บทที่ 13 สารภาพ
“วันนี้พี่ปอนัดกินข้าวเที่ยงที่ร้านมิดไนท์นะครับ” นรกรเอ่ยขึ้นเรียบๆ ขณะขับรถออกไปทำงานในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
“อืม” ร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่เบาะหลังส่งเสียงในลำคอให้รู้ว่าฟังอยู่ ถึงจะอยู่ในสภาพนี้เขาก็ไม่ชอบนั่งหลัง ถ้าหากไม่ติดว่าต้องเอากฤตไปโรงพยาบาลเขาจะชิงนั่งข้างคนขับตลอด แต่วันนี้เขากลับพุ่งไปนั่งกอดอกที่เบาะหลังก่อนใคร
“คุณฝนกับลูกก็ไปด้วย เขาอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณครับ” นรกรให้ข้อมูลเพิ่ม
“ก็ไปสิ” วินทร์ตอบเสียงห้วน
“พี่ปอชวนพี่วินทร์ด้วยนะครับ”
“ไปก็ไป” วินทร์ว่าก่อนจะหันไปพูดกับกฤต “นายก็ช่วยเล่นละครเนียนๆ หน่อยละกันนะ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” กฤตที่นั่งข้างคนขับตอบพลางเหลือบตามองคนนั้นทีคนนี้ที ตอนกินข้าวเช้าว่าแปร่งๆ แล้วแต่มานั่งรวมๆ กันในห้องโดยสารแคบๆ แบบนี้ยิ่งออกอาการชัด บอกตรงๆ ว่าเขาหมั่นไส้สองคนนี้เวลาอี๋อ๋อกัน แต่บรรยากาศที่จะโกรธก็ไม่ใช่จะดีกันก็ไม่เชิงแบบนี้มันน่าอึดอัดกว่ากันเยอะเลย เหมือนสงครามประสาทที่รอว่าใครจะทนไม่ไหวแล้วระเบิดออกมาก่อนกัน “แต่ก่อนจะไปฉันขอถามเพื่อเป็นข้อมูลหน่อยจะได้ทำตัวถูก… พี่ปอนี่คือหมอคนที่มีเรื่องกันวันนั้น เขาเป็นแฟนเก่านายที่ตอนนี้แต่งงานไปแล้วกับผู้หญิงที่ชื่อฝนแล้วก็มีลูกฝาแฝดชื่อสายฟ้ากับสายรุ้งใช่ไหม”
“ฝนเป็นน้องแถวบ้านที่ฉันสนิทมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันก็เคยชอบเขามากด้วย” วินทร์เสริม เขาจงใจเน้นคำว่าคนที่เคยชอบพลางเหลือบตามองปฏิกิริยาของนรกรซึ่งยังมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม
“เรื่องซับซ้อนไปอีก” กฤตไหวไหล่ “มีอะไรที่ฉันควรรู้อีกไหม”
“ฝนน่าจะเล่าเรื่องอาการกับพัฒนาการลูกให้ฟัง นายก็เออออตามฮาร์ฟไปน่ะแหละ รีบกินแล้วก็รีบกลับไม่ต้องนั่งนาน”
“ตามนั้น” กฤตรับคำ
รถเลี้ยวเข้าจอดพอดี กฤตเปิดประตูลงจากรถและพูดขึ้น “นัดเที่ยงใช่ไหม ถ้างั้นฉันขอไปทำธุระนะ”
“คุณจะไปไหนครับ” นรกรถาม
“ไปนั่งรำลึกความหลังน่ะ” กฤตตอบโดยไม่ขยายความอะไรเหมือนทุกครั้งและทำท่าจะเดินไปนรกรจึงถามต่อ
“ตอนนี้คุณยังฝันร้ายอยู่ไหมครับ”
“ฝันอะไร” กฤตถาม
“ฝันที่ว่ากลับไปที่เดิม ไปขับรถชนตรงสี่แยกนั่น”
กฤตหันกลับมาสบตานรกรอยู่อึดใจ “มันยังเจ็บเหมือนยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา”
“แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงต้องย้อนกลับไปที่นั่น… ผมหมายถึงคุณจำเหตุการณ์อื่นๆ ในวันนั้นได้อีกไหม ผมคิดว่ามันต้องมีเหตุผลที่คุณต้องเจอเรื่องเดิมๆ”
