบอกว่าไหวทั้งที่นอนซมแทบไม่มีแรงหายใจอยู่บนเตียง ฉับพลันภาพก็เปลี่ยนไปเป็นเด็กผู้ชายอีกคนที่มักจะส่งยิ้มมาให้ทั้งที่นัยน์ตาเศร้า เขาย่นคิ้วกับภาพนั้น เหมือนจะคุ้นแต่นึกไม่ออก โดยเฉพาะนัยน์ตาสีอ่อนนั่นคุ้นเหลือเกิน

“เมื่อก่อนหมอภูมิทำให้ครอบครัวเรามากกว่านี้อีก แค่อยู่ข้างๆ จนกว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา เรื่องแค่นี้สบายมากครับ”
พูดจบพลก็เดินกลับเขาไปในห้องอีกครั้ง

กฤตมองเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็ได้เห็นบางสิ่งที่ต่างไปจากครั้งแรก… บางสิ่งที่เขาเคยมองเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นมาโดยตลอดหลายปี

รถเก๋งจอดติดไฟแดง กฤตเหลือบตามองสัญญาณไฟที่กะพริบเปลี่ยนสีและตัดสินใจเด็ดขาด “แกตอบฉันมาตรงๆ สิไอ้ภูมิว่าแกรักพลูใช่ไหม”

“เปล่า ฉันไม่ได้รักเธอ”

เขากระทืบเท้าลงบนคันเร่งด้วยแรงโทสะที่บังตาจนมืดบอด ตอนนี้เขาพร้อมตายเพื่อยุติปัญหาทุกอย่าง “อย่ามาโกหก! ถ้าแกไม่ได้รักเธอแล้วที่มาคอยดูแล พาไปกินข้าว ไปรับไปส่งช่วยพาน้องชายเธอไปหาหมอ แกทำทั้งหมดนี่เพื่ออะไร”

รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะปัดไปด้านข้างเมื่อคนขับหักหลบหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่บังเอิญเดินผ่านมา เสียงล้อรถเบียดไปกับถนนและเสียงกระแทกกันของโครงรถกับเสาไฟฟ้าดังสนั่นทำให้เสียงคำตอบสุดท้ายของคนที่นั่งคู่มาด้วยกันนั้นแผ่วค่อยเต็มที แต่ตอนนี้มันกลับชัดเจนอยู่ในสองหูและสะท้อนซ้ำไปซ้ำมา

“เพื่อแกไงกฤต ทั้งหมดเพื่อแก… เพราะว่าฉันรักแก”


กฤตรู้สึกว่าทั้งตัวหนักอึ้ง เขาก้าวช้าๆ เข้าไปในห้องก่อนจะหมดแรงทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างเตียง เขาคว้ามือคนที่ยังไม่ได้สติขึ้นมาและซบหน้านิ่ง มันเกินกว่าคำว่าเสียใจหรือรู้สึกผิดกับการตัดสินใจผิดเพียงชั่วครู่ที่ให้หลายชีวิตเปลี่ยนไป ในขณะที่เขายังจมอยู่กับความทุกข์และการแก้แค้น แต่อีกคนกลับพยายามก้าวเดินต่อ ใช้ชีวิตเพื่อชดเชยความผิดที่ทำพลาดไป

ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าทำไมวิญญาณถึงไม่ไปไหน ทำไมตัวเขาถึงได้กลับมาในร่างนี้

“ฉันขอโทษไอ้ภูมิ… ฉันขอโทษ… ยกโทษให้ฉันเถอะ”

OOOOOO

กว่าจะผ่าตัดเคสสุดท้ายของวันเสร็จก็มืดค่ำเอาการ นรกรเดินลงจากตึกกลับไปขึ้นรถ ระหว่างทางร่างโปร่งแสงที่เดินคู่กันมาก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ทั้งวัน

“ฮาร์ฟ”

“อะไรครับ”

“ทำไมไม่บอกกฤตเรื่องที่คุณพลูเสียเพราะอะไร”

“จะบอกได้ยังไงล่ะก็ผมยังไม่เจอตัวเขาเลยนี่นา”

“เหรอ” วินทร์ทำเสียงอย่างไม่เชื่อ

นรกรหันไปสบตา “อยากพูดอะไรก็พูดมาครับ”

วินทร์มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำอ่อนตาลคู่นั้น ต่างคนต่างเข้าใจดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากที่กฤตแก้ไขเรื่องทุกอย่างได้ นั่นคือเหตุผลที่นรกรไม่บอกกฤตเพราะอยากจะยืดเวลาออกไป ตัวเขาเองก็กลัวที่จะพูดเรื่องนี้เหมือนกันแต่เมื่อมันเวลามันใกล้เข้ามาก็คงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนจะไม่มีโอกาสเหมือนครั้งก่อน “เรามาคุยกันหน่อยไหมว่าหลังจากนี้จะเอายังไง”

นรกรดูลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตอบตกลง “ครับ”

ทั้งสองเดินลัดเข้ามาในสนามแล้วนั่งลงตรงม้านั่งตัวเดิมที่พวกเขามักจะมานั่งคุยกันบ่อยๆ นรกรนั่งตัวตรงในขณะที่วินทร์นั่งตะแคงข้างเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ

“เอาสีที่นายชอบน่ะ” เขาเอ่ยขึ้นโดยปราศจากการอารัมภบทใดๆ

“สีขาวได้ไหมครับ” นรกรถามกลับ “ผมไม่เคยเห็นพี่วินทร์ใส่สูทขาว แต่คิดว่าใส่แล้วต้องหล่อมากแน่ๆ เลย”

“สูทใส่ยากนะ”

“ผมใส่ให้ได้น่า” นรกรบอก

“โกนหนวดให้ด้วยนะ”

“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วครับ”

“อย่าทำบาดนะ”

“อันนี้ห้ามยากนะครับ” นรกรว่า “ผมเลือกชุดแล้ว ดอกไม้ให้พี่วินทร์เลือกนะ”

“เอาเป็นกุหลาบขาวกับฟอร์เก็ตมีน็อตสีฟ้า” วินทร์ตอบ “เบอร์โทรร้านประจำฉันบันทึกไว้ในเครื่องแล้ว เจ้าของร้านชื่อคุณนิด เขาจะจัดการให้นายได้”

“ได้ครับ”

“ฝากขอบคุณพ่อกับแม่นายด้วยสำหรับความกรุณาตลอดมา แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกลาด้วยตัวเอง”

“ครับ”

“นายจะร้องไห้ไหม”

“ไม่ร้องหรอกครับ”

“ดีแล้ว”

แล้วต่างคนก็เงียบไปรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ ที่ต้องมานั่งคุยเรื่องการจัดงานศพของตัวเอง

วินทร์กวาดตามองบรรยากาศรอบตัวที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเห็นมันอีกครั้งเมื่อไหร่ พยายามซึมซับมันไว้ทั้งต้นไม้ เสียงลม แสงดาวบนท้องฟ้า เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็คงไม่มีอะไรเหมือนเดิม “ฮาร์ฟ… ถ้าหากว่าฉัน…”

“ผมจะรอครับ” นรกรชิงพูดขึ้นก่อน “นานแค่ไหนก็จะรอ”

วินทร์อมยิ้มกับตัวเอง “ฉันกำลังจะขอให้นายลดสเปค”

“ยังไงครับ”

“ก็แบบ… นายชอบคนอายุมากกว่าแต่เดี๋ยวกลายเป็นฉันอายุน้อยกว่า ซึ่งดูแล้วก็คงเยอะด้วย นายจะยอมลดตัวมาคบกับเด็กไหมล่ะ”

“ตอนนี้ผู้ชายในสเปคผมเปลี่ยนไปแล้วนะ”

“แล้วชอบแบบไหน”

“แบบนี้” นรกรชี้ไปที่คนข้างตัว “เป็นให้ได้ไหมครับ”

“ไม่น่ายาก” วินทร์ยิ้มเขิน

“พี่วินทร์น่ะแหละ… ถึงเวลานั้นเป็นหนุ่มหน้าใส คงมีสาวๆ มีคนน่ารักๆ รุมล้อมแล้วจะสนใจอาจารย์หมอแก่ๆ เหรอ” นรกรรำพึงเบาๆ “ผมไม่อยากรอนานขนาดนั้นเลย”

“ถ้านายรอไม่ไหว ฉันยอมให้พรากผู้เยาว์นะ”

“ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากติดคุก”

“ไม่ติดหรอก เดี๋ยวฉันยอมรับเองว่าเป็นคนลงมือก่อน”

“ไม่ต้องมาเรียนหมอนะ งานหนัก ไม่มีเวลาเจอกัน อยากเรียนอะไรก็เรียนถ้าพ่อแม่ไม่ยอมเดี๋ยวผมส่งเสียเอง”

“ป๋าไปอีก” วินทร์หัวเราะในลำคอ “เป็นหมอนี่แหละ ยังอยากไปเดินราวน์ด้วยกันอยู่ เคสหนักก็ช่วยกันรักษา เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน และฉันก็ไม่อยากพลาดเห็นรอยยิ้มตอนนายผ่าตัดสำเร็จ”

“ไหนว่าถ้าเลือกใหม่ได้ จะไปเป็นนักร้องหรือเป็นเชฟไง”

“แล้วนายว่าไงล่ะ ฉันเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้เป็นแฟนนายอีก”

“ก็เป็นอยู่แล้ว” นรกรว่า “ไม่ได้เลิกกันเสียหน่อย แค่ห่างกันสักพักไม่ใช่เหรอครับ”

“นั่นสินะ”

แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปอีกครั้ง ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะพูด แต่เพราะคำพูดมากมายมันแย่งกันมาจุกอยู่ที่คอจนไม่รู้จะบอกเล่าเรื่องไหนก่อนจึงจะเหมาะสมและพอดีกับเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้

วินทร์ขยับตัวเข้าไปใกล้ วางมือลงทาบทับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนม้านั่ง “ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“นายจะผ่านมันไปได้… ฉันแค่หลับไป… นานหน่อย แค่นั้นเอง เดี๋ยวตื่นมาก็ได้เจอกันแล้วนะ”

นรกรพยักหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกลำคอตีบตันจนตอบได้แค่สั้นๆ “ครับ”

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“รักนะ”

นรกรเม้มปากสนิท พยายามแค่นเสียงให้ตอบออกไป “ผมก็…”

“นายไม่ต้องตอบตอนนี้…” วินทร์พูดขึ้นพร้อมกับหันไปสบตา “ฉันขอเก็บไว้ฟังตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตกลงไหม”

“ครับ”

“แล้ว...” วินทร์พูดได้แค่นั้น น้ำเสียงก็ขาดหายไป รู้สึกถึงแรงกระตุกแปลกๆ ในอก

“พี่วินทร์... เกิดอะไรขึ้น...” นรกรลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจเพราะจู่ๆ ร่างโปร่งแสงตรงหน้าก็ค่อยๆ จางลงจนแทบจะกลืนหายไปกับความมืดมิด

“ฉัน... ไม่...รู้...”

ฉับพลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นรกรกดรับและเสียงจิงโจ้ที่ตอบกลับมาก็เหมือนช่วยให้คำตอบของคำถามที่สงสัย

“พี่ฮาร์ฟครับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พี่วินทร์เป็นอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็ล้มลงไปแล้วยังไม่ยอมฟื้นเลย!”

