(ต่อตรงนี้ค่ะ)
นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายส่วนล่างยังรู้สึกเสียวซ่านและเมื่อยขบจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องเกือบทั้งคืน นึกแล้วภาพก็ลอยขึ้นมาในหัวจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มๆ ไปได้... ไม่ใช่สิ! ตอนหนุ่มๆ ก็ไม่เคยได้ทำอะไรที่มันมากมายแบบนี้สักหน่อย
คิดไปก็ทั้งขำทั้งเขิน เขาพลิกตัวเพื่อหันไปดูหน้าตัวต้นเหตุที่คงยังนอนหลับไปตื่น
แต่พื้นที่ข้างตัวนั้นกลับว่างเปล่า
นรกรพลิกตัวอีกครั้งก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง ผืนผ้าที่เย็นเฉียบทำให้ใจหายวาบ
“พี่วินทร์ครับ”
เขาส่งเสียงเรียกออกไป และมันไม่มีการตอบรับใดๆ เขาไม่เสียเวลาลองเรียกครั้งที่สอง รีบก้มลงคว้าเสื้อเชิ้ตที่กองอยู่ข้างเตียงมาสวมลวกๆ แล้ววิ่งออกไป
ในโซนทำครัวตรงหน้าเตา ร่างสูงที่สวมใส่เพียงกางเกงนอนขายาวตัวเดียวยืนฮัมเพลงสบายอารมณ์ เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหารเช้าที่ใช้เวลาว่างๆ นั่งคิดนอนคิดมาหลายวันว่าจะทำอะไรจนได้เมนูอาหารยาวไปจนถึงเดือนหน้า แต่น่าเสียดายที่นรกรไม่ได้ซื้อของสดมาตุนไว้เลย ดังนั้นแผนที่คิดไว้จึงพังไม่เป็นท่า เขาเลยต้องรีบคว้าเงินลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์ข้างล่างแต่เช้ามืด อย่างน้อยๆ กับข้าวมื้อแรกงานไส้กรอกไข่ดาวต้องมา ขนมปังปิ้งต้องมีล่ะ
“พี่วินทร์...”
แว่วได้ยินเสียงเรียก เจ้าของชื่อตอบโดยไม่หันหน้ามา “ครับที่รัก”
นรกรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันและวินทร์ยังไม่หนีเขาไปไหน “ทำอะไรแต่เช้าครับ”
“ขนมปังชุบไข่ทอด และแน่นอนว่าฉันใส่ชีสให้นายเป็นพิเศษด้วย” วินทร์สาธยายเมนูให้ฟัง “วันนี้งดกาแฟนะ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันไม่ห้ามนี่นายเล่นกินวันสองแก้วแทนน้ำ เช้านี้เอาเป็นนมกับน้ำส้มแทนตกลงนะ แล้วห้ามแอบไปซื้อกินเองตอนฉันเผลอด้วยล่ะ”
“ครับ”
“แล้วก็มี...” วินทร์หันหน้ามา เขาชะงักไปเล็กน้อยกับร่างเปลือยในเสื้อเชิ้ตตัวเดียวของคนรักที่ยืนอยู่ตรงประตู แต่นั่นก็ยังไม่น่าพุ่งไปหาเท่ากับความกังวลที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ใต้สีหน้าที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติ วินทร์เอื้อมมือไปปิดเตาแก๊สแล้วก้าวยาวๆ ไปรวบตัวนรกรเข้ามากอดพร้อมกับจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง
“มีอะไรอีกครับ” นรกรถามเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ
“มีฉันนั่งกินด้วยกันไง” วินทร์กดจูบลงไปอีกครั้งตรงรอยย่นเล็กๆ ระหว่างหัวคิ้ว “ตกใจเหรอที่ตื่นมาไม่เห็นฉัน”
“ครับ” นรกรยอมรับ
“ขอโทษที พอดีแค่อยากจะเซอร์ ไพรส์ที่รักน่ะ”
“เซอร์ไพรส์จริงๆ ครับ”
“หายตกใจได้แล้วนะ” วินทร์หยอดลูกอ้อนแล้วกดจูบปลอบขวัญเป็นการไถ่โทษ
แต่มันกลับลึกล้ำจนเกือบจะเกินห้ามใจ เสียงเข็มนาฬิกาที่ขยับไปข้างหน้าราวกับไม้เรียวหวดขาให้หยุดเพราะกำลังจะพากันไปทำงานสาย วินทร์กลั้นใจผละออกจากกลีบปากหวานลิ้น หากยังคลอเคลียอยู่ไม่ห่างอย่างอ้อยอิ่งพลางใช้สองมือคล้องรอบเอวสอบประคองไว้หลวมๆ
“นายไปอาบน้ำแต่งตัวไป จะได้มากินข้าวเช้าด้วยกัน”
นรกรทำหน้าคล้ายกับจะงอนที่โดนไล่เอาดื้อๆ เขาก้มหน้าหนีลงซุกกับหน้าอกกว้าง
“ไม่อยากกินข้าวฝีมือฉันเหรอ…” วินทร์พูดไม่ทันจบประโยคดี คนในอ้อมแขนก็เอ่ยทวงสัญญาขึ้นเบาๆ
“คนบางคนบอกว่าถ้ายอมจะอาบน้ำให้”
วินทร์แก้มร้อนฉ่าและซับสีเข้มไม่ต่างจากกับคนที่ซบหน้าอยู่ เขาก้มหน้าลงกระซิบถามให้แน่ใจข้างใบหูที่เห่อแดงไปหมด “นายรู้ใช่ไหมว่ามันจะไม่จบแค่อาบน้ำอย่างเดียว”
นรกรพยักหน้า วินทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนผนังแล้วรวบคนตัวเล็กกว่ายกลอยขึ้นจากพื้น “ฉันไม่ชอบรีบๆ วันนี้เราเอาข้าวใส่กล่องไปกินที่โรงพยาบาลละกันนะ”
นรกรพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับคว้ารอบคอคนตัวโตแน่น ยินยอมให้เขาอุ้มเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี
OOOOOO
“เกือบมาสายแล้วเห็นไหมครับ” นรกรดุคนที่เดินตามมาติดๆ เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานแล้วรีบคว้าเอกสารที่ต้องใช้ในวันนี้ใส่กระเป๋า
“ก็แค่เกือบ” วินทร์ว่า “นี่ฉันกะเวลาพอดีเป๊ะเลยนะ… อ๊ะ! อ๊ะ! อย่ามาทำขมวดคิ้วใส่ เพราะใครล่ะที่ไม่ยอมปล่อยสักที”
“ปล่อยอะไรครับ” นรกรสะดุ้งเมื่อหันไปชนเข้ากับอกกว้างที่แอบมายืนประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ยกมือขึ้นผลักให้หลบแต่ก็ถูกอีกฝ่ายคว้ามือไปเสียได้
“นั่นน่ะสิ ปล่อยอะไรน้า~” วินทร์ทำเสียงล้อพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้เป็นครั้งแรกเลยที่นรกรออดอ้อนเขาถึงขนาดนี้ จนเขาเผลอแอบคิดว่านานๆ ทีกลายเป็นผีให้คิดถึงหนักๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน “ปล่อยมือหรือปลดปล่อย... หรือว่าทั้งสองอย่าง…”
“พี่วินทร์!”
“แน่ใจนะว่าวันนี้ยืนผ่าตัดนานๆ ไหว ให้ฉันเข้าเคสแทนไหม”
“เงียบไปเลยครับ”
ประตูห้องทำงานเปิดออกขัดบทสนทนา ทำให้นรกรฉวยจังหวะนั้นกระทืบเท้าวินทร์ให้ถอยห่างออกไปได้
“โอ๊ย!”