“ไม่น่ามีอะไรมากไปกว่าเรื่องที่ฉันโดนหักหลัง” กฤตตอบ
“แล้วถ้ามันไม่อย่างที่คุณคิดล่ะ” นรกรถาม “ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้หักหลังคุณแต่เป็นแค่การเข้าใจผิด…”
“จะเข้าใจผิดได้ยังไง ในเมื่อฉันเห็นเต็มสองตาว่าเธอกอดจูบอยู่กับไอ้หมอนั่น!” กฤตโพล่งออกไปเสียงดัง เขาหอบหายใจแรงด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นในอก ภาพความทรงจำในวันที่รู้ว่าโดนเพื่อนสนิทกับคนรักหักหลังปรากฏขึ้น เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนราวกับเสียงเยาะเย้ยดังสะท้อนไปมาในหัวจนรู้สึกปวดหน่วง ขอบตาร้อนผ่าว เขากลับหลังหัน “ฉันขอตัวนะ”
“คุณไม่ได้โกหกเราใช่ไหม” นรกรถามตามหลัง
“เปล่า” กฤตตอบโดยไม่หันมา ก่อนจะก้าวเดินออกไป
กฤตเดินย่ำเท้าหนักๆ ด้วยความหงุดหงิดมาตามทาง และตอนนั้นเองที่หนุ่มหน้าตี๋ปรากฏตัวขึ้น เขาพยายามเดินหนีแต่ภาษิตก็ตามมาขวางไว้ กฤตจึงจำต้องหยุดเดินและถามถึงธุระ
“มีอะไรกับผมเหรอ”
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ภาษิตบอก
“แต่ผมไม่มี”
“เห็นภาพที่ผมส่งไปเมื่อคืนแล้วก็ไม่คิดอะไรหรือครับ”
“มันไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหมล่ะ” กฤตพยายามตัดบท
เขาไม่อยากมีเอี่ยวหรือสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรอีก
“ในกอไผ่ไม่มีแต่ข้างๆ กอไผ่ก็ไม่แน่นะครับ” ภาษิตว่า “ถ้าไม่คุณคุยงั้นดูภาพเฉยๆ ก็ได้ครับ” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดรูปแล้วส่งให้อีกฝ่ายดู “ปากบอกว่ารักคุณ ไม่ยอมเล่นกับผม เพราะจริงๆ แล้วเขายังแอบกลับไปกินกับแฟนเก่าอยู่ต่างหาก”
กฤตมองดูภาพนรกรคุยกับคณิณตรงจุดที่เป็นทางเดินของโรงแรม คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “คุณต้องการอะไร”
“ถึงขนาดนี้แล้วยังสงสัยอีกเหรอครับ… ที่ผมลงทุนขนาดนี้” ภาษิตเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเอื้อมมือมาเกาะแขนข้างหนึ่ง “ก็เพื่อแย่งคุณมาเป็นของผมไง” พูดจบก็ดึงตัวขึ้นไปหอมแก้มสากครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มหวานให้ “ไหนๆ ก็เบื่อหมอนั่นแล้ว ไม่มาเล่นกับผมหน่อยเหรอ” ภาษิตทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป
พออีกฝ่ายลับสายตา กฤตก็เอ่ยขึ้น “ได้ยินแล้วสินะ”
ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาเดินออกมาหาจากที่หลบหลังเสา
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าคนที่นายควรตามเป็นแฟนนาย ไม่ใช่ฉัน”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้นายมาสอน” วินทร์ว่า