*******************************************TBC**********************************************

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #903 เมื่อ17-03-2019 21:49:13 »

 o22 o22 o22

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #904 เมื่อ17-03-2019 22:30:20 »

 :sad4: สงสารจะพรากจากกันอีกแล้ว

ออฟไลน์ Poompim

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #905 เมื่อ17-03-2019 22:40:54 »

พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยค่ะสงสานทั้งคนรอ และคนคนที่จากไปต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกัน :sad4: :hao5: :m15: :monkeysad:

ออฟไลน์ Wordstringer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #906 เมื่อ17-03-2019 23:32:20 »

เฮ้อออ  :เฮ้อ: นึกถึงพุทธศาสนสุภาษิต ประโยคนี้เลยครับ
   "กมฺมุนา วตฺตตี โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"  :hao5:

ขอให้ทุก ๆ อย่างผ่านไปด้วยดีนะครับ หมอฮาร์ฟ & หมอวินทร์  :impress3:

ปล. :L2: :L2: :L2: คนเขียน สู้ ๆ ครับ

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #907 เมื่อ18-03-2019 00:20:54 »

 :katai1: :katai1: :katai1:
กฤตเนี่ยเป็นผีพ่อที่ฮาร์ดคอร์จริงๆ.. ถ้ามีชีวิตอยู่ถ้าจะปะฉะดะกะลูกชายจนบ้านแตกแหงๆ.. ก็ไม่รู้ว่าอะไรดีกว่าเนอะ.แต่ก็ทำหน้าที่สั่งสอนลูกได้รวดเร็วทันใจเป็นพวกคิดไวทำไวไม่ฟังใครไม่เปลี่ยนแปลงดี.. คลี่คลาย.....
.. แต่ใจสลายหนักมากกับการพบแล้วจากแบบไม่ตั้งตัวของน้องฮาร์ฟกะพี่วินทร์..  :o12: :o12: :o12:  น้องเข้มแข็งมากๆ.. แต่ถ้าน้องจะไม่ร้อง.. พี่ขออนุญาติร้องก่อนเลยนะคะ :o12:  เป็นนิยายที่บีบคั้นกันเกินไปแล้ว.. ใจสลาย​ใจสลาย.. ความหวังของวันใหม่อยู่ที่น้องแล้วจริงๆ.. ป้าจะนั่งรอฟ้าสว่างไปด้วยกันนะคะ :ling2: :ling2:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #908 เมื่อ18-03-2019 11:55:37 »

ไม่ได้เลิกกันสักหน่อย แค่ห่างกันสักพักไม่ใช่เหรอครับ ...
เศร้า สงสารทั้งคู่
ชีวิตต้องอยู่การรอคอยและทำใจ :(

ออฟไลน์ thebrownbear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #909 เมื่อ18-03-2019 15:55:16 »

เศร้ามากเลย แบบเหมือนยังไงก็ต้องยอมรับอ่ะ คนที่จะต้องจัดงานศพให้แฟนตัวเองนี่ต้องขนาดไหน เง้อเศร้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
« ตอบ #909 เมื่อ: 18-03-2019 15:55:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #910 เมื่อ20-03-2019 06:19:57 »

อยากให้วินทร์กลับมา อย่าเอาวินทร์ไปเลย :hao5:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่16 หมดเวลา P.31[17/03/2562]
«ตอบ #911 เมื่อ20-03-2019 19:49:23 »

บทที่ 17 บอกลา

นรกรวิ่งขึ้นตึกกลับไปที่ห้องพักแพทย์ เปิดประตูเข้าไปเห็นอนุวัฒน์กับจิงโจ้กำลังช่วยกันปฐมพยาบาลให้รุ่นพี่ของตนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าคมสันซีดจนไร้สีเลือด นรกรรีบเข้าไปยืนอย่างเตียง คว้าข้อมือมาคลำชีพจรในขณะที่สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า แรงเต้นของชีพจรถึงจะเร็วกว่าปกติหากยังคงแรงและสม่ำเสมอ เขายังมองเห็นกฤตอยู่ในร่างของวินทร์ แต่ดวงวิญญาณนั้นก็ดูลางเลือนเต็มทีเหมือนกัน

“คุณพยาบาลบอกว่าเห็นพี่วินทร์เดินไปจับมืออาจารย์ภูมิศิลป์แล้วร้องไห้บอกว่าขอโทษ หลังจากล้มลงไปเลยครับ พอดีพวกผมไปราวน์เช็กสัญญาณชีพเห็นว่าปกติเลยช่วยกันแบกมาที่นี่” อนุวัฒน์บอก

“ขอบคุณมาก” นรกรตอบ

“เขาคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” วินทร์สรุปความ

นรกรเม้มปากสนิท โอกาสเดียวที่จะช่วยวินทร์ได้มาถึงแล้วแต่ถ้าเขาทำไม่สำเร็จนั่นก็หมายความว่าเรื่องที่เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่จะเกิดขึ้นจริงแล้วเขาจะเสียวินทร์ไป และนั่นทำให้เขาเกิดกลัวขึ้นมา

ร่างโปร่งแสงเขยิบเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหู “มันจะต้องสำเร็จสิ ฉันเชื่อใจนายนะ”

นรกรหันไปสบตา รอยยิ้มกว้างบนหน้าอีกฝ่ายลบความหวาดกลัวให้หายเป็นปลิดทิ้ง “เราต้องไปตามอาจารย์ภูมิศิลป์”

“แต่อาจารย์ยังไม่ฟื้นไม่ใช่เหรอ” วินทร์ว่า

“พี่ฮาร์ฟจะให้เราช่วยอะไรไหมครับ” จิงโจ้ถามอย่างไม่แน่ใจนักเพราะเหมือนนรกรจะพูดกับพวกตนแต่กลับหันหน้าไปทางที่ไม่มีใคร

“พวกนายช่วยออกไปก่อน” นรกรหันมาบอก

“ไม่ครับ” อนุวัฒน์ที่แอบสังเกตการณ์มาสักพักพูดขึ้น

“อะไรของนายวัฒน์” นรกรถาม

จิงโจ้เองก็สงสัยเช่นกัน “นั่นสิพี่วัฒน์”

“วัฒน์ ตอนนี้พี่กำลังรีบ ไม่มีเวลามาอธิบายเพราะฉะนั้นช่วยทำตามที่พี่บอกเถอะ” นรกรขอร้อง

“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพี่ฮาร์ฟก็ไม่เคยอธิบายอะไรสักอย่างอยู่แล้วนี่ครับ” อนุวัฒน์ว่า

“เฮ้ย! พี่วัฒน์... พูดแบบนี้มันก็ออกจะเกินไป... ไหม...” จิงโจ้เหลือบมองคนที่หน้าเสียไปถนัด

“วัฒน์ นาย...”

“ผมอยากช่วยครับ” อนุวัฒน์บอก “ตั้งแต่วันที่พี่วินทร์เกิดอุบัติเหตุ ผมรู้ว่ามันมีอะไรเปลี่ยนไป มันมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม ผมเองก็ทำได้แค่เดาซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ผมอยากช่วยพี่ พี่บอกผมมาได้ไหมว่ามันคืออะไร แล้วผมจะได้ช่วยพี่ได้”

“ขอบคุณนะวัฒน์ แต่เรื่องนี้นายช่วยพี่ไม่ได้หรอก” นรกรปฏิเสธ

“ผมก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าพี่จะช่วยผมเรื่องปัญหาหัวใจกับเซ็กซ์ได้” อนุวัฒน์บอก “เพราะพวกพี่ทำให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำ ดังนั้น ถึงเวลาพวกพี่ลำบากขอให้ผมได้ช่วยพวกพี่บ้างเถอะ”

“เฮ้ย! พี่วัฒน์อย่าบอกนะว่า...” จิงโจ้หน้าแดง ไม่คิดว่าจะมีคนรู้เรื่องของพวกเขาเพิ่มมาอีกหนึ่ง และยิ่งเขินขึ้นไปอีกเมื่อคิดไปถึงว่าการขอแก้ตัวบนเตียงครั้งที่สองซึ่งทำให้เขาต้องยอมจำนนจนต้องยอมจำนนคือสิ่งที่ได้รับคำแนะนำมาจากคนตรงหน้า

“ทีแกยังไปปรึกษาพี่วินทร์ได้ แล้วทำไมฉันจะปรึกษาพี่ฮาร์ฟไม่ได้วะ”

“ก็แหม...” จิงส่งเสียงงึมงำ “ผมก็ไม่ได้ปรึกษาถึงขั้นนั้นนี่นา”

นรกรหันไปสบตาวินทร์อย่างขอความเห็น ยังสองจิตสองใจว่าจะให้ช่วยดีไหม “พี่...”

เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น จิงโจ้รีบล้วงออกมากดดู “น้องส่งข้อความมาบอกว่าจะขออนุญาตถอดท่อช่วยหายใจอาจารย์ภูมิศิลป์น่ะครับ... พี่ฮาร์ฟคิดว่าไง”

“จะถอดได้ยังไงก็อาจารย์ยังไม่รู้สึกตัว” นรกรถามกลับ

“โอ๊ะ! ขอโทษครับ ผมมัวแต่ห่วงเรื่องพี่วินทร์เลยไม่ทันได้บอก” จิงโจ้ว่า “หลังจากที่พี่วินทร์ล้มลง อาจารย์ก็ตื่นครับ ตอนนี้ให้น้องๆ เฝ้าไว้”

นรกรหันไปมองร่างที่นอนนิ่งบนเตียงแล้วหันไปสบตาร่างโปร่งแสง “วัฒน์ นายช่วยดูพี่วินทร์ไว้ที เดี๋ยวพี่กลับมา”

“แต่...”

“นายอยากช่วยไม่ใช่เหรอ” นรกรว่า “เฝ้าเขาไว้ อย่าให้คลาดสายตา ดูให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นอะไร แล้วถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวโทรหาพี่ทันทีตกลงไหม”

“ได้ครับ” อนุวัฒน์รับคำ

“ส่วนนายมากับพี่” นรกรหันไปบอกจิงโจ้ “ไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์กัน”

“ครับผม!”

“พี่ฝากพี่วินทร์ด้วยนะวัฒน์” นรกรกำชับจนเกือบจะเป็นการอ้อนวอนก่อนจะวิ่งออกไปโดยมีจิงโจ้วิ่งตามมาติดๆ

“ทำไมให้ไอ้โจ้ตามมาล่ะ ไอ้วัฒน์ดูน่าจะไว้ใจได้มากกว่าแท้ๆ” วินทร์ถาม

“ก็เพราะไว้ใจได้น่ะสิครับ ผมถึงได้ขอร้องให้เขาช่วยดูสิ่งที่สำคัญที่สุดไว้”

นรกรเปิดประตูห้องไอซียูเข้าไป เห็นน้องๆ แพทย์ประจำบ้านกับพยาบาลกำลังกลุ้มรุมช่วยกันตรวจร่างกายและวัดสัญญาณชีพอาจารย์ภูมิศิลป์อยู่

“พี่ฮาร์ฟมาแล้ว” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งร้องทัก แล้วคนอื่นๆ ก็หันมาสวัสดีก่อนที่แพทย์ประจำบ้านปีห้าจะเริ่มรายงานอาการ

“อาจารย์ตื่นดีครับ ผมลองให้หายใจเองผ่านท่อช่วยหายใจเห็นไม่มีปัญหาอะไรเลยถอดท่อช่วยหายใจออกเมื่อสักครู่นี่เอง ดูแล้วไม่เหนื่อยครับ ค่าออกซิเจนในเลือดวัดได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ดีมาก” นรกรเอ่ยชมพร้อมกับตบไหล่น้องแพทย์ประจำบ้าน เขามองชายวัยกลางคนที่พยาบาลช่วยจัดให้นั่งหัวสูงอยู่บนเตียงมีหน้ากากออกซิเจนครอบไว้ สีหน้าของเขายังคงซีดเซียวและอ่อนเพลียแต่ดูดีขึ้นกว่าที่เห็นเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัด

“อรุณสวัสดิ์หมอฮาร์ฟ” อาจารย์ภูมิศิลป์ทักด้วยเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อยเพราะใส่ท่อช่วยหายใจไว้หลายวัน “น้องๆ บอกว่าอาจารย์สรวิชญ์กับเธอเป็นคนช่วยผมไว้ใช่ไหม ต้องขอบคุณมากเลยนะ”

นรกรเดินเข้าไปยืนข้างเตียง “ตอนนี้สองทุ่มแล้วครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์หัวเราะร่วน “ผมไม่น่าเล่นมุกกับคุณเลย”

“ทุกคนช่วยออกไปก่อนได้ไหม พี่อยากคุยกับอาจารย์สองคน” นรกรพูดพยายามทำน้ำเสียงให้ฟังเป็นปกติที่สุด