“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้าครับ” อนุวัฒน์ที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมจิงโจ้ร้องทัก
“เปล่านี่” วินทร์พยายามเก๊กหน้านิ่งทั้งที่ปวดหัวแม่โป้งเท้าแทบตาย
“เอ่อ… ให้พวกผมช่วยอะไรไหมครับ” จิงโจ้ถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร” นรกรตอบ
“แต่พี่ฮาร์ฟตาช้ำมากเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าทะเลาะ…”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อ่านหนังสือดึกไปหน่อยน่ะ” นรกรพยายามตัดบท
“เอ่อ…”
อนุวัฒน์เหลือบตามองที่คนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วรีบคว้าแขนจิงโจ้ “มาเถอะ”
“แต่…”
“มานี่!” อนุวัฒน์ทำเสียงเข้มแล้วลากตัวจิงโจ้ออกไปได้สำเร็จ
วินทร์ปราดเข้ามายืนที่เดิมทันทีที่สองคนนั้นออกไป “ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าขยี้ตา ดูสิ เจ้าพวกนั้นคิดว่าเราทะเลาะกันจริงๆ ด้วย” มือใหญ่โอบเข้ารอบแนวกรามแล้วเชยคางคนตัวเล็กกว่าให้เงยหน้าขึ้นเพื่อดูดวงตาที่ทั้งแดงและช้ำ “ฉันหยอดน้ำตาเทียมให้”
“เดี๋ยวผมทำเองครับ”
“ฉันจะทำ หน้าที่นายคือส่งแว่นมาแล้วยืนเกาะเสื้อฉันไว้เฉยๆ”
“ครับ” นรกรจนใจจะเถียง เขาจึงทำตามที่บอก
วินทร์ดูแลหยอดน้ำตาเทียมให้ข้างละสองหยด “หลับตาไว้สักพักนะ”
ใจจริงวินทร์ไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากกยอดน้ำตาเทียม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือคนรักที่จับเขาไว้แน่นทั้งยังเงยหน้าขึ้นมาหลับตาพริ้มราวกับกำลังรอคอยให้เขาทำอะไรบางอย่าง
แล้วแบบนี้เขาจะอดใจไหวเหรอ
“พี่วินทร์” นรกรอุทานพร้อมกับลืมตาขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนขโมยจูบไปเรียบร้อยแล้ว เขาเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใคร “ทำอะไรน่ะครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”
“ไม่มีใครมาแล้วล่ะน่า”
“แต่ก็…”
“เลิกบ่นสักทีน่า เห็นก็ดีฉันอยากให้เห็น จะได้เลิกลือเรื่องที่เราทะเลาะกันสักที”
“เดี๋ยวพ่อก็โกรธอีก”
“ยังไงฉันก็โดนโกรธอยู่แล้ว ฉันขอโดนโกรธเรื่องที่ฉันตั้งใจทำดีกว่าเป็นเรื่องที่คนอื่นทำ”
“จริงๆ เลยนะครับ”
“งืมมม”
“เป็นอะไรอีกครับ”
“เป็นหมีหงอยโดนคุณแฟนดุ” วินทร์พูดด้วยเสียงสองพร้อมกับใช้ศีรษะดันๆ ที่หัวไหล่แกล้งแหย่ต่อเพราะรู้ว่านรกรเปิดโหมดเอาจริงเอาจังแก้เขินไปอย่างนั้นแหละ
“พี่วินทร์” นรกรใช้หนังสือในมือฟาดด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที
“ดูสิ ไม่พอใจก็ลงไม้ลงมือ” วินทร์ออเซาะเอามือลูบห้วป้อยๆ ทำเหมือนว่าเจ็บนักหนาทั้งที่แรงตีนั้นไม่ครณาผิวสักนิด
“ยังไม่เลิกเล่นอีก”
“ที่สัญญากันไว้จนป่านนี้ก็ยังไม่พูดให้ได้ยินเลย”
“สัญญาอะไรครับ”
“ที่บอกว่าตื่นมาแล้วจะพูดให้ฟังน่ะ”
แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำที่เคยให้ไว้ “มาทวงอะไรตอนนี้ครับ”
“ก็นึกขึ้นได้ตอนนี้นี่นา”
“ไว้หลังเลิกงานครับ”
“ไม่อาววว... จะฟังตอนนี้”
นรกรเม้มปากสนิท เขาทำเป็นดุไปอย่างนั้นแหละเพราะอยู่ที่ทำงานทั้งที่ใจจริงนี่ยอมตั้งแต่โดนขโมยจูบแล้ว เวลาแค่คืนเดียวมันเติมความคิดถึงได้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
“นะ...นะ...”