“สามวันจากนารีเป็นอื่น” กฤตพึมพำ “คำโบราณไม่กล่าวเกินจริงหรอก เรื่องนี้ฉันพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว… รักแท้น่ะมันก็มีอยู่จริงพอๆ กับตัณหาราคะน่ะแหละ ครั้งก่อนก็ถึงขั้นจะต่อยกับนายเลยไม่ใช่เหรอ คนไม่คิดอะไรกันแล้วเขาไม่โกรธ ไม่ปกป้องกันขนาดนี้หรอก แถมยังมีลูกมีเมียแล้วด้วย ได้ยินว่าเลิกกันเพราะทางนั้นต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านเลือกให้นี่ แต่ก่อนหน้านั้นเขาคบกับแฟนนายที่เป็นผู้ชายได้ ฉันว่ารสนิยมคนเรามันไม่เปลี่ยนกันง่ายๆ หรอกมั้ง”
วินทร์ไม่ตอบ ได้แต่กลับหลังหันแล้วเดินย้อนกลับไป
กฤตถอนหายใจ รู้สึกผิดนิดๆ ที่ต้องใช้วิธีนี้เพื่อสลัดวินทร์ที่คอยตามตลอดเวลาให้หลุด แต่เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และถ้าเขาอยากจะแก้แค้นให้สำเร็จก็ดูเหมือนจะไม่มีวันไหนเหมาะสมไปมากกว่าวันนี้อีกแล้ว
เขามองให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไปจริงๆ จึงรีบกลับไปลงมือทำตามแผน
OOOOOO
ถึงเวลานัดนรกรก็ขับรถพากฤตกับวินทร์มาที่ร้านมิดไนท์ ทันทีที่รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิกเลี้ยวเข้ามาถึงหน้าร้าน คนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับก็ออกอาการอยู่ไม่สุข
“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถามกฤตที่เอาแต่หมุนไปหมุนมารอบๆ
“คือ… ไม่รู้เป็นเพราะว่าความจำฉันมันเว้าแหว่งหรือเพราะมันเปลี่ยนไปมากจากที่เคยจำได้… แต่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากเลย” กฤตบอก
“ยังไงเหรอครับ”
กฤตยังไม่ทันจะตอบ คณิณก็เดินมาหาและเรียกให้เข้าไปนั่งในร้านซึ่งได้ทำการจองล่วงหน้าไว้แล้ว
บรรยากาศในร้านค่อนข้างคึกคัก สมกับเป็นร้านดังในย่านนี้
นั่งสองนั่งลงตรงข้ามกับคณิณและเพียงพิรุณในขณะที่วินทร์ยืนเล่นจ๊ะเอ๋กับฝาแฝดที่นอนกอดขวดนมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีอยู่ในรถเข็นเด็กข้างเพียงพิรุณ
“ร้านนี้บรรยากาศดีนะคะ ไม่เคยเห็นพี่ปอพาฝนมาทานบ้างเลย” เพียงพิรุณกวาดตามองไปรอบๆ ร้านที่เป็นอาคารปูนชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ติดกระจกรอบด้านทำให้มองเห็นภายนอกที่เป็นสวนดูโปร่งสบายตา มีเคาน์เตอร์บาร์ตั้งอยู่ตรงกลางร้าน เพดานสูงทาสีเป็นลายท้องฟ้า และติดไฟดาวไลท์เป็นลวดลายซึ่งพอเปิดในช่วงกลางคืนดวงดาวสีทอง บริกรชายหญิงแต่งกายสุภาพคุมโทนตามสีประจำร้านคือเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ
“ร้านนี้ตอนกลางวันเป็นร้านอาหาร ตอนกลางคืนจะออกแนวกึ่งผับ” คณิณอธิบายให้ภรรยาฟัง สมัยเด็กๆ ที่บ้านพามากินบ่อยแต่ตอนหลังเปลี่ยนเจ้าของแล้วคุณแม่ไม่ชอบสไตล์ผับน่ะเลยไม่ได้มาอีก เห็นฮาร์ฟเล่าให้ฟังว่าร้านสวย อาหารอร่อยก็เลยอยากลองมาดูสักทีนะ”