“ทำไมต้องทำหน้าตาเคร่งเครียดถึงขนาดนั้นด้วยล่ะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ถามยิ้มๆ ในขณะที่คนอื่นทยอยเดินตามกันออกไป “หรือคิดว่าผมสับสนอะไร ผมบอกแล้วไงว่าแค่เล่นมุก”

เมื่อน้องแพทย์ประจำบ้านคนสุดท้ายก้าวพ้นประตูนรกรก็พูดขึ้น “อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องขอร้อง”

คนเป็นอาจารย์หุบยิ้มเมื่อเห็นความเว้าวอนในแววตาจริงจังของลูกศิษย์ “ว่าไง”

“อาจารย์ครับช่วยมากับผมสักครู่ได้ไหมครับ”

“ได้สิ” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ “แล้วเราจะไปกันยังไง”

นรกรหันไปพยักหน้าให้จิงโจ้ที่ยืนรออยู่หน้าห้องพร้อมรถนั่ง เขาเข็นมาจอดลงข้างเตียงพร้อมกับผายมือ

“เชิญครับอาจารย์”

“หมอฮาร์ฟจะพาอาจารย์ไปไหนคะ” พยาบาลที่เคาน์เตอร์ร้องถาม

“พาไปตรวจพิเศษครับ” นรกรตอบ

“เดี๋ยวหนูช่วยตามน้องเปลให้นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมมาแล้ว”

“อยู่ไหนคะ” เธอถามพร้อมกับชะเง้อคอมองหา

“กระผมเองครับ” จิงโจ้เข็นอาจารย์ภูมิศิลป์ออกมาแวะโบกมือให้

พยาบาลประจำห้องไอซียูถึงกับกุมขมับ “ให้หมอโจ้เข็นไป เราว่าเข็นไปเองดีกว่า”

“คุณพยาบาลดูคนไข้คนอื่นเถอะครับ เรื่องใช้แรงแบบนี้ให้ผู้ชายแมนๆ อย่างผมจัดการเองดีกว่า” จิงโจ้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

“เอาที่หมอโจ้สบายใจละกัน... เข็นดีๆ นะหมอโจ้ อาจารย์เพิ่งจะฟื้นอย่าซิ่งมากนักล่ะ” เธอกำชับกับคนเข็นเปลกิตติมศักดิ์

“จะรีบไปรีบกลับ ไม่ต้องรีบคิดถึงกันนะครับ” จิงโจ้ทิ้งท้ายแล้วเข็นรถไปโดยมีนรกรช่วยเปิดประตูรออยู่

“เข้าใจแล้วว่าทำไมนายพาจิงโจ้มา” วินทร์เอ่ยชมพลางหันกลับไปมองคุณพยาบาลที่กลับไปนั่งทำงานต่อ “ถ้าเป็นไอ้วัฒน์มันคงไหลจนคุณพยาบาลลืมถามไม่ได้แบบนี้ แล้วพอมากันสองคนก็น่าสงสัยน้อยกว่ามาคนเดียวด้วย”

นรกรพยักหน้า

เขาเดินนำจิงโจ้ไปยังห้องล็อกเกอร์ เมื่อถึงแล้วก็ให้จอดรถและพยุงอาจารย์ภูมิศิลป์ให้ลุกขึ้นยืน “ขอบคุณมากนะโจ้ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเองนายไปดูพี่วินทร์ให้หน่อย”

“ได้ครับ”

นรกรเปิดประตูเข้าไป

“เธอพาฉันมาทำอะไรที่นี่เหรอ” อาจารย์ภูมิศิลป์ถาม

“อาจารย์ครับ... อาจารย์รู้จักคุณพลูกับคุณกฤตใช่ไหมครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที “เธอ... รู้จักพวกเขาได้ยังไง”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย เอาเป็นว่าอาจารย์ช่วยเปิดล็อกเกอร์ใบนี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”  นรกรชี้มือไปยังตู้ล็อกเกอร์ใบแรกที่ติดกับประตู

ถึงจะยังมีเรื่องติใจสงสัย แต่เมื่อรับปากแล้วว่าจะช่วยอาจารย์ภูมิศิลป์จึงเอื้อมมือไปดึงประตูล็อกเกอร์

นรกรกับวินทร์แทบจะกลั้นหายใจ ลุ้นว่าจะมีของสำคัญอะไรอยู่ข้างหลังบานประตูโลหะนั่น เมื่ออาจารย์ภูมิศิลป์พูดขึ้น

“มันล็อกไว้หรือเปล่า”

“เอ๊ะ!” นรกรอุทาน

“ฉันดึงมันไม่ออก” อาจารย์ภูมิศิลป์บอกพร้อมออกแรงดึงมากขึ้นอีกก่อนจะตบๆ ตรงขอบตู้เพราะคิดว่าจะติดอะไร แต่ก็ยังเปิดไม่ออกอยู่ดี

ชายกระโปรงสีขาวปลิวลงมาจากด้านบน นรกรเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยังคงจับประตูตู้ไว้แน่น “ทำไมล่ะ... ถ้าแม้แต่อาจารย์ยังเปิดไม่ออกแล้วใครจะเปิดออกล่ะ”

“เมื่อกี้เธอเอ่ยชื่อกฤต” อาจารย์ภูมิศิลป์เป็นฝ่ายถามบ้าง “เธอรู้จักเขาได้ยังไง”

“เขาเคยเป็นหมอที่ช่วยดูแลผมสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ครับ” นรกรตอบ “เพราะเขาช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี ผมถึงหายป่วยและได้กลับบ้านครับ”

“เขาเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่อายุสั้นไปหน่อย” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความคิดถึง “ตลอดเวลาที่ไม่รู้สึกตัว ฉันเอาแต่ฝันถึงเรื่องราวในอดีต การที่จู่ๆ เธอก็พูดถึงเขาขึ้นมาและพาฉันมาที่นี่ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ”

“ถ้าผมบอกว่านี่เป็นล็อกเกอร์ของคุณพลูอาจารย์จะเชื่อไหมครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้า

“อาจารย์มีอะไรอยากบอกกับพวกเขาไหมครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์หลุบตาลงมองพื้น เขาเงียบไปนานพอสมควรก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอโทษ”

คำแรกที่หลุดออกจากปปากสร้างความแปลกใจให้นรกรมากทีเดียว “อาจารย์ขอโทษทำไมครับ ในเมื่ออาจารย์ดูแลคุณพลูเป็นอย่างดีตอนที่เธอป่วยจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไหนจะพาคุณพลไปหาหมอแล้วก็ยังช่วยเลี้ยงลูกของเธออีก...”

“เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเลวร้ายของฉันน่ะสิ” อาจารย์ภูมิศิลป์แทรกขึ้นเบาๆ “ทั้งหมดนั่นมันก็แค่การไถ่โทษในเรื่องโง่ๆ ที่ฉันทำลงไป”

“อาจารย์... ทำอะไรครับ” นรกรถามอย่างไม่เชื่อหู

“ฉันขโมย ซ่อนแล้วก็ปลอมจดหมายที่กฤตส่งมาให้เธอ” อาจารย์ภูมิศิลป์สารภาพ “และเอาจดหมายที่เธอฝากส่งให้เขาไปทิ้ง”

“อาจารย์ทำแบบนั้นทำไมครับ”

“เพราะฉันไม่อยากเสียเขาไปไง” อาจารย์ภูมิศิลป์เม้มปากสนิทพร้อมกับกำมือที่สั่นระริกแน่น “ฉันแค่อยากให้พวกเขาทะเลาะแล้วก็เลิกกัน แต่ทั้งสองคนนั่นก็กลับมาตายไปทั้งที่ยังเข้าใจผิดกัน มันเป็นตราบาปที่ฉันยังคงฝันถึงมาตลอด ไม่ว่ายังไงก็ลืมไม่ลงสักทีและไม่ว่าจะทำความดีชดเชยให้แค่ไหน ฉันก็ไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้เลย... ในฝัน... เขามาขอโทษฉัน... มาขอให้ฉันอโหสิกรรมให้... ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อเป็นฉันเองที่ก่อเรื่องขึ้นทั้งหมด”

“เรื่องราวเป็นอย่างนี้เองเหรอ” นรกรกระซิบเสียงพร่า คาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้ยิน นั่นผิดจากสิ่งที่คิดไว้ ถ้ากฤตรู้เข้าเขาจะต้องโกรธแน่ๆ

ทันใดนั้นประตูก็เปิดห้องก็เปิดออกทั้งสองคนหันไป

“หมอวินทร์?” อาจารย์ภูมิศิลป์เรียก

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง แล้ววัฒน์กับจิงโจ้ล่ะ” นรกรถามด้วยความตกใจ

“ไม่มีอะไรนี่ แค่โกหกว่าจะมาหานายสองคนนั่นก็ปล่อยฉันมาแล้ว”

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ก็ไม่มีทั้งสายเรียกเข้าและข้อความใดๆ

“ก็แค่บอกว่าไม่ต้องทำอะไร” กฤตพูดต่อ

นรกรพ่นลมหายใจออกจมูก ทั้งที่กำชับแล้วแท้ๆ แต่จะโทษสองคนนั่นก็ไม่ได้เพราะการที่พวกเขาเชื่อฟังวินทร์ก็เป็นเรื่องถูกแล้ว

กฤตเดินเข้ามาใกล้ และจ้องมองอดีตเพื่อนรักตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” นรกรพยายามเข้ามาแทรกแต่กฤตยกมือห้ามไว้

อาจารย์ภูมิศิลป์มองตอบตาคมที่จ้องมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสมองได้รับความกระทบเทือนอย่างแรงจนสลบไปหลายวันหรือเปล่า เพราะเมื่อมองข้ามรูปกายภายนอกที่เป็นลูกศิษย์ของตนไปเขากลับเห็นเงาของอีกคนซ้อนอยู่ในนั้น “นั่นนายเหรอกฤต” น้ำเสียงแทบแห้งปนเปหลากอารมณ์ ทั้งดีใจ คิดถึงและรู้สึกผิด

“ใช่ฉันเอง” กฤตตอบ

อาจารย์ภูมิศิลป์ขยับเข้าไปใกล้ ภาพของคนที่เคยรักจนยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องที่เห็นแก่ตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเจ้าตัวมายืนตรงหน้าจริงๆ “ฉัน... ขอโทษ ยกโทษให้ฉันนะ”

ถ้าเป็นแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะมาได้ยินบทสนทนานี้ กฤตคงโกรธจนพร้อมจะลงมือทำร้ายกัน แต่เมื่อได้รับฟังเหตุผลว่าเพราะอะไร เขายังคงรู้สึกโกรธอยู่ หากเป็นความโกรธที่เข้าใจเพราะตัวเองยังหลงผิดหน้ามืดตามัวทำเรื่องเลวร้ายสารพันจนทำให้ต้องหลายคนลำบาก

พอแล้วกับการแก้แค้น...
พอแล้วกับความขุ่นข้องหมองใจ...