ในที่สุดนรกรก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว เขาเหลียวมองรอบห้องเห็นว่าปลอดคนแน่ๆ จึงเขยิบไปกระซิบที่ข้างหู “รักนะครับ”
“รักเหมือนกันจ๊ะ” วินทร์ตอบพร้อมกับฉวยโอกาสขโมยหอมไปได้อีกหนึ่งฟอด
ในขณะที่ในห้องกำลังหวานน้ำตาลขึ้นกันอยู่ ที่หน้าประตูห้อง อนุวัฒน์กับจิงโจ้กำลังหรี่ตามองผ่านช่องประตูที่แอบแง้มอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องเป็นห่วง” อนุวัฒน์บอก
“ก็แหมมม ใครมันจะไปคิดทันล่ะครับว่าตาช้ำเพราะกิจกรรมอื่น” จิงโจ้เบะปาก “ทำตัวน่าหมั่นไส้จริงๆ พี่วินทร์นี่ แบบนี้ต้องจัดสักหน่อย”
“จัดเลยดีกว่า” อนุวัฒน์กระแอมเบาๆ ให้คอโล่งก่อนจะเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป “พี่วินทร์ พี่ฮาร์ฟครับเมื่อกี้น้องส่งข้อความมาบอกว่าอาจารย์ภูมิศิลป์ตื่นแล้ว พวกผมเลยว่าจะไปเยี่ยมก่อนไปออกตรวจพวกพี่จะไปด้วยกันไหมครับ”
นรกรรีบผลักอกอีกฝ่ายให้ออกห่างแล้วทำเป็นก้มหยิบหนังสือ “ไปสิ... พี่ไปด้วย”
วินทร์ทำหน้าเซ็งใส่รุ่นน้องตัวดีทั้งสองที่ปั้นหน้าใสซื่อเหมือนทารกแรกเกิดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับไปให้ เขาเดินไปหาอนุวัฒน์และพูดผ่านริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ “แอบดูฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าฮาร์ฟจับได้ฉันเอาพวกนายตายแน่”
“งั้นผมก็ฟ้องพี่ฮาร์ฟกลับบ้างว่าคนบางคนอยากอวดมากกว่า” อนุวัฒน์กระซิบตอบอย่างรู้ทัน “รู้นี่นาว่ายังไงพวกผมก็แอบดูอยู่ แล้วยังมาทำตัวออดอ้อนน่ารักประหนึ่งว่าเป็นหมีน้อยโคอาล่ามาร์ชทั้งที่จริงเป็นหมีควายป่าปลอมตัวมากินลูกแกะ”
“ปากแกนี่วอนโดนหมีควายตะปบหัวเบะจริงๆ ว่ะ” วินทร์บ่นขมุบขมิบก่อนจะเงียบไปเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตาเขาแล้วกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “มีอะไรเหรอ”
“ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วนะครับ” อนุวัฒน์ว่าพร้อมกับตวัดสายตาขึ้นสบอีกครั้ง
“อืม” วินทร์รับคำ “หายดีแล้ว”
อนุวัฒน์พยักหน้าถึงสุดท้ายจะไม่เข้าใจอะไร แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกมั่นใจว่าวินทร์หายดีและกลับมาเป็นวินทร์คนเดิมที่เขารู้จักแล้ว
“พวกพี่คุยอะไรกันงุ้งงิ้งๆ น่าสงสัย” จิงโจ้แทรกตัวเข้ามาร่วมวง
“เปล่านี่” อนุวัฒน์ตอบ
“ถ้าพี่วินทร์ไม่บอกผมจะฟ้องพี่ฮาร์ฟ” พูดจบจิงโจ้ก็พุ่งไปเกาะแขนนรกร “พี่ฮาร์ฟครับสองคนนั่นสุมหัวคุยอะไรกันแปลกๆ อีกแล้ว”
“อะไรเหรอ”
“ไม่รู้สิครับ แต่ผมว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ เลย ผมได้ยินคำว่าลูกแกะอะไรด้วย สงสัยพี่วินทร์วางแผนจะให้พี่ฮาร์ฟคอสเพลย์เป็นแกะวันงานเลี้ยงปีใหม่แน่ๆ เลย”
นรกรหันควับมาทันที “ผมไม่แต่งเป็นแกะนะ”
“แกะบ้านแกสิไอ้โจ้ ได้ข่าวธีมผี” วินทร์ตะโกนสวนไป
“หืมมม แต่ผมว่าไอเดียนี้น่าสนใจนะครับเพราะท่านผอ.ให้คอสเพลย์ได้ พี่วินทร์ก็แต่งเป็นหมีควายไม่ก็หมาป่าคู่กันน่ารักดีออก” อนุวัฒน์แซว
“เห็นไหมพี่ฮาร์ฟ สองคนนั่นมีแผนจริงๆ ด้วย” จิงโจ้ยังไม่เลิกแกล้ง แต่สิ่งที่ทำวินทร์ไม่พอใจมากกว่าคือมือไม้ที่เกาะแขนนรกรแน่นขึ้นทุกที
“เห็นนั่นไหมวัฒน์” เขากระซิบที่ได้ยินกันสองคน
“ดูอยู่ครับ” อนุวัฒน์กระซิบตอบ
“จัดการคนของแกซะ อย่าให้ต้องถึงมือฉัน”
“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วครับ” อนุวัฒน์รับคำแล้วเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อจิงโจ้ให้ออกห่างจากนรกร
“อะไรเนี่ยพี่วัฒน์” จิงโจ้โวย
“ไปเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์ได้แล้ว” อนุวัฒน์กระซิบเสียงเข้มแล้วลากอีกฝ่ายนำออกประตูไป
“เราก็ไปกันเถอะ” วินทร์บอก “เราสองคนก็มีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์เยอะเลยนี่นา”
“พี่วินทร์ครับ”
“อะไร”
“ไม่เอาชุดสัตว์นะครับ” นรกรกระซิบย้ำ “ไม่งั้นผมไม่ไปงานจริงๆ ด้วย”
“ไม่เอาก็ไม่เอาจ๊ะ” วินทร์ให้ความมั่นใจ เพราะที่เขาจินตนาการและวางแผนเอาไว้คือชุดปิศาจแมวเหมียว... นั่นไง สัตว์ที่ไหน ไม่มี้! ปิศาจชัดๆ เดี๋ยวถึงวันงานค่อยไปเช่ามาเซอร์ไพรส์แล้วอ้างว่าชุดอื่นไม่มีไซซ์ แหม เขานี่ฉลาดจริงๆ
OOOOOO
การไปเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์ในเช้าวันนี้ดูเป็นเรื่องชื่นมื่นมากกว่าเมื่อวานกับอาการที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าวขอบคุณทุกคนที่ช่วยดูแลเป็นอย่างดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจะมีบ่นๆ นิดหน่อยก็แค่กังวลเรื่องผมจะไม่ขึ้นตรงที่โกนออกไปเพื่อผ่าตัดเพราะของเดิมก็เริ่มบางไปตามวัยแล้ว
นรกรกับวินทร์รอให้คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องเมื่อวานผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้อาจารย์ลำบาก”
อาจารย์ภูมิศิลป์ทำหน้าราวกับเพิ่งขึ้นนึกขึ้นได้ เขาคิดว่าเพราะตัวเองป่วยหนักและอยู่ในภาวะเฉียดตายจึงฝันถึงเรื่องที่เคยทำพลาดไป แต่พอรู้แบบนี้ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรกลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น “ไม่นี่ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย... ต้องขอบคุณพวกเธอทั้งสองคนมากๆ เลยนะ”
“ขอบคุณพวกผมทำไมครับ พวกผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
“ต้องขอบคุณสิ” อาจารย์ภูมิศิลป์ย้ำ “เพราะพวกเธอฉันเลยได้โอกาสพูดในสิ่งที่อยากพูดมากตลอด แล้วก็ได้ยินเขาบอกว่าอภัยให้ฉันแล้วด้วย และก็ดูเหมือนสองคนนั่นจะได้เจอกันแล้วสินะ หลังจากที่แยกจากกันมานาน... อืม... นี่ฉันเผลอพูดอะไรเลอะเทอะหรือเปล่าเนี่ย คนตายไปแล้วจะมาปรากฏตัวให้เห็นได้ยังไง”
“ได้สิครับ” วินทร์เอ่ยขึ้น “เพราะจริงๆ แล้วคนตายไม่เคยไปไหน แต่อยู่กับเราตลอด... ในห้วงความคำนึงของเราไงครับ”
อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้า “จะว่าไปเมื่อคืน ฉันก็ฝันถึงสองคนนั่นอีกแล้ว”
“ฝันว่าอะไรครับ” นรกรถาม
“ก็...” อาจารย์ภูมิศิลป์ทำหน้านึก กำลังจะอ้าปากเล่าใครคนหนึ่งก็เดินผ่านประตูเข้ามาพอดี
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” พลส่งยิ้มทักทายให้ทุกคนแต่ดูจะส่งให้คนบนเตียงกว้างกว่าคนอื่นๆ
“ตอนนี้อาการ...” นรกรอ้าปากจะตอบวินทร์ก็ยกมือขึ้นสะกิดก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ดูว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องตอบเลยเพราะเขาตั้งใจถามคนที่อยู่บนเตียงมากกว่า
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ “ขอบใจนะที่มาเยี่ยมฉันทุกวันเลย”
“รู้ได้ยังไงครับว่าผมมา” พลถามยิ้มๆ “ผมอาจจะเพิ่งมาก็ได้นะ”
อาจารย์ภูมิศิลป์ยิ้มตอบ “อืม ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เธอจะมาเยี่ยมฉันอีกไหม”
“ถ้าหมอภูมิไม่รังเกียจ ผมมาทุกวันเลยก็ได้ครับ”
วินทร์หันมายิ้มให้นรกรก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามกันออกจากห้องไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่ากฤตกับพลูมาบอกอะไรในฝันนั้น ตอนนี้พวกเขาคิดว่าได้คำตอบแล้ว
OOOOOO
ตกเย็นวันนั้นพวกเขาทั้งสองก็กลับไปที่วัดแห่งเดิมอีกครั้งเพื่อทำบุญให้กับกฤตพลูจากไปอยู่ภพภูมิที่เหมาะที่ควร และเพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลสร้างขวัญให้กับคนที่ยังอยู่ด้วย
ทั้งสองก้าวลงจากรถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิก ในมือถือชุดสังฆทานที่เตรียมพร้อมมาเรียบร้อย พวกเขาเดินตรงไปที่โบสถ์และก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้พบกับพระรูปเดิมยืนอยู่หน้าประตูราวกับรอการมาของพวกเขาอยู่ “สวัสดีโยมทั้งสอง มาทำบุญหรือ เชิญด้านในเลย”
“ครับ” ทั้งสองพยักหน้าและเดินตามหลังท่านเข้าไปกราบพระประทานด้านใน
หลังจากทำพิธีและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเสร็จสิ้นพระท่านก็กล่าวขึ้น “อาตมาดีใจนะที่เห็นโยมมีความสุขเสียที”
“ต่อไปนี้ผมจะหมดเคราะห์กรรมแล้วใช่ไหมครับ” วินทร์ถาม
“ไม่หมดหรอก” พระท่านตอบ ทั้งสองหันมองหน้ากันใจคอไม่ดีก่อนที่ท่านจะเอ่ยต่อ “การที่มนุษย์เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารก็ถือว่ามีกรรมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากไม่มีก็คงจะไปนิพพานแล้ว”
“แล้วถ้าเป็น ‘เคราะห์’ ล่ะครับ” นรกรลองถามเลี่ยงๆ
“มีแล้วยังไง ไม่มีแล้วยังไง สิ่งสำคัญคือโยมจะใช้สติพิจารณาและผ่านมันไปได้ยังไงมากกว่า” ท่านตอบ “ส่งมือมาสิอาตมาจะให้สายสิญจน์เส้นใหม่แทนเส้นเก่าที่ขาดไป”
รับสายสิญจน์มาและกราบลาเรียบร้อยทั้งสองก็กลับออกมายืนบนทางเดินที่สองข้างขนาบด้วยต้นลั่นทมเรียงรายอีกครั้ง
“ฮาร์ฟ ฉันได้ยินนายบอกอาจารย์ภูมิศิลป์ว่ากฤตเคยดูแลนายสมัยเป็นเด็กมันยังไงเหรอ” วินทร์ถาม
“พี่วินทร์จำที่เขาเล่าเรื่องลุงชวนได้ไหมครับ”
“จำได้”
“ตอนแรกผมก็นึกไม่ออกหรอก แต่พอเขาเล่าเรื่องลุงชวนขึ้นมาผมก็เลยนึกออกว่ามีนักเรียนแพทย์คนหนึ่งที่ถึงจะดูห้าวๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มแต่เขาก็ตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเราพูดทุกวัน และเพราะเขานี่แหละผมถึงได้กลับบ้าน เขาเป็นคนแรกที่เชื่อว่าผมปกติและบอกกับใครๆ แบบนั้น”
“จริงๆ ต้องพูดว่านายหลอกหมอนั่นได้เป็นคนแรกนะ” วินทร์พูดปนหัวเราะ “ฉันไม่ได้จะขัดนะ แต่แบบ... ก็จริงๆ แล้วนายไม่ปกตินี่นา”
นรกรหัวเราะบ้าง “อันที่จริงผมติดค้างเขาอยู่เรื่องหนึ่งนะ เพราะวันนั้นลุงชวนมาฝากผมลาเขาด้วยแต่ผมก็ไม่ได้บอก นี่อาจจะเป็นหนึ่งในร้อยแปดเหตุผลที่เราได้มาเจอกันก็ได้... เพื่อมาชดเชยในสิ่งที่เราต่างติดค้างกันไว้”
“นั่นสินะ”
“ครับ”
“ขอบคุณนะ”
“พี่วินทร์ขอบคุณผมทำไมครับ” นรกรถาม
“เปล่านี่ ฉันพูดว่านั่นสินะ” วินทร์พูดซ้ำ
นรกรหันมองรอบตัวแต่เขาก็ไม่เห็นใคร ลมพัดมาเอื่อยๆ พาให้ดอกลั่นทมดอกหนึ่งปลิวหลุดจากขั้วร่วงลงมาตรงหน้า ก่อนที่อีกดอกจะร่วงลงมาคู่กัน
วินทร์ก้มลงเก็บดอกลั่นทมทั้งสองดอกขึ้นมาถือไว้ “พวกเขาคงอยากมาขอบคุณ”
นรกรมองดอกไม้กลีบขาวในมือวินทร์และเอ่ยขึ้น “พี่วินทร์บอกผมได้ไหมครับว่าคราวนี้เรามีเวลาเท่าไหร่”
“รู้ดีขนาดนั้น ฉันไปเปิดสำนักทรงเจ้าแข่งกับอาจารย์องค์อินทร์แล้ว”
“พี่วินทร์ผมจริงจังนะครับ”
“ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นา” วินทร์ยืนยัน “ขนาดพระท่านยังไม่รู้เลย”
“เหรอครับ”
“ยังกังวลอยู่เหรอ”
“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบ “แต่เลิกคิดแล้วล่ะเพราะพระท่านก็บอกแล้วนี่ครับ... คิดมากไปก็เท่านั้น เราแค่ทำทุกวันให้ดีที่สุด ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย และพอวันนั้นมาถึงเราก็จะไม่มีอะไรให้ติดค้างและเสียใจอีกต่อไป พี่วินทร์เห็นด้วยไหมครับ”
วินทร์ไม่ตอบแต่ยื่นมือให้ข้างหนึ่ง เมื่อมือเล็กกว่าลงมาเขาก็กุมกระชับเอาไว้ ทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนจะออกเดินไปตามทาง ไม่ต้องมีคำพูดอะไรมากมายเมื่อต่างมองตาก็เข้าใจกันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งสุขและทุกข์ ขอแค่เพียงมีกันและกันแบบนี้ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
The End
******************************************************************************************
Talkในที่สุดก็ได้พิมพ์คำนี้สักนี้ หลังจากแต่งมานานเหลือเกิน จากทีี่แค่ความคิดซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความคิดชั่ววูบก็ว่าได้ว่าอยากแต่งต่อเพราะมีอีกหลายๆ ฉาก อีกหลายๆ ตอนที่อยากเขียน จากพล็อตสั้นๆ ที่คิดว่าแค่ร้อยหน้าจบ แต่พอเขียนเข้าจริงกลับยาวเกือบสองร้อย และใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการเขียน
ขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ กำลังใจที่มีให้กันจนมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ
ปล.ปากบอกว่าจบแต่ก็ไม่นิทอยู่ดีค่ะ เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษมาให้อ่านกันอีกน้าาา