“คุณหมอมีเมนูอะไรแนะนำฝนไหมคะ” เพียงพิรุณหันไปหานรกร
“ผมว่าอร่อยทุกอย่างแหละครับแล้วแต่คุณฝนชอบเลย” นรกรตอบ
“แล้วพี่วินทร์ว่าไงคะ จะทานอะไร” เพียงพิรุณหันไปถามคนที่ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองไปรอบๆ ร้านอย่างสนอกสนใจ “พี่วินทร์คะ!” เพียงพิรุณเรียกเสียงดังขึ้นเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหันมา
“พี่วินทร์ครับ” นรกรสะกิด “คุณฝนเรียก”
กฤตสะดุ้งและหันมา “คุณฝนเรียกผมมีอะไรครับ”
เพียงพิรุณย่นคิ้วกับสรรพนามที่ฟังดูแปลกแปร่งแต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร “ฝนถามว่าพี่วินทร์จะทานอะไรคะ”
กฤตเหลือบตามองนรกรที่หลิ่วตาบอกว่าให้ตอบไปสักอย่าง เขาจึงตอบเมนูแรกที่อยู่บนกระดานเมนูแนะนำของวันนี้ไป “เอ่อ… เอาเป็นปลาช่อนลุยสวนละกัน”
นรกรเม้มปากสนิท เขาคิดผิดจริงๆ ที่ให้ตอบเองเพราะวินทร์ไม่ชอบกินปลา โดยเฉพาะปลาช่อนนี่ไม่แตะเลย หวังว่าคนอื่นจะไม่สงสัย และก็เป็นโชคดีที่ไม่มีใครทัก
เพียงพิรุณพยักหน้ากับบริกรที่ทวนชื่อเมนูก่อนจะหันไปหาสามี “แล้วพี่ปอล่ะคะ”
“พี่เอาแกงเลียงกับทอดมันหัวปลี”
“แหมพี่ปอละก็… นานๆ ออกมากินอาหารนอกบ้านกับคนอื่นทั้งทีสั่งอย่างอื่นบ้างก็ได้นะคะ ไม่ต้องตามใจฝนหรอก”
“พี่ก็ไม่ได้ตามใจฝน แต่พี่ตามใจลูกต่างหาก เดี๋ยวลูกมีนมกินไม่พอ” คณิณพยักเพยิดไปทางฝาแฝดในรถเข็นก่อนจะหันมาหานรกร “แล้วฮาร์ฟจะกินอะไร”
“อะไรก็ได้ครับ”
“อะไรก็ได้นี่หน้าตาเป็นยังไงเหรอ พี่ไม่เห็นมีในเมนูเลย หรือว่าเป็นเมนูลับ”
“พี่ปอล่ะก็” เพียงพิรุณตบมือลงบนท่อนแขนสามี
“อ้าว ก็มันจริงนี่ฝนหรือว่าฝนหาเจอบอกพี่หน่อยว่าอยู่ตรงไหน” คณิณทำหน้าตาขึงขังพลางเปิดเมนูพลิกไปมาหารายการอาหารที่ว่า
เพียงพิรุณหันมาหลิ่วตาให้นรกรพร้อมกับทำปากขมุบขมิบว่าอย่าถือสาสามี
“เพิ่งได้สามอย่างเอง… วินทร์แกจะสั่งอะไรเพิ่มไหม”
“ไม่เอาแล้ว ตามใจเจ้าภาพเลย”
“งั้นขอกะหล่ำปลีทอดน้ำปลากับปลาหมึกผัดไข่เค็มครับ” คณิณจัดแจงสั่งเสียเองแล้วส่งเมนูคืน “เดี๋ยวนี้ฮาร์ฟทานผักเก่งแล้วใช่ไหม” แกล้งแซวเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบทานผักและเมนูส่วนใหญ่ที่สั่งก็มีแต่ผักทั้งนั้น
“ทานได้ครับ”
“สั่งเพิ่มได้นะ ไม่หมดก็ห่อกลับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่ใช่คนทานยากอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“จริงอะ” คณิณถามยิ้มๆ
“จริงครับ”