กฤตเอื้อมไปคว้ามือที่สั่นเทาของคนตรงหน้าไว้ “ฉันยกโทษให้” เขาบอก “และขอบคุณนายที่ดูแลเธอจนนาทีสุดท้ายของชีวิต... ขอบคุณที่ช่วยเลี้ยงลูกฉันเหมือนลูกของนาย... และขอบคุณที่ช่วยบอกเขาถึงเรื่องราวของฉัน”

“ฉันก็ทำได้แค่นี้แหละ” อาจารย์ภูมิศิลป์กุมมือกลับ เสียงแตกพร่าขึ้นเล็กน้อยในขณะที่หยดน้ำเริ่มไหลออกจากดวงตาไม่ขาดสาย

“แค่นี้ก็พอแล้ว... ฉันไม่ติดใจอะไรแล้ว”

ทันทีที่กฤตพูดจบก็เกิดเสียงดังแกร๊กขึ้นเบาๆ ทุกคนหันไปมอง

ประตูล็อกเกอร์ที่ปิดตายมานานหลายปีค่อยๆ แง้มเปิดออก

นรเงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังตู้ล็อกเกอร์แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมา

หญิงสาวที่ใบหน้ามีแต่หนังหุ้มกระดูกกลับมามีรูปลักษณ์เป็นสาวสวยเหมือนในรูปถ่ายที่เขาเคยเห็น เรือนผมดำยาวทิ้งตัวไปด้านหลังพลิ้วสยายไม่กระเซอะกระเซิง ชุดที่ดูมอมแมมกลับมาขาวสะอาด เธอโน้มตัวมาด้านหน้าก่อนจะกระโดดที่ดูคล้ายกับลอยลงมาช้าๆ มายืนข้างเขา

เธอประสานมือไว้ด้านหน้าพร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อย “ฉันเองก็รู้มาตลอด ว่าเขาคิดยังไงกับเพื่อนของเขา เพราะสายตาที่เขามองมันเหมือนสายตาที่ฉันมองกฤตไม่มีผิด... และถึงจะรู้อย่างนั้นฉันก็ยังอาศัยความใจดีของเขา ขอร้องให้เขาช่วยตลอดมา”

กฤตเอื้อมมือไปดึงล็อกเกอร์เปิดออกจนสุด แล้วรอยยิ้มกว้างก็คลี่เต็มหน้า “อยู่นี่เอง... ไม่สิต้องบอกว่ามันไม่เคยไปไหนสินะ”

“อาจารย์บอกเธอว่าจะพาคนรักของเธอกลับมา” วินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นของที่อยู่ข้างใน “และเธอก็รอวันที่คำสัญญานั้นจะเป็นจริงเพราะเธอรักเขา และเชื่อมั่นว่าเขาก็รักเธอเหมือนกัน”

กฤตหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาเปิดดูแหวนทองที่หัวแหวนประดับเพชรเม็ดเล็กๆ เรียงเป็นแถวสามเม็ด เขาหันมาหานรกรแล้วค้อมศีรษะให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปหาหญิงสาวในชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกัน “ขอบคุณนะพลูที่รอฉันมาตลอด”

นรกรขยี้ตาตอนนี้เขาไม่เห็นกฤตซ้อนอยู่ในร่างวินทร์แล้ว แต่เห็นเป็นชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าคนรักของเขา

“สัญญาไว้แล้วนี่คะ” เธอตอบทั้งรอยยิ้ม “แล้วนั่นกฤตเอาอะไรมาพลูอีก”

“พลูบอกว่าถ้าเราทำงานมีเงินเดือนแล้วซื้ออะไรให้ก็จะรับ” กฤตบอกพร้อมกับดึงแหวนออกมาจากกล่องและถ่ายทอดคำพูดที่ซ้อมท่องอยู่ในใจมานานหลายสิบปีให้อีกฝ่ายรับรู้ “พลูช่วยรับไว้ได้ไหม... ไม่ใช่แค่แหวนวงนี้แต่เป็นทั้งชีวิตที่เหลือให้เราได้แลพลูนะ”

“ค่ะ”

หญิงสาวรับคำพร้อมกับส่งมือให้ เขาค่อยบรรจงสอดแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายก่อนจะโผเข้าสวมกอดกัน

เกิดแสงสว่างวาบขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะที่หายไปพร้อมกับร่างของทั้งสอง แล้วร่างของวินทร์ก็ล้มลงนอนแน่อยู่บนพื้น

“พี่วินทร์!” นรกรคุกเข่าลงด้านข้าง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อาจารย์ภูมิศิลป์ถาม รู้สึกสับสนไปหมด เขาพยายามเรียบเรียงความคิดว่ามันเป็นความจริงหรือภาพฝัน แล้วจู่ๆ ความปวดก็แล่นปราดขึ้นมาในหัวอย่างแรงและรวดเร็วจนเขาเข่าทรุดลงกับพื้น “โอ๊ย!”

“อาจารย์!” นรกรหันไปคว้าตัวอาจารย์ภูมิศิลป์ได้ทันก่อนที่ศีรษะจะกระแทกพื้น กำลังหันรีหันขวางจะเรียกให้ใครช่วยประตูห้องล็อกเกอรก็เปิดพรวดพร้อมกับที่คนสองคนพุ่งเข้ามา

“พี่ฮาร์ฟเกิดอะไรขึ้น” อนุวัฒน์ที่ยังคงติดใจและเป็นห่วงขอให้จิงโจ้บอกว่าพานรกรกับอาจารย์ภูมิศิลป์ไปที่ไหนและตามมา พอมาถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนของล้มและเสียงนรกรที่อยู่ในภาวะตกใจจึงรีบเข้ามา “พี่วินทร์กับอาจารย์เป็นอะไรครับ”

“พวกนายช่วยพาอาจารย์ภูมิศิลป์กลับไปพักที” นรกรบอกอย่างร้อนรน

“ได้ครับ” อนุวัฒน์รับคำและแทรกเข้ามาช่วยกันหิ้วปีกกับจิงโจ้คนละข้าง “แล้วพี่วินทร์ล่ะ”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจัดการเอง นายช่วยอาจารย์ภูมิศิลป์ก่อน”

“ครับ”

ทั้งสองคนช่วยกันพาอาจารย์ภูมิศิลป์กลับไปไอซียู นรกรหันมาสนใจร่างวินทร์ที่ยังนอนนิ่งอีกครั้งพลางพยายามตบหน้าหวังจะได้เห็นเขาลืมตาขึ้นมา “พี่วินทร์... ตื่นสิครับ... พี่วินทร์!”

“ฮาร์ฟ”

เสียงวินทร์เรียกแต่มันไม่ได้ดังมาจากร่างในอ้อมแขน

นรกรหันไปตามเสียง เห็นร่างโปร่งแสงคุกเข่าอยู่ข้างๆ กำลังส่งยิ้มมาให้เหมือนอย่างเคย

“แล้วเจอกันนะ”

สิ้นคำร่างโปร่งแสงก็หายวับไป

“พี่วินทร์!” นรกรหันกลับมามองร่างที่นอนนิ่ง ใบหน้าซีดเซียว หน้าอกไร้การกระเพื่อมของการหายใจ และไร้แรงของหัวใจกระทบปลายนิ้วที่เขาใช้จับชีพจรอยู่ตรงข้อมือ

นรกรไม่เสียเวลาคิดหาปฏิหาริย์ เขาสูดลมหายใจเข้ารวบรวบพลังกายและพลังใจทั้งหมดที่มี ยืดตัวขึ้น วางสันมือลงตรงกระดูกหน้าอกแล้วเริ่มต้นนวดหัวใจ “ใครจะไปทนรอตั้งสิบแปดปีกัน!”
.
.
.
.
.
.

วินทร์เหลียวมองไปรอบตัวซึ่งเป็นทางเดินมืดสนิท มองไปไกลๆ เห็นแสงสว่างอยู่ตรงสุดปลายทาง

...กลับมาที่นี่อีกแล้วเหรอ...

เขาพึมพำกับตัวเองพลางพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่เคยนำทางกลับบ้านมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เลย รอบตัวเงียบจนน่าใจหาย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกวิ่งตามแสงนั้นไป ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ... เขาวิ่งเต็มฝีเท้าจนหมดแรงล้มลง เจ็บเสียดในอกจนต้องยกมือกุมไว้แน่น

...นึกว่าความตายมันจะไม่เจ็บปวดแล้วเสียอีก...

วินทร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังหอบจนตัวโยน เขาอ้าปากเหมือนปลาพยายามฮุบหาอากาศ ทั้งเหนื่อยและเจ็บจนอยากจะยอมแพ้กับจุดหมายปลายทางที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงไหม รู้สึกจุกในอกเหมือนมีอะไรพุ่งขึ้นมาอยู่ที่คอและแสบร้อนไปหมดโดยเฉพาะรอบดวงตา วินทร์ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสีแดงเลอะอยู่บนมือข้างซ้าย

...เลือดเหรอ...

เขาพยายามเพ่งมอง

...ไม่ใช่นี่นา... นี่มัน... เชือกเหรอ... เชือกอะไรแล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!?...

พลันคำพูดของพระรูปนั้นดังขึ้นในหัว

“ไม่มีเครื่องรางของขลังใดที่อาตมาหรือวัดแห่งนี้มีศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าเส้นที่เขามีติดตัวอยู่แล้ว… และเขาก็ผูกมันไว้แน่นหนาทีเดียว”

ริมฝีปากลากรอยยิ้มกว้างเมื่อรู้แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร

เขากำมือแน่น และฝืนลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะออกวิ่งไปหาแสงนั้น... วิ่ง... ให้เร็วที่สุด... แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่ยอมหยุดพัก เพราะที่ปลายทางของแสงนั้นมีเจ้าของเชือกเส้นนี้รออยู่... และเขาคงให้รอนานไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

*******************************************TBC**********************************************




ออฟไลน์ MmildD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #912 เมื่อ20-03-2019 21:17:58 »

 :z3: :really2: :really2: :z3:

ออฟไลน์ MmildD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #913 เมื่อ20-03-2019 21:20:15 »

 :really2:สนุกมากกกก

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #914 เมื่อ20-03-2019 21:23:47 »

มันจะไม่เศร้าใช่ม๊ายยยยย  :a5: :a5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #915 เมื่อ20-03-2019 22:01:32 »

ตามด้ายแดงไปหาน้องฮาร์ฟให้ได้นะ

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #916 เมื่อ20-03-2019 23:48:25 »

โอ๊ยยยย คนนึงก็กำลังปั๊มหัวใจ คนนึงก็กำลังวิ่ง
เพื่อไปหากันและกัน ขอให้สำเร็จนะ

ลุ้นสุดตัวจริงๆ ค่ะ

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #917 เมื่อ21-03-2019 19:55:57 »

 :katai1: รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #918 เมื่อ23-03-2019 09:32:19 »

 :o12: :o12:
สู้ๆพี่วินทร์.. วิ่งอีกวิ่งเข้าไป.. เร็วอีกนิด.. น้องกำลังสู้อยู่.อย่ายอมแพ้.. วิ่ง.วิ่ง.วิ่ง.... ขืนรออีกตั้ง18ปียังไม่รู้จะได้เจอกันหรืเปล่า.. แล้วพี่จะกลายร่างเป็นหนุ่มน้อยมารังแกปู่ฮาร์ฟ=^^=.... ปู่จะไม่ไหวหัวใจวายเอาได้นะจ๊ะ.... สู้เข้า.. อีกนิดก็ปลายทางแล้ว... รอนะคะ.. ป้าจะรอวันฟ้าสางของเราทั้งสองคน...
.... น่าสงสารและเห็นใจความรักของอาจารย์ภูมินะ... แรงรัก.แรงอิจฉา.ทำให้เห็นแก่ตัวทำอะไรผิดพลาดไป.แต่พื้นๆอาจารย์ก็ยังมีจิตใจดีอยู่.. มันเป็นความเจ็บปวดในวังวนของความรักจริงๆ.. ขอให้ทุกคนที่มีความรักเช่นนี้จงมีสติและเข้มแข็ง.เห็นในสิ่งที่เกิดเป็นไปและดับลง.. อย่าได้เอาจิตไปผูกกับอารมณ์มากเลยย.ปลายทางมีแต่ความวุ่นวายและเจ็บปวด.....

ออฟไลน์ Wordstringer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #919 เมื่อ23-03-2019 20:03:37 »

วิ่ง พี่วินทร์ วิ่ง !!  :o12: :o12: :o12:

ปล.คนเขียน สู้ ๆ ครับ  :3123: :3123: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
« ตอบ #919 เมื่อ: 23-03-2019 20:03:37 »





ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #920 เมื่อ24-03-2019 17:24:09 »

เย้ๆ วินทร์สู้ๆวิ่งไปให้เจอปลายทางของด้ายให้ได้นะ เอาใจช่วย ฮาร์ฟรออยู่ :z2:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #921 เมื่อ26-03-2019 20:09:44 »

บทที่ 18 Together Forever

วินทร์อ้าปากเพื่อสูดลมหายใจเข้า เป็นจังหวะเดียวกับที่สายลมอุ่นพุ่งเข้ามากระทบพอดี มวลอากาศถูกส่งผ่านริมฝีปากเข้าไปสู่ปอด เขายกสองแขนขึ้นไขว่คว้าและไล่จับสายลมนั้นอย่างโหยหา

พลันสายลมก็แปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นของแข็งขนาดที่คุ้นเคยอ้อมแขน เช่นเดียวสัมผัสของสายลมที่ช่วยต่อลมหายใจและปลุกให้หัวใจกลับมาสูบฉีดอีกครั้ง

นรกรที่กำลังเป่าปากสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิของริมฝีปากหยักที่เคยเย็นชืดกลับมาอุ่นซ่าน กับแรงดูดดึงกลีบปากที่ประกบกันอยู่พร้อมๆ กับอ้อมแขนที่ยกขึ้นโอบรัดอยู่รอบตัว เขารีบผละออกก่อนจะใช้สองมือประกบรอบกรอบหน้าจับให้อยู่นิ่งๆ “พี่วินทร์…”

“เป็นการต้อนรับกลับที่ชื่นใจจริงๆ” คนที่นอนอยู่บนพื้นพูดทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา

“พี่วินทร์!”

เปลือกตากะพริบเปิดขึ้นช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยคลี่ออกเต็มริมฝีปาก เขามองสบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมาแล้วค่อยยกมือขึ้นจับแก้มนิ่ม “กลับมาแล้ว... นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย”

“สามนาทีครับ” นรกรตอบ

วินทร์พ่นลมออกจมูก “รู้สึกเหมือนหลับไปสักสามปี”

“สำหรับผมมันนานกว่านั้นอีกนะ” นรกรบอก

“ขอโทษที ฉันไม่รู้ว่ามันไกลแค่ไหน แต่นี่ก็วิ่งสุดฝีเท้าแล้วนะ… หัวใจยังเต้นเร็วอยู่เลยเนี่ยจับดูสิ” วินทร์บอกพร้อมกับคว้ามือเล็กกว่ามาวางทาบลงบนหน้าอกที่ยังกระเพื่อมแรงและมีหัวใจเต้นตึกตัก

“จริงด้วยครับ” นรกรว่า “แล้วนอกจากหัวใจเต้นเร็วแล้วมีอาการอะไรแปลกๆ อีกหรือเปล่าครับ อย่างเช่น เจ็บ ปวดหัวหรือว่ารู้สึกไม่สุขสบายตรงไหนอะไรแบบนี้”

“แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ” วินทร์ตอบก่อนจะย่นคิ้ว “ถามแบบนี้นายกำลังจะไล่ให้ฉันไปตรวจให้ละเอียดใช่ไหมเนี่ย”

“ครับ”

“ไว้พรุ่งนี้ละกันนะ” วินทร์บอกปัดพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ไม่เอาน่าฮาร์ฟ ตอนนี้มันใช่เวลามาทำเรื่องนั้นซะที่ไหนกัน”

“ไม่ได้ครับต้องตอนนี้” นรกรยืนกราน

ได้ยินดังนั้นคนที่เพิ่งฟื้นก็เสียงอ่อนลงเล็กน้อย เพราะดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมวางใจง่ายๆ แน่จนกว่าจะได้อะไรยืนยันออกมาเป็นรูปธรรมและพิสูจน์ได้ทางการแพทย์ว่าเขาปกติดีแล้วจริงๆ “แต่ดึกป่านนี้แล้วจะให้หมอคนไหนตรวจล่ะ…”

เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นขัดจังหวะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอนุวัฒน์

“พี่ฮาร์ฟ พวกเรากลับแล้ว…”

“ไม่เป็นไร” นรกรหันไปตะโกนตอบ “พี่วินทร์ฟื้นแล้ว พวกนายไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

“แน่ใจนะครับ” จิงโจ้ถามย้ำ

“อืม” วินทร์ส่งเสียงยืนยันไปอีกแรง ทั้งสองคนจึงยอมวางใจและกลับไป

เสียงวุ่นวายหน้าประตูเงียบไปแล้ว วินทร์จึงพูดขึ้นด้วยความสงสัย “แล้วนายไล่เจ้าพวกนั้นกลับไปแบบนี้ ทีนี้จะให้ใครช่วยตรวจล่ะ”

“ผมไง”

“ยังไง...”

วินทร์ถามยังไม่ทันจบ นรกรก็ตวัดขาข้างหนึ่งขึ้นนั่งคร่อมลงบนตักพร้อมกับดึงคอเสื้อร่างสูงให้เข้ามาใกล้ “ออกจากร่างนานจนลืมไปแล้วเหรอครับว่าตัวเองมีแฟนเป็นหมอ”

ตาคมพราวระยับขึ้น ในขณะที่มือใหญ่ตอบรับในทันทีโดยการรวบเอวสอบเข้าประชิดอก “ได้ข่าวว่าเป็นอาจารย์หมอเสียด้วย... แบบนี้ต้องตรวจให้ละเอียดยิบเลยนะเดี๋ยวจะเสียชื่อ” พูดจบก็ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากที่เผยอรออยู่แล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าแค่จูบก็ปลุกความรู้สึกหวามไหวให้ตื่นขึ้นง่ายดายนัก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามเหมือนว่านี่เป็นจูบแรกทั้งที่มันเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว

ยิ่งปลายลิ้นพันเกี่ยวกันแน่นเท่าใด ร่างกายก็ยิ่งร้อนรุ่มขึ้นมากเท่านั้น มือไม้พันยุ่งเหยิงเมื่อต่างแย่งถอดเสื้อให้กัน ก่อนจะหยุดหัวเราะไปด้วยกันเพราะแกะกระดุมเสื้อไม่ออก นัยน์ตาสองสองคู่มองสบกัน เสียงหอบหายใจดังพอๆ กับเสียงหัวใจเต้นแต่ก็ไม่มากพอจะดังกลบความต้องการกันและกันได้

วินทร์เหลือบตาลงมองฝ่ามือที่ยังคงสาระวนอยู่ตรงคอเสื้อตนกับกระดุมที่ดูจะมาแน่นผิดที่ผิดเวลา เขาคว้ามือเล็กกว่าขึ้นมาแล้วกดจูบลงกลางฝ่ามือก่อนจะไล่ไปตามข้อนิ้วทีละข้อ “ขอบคุณนะที่พาฉันกลับมา”

“ผะ... ผมก็แค่ทำสิ่งที่ทำได้เอง” นรกรเสียงสั่น นอกจากจูบแล้ววินทร์ยังเริ่มใช้ปลายลิ้นเลียเบาๆ ด้วย “เอ่อ... พี่วินทร์... หยุด... ก่อน... เสื้อ... ผม... ถอด...”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันถอดเอง” กระซิบเสียงหวานแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นยอดอกสีหวานที่รออยู่ตรงหน้า “นายมีหน้าที่ตรวจแล้วให้การวินิจฉัยไปก็พอ”

ถึงที่ทางในห้องล็อกเกอร์จะคับแคบแต่ก็เพียงพอที่จะขยับให้พอดี วินทร์ใช้เสื้อของตนปูลงบนพื้นเพื่อถนอมแผ่นหลังของนรกรก่อนจะจับนอนลง เพราะลำพังแค่รอยแดงที่เขาเป็นคนสร้างจากริมฝีปากนั่นก็มากเกินพอแล้ว

“ยังเจ็บอยู่ไหม” วินทร์กระซิบถามคนที่เกร็งนิ้วเกาะบ่าเขาไว้แน่น แก้มขาวซับสีเข้มร้อนฉ่า เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนจึงไม่มีตัวช่วยอะไรสักอย่างนอกจากลิ้นกับนิ้วมือของเขาที่ตอนนี้ยังคาอยู่ตรงส่วนในสุดที่ดูไวต่อสัมผัสของเขามากกว่าทุกครั้ง เพียงแค่เขาขยับนิดเดียวก็รัดเสียแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะรีบดึงออก

“มันใช่เวลามาถามไหมครับ” นรกรเอ็ดเบาๆ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายติดใจเรื่องที่ตนเคยบอกว่าเจ็บ

“ไม่ถามตอนนี้แล้วจะถามตอนไหนล่ะ” วินทร์สอดนิ้วที่สามเข้าไปในช่องทางที่เริ่มอ่อนนุ่ม “ว่าไง... ตกลงยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

นรกรตอบคำถามด้วยการเงยหน้าขึ้นจูบ เป็นอันรู้กันว่าให้หยุดพูดแล้วรีบทำต่อได้แล้ว

...ขอมาขนาดนี้แล้วเขาจะขัดได้ยังไง...

กว่านรกรจะมั่นใจว่าร่างกายอีกฝ่ายปกติดีไม่มีบกพร่อง วินทร์ต้องใช้เวลาและเรี่ยวแรงพอควรเพื่อตรวจจนถึงระบบสุดท้ายให้แล้วเสร็จ

มือใหญ่ผละจากส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มเพื่อจะจูบให้ชื่นใจ แต่สิ่งที่มือสัมผัสได้ไม่ได้มีแค่เนื้อแก้มนิ่มหากยังมีของเหลวอุ่นชื้นเต็มไปหมด เขาสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นเพื่อมองดูคนที่อยู่ใต้ร่างให้ชัดๆ “ฮาร์ฟ! นายเป็นอะไร ฉันทำให้นายเจ็บเหรอ”

“ป… เปล่าครับ”

วินทร์พยามใช้อุ้งมือคว้าใบหน้าที่พยามยามหันหนีให้หันกลับมาสบตาพลางกวาดสายตามองสำรวจอย่างรวดเร็วว่าตนเผลอทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า “แล้วนายร้องไห้ทำไม”

“ไม่… ไม่มีอะไรครับ”

“ฮาร์ฟ…” เสียงของวินทร์อ่อนลงด้วยใจคอไม่ดี ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นน้ำตานรกรมากมายขนาดนี้คือตอนที่อทิฏฐ์จากไปแล้วเขากอดปลอบไว้… ไม่สิ ตอนนั้นดูเหมือนจะน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ

“ไม่มีอะไรครับ” นรกรพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด

“แล้วฉันทำอะไรเพื่อช่วยนายได้บ้าง…”

“กอด… ช่วยกอดแน่นๆ… ได้ไหมครับ” พร้อมกับโอบมือรอบแผ่นหลังกว้างแล้วดึงเข้าหาตัว แนบสนิทจนร่างเล็กนั้นแทบจะจมหายเข้าไปในอก แน่นเสียจนวินทร์ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาแม้แต่สักนิดเดียว

ตอนที่ผิวสัมผัสอุณหภูมิกายที่คุ้นเคย จมูกได้กลิ่นแชมพูที่เคยหอม และจังหวะการเต้นของหัวใจที่สะท้อนผ่านหน้าอกซึ่งทำให้อบอุ่นใจเสมอ เขาก็รู้แล้วว่าทำไมนรกรถึงร้องไห้ ทั้งที่ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแค่สีหน้าเจ็บปวดยังแทบไม่มีหลุดให้ได้เห็น

“ฉันกอดนายแบบนี้ไม่ได้หรอก” วินทร์กระซิบพร้อมกับปล่อยมือข้างหนึ่งออกยันกับพื้น

“ผมขอโท…” นรกรตกใจจะผละออก แต่ในจังหวะนั้นเองเขาก็โดนจับพลิก แล้วจากที่นอนอยู่บนพื้นตอนนี้เขาก็ขึ้นมานอนทับอยู่บนหน้าอกกว้างกว่าแทน

“ฉันตัวหนักจะตาย กอดแบบนั้นนายจะหายใจได้ยังไง” วินทร์กระชับอ้อมแขนพลางขยับจนได้ท่าทางที่เหมาะสมแล้วจึงกดริมฝีปากลงข้างขมับคนในอ้อมแขน “แบบนี้ดีกว่าเยอะเลยใช่ไหม”