ร่างโปร่งแสงเหลือบมองปฏิกิริยาของคนรักกับอดีตแฟนก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และทำเป็นเล่นกับฝาแฝดต่อ ดูเหมือนที่เคยได้ยินมาว่าเด็กเล็กจะมีความสามารถในการมองเห็นวิญาณหรือที่เรียกว่า ‘แม่ซื้อ’ จะเป็นเรื่องจริง และความสามารถนั้นจะค่อยๆ หายไปเมื่อเติบโตขึ้น
“ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจัง” คณินตั้งข้อสังเกต “ฉัดวัคซีนก็ไม่ร้องสักแอะ ปกติพามาร้านแบบนี้ฝนต้องเตรียมปวดหัวแล้ว แต่ไม่มีทีท่าจะงอแงเลย”
“สงสัยเพราะพี่วินทร์มาด้วยมั้งคะ” เพียงพิรุณว่าก่อนจะหันไปหาเจ้าตัว “พี่วินทร์อุ้มหลานไหม”
หญิงสาวตั้งท่าจะยื่นมือลงไปในรถเข็นคนเกลียดเด็กก็รีบร้องปราม “ยะ… อย่าดีกว่าครับคุณฝน”
“ทำไมล่ะ” คณิณถามพลางมองไปยังลูกสาวลูกชายในรถเข็นเด็กที่กำลังหันไปส่งยิ้มหวานให้โต๊ะข้างๆ
“เอ่อ… รู้สึกยังไม่ค่อยหายดีน่ะ… มือสั่นๆ ไม่เอาดีกว่า” กฤตตอบก่อนจะหาทางเลี่ยงไปโดยการคุยกับบริกรที่กำลังดูแลเสิร์ฟน้ำให้แต่ละคน “น้อง พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”
“ครับ"
“เจ้าของที่นี่ชื่ออะไรเหรอ”
“คุณแอนดี้ครับ”
คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “เขาเป็นฝรั่งเหรอ”
“เป็นคนไทยนี่แหละครับ แค่ชื่อฝรั่งเฉยๆ”
“อ้อ” กฤตพยักหน้า
“มีอะไรเหรอ” คณิณถาม
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นร้านสวยดีก็เลยถามดู อยากรู้ว่าเขาได้ไอเดียมาจากไหนน่ะ” กฤตตอบเลี่ยง
“แล้วนี่แกอาการเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” คณิณชวนคุยระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ “เมื่อกี้บอกว่ามีมือสั่นด้วยเหรอ”
กฤตเงียบไปเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณขอคำตอบจากเจ้าตัวก่อนจะพูดไป “อือ… แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ แล้วก็ยังมีงงๆ หลงๆ อยู่นิดหน่อย ฮาร์ฟเลยไม่ยอมให้ขับรถ”
“แล้วจะกลับมาทำงานได้เมื่อไหร่”
“ก็คงเร็วๆ นี้แหละ”
“ดีแล้ว ช่วงนี้ฉันเห็นฮาร์ฟหน้าตาดูไม่ไหวเลย คงเหมาชั่วโมงสอนกับเคสของนายมาดูเองหมดล่ะสิ รีบๆ หายแล้วก็รีบๆ กลับไปช่วยฮาร์ฟทำงานได้แล้วนะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้หรอกน่า”
“ผมยังไหวอยู่ครับ” นรกรแทรกขึ้น
“นี่ไง” คณิณว่า “หมอนี่ปากแข็งมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ต้องให้ล้มคากองงานน่ะแหละถึงจะยอมรับ”
อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดี พวกเขาเริ่มทานอาหาร ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดี คณิณไม่ได้มีทีท่าจะมาบีบคอจับผิดอะไรอย่างที่คิดไว้ เขาก็แค่ชวนคุยถามเรื่องงานหรือข่าวสารบ้านเมืองไปเรื่อย
จนกระทั่งมื้ออาหารใกล้จบลงคณิณก็เอ่ยขึ้น
“เออ… ที่แกถามบ๋อยว่าใครเป็นเจ้าของน่ะ พอดีเมื่อกี้ฉันไลน์คุยกับแม่ว่ามากินร้านนี้แม่เลยโม้ความหลังมายาวยืดเลยเนี่ย มีรูปประกอบด้วยนะ ลงทุนไปขุดอัลบั้มสมัยฉันยังเด็กมาเลย ดูสิ” คุณหมอโรคหัวใจพูดกลั้วขำพลางส่งโทรศัพท์ให้ดูรอบวง
นรกรรับมาดูเป็นภาพที่ถ่ายจากภาพที่ล้างออกมาจากกล้องฟิล์มอีกที ภาพนั้นค่อนข้างเก่ามากแล้วและปัจจุบันคนในภาพก็อายุมากขึ้นไปตามกาลเวลา มีคุณพ่อที่สวมกางเกงขาเดฟตามสมัยนิยมและคุณแม่ทำผมทรงเกล้าสูงตามแบบนางเอกละครมนต์รักลูกทุ่งซึ่งเป็นที่โด่งดังในตอนนั้น กับเด็กชายตัวสูงหน้าตาหล่อเหลาที่ในตอนนี้เจ้าตัวก็ยังดูดีเหมือนหยุดอายุหน้าไว้เมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด
“รูปนี้ถ่ายเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่ร้านเปิดเป็นวันสุดท้ายน่ะ” คณิณเล่าไปตามที่แม่พิมพ์มา
กฤตชะโงกหน้ามาดูบ้างแล้วเขาก็รีบคว้าโทรศัพท์ไปซูมภาพดูใกล้ๆ
ป้ายชื่อร้านที่ปรากฏอยู่เป็นฉากหลังของภาพนี้คือ ‘ร้านสมรศรีโภชนา’
นรกรเองก็เห็นแล้วเช่นกัน นึกจำได้ทันทีว่าเป็นร้านของแม่กฤต และยังเป็นบ้านของเขาอีกด้วย เพราะเหตุนี้นี่เองอีกฝ่ายถึงรู้สึกคุ้นแต่จำไม่ได้ เนื่องจากสภาพร้านและส่วนตกแต่งรอบๆ นั้นถูกเปลี่ยนใหม่หมดไม่เหลือเค้าเดิมแบบในภาพถ่ายเลยสักนิด
“แล้วตอนนี้คุณสมรศรีเจ้าของร้านคนเก่าเขาไปไหนแล้วล่ะ” กฤตถามพยายามซ่อนความร้อนใจเอาไว้
“เดี๋ยวถามแม่ให้” คณิณรับโทรศัพท์คืนมา ระหว่างที่พิมพ์ก็ถามไปด้วย “แล้วนายอยากรู้ไปทำไม”
“ก็แค่อยากรู้น่ะ… แม่นายตอบมาหรือยัง” กฤตเร่ง
“ใจเย็นสิวะ… แม่บอกว่าลูกชายเขาเสียเพราะอุบัติเหตุ คุณสมรศรีทำใจไม่ได้ ตรอมใจจนล้มป่วยเพราะคิดถึงลูกชาย สามีก็เลยขายร้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นน่ะ แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน” คณิณอ่านออกเสียง
“น่าสงสารจังเลยนะคะ” เพียงพิรุณกล่าว
“เหมือนจะเป็นลูกชายคนเดียวด้วย… ชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอนแบบนี้ล่ะนะ” คณิณว่าก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “ใกล้จะบ่ายโมงล่ะ ฉันเรียกเช็กบิลเลยนะ ช่วงบ่ายฮาร์ฟต้องไปเข้าเคสผ่าตัดแทนอาจารย์ภูมิศิลป์นี่นา”
“พอดีอาจารย์ได้รับเชิญไปสอนข้างนอกแล้วเวลามันชนกัน ผมเลยอาสาเข้าเคสแทนน่ะครับ”
“ใจดีกว่านายนี่ก็คงต้องไปหาตามวัดแล้วมั้ง” คณิณแซว “งานที่มีอยู่ยังล้นมือไม่พอใช่ไหม”
“ไม่หรอกครับ พอดีผมก็ว่างอยู่”
คณิณยิ้ม “ไม่ได้ห้ามหรอก เอาที่นายสบายใจละกัน แค่จะบอกว่าดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ”
(ต่อข้างล่างค่ะ)