นรกรไม่ตอบได้แต่ซุกหน้าอยู่กับอกกว้างเพราะตอนนี้น้ำตามันพาคำพูดของเขาไปจนหมดแล้ว

วินทร์ไม่ถามอะไรอีก ในขณะที่ใช้ริมปากพรมจูบเท่าที่จะขยับไปถึง สองมือก็ลูบหัวลูบหลังเรียกขวัญไปด้วย

ถ้าหากให้ไล่หาเหตุผลของน้ำตา คงมีแค่คำว่าคิดถึง…

…คิดถึง…
…คิดถึงมาก…
…คิดถึงมากที่สุด…
...คิดถึงจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร

วินทร์ปล่อยให้นรกรร้องไห้อยู่แบบนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาทีร่างที่สั่นสะท้านก็สงบนิ่ง

“เป็นไงบ้าง โอเคหรือยัง” วินทร์ถามพลางพยายามแกะใบหน้านั้นออกจากอก

“ครับ” แต่นรกรอายเกินกว่าจะให้เห็นสภาพหน้าตาที่ยับเยินจึงรีบก้มหน้าแอบเช็ดน้ำตา

“ฮาร์ฟ… เงยหน้าขึ้นสิ… ไม่เงยหน้าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่านี่ใช่พี่วินทร์ของนายหรือเปล่า”

“ใช่สิครับ” ตอบแบบนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

“ใช่จริงเหรอ” วินทร์กระเซ้า

“ก็พิสูจน์ไปแล้ว”

“แต่ฉันอยากเห็นหน้านาย ไม่ได้อยากคุยกับผม เงยหน้าขึ้นมาคุยกันหน่อยเร็ว” วินทร์ทำสำเร็จในที่สุด เขาเชยคางอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งรวบสองมือของนรกรไว้ไม่ให้ขยี้ตา “ไม่เอาไม่ทำแบบนั้นนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตาช้ำไปทำงานคนจะคิดว่าเราทะเลาะกันอีก”

“ทะเลาะอะไรล่ะครับ เขาคิดว่าเรายังไม่คืนดีกันต่างหาก”

“โถ...โถ...โถ” วินทร์หัวเราะอย่างเอ็นดูพลางจูบซับน้ำตาให้จนแห้งพร้อมทั้งช่วยจัดปอยผมม้าที่ลู่ลงยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง

“ขอโทษนะครับ” นรกรบอกหลังจากตั้งสติได้

“ขอโทษทำไมเรื่องแค่นี้เอง”

“ก็พี่วินทร์อุตส่าห์พยายามแทบตายเพื่อกลับมาหาผม ผมควรจะต้องยิ้มต้อนรับสิ แต่ผมดันร้องไห้ซะได้ ผมนี่ไม่ได้เรื่องเลย ทำตัวอ่อนแอ…”

“นายเข้มแข็งที่สุดแล้ว” วินทร์บอก “เป็นฉันร้องไห้สติแตกตั้งแต่วันแรกแล้ว… เจอเรื่องขนาดนี้นอกจากประคองใจตัวเองแล้วนายยังเป็นกำลังใจให้ฉันได้ นายสุดยอดที่สุดแล้ว ดังนั้น ถ้าอยากจะร้องก็ร้องให้พอเถอะ ไม่ว่านี่จะเป็นน้ำตาของความดีใจ โล่งใจหรืออัดอั้นอะไรก็ตาม ร้องได้เท่าที่นายต้องการเลย… เพราะอะไรรู้ไหม”

“เพราะอะไรครับ”

“เพราะฉันกลับมาแล้วไง ฉันจะเช็ดน้ำตาให้นายเอง” วินทร์บอกแล้วประทับริมฝีปากลงกลางหน้าผากแล้วจูบไล่ลงไปตามแนว
สันจมูกก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปาก

นรกรเบี่ยงศีรษะหลบลงซุกบนหน้าอกด้วยความเขิน แล้วหัวใจที่เพิ่งจะสงบลงได้ก็กลับมาเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตึกตักของหัวใจอีกดวงที่แนบหูฟังอยู่ “พี่วินทร์ครับ”

“ครับที่รัก”

“กลับบ้านกันเถอะครับ”

“ได้เลย เดี๋ยวฉันพาอาบน้ำนอนแล้วจะร้องเพลงกล่อมด้วยดีไหม”

“ผมไม่อยากนอน” นรกรบอกอ้อมแอ้ม

“หืมมมม”

“ผมอยากกลับบ้าน… กลับไปกอดพี่วินทร์… บนเตียงของเรา”

“แค่กอดอย่างเดียวเหรอ” วินทร์แกล้งถาม

“ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าวินนี่จะกอดอย่างเดียวก็ตามใจครับ” นรกรบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นรับจูบตกลง คิดว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งคืนก็คงไม่เพียงพอจะเติมเต็มความคิดถึง กว่าจะได้นอนก็คงถึงเช้าแน่ๆ แต่ตอนนี้ใครแคร์เรื่องนั้นกันล่ะ

OOOOOO
(ต่อข้างล่างค่ะ)




ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่17 บอกลา P.31[20/03/2562]
«ตอบ #922 เมื่อ26-03-2019 20:28:30 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายส่วนล่างยังรู้สึกเสียวซ่านและเมื่อยขบจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องเกือบทั้งคืน นึกแล้วภาพก็ลอยขึ้นมาในหัวจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มๆ ไปได้... ไม่ใช่สิ! ตอนหนุ่มๆ ก็ไม่เคยได้ทำอะไรที่มันมากมายแบบนี้สักหน่อย

คิดไปก็ทั้งขำทั้งเขิน เขาพลิกตัวเพื่อหันไปดูหน้าตัวต้นเหตุที่คงยังนอนหลับไปตื่น

แต่พื้นที่ข้างตัวนั้นกลับว่างเปล่า

นรกรพลิกตัวอีกครั้งก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง ผืนผ้าที่เย็นเฉียบทำให้ใจหายวาบ

“พี่วินทร์ครับ”

เขาส่งเสียงเรียกออกไป และมันไม่มีการตอบรับใดๆ เขาไม่เสียเวลาลองเรียกครั้งที่สอง รีบก้มลงคว้าเสื้อเชิ้ตที่กองอยู่ข้างเตียงมาสวมลวกๆ แล้ววิ่งออกไป

ในโซนทำครัวตรงหน้าเตา ร่างสูงที่สวมใส่เพียงกางเกงนอนขายาวตัวเดียวยืนฮัมเพลงสบายอารมณ์ เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหารเช้าที่ใช้เวลาว่างๆ นั่งคิดนอนคิดมาหลายวันว่าจะทำอะไรจนได้เมนูอาหารยาวไปจนถึงเดือนหน้า แต่น่าเสียดายที่นรกรไม่ได้ซื้อของสดมาตุนไว้เลย ดังนั้นแผนที่คิดไว้จึงพังไม่เป็นท่า เขาเลยต้องรีบคว้าเงินลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์ข้างล่างแต่เช้ามืด อย่างน้อยๆ กับข้าวมื้อแรกงานไส้กรอกไข่ดาวต้องมา ขนมปังปิ้งต้องมีล่ะ

“พี่วินทร์...”

แว่วได้ยินเสียงเรียก เจ้าของชื่อตอบโดยไม่หันหน้ามา “ครับที่รัก”

นรกรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันและวินทร์ยังไม่หนีเขาไปไหน “ทำอะไรแต่เช้าครับ”

“ขนมปังชุบไข่ทอด และแน่นอนว่าฉันใส่ชีสให้นายเป็นพิเศษด้วย” วินทร์สาธยายเมนูให้ฟัง “วันนี้งดกาแฟนะ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันไม่ห้ามนี่นายเล่นกินวันสองแก้วแทนน้ำ เช้านี้เอาเป็นนมกับน้ำส้มแทนตกลงนะ แล้วห้ามแอบไปซื้อกินเองตอนฉันเผลอด้วยล่ะ” 

“ครับ”

“แล้วก็มี...” วินทร์หันหน้ามา เขาชะงักไปเล็กน้อยกับร่างเปลือยในเสื้อเชิ้ตตัวเดียวของคนรักที่ยืนอยู่ตรงประตู แต่นั่นก็ยังไม่น่าพุ่งไปหาเท่ากับความกังวลที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ใต้สีหน้าที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติ วินทร์เอื้อมมือไปปิดเตาแก๊สแล้วก้าวยาวๆ ไปรวบตัวนรกรเข้ามากอดพร้อมกับจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง

“มีอะไรอีกครับ” นรกรถามเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ

“มีฉันนั่งกินด้วยกันไง” วินทร์กดจูบลงไปอีกครั้งตรงรอยย่นเล็กๆ ระหว่างหัวคิ้ว “ตกใจเหรอที่ตื่นมาไม่เห็นฉัน”

“ครับ” นรกรยอมรับ

“ขอโทษที พอดีแค่อยากจะเซอร์ ไพรส์ที่รักน่ะ”

“เซอร์ไพรส์จริงๆ ครับ”

“หายตกใจได้แล้วนะ” วินทร์หยอดลูกอ้อนแล้วกดจูบปลอบขวัญเป็นการไถ่โทษ

แต่มันกลับลึกล้ำจนเกือบจะเกินห้ามใจ เสียงเข็มนาฬิกาที่ขยับไปข้างหน้าราวกับไม้เรียวหวดขาให้หยุดเพราะกำลังจะพากันไปทำงานสาย วินทร์กลั้นใจผละออกจากกลีบปากหวานลิ้น หากยังคลอเคลียอยู่ไม่ห่างอย่างอ้อยอิ่งพลางใช้สองมือคล้องรอบเอวสอบประคองไว้หลวมๆ 

“นายไปอาบน้ำแต่งตัวไป จะได้มากินข้าวเช้าด้วยกัน”

นรกรทำหน้าคล้ายกับจะงอนที่โดนไล่เอาดื้อๆ เขาก้มหน้าหนีลงซุกกับหน้าอกกว้าง

“ไม่อยากกินข้าวฝีมือฉันเหรอ…” วินทร์พูดไม่ทันจบประโยคดี คนในอ้อมแขนก็เอ่ยทวงสัญญาขึ้นเบาๆ

“คนบางคนบอกว่าถ้ายอมจะอาบน้ำให้”

วินทร์แก้มร้อนฉ่าและซับสีเข้มไม่ต่างจากกับคนที่ซบหน้าอยู่ เขาก้มหน้าลงกระซิบถามให้แน่ใจข้างใบหูที่เห่อแดงไปหมด “นายรู้ใช่ไหมว่ามันจะไม่จบแค่อาบน้ำอย่างเดียว”

นรกรพยักหน้า วินทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนผนังแล้วรวบคนตัวเล็กกว่ายกลอยขึ้นจากพื้น “ฉันไม่ชอบรีบๆ วันนี้เราเอาข้าวใส่กล่องไปกินที่โรงพยาบาลละกันนะ”

นรกรพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับคว้ารอบคอคนตัวโตแน่น ยินยอมให้เขาอุ้มเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี

OOOOOO

“เกือบมาสายแล้วเห็นไหมครับ” นรกรดุคนที่เดินตามมาติดๆ เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานแล้วรีบคว้าเอกสารที่ต้องใช้ในวันนี้ใส่กระเป๋า

“ก็แค่เกือบ” วินทร์ว่า “นี่ฉันกะเวลาพอดีเป๊ะเลยนะ… อ๊ะ! อ๊ะ! อย่ามาทำขมวดคิ้วใส่ เพราะใครล่ะที่ไม่ยอมปล่อยสักที”

“ปล่อยอะไรครับ” นรกรสะดุ้งเมื่อหันไปชนเข้ากับอกกว้างที่แอบมายืนประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ยกมือขึ้นผลักให้หลบแต่ก็ถูกอีกฝ่ายคว้ามือไปเสียได้

“นั่นน่ะสิ ปล่อยอะไรน้า~” วินทร์ทำเสียงล้อพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้เป็นครั้งแรกเลยที่นรกรออดอ้อนเขาถึงขนาดนี้ จนเขาเผลอแอบคิดว่านานๆ ทีกลายเป็นผีให้คิดถึงหนักๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน “ปล่อยมือหรือปลดปล่อย... หรือว่าทั้งสองอย่าง…”

“พี่วินทร์!”

“แน่ใจนะว่าวันนี้ยืนผ่าตัดนานๆ ไหว ให้ฉันเข้าเคสแทนไหม”

“เงียบไปเลยครับ”

ประตูห้องทำงานเปิดออกขัดบทสนทนา ทำให้นรกรฉวยจังหวะนั้นกระทืบเท้าวินทร์ให้ถอยห่างออกไปได้

“โอ๊ย!”

“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้าครับ” อนุวัฒน์ที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมจิงโจ้ร้องทัก

“เปล่านี่” วินทร์พยายามเก๊กหน้านิ่งทั้งที่ปวดหัวแม่โป้งเท้าแทบตาย

“เอ่อ… ให้พวกผมช่วยอะไรไหมครับ” จิงโจ้ถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไร” นรกรตอบ

“แต่พี่ฮาร์ฟตาช้ำมากเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าทะเลาะ…”

“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อ่านหนังสือดึกไปหน่อยน่ะ” นรกรพยายามตัดบท

“เอ่อ…”

อนุวัฒน์เหลือบตามองที่คนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วรีบคว้าแขนจิงโจ้ “มาเถอะ”

“แต่…”

“มานี่!” อนุวัฒน์ทำเสียงเข้มแล้วลากตัวจิงโจ้ออกไปได้สำเร็จ

วินทร์ปราดเข้ามายืนที่เดิมทันทีที่สองคนนั้นออกไป “ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าขยี้ตา ดูสิ เจ้าพวกนั้นคิดว่าเราทะเลาะกันจริงๆ ด้วย” มือใหญ่โอบเข้ารอบแนวกรามแล้วเชยคางคนตัวเล็กกว่าให้เงยหน้าขึ้นเพื่อดูดวงตาที่ทั้งแดงและช้ำ “ฉันหยอดน้ำตาเทียมให้”

“เดี๋ยวผมทำเองครับ”

“ฉันจะทำ หน้าที่นายคือส่งแว่นมาแล้วยืนเกาะเสื้อฉันไว้เฉยๆ”

“ครับ” นรกรจนใจจะเถียง เขาจึงทำตามที่บอก

วินทร์ดูแลหยอดน้ำตาเทียมให้ข้างละสองหยด “หลับตาไว้สักพักนะ”

ใจจริงวินทร์ไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากกยอดน้ำตาเทียม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือคนรักที่จับเขาไว้แน่นทั้งยังเงยหน้าขึ้นมาหลับตาพริ้มราวกับกำลังรอคอยให้เขาทำอะไรบางอย่าง

แล้วแบบนี้เขาจะอดใจไหวเหรอ

“พี่วินทร์” นรกรอุทานพร้อมกับลืมตาขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนขโมยจูบไปเรียบร้อยแล้ว เขาเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใคร “ทำอะไรน่ะครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”

“ไม่มีใครมาแล้วล่ะน่า”

“แต่ก็…”

“เลิกบ่นสักทีน่า เห็นก็ดีฉันอยากให้เห็น จะได้เลิกลือเรื่องที่เราทะเลาะกันสักที”

“เดี๋ยวพ่อก็โกรธอีก”

“ยังไงฉันก็โดนโกรธอยู่แล้ว ฉันขอโดนโกรธเรื่องที่ฉันตั้งใจทำดีกว่าเป็นเรื่องที่คนอื่นทำ”

“จริงๆ เลยนะครับ”

“งืมมม”

“เป็นอะไรอีกครับ”

“เป็นหมีหงอยโดนคุณแฟนดุ” วินทร์พูดด้วยเสียงสองพร้อมกับใช้ศีรษะดันๆ ที่หัวไหล่แกล้งแหย่ต่อเพราะรู้ว่านรกรเปิดโหมดเอาจริงเอาจังแก้เขินไปอย่างนั้นแหละ

“พี่วินทร์” นรกรใช้หนังสือในมือฟาดด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที

“ดูสิ ไม่พอใจก็ลงไม้ลงมือ” วินทร์ออเซาะเอามือลูบห้วป้อยๆ ทำเหมือนว่าเจ็บนักหนาทั้งที่แรงตีนั้นไม่ครณาผิวสักนิด

“ยังไม่เลิกเล่นอีก”

“ที่สัญญากันไว้จนป่านนี้ก็ยังไม่พูดให้ได้ยินเลย”

“สัญญาอะไรครับ”

“ที่บอกว่าตื่นมาแล้วจะพูดให้ฟังน่ะ”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำที่เคยให้ไว้ “มาทวงอะไรตอนนี้ครับ”

“ก็นึกขึ้นได้ตอนนี้นี่นา”

“ไว้หลังเลิกงานครับ”

“ไม่อาววว... จะฟังตอนนี้”

นรกรเม้มปากสนิท เขาทำเป็นดุไปอย่างนั้นแหละเพราะอยู่ที่ทำงานทั้งที่ใจจริงนี่ยอมตั้งแต่โดนขโมยจูบแล้ว เวลาแค่คืนเดียวมันเติมความคิดถึงได้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

“นะ...นะ...”

ในที่สุดนรกรก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว เขาเหลียวมองรอบห้องเห็นว่าปลอดคนแน่ๆ จึงเขยิบไปกระซิบที่ข้างหู “รักนะครับ”

“รักเหมือนกันจ๊ะ” วินทร์ตอบพร้อมกับฉวยโอกาสขโมยหอมไปได้อีกหนึ่งฟอด

ในขณะที่ในห้องกำลังหวานน้ำตาลขึ้นกันอยู่ ที่หน้าประตูห้อง อนุวัฒน์กับจิงโจ้กำลังหรี่ตามองผ่านช่องประตูที่แอบแง้มอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องเป็นห่วง” อนุวัฒน์บอก

“ก็แหมมม ใครมันจะไปคิดทันล่ะครับว่าตาช้ำเพราะกิจกรรมอื่น” จิงโจ้เบะปาก “ทำตัวน่าหมั่นไส้จริงๆ พี่วินทร์นี่ แบบนี้ต้องจัดสักหน่อย”

“จัดเลยดีกว่า” อนุวัฒน์กระแอมเบาๆ ให้คอโล่งก่อนจะเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป “พี่วินทร์ พี่ฮาร์ฟครับเมื่อกี้น้องส่งข้อความมาบอกว่าอาจารย์ภูมิศิลป์ตื่นแล้ว พวกผมเลยว่าจะไปเยี่ยมก่อนไปออกตรวจพวกพี่จะไปด้วยกันไหมครับ”

นรกรรีบผลักอกอีกฝ่ายให้ออกห่างแล้วทำเป็นก้มหยิบหนังสือ “ไปสิ... พี่ไปด้วย”

วินทร์ทำหน้าเซ็งใส่รุ่นน้องตัวดีทั้งสองที่ปั้นหน้าใสซื่อเหมือนทารกแรกเกิดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับไปให้ เขาเดินไปหาอนุวัฒน์และพูดผ่านริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ “แอบดูฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าฮาร์ฟจับได้ฉันเอาพวกนายตายแน่”

“งั้นผมก็ฟ้องพี่ฮาร์ฟกลับบ้างว่าคนบางคนอยากอวดมากกว่า” อนุวัฒน์กระซิบตอบอย่างรู้ทัน “รู้นี่นาว่ายังไงพวกผมก็แอบดูอยู่ แล้วยังมาทำตัวออดอ้อนน่ารักประหนึ่งว่าเป็นหมีน้อยโคอาล่ามาร์ชทั้งที่จริงเป็นหมีควายป่าปลอมตัวมากินลูกแกะ”

“ปากแกนี่วอนโดนหมีควายตะปบหัวเบะจริงๆ ว่ะ” วินทร์บ่นขมุบขมิบก่อนจะเงียบไปเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตาเขาแล้วกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “มีอะไรเหรอ”

“ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วนะครับ” อนุวัฒน์ว่าพร้อมกับตวัดสายตาขึ้นสบอีกครั้ง

“อืม” วินทร์รับคำ “หายดีแล้ว”

อนุวัฒน์พยักหน้าถึงสุดท้ายจะไม่เข้าใจอะไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกมั่นใจว่าวินทร์หายดีและกลับมาเป็นวินทร์คนเดิมที่เขารู้จักแล้ว

“พวกพี่คุยอะไรกันงุ้งงิ้งๆ น่าสงสัย” จิงโจ้แทรกตัวเข้ามาร่วมวง

“เปล่านี่” อนุวัฒน์ตอบ

“ถ้าพี่วินทร์ไม่บอกผมจะฟ้องพี่ฮาร์ฟ” พูดจบจิงโจ้ก็พุ่งไปเกาะแขนนรกร “พี่ฮาร์ฟครับสองคนนั่นสุมหัวคุยอะไรกันแปลกๆ อีกแล้ว”

“อะไรเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ แต่ผมว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ เลย ผมได้ยินคำว่าลูกแกะอะไรด้วย สงสัยพี่วินทร์วางแผนจะให้พี่ฮาร์ฟคอสเพลย์เป็นแกะวันงานเลี้ยงปีใหม่แน่ๆ เลย”

นรกรหันควับมาทันที “ผมไม่แต่งเป็นแกะนะ”

“แกะบ้านแกสิไอ้โจ้ ได้ข่าวธีมผี” วินทร์ตะโกนสวนไป

“หืมมม แต่ผมว่าไอเดียนี้น่าสนใจนะครับเพราะท่านผอ.ให้คอสเพลย์ได้ พี่วินทร์ก็แต่งเป็นหมีควายไม่ก็หมาป่าคู่กันน่ารักดีออก” อนุวัฒน์แซว

“เห็นไหมพี่ฮาร์ฟ สองคนนั่นมีแผนจริงๆ ด้วย” จิงโจ้ยังไม่เลิกแกล้ง แต่สิ่งที่ทำวินทร์ไม่พอใจมากกว่าคือมือไม้ที่เกาะแขนนรกรแน่นขึ้นทุกที

“เห็นนั่นไหมวัฒน์” เขากระซิบที่ได้ยินกันสองคน

“ดูอยู่ครับ” อนุวัฒน์กระซิบตอบ

“จัดการคนของแกซะ อย่าให้ต้องถึงมือฉัน”

“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วครับ” อนุวัฒน์รับคำแล้วเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อจิงโจ้ให้ออกห่างจากนรกร

“อะไรเนี่ยพี่วัฒน์” จิงโจ้โวย

“ไปเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์ได้แล้ว” อนุวัฒน์กระซิบเสียงเข้มแล้วลากอีกฝ่ายนำออกประตูไป

“เราก็ไปกันเถอะ” วินทร์บอก “เราสองคนก็มีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์เยอะเลยนี่นา”

“พี่วินทร์ครับ”

“อะไร”

“ไม่เอาชุดสัตว์นะครับ” นรกรกระซิบย้ำ “ไม่งั้นผมไม่ไปงานจริงๆ ด้วย”

“ไม่เอาก็ไม่เอาจ๊ะ” วินทร์ให้ความมั่นใจ เพราะที่เขาจินตนาการและวางแผนเอาไว้คือชุดปิศาจแมวเหมียว... นั่นไง สัตว์ที่ไหน ไม่มี้! ปิศาจชัดๆ เดี๋ยวถึงวันงานค่อยไปเช่ามาเซอร์ไพรส์แล้วอ้างว่าชุดอื่นไม่มีไซซ์ แหม เขานี่ฉลาดจริงๆ

OOOOOO

การไปเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์ในเช้าวันนี้ดูเป็นเรื่องชื่นมื่นมากกว่าเมื่อวานกับอาการที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วยดูแลเป็นอย่างดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจะมีบ่นๆ นิดหน่อยก็แค่กังวลเรื่องผมจะไม่ขึ้นตรงที่โกนออกไปเพื่อผ่าตัดเพราะของเดิมก็เริ่มบางไปตามวัยแล้ว

นรกรกับวินทร์รอให้คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องเมื่อวานผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้อาจารย์ลำบาก”

อาจารย์ภูมิศิลป์ทำหน้าราวกับเพิ่งขึ้นนึกขึ้นได้ เขาคิดว่าเพราะตัวเองป่วยหนักและอยู่ในภาวะเฉียดตายจึงฝันถึงเรื่องที่เคยทำพลาดไป แต่พอรู้แบบนี้ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรกลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น “ไม่นี่ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย... ต้องขอบคุณพวกเธอทั้งสองคนมากๆ เลยนะ”

“ขอบคุณพวกผมทำไมครับ พวกผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”

“ต้องขอบคุณสิ” อาจารย์ภูมิศิลป์ย้ำ “เพราะพวกเธอฉันเลยได้โอกาสพูดในสิ่งที่อยากพูดมากตลอด แล้วก็ได้ยินเขาบอกว่าอภัยให้ฉันแล้วด้วย และก็ดูเหมือนสองคนนั่นจะได้เจอกันแล้วสินะ หลังจากที่แยกจากกันมานาน... อืม... นี่ฉันเผลอพูดอะไรเลอะเทอะหรือเปล่าเนี่ย คนตายไปแล้วจะมาปรากฏตัวให้เห็นได้ยังไง”

“ได้สิครับ” วินทร์เอ่ยขึ้น “เพราะจริงๆ แล้วคนตายไม่เคยไปไหน แต่อยู่กับเราตลอด... ในห้วงความคำนึงของเราไงครับ”
อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้า “จะว่าไปเมื่อคืน ฉันก็ฝันถึงสองคนนั่นอีกแล้ว”

“ฝันว่าอะไรครับ” นรกรถาม

“ก็...” อาจารย์ภูมิศิลป์ทำหน้านึก กำลังจะอ้าปากเล่าใครคนหนึ่งก็เดินผ่านประตูเข้ามาพอดี

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” พลส่งยิ้มทักทายให้ทุกคนแต่ดูจะส่งให้คนบนเตียงกว้างกว่าคนอื่นๆ

“ตอนนี้อาการ...” นรกรอ้าปากจะตอบวินทร์ก็ยกมือขึ้นสะกิดก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ดูว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องตอบเลยเพราะเขาตั้งใจถามคนที่อยู่บนเตียงมากกว่า

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ “ขอบใจนะที่มาเยี่ยมฉันทุกวันเลย”

“รู้ได้ยังไงครับว่าผมมา” พลถามยิ้มๆ “ผมอาจจะเพิ่งมาก็ได้นะ”

อาจารย์ภูมิศิลป์ยิ้มตอบ “อืม ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เธอจะมาเยี่ยมฉันอีกไหม”

“ถ้าหมอภูมิไม่รังเกียจ ผมมาทุกวันเลยก็ได้ครับ”

วินทร์หันมายิ้มให้นรกรก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามกันออกจากห้องไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่ากฤตกับพลูมาบอกอะไรในฝันนั้น ตอนนี้พวกเขาคิดว่าได้คำตอบแล้ว

OOOOOO
   
ตกเย็นวันนั้นพวกเขาทั้งสองก็กลับไปที่วัดแห่งเดิมอีกครั้งเพื่อทำบุญให้กับกฤตพลูจากไปอยู่ภพภูมิที่เหมาะที่ควร และเพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลสร้างขวัญให้กับคนที่ยังอยู่ด้วย

ทั้งสองก้าวลงจากรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิก ในมือถือชุดสังฆทานที่เตรียมพร้อมมาเรียบร้อย พวกเขาเดินตรงไปที่โบสถ์และก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้พบกับพระรูปเดิมยืนอยู่หน้าประตูราวกับรอการมาของพวกเขาอยู่ “สวัสดีโยมทั้งสอง มาทำบุญหรือ เชิญด้านในเลย”

“ครับ” ทั้งสองพยักหน้าและเดินตามหลังท่านเข้าไปกราบพระประทานด้านใน

หลังจากทำพิธีและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเสร็จสิ้นพระท่านก็กล่าวขึ้น “อาตมาดีใจนะที่เห็นโยมมีความสุขเสียที”

“ต่อไปนี้ผมจะหมดเคราะห์กรรมแล้วใช่ไหมครับ” วินทร์ถาม

“ไม่หมดหรอก” พระท่านตอบ ทั้งสองหันมองหน้ากันใจคอไม่ดีก่อนที่ท่านจะเอ่ยต่อ “การที่มนุษย์เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารก็ถือว่ามีกรรมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากไม่มีก็คงจะไปนิพพานแล้ว”

“แล้วถ้าเป็น ‘เคราะห์’ ล่ะครับ” นรกรลองถามเลี่ยงๆ

“มีแล้วยังไง ไม่มีแล้วยังไง สิ่งสำคัญคือโยมจะใช้สติพิจารณาและผ่านมันไปได้ยังไงมากกว่า” ท่านตอบ “ส่งมือมาสิอาตมาจะให้สายสิญจน์เส้นใหม่แทนเส้นเก่าที่ขาดไป”

รับสายสิญจน์มาและกราบลาเรียบร้อยทั้งสองก็กลับออกมายืนบนทางเดินที่สองข้างขนาบด้วยต้นลั่นทมเรียงรายอีกครั้ง

“ฮาร์ฟ ฉันได้ยินนายบอกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่ากฤตเคยดูแลนายสมัยเป็นเด็กมันยังไงเหรอ” วินทร์ถาม

“พี่วินทร์จำที่เขาเล่าเรื่องลุงชวนได้ไหมครับ”

“จำได้”

“ตอนแรกผมก็นึกไม่ออกหรอก แต่พอเขาเล่าเรื่องลุงชวนขึ้นมาผมก็เลยนึกออกว่ามีนักเรียนแพทย์คนหนึ่งที่ถึงจะดูห้าวๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มแต่เขาก็ตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเราพูดทุกวัน และเพราะเขานี่แหละผมถึงได้กลับบ้าน เขาเป็นคนแรกที่เชื่อว่าผมปกติและบอกกับใครๆ แบบนั้น”

“จริงๆ ต้องพูดว่านายหลอกหมอนั่นได้เป็นคนแรกนะ” วินทร์พูดปนหัวเราะ “ฉันไม่ได้จะขัดนะ แต่แบบ... ก็จริงๆ แล้วนายไม่ปกตินี่นา”

นรกรหัวเราะบ้าง “อันที่จริงผมติดค้างเขาอยู่เรื่องหนึ่งนะ เพราะวันนั้นลุงชวนมาฝากผมลาเขาด้วยแต่ผมก็ไม่ได้บอก นี่อาจจะเป็นหนึ่งในร้อยแปดเหตุผลที่เราได้มาเจอกันก็ได้... เพื่อมาชดเชยในสิ่งที่เราต่างติดค้างกันไว้”

“นั่นสินะ”

“ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“พี่วินทร์ขอบคุณผมทำไมครับ” นรกรถาม

“เปล่านี่ ฉันพูดว่านั่นสินะ” วินทร์พูดซ้ำ

นรกรหันมองรอบตัวแต่เขาก็ไม่เห็นใคร ลมพัดมาเอื่อยๆ พาให้ดอกลั่นทมดอกหนึ่งปลิวหลุดจากขั้วร่วงลงมาตรงหน้า ก่อนที่อีกดอกจะร่วงลงมาคู่กัน

วินทร์ก้มลงเก็บดอกลั่นทมทั้งสองดอกขึ้นมาถือไว้ “พวกเขาคงอยากมาขอบคุณ”

นรกรมองดอกไม้กลีบขาวในมือวินทร์และเอ่ยขึ้น “พี่วินทร์บอกผมได้ไหมครับว่าคราวนี้เรามีเวลาเท่าไหร่”

“รู้ดีขนาดนั้น ฉันไปเปิดสำนักทรงเจ้าแข่งกับอาจารย์องค์อินทร์แล้ว”

“พี่วินทร์ผมจริงจังนะครับ”

“ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นา” วินทร์ยืนยัน “ขนาดพระท่านยังไม่รู้เลย”

“เหรอครับ”

“ยังกังวลอยู่เหรอ”

“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบ “แต่เลิกคิดแล้วล่ะเพราะพระท่านก็บอกแล้วนี่ครับ... คิดมากไปก็เท่านั้น เราแค่ทำทุกวันให้ดีที่สุด ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย และพอวันนั้นมาถึงเราก็จะไม่มีอะไรให้ติดค้างและเสียใจอีกต่อไป พี่วินทร์เห็นด้วยไหมครับ”

วินทร์ไม่ตอบแต่ยื่นมือให้ข้างหนึ่ง เมื่อมือเล็กกว่าลงมาเขาก็กุมกระชับเอาไว้ ทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนจะออกเดินไปตามทาง ไม่ต้องมีคำพูดอะไรมากมายเมื่อต่างมองตาก็เข้าใจกันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งสุขและทุกข์ ขอแค่เพียงมีกันและกันแบบนี้ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

The End

******************************************************************************************
Talk

ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำนี้สักนี้ หลังจากแต่งมานานเหลือเกิน จากทีี่แค่ความคิดซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความคิดชั่ววูบก็ว่าได้ว่าอยากแต่งต่อเพราะมีอีกหลายๆ ฉาก อีกหลายๆ ตอนที่อยากเขียน จากพล็อตสั้นๆ ที่คิดว่าแค่ร้อยหน้าจบ แต่พอเขียนเข้าจริงกลับยาวเกือบสองร้อย และใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการเขียน
 
ขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ กำลังใจที่มีให้กันจนมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ

ปล.ปากบอกว่าจบแต่ก็ไม่นิทอยู่ดีค่ะ เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษมาให้อ่านกันอีกน้าาา


ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #923 เมื่อ26-03-2019 21:19:29 »

 :o8:จบได้ถูกใจมากๆ รอตอนพิเศษนะคะ รักเรื่องนี้จัง

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #924 เมื่อ26-03-2019 21:35:27 »

ดีใจแทน..นนนนนนนนนน  กว่าจะสุขสมหวัง ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ    :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #925 เมื่อ26-03-2019 23:40:53 »

ขอบคุณมาก สนุกชวนติดตามจริงๆ ค่ะ
รอตอนพิเศษ รวมถึงเรื่องใหม่
แต่ไม่เอาอีกแล้วนะคะแบบใครจะหายไปอีก

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #926 เมื่อ27-03-2019 08:53:06 »

ดีใจที่วินทร์ได้กลับมาเจอฮาร์ฟอีกครั้ง สนุกและลุ้นไปกับทั้งสองคนว่าจะลงเอยยังไง ขอบคุณผู้เขียนที่ทำให้เรื่องราวจบลงอย่าง Happy ยังไงก็รอตอนพิเศษอยู่นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #927 เมื่อ27-03-2019 20:27:03 »

ทุกอย่างจบลงด้วยดี  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ THiiCHA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-4
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #928 เมื่อ27-03-2019 22:01:41 »

โอ้ยย​  เราอยากสะสมหนังสือเรื่องนี้ค่ะ​ 
ตีพิมพ์มั้ยคะ
 
ปล.นิยายสนุกมากเลยย​
ตอนแรกที่คนเขียนบอกว่าอยากเคลียร์ปมที่ไม่มีใครท้วง​ เรานึกว่าจะเคลียเรื่อง​ที่นรกรเห็นวิญญาณแต่ที่บ้านไม่เชื่อกับเรื่องเพศ​ ไปๆมาๆเอ้าา​ คุณพลูในห้องล็อกเกอร์นี่เอง​ 555555​ รออ่านตอนพ่อตาเคลียร์กับลูกเขย​ คดีที่กฤตทำไว้ก่อนไปแต่ละอย่างก็น่าปวดหัวแทนคนตามเช็ดตามล้าง​ ปูเสื่อ รอๆๆ 5555

ออฟไลน์ thebrownbear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #929 เมื่อ28-03-2019 13:48:43 »

จบแล้ววว ว ดีใจที่ไม่ต้องแยกจากกัน ขอบคุณมากค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด