Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 280581 ครั้ง)

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
งื้อออออ....ทำไมความกดดันมันสูงปรี๊ดจนแทบระเบิดไปเสียทุกเรื่อง

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทำไมฮาร์ฟไม่ยอมบอกความจริงกับวินทร์
จะปิดเพื่ออะไร ทำไมต้องโกหกว่าไม่ได้เจอพาส
แบบนี้ยิ่งผิดปกติไปใหญ่

ส่วนเรื่องกฤตฮาร์ฟก็ต้องรีบบอกเรื่องพลูนะ ก่อนที่กฤตจะไปแก้แค้น คนไข้ที่อยู่บนเตียงคนนั้น

ออฟไลน์ pp_psj

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ลุ้นมากไม่ไหวแล้ว อยากอ่านต่อแล้วจ้า :sad4:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 13 สารภาพ

“วันนี้พี่ปอนัดกินข้าวเที่ยงที่ร้านมิดไนท์นะครับ” นรกรเอ่ยขึ้นเรียบๆ ขณะขับรถออกไปทำงานในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

“อืม” ร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่เบาะหลังส่งเสียงในลำคอให้รู้ว่าฟังอยู่ ถึงจะอยู่ในสภาพนี้เขาก็ไม่ชอบนั่งหลัง ถ้าหากไม่ติดว่าต้องเอากฤตไปโรงพยาบาลเขาจะชิงนั่งข้างคนขับตลอด แต่วันนี้เขากลับพุ่งไปนั่งกอดอกที่เบาะหลังก่อนใคร

“คุณฝนกับลูกก็ไปด้วย เขาอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณครับ” นรกรให้ข้อมูลเพิ่ม

“ก็ไปสิ” วินทร์ตอบเสียงห้วน

“พี่ปอชวนพี่วินทร์ด้วยนะครับ”

“ไปก็ไป” วินทร์ว่าก่อนจะหันไปพูดกับกฤต “นายก็ช่วยเล่นละครเนียนๆ หน่อยละกันนะ”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา” กฤตที่นั่งข้างคนขับตอบพลางเหลือบตามองคนนั้นทีคนนี้ที ตอนกินข้าวเช้าว่าแปร่งๆ แล้วแต่มานั่งรวมๆ กันในห้องโดยสารแคบๆ แบบนี้ยิ่งออกอาการชัด บอกตรงๆ ว่าเขาหมั่นไส้สองคนนี้เวลาอี๋อ๋อกัน แต่บรรยากาศที่จะโกรธก็ไม่ใช่จะดีกันก็ไม่เชิงแบบนี้มันน่าอึดอัดกว่ากันเยอะเลย เหมือนสงครามประสาทที่รอว่าใครจะทนไม่ไหวแล้วระเบิดออกมาก่อนกัน “แต่ก่อนจะไปฉันขอถามเพื่อเป็นข้อมูลหน่อยจะได้ทำตัวถูก… พี่ปอนี่คือหมอคนที่มีเรื่องกันวันนั้น เขาเป็นแฟนเก่านายที่ตอนนี้แต่งงานไปแล้วกับผู้หญิงที่ชื่อฝนแล้วก็มีลูกฝาแฝดชื่อสายฟ้ากับสายรุ้งใช่ไหม”

“ฝนเป็นน้องแถวบ้านที่ฉันสนิทมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันก็เคยชอบเขามากด้วย” วินทร์เสริม เขาจงใจเน้นคำว่าคนที่เคยชอบพลางเหลือบตามองปฏิกิริยาของนรกรซึ่งยังมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิม

“เรื่องซับซ้อนไปอีก” กฤตไหวไหล่ “มีอะไรที่ฉันควรรู้อีกไหม”

“ฝนน่าจะเล่าเรื่องอาการกับพัฒนาการลูกให้ฟัง นายก็เออออตามฮาร์ฟไปน่ะแหละ รีบกินแล้วก็รีบกลับไม่ต้องนั่งนาน”

“ตามนั้น” กฤตรับคำ

รถเลี้ยวเข้าจอดพอดี กฤตเปิดประตูลงจากรถและพูดขึ้น “นัดเที่ยงใช่ไหม ถ้างั้นฉันขอไปทำธุระนะ”

“คุณจะไปไหนครับ” นรกรถาม

“ไปนั่งรำลึกความหลังน่ะ” กฤตตอบโดยไม่ขยายความอะไรเหมือนทุกครั้งและทำท่าจะเดินไปนรกรจึงถามต่อ

“ตอนนี้คุณยังฝันร้ายอยู่ไหมครับ”

“ฝันอะไร” กฤตถาม

“ฝันที่ว่ากลับไปที่เดิม ไปขับรถชนตรงสี่แยกนั่น”

กฤตหันกลับมาสบตานรกรอยู่อึดใจ “มันยังเจ็บเหมือนยี่สิบสี่ปีที่ผ่านมา”

“แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมคุณถึงต้องย้อนกลับไปที่นั่น… ผมหมายถึงคุณจำเหตุการณ์อื่นๆ ในวันนั้นได้อีกไหม ผมคิดว่ามันต้องมีเหตุผลที่คุณต้องเจอเรื่องเดิมๆ”

“ไม่น่ามีอะไรมากไปกว่าเรื่องที่ฉันโดนหักหลัง” กฤตตอบ

“แล้วถ้ามันไม่อย่างที่คุณคิดล่ะ” นรกรถาม “ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้หักหลังคุณแต่เป็นแค่การเข้าใจผิด…”

“จะเข้าใจผิดได้ยังไง ในเมื่อฉันเห็นเต็มสองตาว่าเธอกอดจูบอยู่กับไอ้หมอนั่น!” กฤตโพล่งออกไปเสียงดัง เขาหอบหายใจแรงด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นในอก ภาพความทรงจำในวันที่รู้ว่าโดนเพื่อนสนิทกับคนรักหักหลังปรากฏขึ้น เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนราวกับเสียงเยาะเย้ยดังสะท้อนไปมาในหัวจนรู้สึกปวดหน่วง ขอบตาร้อนผ่าว เขากลับหลังหัน “ฉันขอตัวนะ”

“คุณไม่ได้โกหกเราใช่ไหม” นรกรถามตามหลัง

“เปล่า” กฤตตอบโดยไม่หันมา ก่อนจะก้าวเดินออกไป
กฤตเดินย่ำเท้าหนักๆ ด้วยความหงุดหงิดมาตามทาง และตอนนั้นเองที่หนุ่มหน้าตี๋ปรากฏตัวขึ้น เขาพยายามเดินหนีแต่ภาษิตก็ตามมาขวางไว้ กฤตจึงจำต้องหยุดเดินและถามถึงธุระ

“มีอะไรกับผมเหรอ”

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ภาษิตบอก

“แต่ผมไม่มี”

“เห็นภาพที่ผมส่งไปเมื่อคืนแล้วก็ไม่คิดอะไรหรือครับ”

“มันไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหมล่ะ” กฤตพยายามตัดบท
 เขาไม่อยากมีเอี่ยวหรือสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรอีก

“ในกอไผ่ไม่มีแต่ข้างๆ กอไผ่ก็ไม่แน่นะครับ” ภาษิตว่า “ถ้าไม่คุณคุยงั้นดูภาพเฉยๆ ก็ได้ครับ” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดรูปแล้วส่งให้อีกฝ่ายดู “ปากบอกว่ารักคุณ ไม่ยอมเล่นกับผม เพราะจริงๆ แล้วเขายังแอบกลับไปกินกับแฟนเก่าอยู่ต่างหาก”

กฤตมองดูภาพนรกรคุยกับคณิณตรงจุดที่เป็นทางเดินของโรงแรม คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “คุณต้องการอะไร”

“ถึงขนาดนี้แล้วยังสงสัยอีกเหรอครับ… ที่ผมลงทุนขนาดนี้” ภาษิตเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเอื้อมมือมาเกาะแขนข้างหนึ่ง “ก็เพื่อแย่งคุณมาเป็นของผมไง” พูดจบก็ดึงตัวขึ้นไปหอมแก้มสากครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มหวานให้ “ไหนๆ ก็เบื่อหมอนั่นแล้ว ไม่มาเล่นกับผมหน่อยเหรอ” ภาษิตทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

พออีกฝ่ายลับสายตา กฤตก็เอ่ยขึ้น “ได้ยินแล้วสินะ”

ร่างโปร่งแสงที่แอบตามมาเดินออกมาหาจากที่หลบหลังเสา

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าคนที่นายควรตามเป็นแฟนนาย ไม่ใช่ฉัน”

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้นายมาสอน” วินทร์ว่า

“สามวันจากนารีเป็นอื่น” กฤตพึมพำ “คำโบราณไม่กล่าวเกินจริงหรอก เรื่องนี้ฉันพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว… รักแท้น่ะมันก็มีอยู่จริงพอๆ กับตัณหาราคะน่ะแหละ ครั้งก่อนก็ถึงขั้นจะต่อยกับนายเลยไม่ใช่เหรอ คนไม่คิดอะไรกันแล้วเขาไม่โกรธ ไม่ปกป้องกันขนาดนี้หรอก แถมยังมีลูกมีเมียแล้วด้วย ได้ยินว่าเลิกกันเพราะทางนั้นต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านเลือกให้นี่ แต่ก่อนหน้านั้นเขาคบกับแฟนนายที่เป็นผู้ชายได้ ฉันว่ารสนิยมคนเรามันไม่เปลี่ยนกันง่ายๆ หรอกมั้ง”

วินทร์ไม่ตอบ ได้แต่กลับหลังหันแล้วเดินย้อนกลับไป

กฤตถอนหายใจ รู้สึกผิดนิดๆ ที่ต้องใช้วิธีนี้เพื่อสลัดวินทร์ที่คอยตามตลอดเวลาให้หลุด แต่เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และถ้าเขาอยากจะแก้แค้นให้สำเร็จก็ดูเหมือนจะไม่มีวันไหนเหมาะสมไปมากกว่าวันนี้อีกแล้ว
เขามองให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไปจริงๆ จึงรีบกลับไปลงมือทำตามแผน

OOOOOO

ถึงเวลานัดนรกรก็ขับรถพากฤตกับวินทร์มาที่ร้านมิดไนท์ ทันทีที่รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิกเลี้ยวเข้ามาถึงหน้าร้าน คนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับก็ออกอาการอยู่ไม่สุข

“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถามกฤตที่เอาแต่หมุนไปหมุนมารอบๆ

“คือ… ไม่รู้เป็นเพราะว่าความจำฉันมันเว้าแหว่งหรือเพราะมันเปลี่ยนไปมากจากที่เคยจำได้… แต่ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากเลย” กฤตบอก

“ยังไงเหรอครับ”

กฤตยังไม่ทันจะตอบ คณิณก็เดินมาหาและเรียกให้เข้าไปนั่งในร้านซึ่งได้ทำการจองล่วงหน้าไว้แล้ว
บรรยากาศในร้านค่อนข้างคึกคัก สมกับเป็นร้านดังในย่านนี้

นั่งสองนั่งลงตรงข้ามกับคณิณและเพียงพิรุณในขณะที่วินทร์ยืนเล่นจ๊ะเอ๋กับฝาแฝดที่นอนกอดขวดนมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีอยู่ในรถเข็นเด็กข้างเพียงพิรุณ
“ร้านนี้บรรยากาศดีนะคะ ไม่เคยเห็นพี่ปอพาฝนมาทานบ้างเลย” เพียงพิรุณกวาดตามองไปรอบๆ ร้านที่เป็นอาคารปูนชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ติดกระจกรอบด้านทำให้มองเห็นภายนอกที่เป็นสวนดูโปร่งสบายตา มีเคาน์เตอร์บาร์ตั้งอยู่ตรงกลางร้าน เพดานสูงทาสีเป็นลายท้องฟ้า และติดไฟดาวไลท์เป็นลวดลายซึ่งพอเปิดในช่วงกลางคืนดวงดาวสีทอง บริกรชายหญิงแต่งกายสุภาพคุมโทนตามสีประจำร้านคือเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ

“ร้านนี้ตอนกลางวันเป็นร้านอาหาร ตอนกลางคืนจะออกแนวกึ่งผับ” คณิณอธิบายให้ภรรยาฟัง สมัยเด็กๆ ที่บ้านพามากินบ่อยแต่ตอนหลังเปลี่ยนเจ้าของแล้วคุณแม่ไม่ชอบสไตล์ผับน่ะเลยไม่ได้มาอีก เห็นฮาร์ฟเล่าให้ฟังว่าร้านสวย อาหารอร่อยก็เลยอยากลองมาดูสักทีนะ”

“คุณหมอมีเมนูอะไรแนะนำฝนไหมคะ” เพียงพิรุณหันไปหานรกร

“ผมว่าอร่อยทุกอย่างแหละครับแล้วแต่คุณฝนชอบเลย” นรกรตอบ

“แล้วพี่วินทร์ว่าไงคะ จะทานอะไร” เพียงพิรุณหันไปถามคนที่ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองไปรอบๆ ร้านอย่างสนอกสนใจ “พี่วินทร์คะ!” เพียงพิรุณเรียกเสียงดังขึ้นเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหันมา

“พี่วินทร์ครับ” นรกรสะกิด “คุณฝนเรียก”

กฤตสะดุ้งและหันมา “คุณฝนเรียกผมมีอะไรครับ”
เพียงพิรุณย่นคิ้วกับสรรพนามที่ฟังดูแปลกแปร่งแต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร “ฝนถามว่าพี่วินทร์จะทานอะไรคะ”

กฤตเหลือบตามองนรกรที่หลิ่วตาบอกว่าให้ตอบไปสักอย่าง เขาจึงตอบเมนูแรกที่อยู่บนกระดานเมนูแนะนำของวันนี้ไป “เอ่อ… เอาเป็นปลาช่อนลุยสวนละกัน”

นรกรเม้มปากสนิท เขาคิดผิดจริงๆ ที่ให้ตอบเองเพราะวินทร์ไม่ชอบกินปลา โดยเฉพาะปลาช่อนนี่ไม่แตะเลย หวังว่าคนอื่นจะไม่สงสัย และก็เป็นโชคดีที่ไม่มีใครทัก
เพียงพิรุณพยักหน้ากับบริกรที่ทวนชื่อเมนูก่อนจะหันไปหาสามี “แล้วพี่ปอล่ะคะ”

“พี่เอาแกงเลียงกับทอดมันหัวปลี”

“แหมพี่ปอละก็… นานๆ ออกมากินอาหารนอกบ้านกับคนอื่นทั้งทีสั่งอย่างอื่นบ้างก็ได้นะคะ ไม่ต้องตามใจฝนหรอก”

“พี่ก็ไม่ได้ตามใจฝน แต่พี่ตามใจลูกต่างหาก เดี๋ยวลูกมีนมกินไม่พอ” คณิณพยักเพยิดไปทางฝาแฝดในรถเข็นก่อนจะหันมาหานรกร “แล้วฮาร์ฟจะกินอะไร”

“อะไรก็ได้ครับ”

“อะไรก็ได้นี่หน้าตาเป็นยังไงเหรอ พี่ไม่เห็นมีในเมนูเลย หรือว่าเป็นเมนูลับ”

“พี่ปอล่ะก็” เพียงพิรุณตบมือลงบนท่อนแขนสามี

“อ้าว ก็มันจริงนี่ฝนหรือว่าฝนหาเจอบอกพี่หน่อยว่าอยู่ตรงไหน” คณิณทำหน้าตาขึงขังพลางเปิดเมนูพลิกไปมาหารายการอาหารที่ว่า

เพียงพิรุณหันมาหลิ่วตาให้นรกรพร้อมกับทำปากขมุบขมิบว่าอย่าถือสาสามี

“เพิ่งได้สามอย่างเอง… วินทร์แกจะสั่งอะไรเพิ่มไหม”
“ไม่เอาแล้ว ตามใจเจ้าภาพเลย”

“งั้นขอกะหล่ำปลีทอดน้ำปลากับปลาหมึกผัดไข่เค็มครับ” คณิณจัดแจงสั่งเสียเองแล้วส่งเมนูคืน “เดี๋ยวนี้ฮาร์ฟทานผักเก่งแล้วใช่ไหม” แกล้งแซวเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบทานผักและเมนูส่วนใหญ่ที่สั่งก็มีแต่ผักทั้งนั้น

“ทานได้ครับ”

“สั่งเพิ่มได้นะ ไม่หมดก็ห่อกลับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่ใช่คนทานยากอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

“จริงอะ” คณิณถามยิ้มๆ

“จริงครับ”

ร่างโปร่งแสงเหลือบมองปฏิกิริยาของคนรักกับอดีตแฟนก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และทำเป็นเล่นกับฝาแฝดต่อ ดูเหมือนที่เคยได้ยินมาว่าเด็กเล็กจะมีความสามารถในการมองเห็นวิญาณหรือที่เรียกว่า ‘แม่ซื้อ’ จะเป็นเรื่องจริง และความสามารถนั้นจะค่อยๆ หายไปเมื่อเติบโตขึ้น

“ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจัง” คณินตั้งข้อสังเกต “ฉัดวัคซีนก็ไม่ร้องสักแอะ ปกติพามาร้านแบบนี้ฝนต้องเตรียมปวดหัวแล้ว แต่ไม่มีทีท่าจะงอแงเลย”

“สงสัยเพราะพี่วินทร์มาด้วยมั้งคะ” เพียงพิรุณว่าก่อนจะหันไปหาเจ้าตัว “พี่วินทร์อุ้มหลานไหม”

หญิงสาวตั้งท่าจะยื่นมือลงไปในรถเข็นคนเกลียดเด็กก็รีบร้องปราม “ยะ… อย่าดีกว่าครับคุณฝน”

“ทำไมล่ะ” คณิณถามพลางมองไปยังลูกสาวลูกชายในรถเข็นเด็กที่กำลังหันไปส่งยิ้มหวานให้โต๊ะข้างๆ

“เอ่อ… รู้สึกยังไม่ค่อยหายดีน่ะ… มือสั่นๆ ไม่เอาดีกว่า” กฤตตอบก่อนจะหาทางเลี่ยงไปโดยการคุยกับบริกรที่กำลังดูแลเสิร์ฟน้ำให้แต่ละคน “น้อง พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับ"

“เจ้าของที่นี่ชื่ออะไรเหรอ”

“คุณแอนดี้ครับ”

คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน “เขาเป็นฝรั่งเหรอ”

“เป็นคนไทยนี่แหละครับ แค่ชื่อฝรั่งเฉยๆ”

“อ้อ” กฤตพยักหน้า

“มีอะไรเหรอ” คณิณถาม

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นร้านสวยดีก็เลยถามดู อยากรู้ว่าเขาได้ไอเดียมาจากไหนน่ะ” กฤตตอบเลี่ยง

“แล้วนี่แกอาการเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” คณิณชวนคุยระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ “เมื่อกี้บอกว่ามีมือสั่นด้วยเหรอ”

กฤตเงียบไปเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณขอคำตอบจากเจ้าตัวก่อนจะพูดไป “อือ… แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ แล้วก็ยังมีงงๆ หลงๆ อยู่นิดหน่อย ฮาร์ฟเลยไม่ยอมให้ขับรถ”
“แล้วจะกลับมาทำงานได้เมื่อไหร่”

“ก็คงเร็วๆ นี้แหละ”

“ดีแล้ว ช่วงนี้ฉันเห็นฮาร์ฟหน้าตาดูไม่ไหวเลย คงเหมาชั่วโมงสอนกับเคสของนายมาดูเองหมดล่ะสิ รีบๆ หายแล้วก็รีบๆ กลับไปช่วยฮาร์ฟทำงานได้แล้วนะ”

“เรื่องนั้นฉันรู้หรอกน่า”

“ผมยังไหวอยู่ครับ” นรกรแทรกขึ้น

“นี่ไง” คณิณว่า “หมอนี่ปากแข็งมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ต้องให้ล้มคากองงานน่ะแหละถึงจะยอมรับ”

อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดี พวกเขาเริ่มทานอาหาร ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดี คณิณไม่ได้มีทีท่าจะมาบีบคอจับผิดอะไรอย่างที่คิดไว้ เขาก็แค่ชวนคุยถามเรื่องงานหรือข่าวสารบ้านเมืองไปเรื่อย

จนกระทั่งมื้ออาหารใกล้จบลงคณิณก็เอ่ยขึ้น

“เออ… ที่แกถามบ๋อยว่าใครเป็นเจ้าของน่ะ พอดีเมื่อกี้ฉันไลน์คุยกับแม่ว่ามากินร้านนี้แม่เลยโม้ความหลังมายาวยืดเลยเนี่ย มีรูปประกอบด้วยนะ ลงทุนไปขุดอัลบั้มสมัยฉันยังเด็กมาเลย ดูสิ” คุณหมอโรคหัวใจพูดกลั้วขำพลางส่งโทรศัพท์ให้ดูรอบวง

นรกรรับมาดูเป็นภาพที่ถ่ายจากภาพที่ล้างออกมาจากกล้องฟิล์มอีกที ภาพนั้นค่อนข้างเก่ามากแล้วและปัจจุบันคนในภาพก็อายุมากขึ้นไปตามกาลเวลา มีคุณพ่อที่สวมกางเกงขาเดฟตามสมัยนิยมและคุณแม่ทำผมทรงเกล้าสูงตามแบบนางเอกละครมนต์รักลูกทุ่งซึ่งเป็นที่โด่งดังในตอนนั้น กับเด็กชายตัวสูงหน้าตาหล่อเหลาที่ในตอนนี้เจ้าตัวก็ยังดูดีเหมือนหยุดอายุหน้าไว้เมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด

“รูปนี้ถ่ายเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่ร้านเปิดเป็นวันสุดท้ายน่ะ” คณิณเล่าไปตามที่แม่พิมพ์มา

กฤตชะโงกหน้ามาดูบ้างแล้วเขาก็รีบคว้าโทรศัพท์ไปซูมภาพดูใกล้ๆ

ป้ายชื่อร้านที่ปรากฏอยู่เป็นฉากหลังของภาพนี้คือ ‘ร้านสมรศรีโภชนา’

นรกรเองก็เห็นแล้วเช่นกัน นึกจำได้ทันทีว่าเป็นร้านของแม่กฤต และยังเป็นบ้านของเขาอีกด้วย เพราะเหตุนี้นี่เองอีกฝ่ายถึงรู้สึกคุ้นแต่จำไม่ได้ เนื่องจากสภาพร้านและส่วนตกแต่งรอบๆ นั้นถูกเปลี่ยนใหม่หมดไม่เหลือเค้าเดิมแบบในภาพถ่ายเลยสักนิด

“แล้วตอนนี้คุณสมรศรีเจ้าของร้านคนเก่าเขาไปไหนแล้วล่ะ” กฤตถามพยายามซ่อนความร้อนใจเอาไว้

“เดี๋ยวถามแม่ให้” คณิณรับโทรศัพท์คืนมา ระหว่างที่พิมพ์ก็ถามไปด้วย “แล้วนายอยากรู้ไปทำไม”

“ก็แค่อยากรู้น่ะ… แม่นายตอบมาหรือยัง” กฤตเร่ง

“ใจเย็นสิวะ… แม่บอกว่าลูกชายเขาเสียเพราะอุบัติเหตุ คุณสมรศรีทำใจไม่ได้ ตรอมใจจนล้มป่วยเพราะคิดถึงลูกชาย สามีก็เลยขายร้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นน่ะ แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน” คณิณอ่านออกเสียง

“น่าสงสารจังเลยนะคะ” เพียงพิรุณกล่าว

“เหมือนจะเป็นลูกชายคนเดียวด้วย… ชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอนแบบนี้ล่ะนะ” คณิณว่าก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “ใกล้จะบ่ายโมงล่ะ ฉันเรียกเช็กบิลเลยนะ ช่วงบ่ายฮาร์ฟต้องไปเข้าเคสผ่าตัดแทนอาจารย์ภูมิศิลป์นี่นา”

“พอดีอาจารย์ได้รับเชิญไปสอนข้างนอกแล้วเวลามันชนกัน ผมเลยอาสาเข้าเคสแทนน่ะครับ”

“ใจดีกว่านายนี่ก็คงต้องไปหาตามวัดแล้วมั้ง” คณิณแซว “งานที่มีอยู่ยังล้นมือไม่พอใช่ไหม”

“ไม่หรอกครับ พอดีผมก็ว่างอยู่”

คณิณยิ้ม “ไม่ได้ห้ามหรอก เอาที่นายสบายใจละกัน แค่จะบอกว่าดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #874 เมื่อ03-02-2019 20:47:25 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

บอกลาเรียบร้อย แยกย้ายกันกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง ร่างโปร่งแสงที่เงียบมาตลอดมื้ออาหารก็เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่เห็นเคยบอกว่านายเอาคาบสอนกับเคสฉันไปดูเองทั้งหมด”

“ไม่ใช่แค่ผมหรอกครับ อาจารย์ท่านอื่นก็ช่วย เพียงแต่ผมรับอาสามาเยอะหน่อย” นรกรบอก

“อืม” วินทร์ครางในลำคอ

“ทำไมหรือครับ”

“แค่แปลกใจน่ะ ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ฉันควรรู้และรู้เป็นคนแรกแท้ๆ แต่ฉันกลับไม่รู้อะไรเลย กลายเป็นไอ้หมอนั่นเสียอีกที่รู้ แถมยังรู้ด้วยนะว่าตอนบ่ายนายจะไปเข้าเคสแทนใคร”

“ผมก็เพิ่งบอกพี่ปอตอนเขาขอนัดเมื่อวาน”

“กับไอ้หมอนั่นนี่บอกได้ทุกเรื่องเนอะ” วินทร์พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเต็มที่

“ผมก็แค่บอกตารางงานให้พี่ปอฟัง”

“แล้วเรื่องแค่นั้นทำไมบอกฉันไม่ได้ล่ะ  ตกลงคนที่เป็นแฟนนายมันฉันหรือไอ้หมอนั่น”

“พี่วินทร์พาลไปใหญ่แล้วนะครับ”

“ไม่ได้พาล แค่พูดความจริงที่เห็นอยู่ตำตา พอเจอหน้าไอ้หมอนั่นนายก็ลืมไปเลยสินะว่าฉันมาด้วย… อ๋อ… ฉันเข้าใจล่ะเมื่อวานที่นายไม่ให้ฉันไปด้วยไม่ได้กลัวอะไรหรอก แต่เป็นเพราะไอ้หมอนั่นมันไปด้วยต่างหาก”

“มันไปกันใหญ่แล้วนะครับพี่วินทร์ แล้วก็เลิกเรียกพี่ปอว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ ด้วยได้ไหมครับ”

“โอเค งั้นฉันเรียกว่าแฟนเก่านายก็ได้!”

“พี่ปอไม่ใช่…”

“ไม่ใช่แฟนเก่า? งั้นเป็นอะไร? แฟนคนปัจจุบันเหรอ?!”

“พวกนายใจเย็นๆ นะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน” กฤตที่นั่งหดตัวลีบติดกระจกรถแทรกขึ้นเบาๆ

“นายไม่เกี่ยวจะไปไหนก็ไปเลย!”

รถเลี้ยวเข้าจอดพอดี กฤตสบโอกาสรีบขอตัว “ถ้างั้นฉันไปนะ”

“เชิญ!”

ลงจากรถได้กฤตก็รีบก้าวยาวๆ ไปตามทาง ต้องขอบคุณภาษิตที่ทำให้เขาคิดแผนที่สลัดสองคนนั่นหลุดง่ายขนาดนี้ เขาแวะไปเอากระเป๋าใส่ของที่เตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อนแล้วเดินลัดเลาะไปตามทางเดินของโรงพยาบาลจนไปถึงตึกเวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งเป็นหอผู้ป่วยสำหรับผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อทำกายภาพบำบัด ตึกนี้อยู่ด้านหลังไกลจากตึกหลักแต่ติดกับสวนของโรงพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยที่เดินหรือนั่งวีลแชร์ได้ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศหรือร่วมกันทำกิจกรรมตามตารางฝึกได้ง่าย

“สวัสดีค่ะ” พยาบาลประจำหอผู้ป่วยทักทายอย่างคุ้นเคยเมื่อเห็นร่างสูงเดินผ่านมา “วันนี้ก็มาอีกแล้วนะคะ”

“สวัสดีครับ” กฤตตอบเธอเพียงสั้นๆ และรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไม่ให้เสียเวลา เขาเดินตรงเข้าไปในสวนอย่างคุ้นเคยเพราะมาหลายครั้งแล้ว แม้จะมีคนไข้อื่นๆ และญาติออกมาเปลี่ยนอิริยาบทและพักผ่อนมากมายแต่เขาก็รู้ว่าจะต้องมองตรงไปที่ไหน

ด้านในสุดของสวนนี้มีต้นลั่นทมอยู่ต้นหนึ่ง ลำต้นนั้นสูงใหญ่หากก็มีแต่ใบไม่มีดอกให้ชื่นชมแม้จะถูกปลูกมานานแรมปี และมันก็ไม่ใช่ต้นเดียวกันกับในความทรงจำของกฤต

แต่ใต้ร่มเงาลั่นทมต้นนี้ มีใครคนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องแอบตัวจากสองคนนั่นเพื่อมาหาทุกวัน

ตมคมมองไปเห็นรถวีลแชร์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงที่เดิมเหมือนเช่นทุกวัน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนนั้นคือคนไข้ไร้ญาติที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายวันก่อน เขาทอดสายตามองเลื่อนลอยขึ้นไป…

มอง… ราวกับว่ามีใครหรืออะไรอยู่บนต้นไม้นั้น

กฤตกวาดตามองซ้ายขวาว่าไม่มีใครสนใจจึงเดินตรงเข้าไปหา เขาเข้าไปทางด้านหลังแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่ถือมา

“คิดจะทำอะไรเหรอครับ”

กฤตสะดุ้งและยิ่งตกใจมากขึ้นอีกเมื่อหันไปเห็นนรกรกับวินทร์ยืนอยู่

“ปะ… เปล่า ไม่มีอะไร” เขาตอบตะกุกตะกัก

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมคุณต้องโกหกผมด้วยครับ” นรกรถาม

“ฉันไม่ได้โกหกอะไรนายเสียหน่อย” กฤตยืนกรานและพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่พวกนายหายโกรธกันแล้วเหรอ เมื่อกี้ยังทะเลาะกันอยู่เลย”

วินทร์หันไปสบตานรกรก่อนจะตอบเรียบๆ

“จริงๆ เราไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ถ้างอนล่ะก็ใช่ แล้วเราก็เคลียร์กันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย ฉันถือคติว่ารักให้รีบบอก โกรธให้รีบเคลียร์น่ะ เพราะฉันเข็ดแล้วกับการที่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัว”

กฤตนึกแปลกใจ “แล้วนี่ไปปรับความเข้าใจกันตอนไหน”

“เมื่อคืน หลังจากที่นายหลับไปแล้ว"



“ฮาร์ฟ! บอกมานะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วนี่เอาเสื้อใครมาใส่ โดนใครเขาแกล้งมาบอกฉันมาสิจะไปเข้าฝันหลอกมันให้”

“เปล่าครับ”

“ยังจะมาเปล่าอีก! นี่แฟนนะไม่ใช่ควาย ถึงจะตายไปแล้วก็มีตามองเห็นว่านายใส่เสื้อคนละตัวกับตอนออกไป”

นรกรยังคงปากหนัก วินทร์จึงต้องต้อนให้พูด

“ฝีมือไอ้ภาษิตใช่ไหม”

“พี่วินทร์รู้ได้ไงครับ”

“ก็มันส่งรูปถ่ายคู่กับนายมาเย้ยฉันทางไลน์น่ะสิ แถมยังใช้มือถือนายด้วย”

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูแล้วหันหน้าจอไปหาอีกฝ่าย “ไม่เห็นมีอะไรเลยครับ”

“ส่งเสร็จมันก็ลบทำลายหลักฐานน่ะสิ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ นี่นายกินเหล้าเหรอ? เมาหรือเปล่าถึงได้ให้มันหลอกเอามือถือไปทำอะไรต่อมิอะไรได้”

“ผมไม่ได้แตะเครื่องดื่มอะไรเลยนะ ครับนอกจากน้ำเปล่า” นรกรเงียบไปอึดใจเพื่อทบทวนเหตุการณ์ “น่าจะเป็นตอนที่วางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วไปเปลี่ยนเสื้อมากกว่า… คือเขาทำไวน์หกใส่เสื้อผมน่ะก็เลยไถ่โทษด้วยการซื้อตัวใหม่ให้ใส่”

“โอเค เรื่องเสื้อจบไป” วินทร์ว่า “แล้วมันปลดล็อกเข้าเครื่องนายได้ไงถ้าไม่มีลายนิ้วมือนาย”

“ผมไม่ได้ใช้ลายนิ้วมือ แต่ใช้รหัส”

“ฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าตัวเลขอย่างพวกวันเดือนปีเกิดน่ะมันง่ายไป ทำไมไม่เอาเลขยากๆ”

“ผมไม่ได้ใช้วันเกิดตัวเองเป็นรหัสสักหน่อย” นรกรรีบแก้ตัว

“แล้วใช้อะไร เบอร์โทร? เลขบัตรประชาชน? หรือว่าเลขว.แพทย์”

“วันเกิดพี่วินทร์” นรกรตอบอ้อมแอ้ม

เจ้าของตัวเลขเงียบไปอึดใจถึงจะโกรธแต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายเห็นความสำคัญของตนจนถึงขั้นเอาไปตั้งเป็นรหัส เขากระแอมในลำคอนิดนึงแก้เขินก่อนจะเอ่ยขึ้น “เลขนี้ก็สวยดีนะ… แต่มันก็ง่ายไปอยู่ดี… เปลี่ยนเป็นวันครบรอบที่เราเป็นแฟนกันสิจะได้ยากขึ้นหน่อย”

“ผมว่าอันนั้นเดาง่ายกว่าอีกตราบใดที่พี่วินทร์ยังไม่เลิกส่งดอกไม้ไปเซอร์ไพรส์ที่โรงพยาบาล”

“งั้นนายก็เปลี่ยนมาสแกนลายนิ้วมือแบบฉันซะ โอเคนะ” วินทร์ตัดบท “แล้วตกลงจะเล่าได้หรือยังว่าโดนใครรังแกมา”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ”

วินทร์กอดอกพร้อมกับทำเสียงเข้ม “จะต้องให้ย้ำอีกรอบใช่ไหมว่าไม่ใช่ควาย… แค่เรื่องเสื้อไม่มีทางทำให้นายทำหน้าอมทุกข์ขนาดนี้หรอก ไอ้ภาษิตมันทำอะไรนาย!”

“พี่วินทร์สัญญามาก่อนสิครับว่าจะไม่โกรธ”

“ไม่โกรธนายน่ะได้ แต่ไอ้หมอนั่นมันตายแน่”

“มันก็ไม่ได้เรื่องใหญ่โตถึงขนาดจะไปฆ่าแกงกันนะครับ”

“นายมีหน้าที่เล่าก็เล่ามา เดี๋ยวฉันตัดสินเองว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก”

นรกรเหลือบตามองวินทร์ที่ยืนกอดอกทำหน้าตาขึงขังเป็นยักษ์วัดแจ้ง หากไม่ใช่ลักษณะของคนที่โกรธเคืองกัน ในแววตาคมกริบที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย และนั่นก็ทำให้คนปากหนักยอมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง

และทันทีที่ฟังจบวินทร์ก็ยิ่งหัวเสียหนักกว่าเดิม “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฉันไปด้วย แล้วนี่ไอ้หมอนั่นมันกล้าดียังไงมาหอมแก้มแฟนคนอื่น”

“ผมขอโทษครับที่ไม่ระวังตัว”

“มันหอมข้างไหน”

“ข้างนี้” นรกรบอกพร้อมกับหันข้างให้

“ตรงไหน”

“จำไม่ได้แล้ว ดูเหมือนจะแถวๆ นี้มั้งครับ” นรกรชี้นิ้วไปแถวๆ โหนกแก้ม

วินทร์ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้วชะโงกหน้าเข้าไปหา เอาริมฝีปากแตะตรงที่ปลายนิ้วชี้ไว้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “ไม่เป็นไรนะถือว่าหมามันเลีย”

“โดนพี่ปอดุด้วยครับ”

วินทร์กอดอก พ่นลมอกจมูก “ไอ้นี่ก็ห่วงแฟนชาวบ้านเกินเบอร์ไปอีก”

“พี่ปอแค่เป็นห่วง”

“ฉันคนเดียวห่วงยังไม่แน่นพอหรือไง”

“ก็…”

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ดุเพราะรักนะ เข้าใจไหม เพราะตอนนี้ฉันทำได้แค่นี้ กอดไม่ได้ จูบไม่ได้ อยากจะไปต่อยไอ้หมอนั่นให้นายก็ทำไม่ได้” วินทร์บอก “มีอะไรก็บอกนะอย่าเก็บไว้คนเดียว”

“ขอโทษครับ”

วินทร์ถอนหายใจทิ้งครั้งหนึ่ง “หายโกรธแล้ว”

“หายแล้วแน่นะครับ”

วินทร์พยักหน้า

“แล้วพี่วินทร์ไม่… เอ่อ… ที่ผมบอกว่าไม่ระวังตัว…” นรกรพูดตะกุกตะกักเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกเพราะมันพาดพิงไปถึงอีกคน

“นายจะถามว่าทำไมฉันถึงเชื่อเรื่องที่นายบอกว่าไม่ทันระวังตัว ในขณะที่ปอมันบอกว่าไม่เชื่อใช่ไหม”

นรกรพยักหน้า “ครับ”

“ถ้าเป็นนายสมัยที่คบกับหมอนั่นก็คงใช่ แต่ไม่ใช่นายที่เป็นอยู่ตอนนี้”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ผมไม่เข้าใจ”

“นายไม่ใช่คนสันโดษที่ตั้งกำแพงปิดกั้นคนภายนอกเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว” วินทร์บอก “ตอนนี้นายลดกำแพงลง ยอมให้คนนอกมองเห็นหลังกำแพง มองเห็นในสิ่งนายเป็น และนายก็ยังคอยชะโงกหน้าออกมามองคนอื่นด้วย… นายกล้าลุกขึ้นสู้เพื่อความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นายยอมทะเลาะกับพ่อเพื่อเลือกอยู่ข้างฉัน… แค่สองข้อนี้ฉันก็ไม่คิดว่าปอจะรู้จักนายคนนี้แล้ว อย่างล่าสุดนี่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมวัฒน์ถึงเลือกมาคุยเรื่องเซ็กซ์กับนาย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนขนาดนั้น ทั้งที่มันก็มีเพื่อนคนอื่นอีกตั้งหลายคน… นายเป็นคนใจดีฮาร์ฟ และเพราะความใจดีนี่แหละ นายจึงไว้ใจคนอื่นที่เข้ามามากขึ้นเพียงแต่คนทุกคนที่เข้ามามันไม่ได้ดีไปเสียทั้งหมด”

ยิ่งวินทร์ไม่โกรธนรกรยิ่งรู้สึกผิดและขอบคุณมากไปอีก “ผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ”

“อืม… ก็แค่นั้นแหละ แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าให้นายคิดมากจนกลับไปทำตัวแบบเดิมนะ แค่อยากให้ระวังคนให้มากขึ้น แต่เอาจริงๆ ถึงนายจะกลับไปเป็นแบบเดิมฉันก็ไม่ซีเรียสนะ เอาที่นายสบายใจเลย”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็มันไม่ได้ทำให้ฉันรักนายน้อยลงนี่นา” วินทร์พูดยิ้มๆ “ปีนกำแพงแข่งกับคนที่นายโยนบันไดลงมาให้ก็ทำมาแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมาก”

“ประตูก็มีครับ”

“มีแล้วไง โดนลืมไว้หลังประตูก็เคยมาแล้ว”
นรกรหลุดขำออกมาเล็กน้อย ช่างเป็นคนที่จำฝังใจไปเสียทุกเรื่องจริงๆ “มีปากบ่นผมได้ คราวหลังก็เรียกสิครับ”

“จะเปิดประตูให้เหรอไง” วินทร์ถามกวน

นรกรยิ้มตอบ “จะเดินออกมาหาครับ”

“เนี่ย… ก็เป็นซะแบบเนี้ย… หมายถึงตัวฉันน่ะนะ แค่นี้ก็ใจอ่อนแล้ว” วินทร์หัวเราะกับตัวเอง “ไป… นายเลิกคิดมาก ไปอาบน้ำอุ่นให้สบายตัวแล้วรีบมาขึ้นเตียงมาเดี๋ยวฉันร้องเพลงกล่อม วันนี้อนุญาตให้เลือกเพลงได้”

“อยากฟังเพลงที่พี่วินทร์ร้องวันก่อนครับ”

วินทร์นึกอยู่อึดใจ “คู่ชีวิตเหรอ”

“นั่นชื่อเพลงเหรอครับ” นรกรถาม “หมู่นี้ผมไม่ค่อยได้ฟังเพลงเลย ฟังแต่ที่พี่วินทร์ร้องให้ฟังนี่แหละ เดี๋ยวจะลองไปหาต้นฉบับฟังดู รู้สึกว่าความหมายดีจัง”

“นี่ถ้ารู้ว่านายชอบฟังเพลงขนาดนี้ ตอนนั้นฉันไปฝึกร้องเพลงให้เก่งๆ เป็นนักร้องดีกว่าไม่น่ามาเป็นหมอเลย”

“พูดไปนั่น”

“พูดไปนั่นอะไร นี่ฉันจริงจังนะ” วินทร์ว่าก่อนจะร้องออกมาเป็นเพลง “น้องรักนักร้อง แต่พี่รักน้องงงง~ ให้เป็นนักร้องแล้วพี่ก็เป็นไม่ได้ ไม่ใช่นักร้องอย่างที่น้องรักกกก~ แต่พี่รักน้องน้องก็มองบ้างเป็นไร~”

นรกรไม่โต้ตอบอะไรอีก ได้แต่ถอนหายใจเสียงดังแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป



“ก็ประมาณนี้แหละ” วินทร์ว่า “แล้วฮาร์ฟก็เล่าอะไรที่น่าสนใจให้ฟัง ฉันเลยชวนเขาเล่นละครตบตานายว่าเรายังทะเลาะกันเพราะรู้สึกทะแม่งๆ ว่านายหวังดีแปลกๆ เหมือนจะเป็นห่วงแต่ก็คอยยุให้เราระแวงกัน”

“เมื่อกี้ก็แกล้งเหรอ” กฤตถาม

“นึกว่าจะโดนจับได้เหมือนกันเพราะฮาร์ฟเล่นแข็งชะมัด โชคดีนะที่ฉันจบเอกหมอ โทการแสดงน่ะ”

“มันใช่เวลามาเล่นมุกไหมครับ” นรกรเอ็ดเบาๆ

วินทร์กระแอมในลำคอก่อนจะตีหน้าขรึม “เอ้า! ตกลงจะสารภาพมาได้หรือยังว่าวางแผนอะไรไว้”

“ไม่ใช่แผนการพิเศษอะไรหรอก ฉันก็แค่ทำสิ่งที่ค้างคาไว้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน” กฤตพูดพลางดึงของที่ดึงค้างไว้ออกจากกระเป๋า

วินทร์กำลังจะร้องปรามนึกว่าจะเป็นอาวุธ แต่สิ่งที่อยู่ในมือเป็นเพียงผ้าคลุมไหล่ผืนหนานุ่มสีขาวเท่านั้น

กฤตกางผ้าออกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วคลุมลงบนไหล่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็น ก่อนจะก้มลงพูดที่ข้างหู
“อากาศเริ่มหนาวแล้วนะ”

สายตาที่มองเหม่อขึ้นไปบนต้นไม้ไม่ได้มีแววตอบสนอง แต่กฤตก็ไม่ได้ใจและจัดแจงคลุมผ้าให้เรียบร้อย

วินทร์หันไปสบตากับนรกรก่อนจะหันมามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง “ผู้ชายคนนั้นเกี่ยวอะไรกับนาย ไหนนายบอกว่าไม่มีลูกไง”

“ก็ไม่มีน่ะสิ”

ทั้งสองยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก

กฤตยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงและหันมาเผชิญหน้า “นี่เป็นวันสุดท้ายที่ฉันตั้งใจจะอยู่ที่นี่แล้ว เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ลากพวกนายมาเอี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก ฉันจะเล่าความจริงที่เหลือให้พวกนายฟังละกัน… เมื่อเช้านายถามฉันใช่ไหมว่าทำไมถึงต้องกลับไปที่สี่แยกนั่นเพื่อจะตายเวลาเดิมทุกวัน”

นรกรพยักหน้า

กฤตหันไปหาร่างโปร่งแสง “เรื่องนี้นายก็น่าจะเดาได้นี่นาว่าเพราะอะไร”

“เพราะมันไม่ใช่อุบัติเหตุ” วินทร์พูดขึ้น “แต่เป็นการฆ่าตัวตาย”

กฤตพยักหน้า “เมื่อก่อนตอนเข้าวัดฟังพระเทศน์ ท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมและสร้างความดี  แต่ถ้าหากใครละทิ้งโอกาสที่ได้เกิดมาแล้วหนีทุกข์ด้วยวิธีลัดที่เรียกว่าการฆ่าตัวตายแล้วละก็ แทนที่ทุกข์หรือกรรมนั้นจะหมดไป แต่คนนั้นต้องชดใช้กรรมในนรกโดยการฆ่าตัวตายด้วยวิธีเดิมๆ 500 ครั้งหรือต่อให้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็ยังต้องตายด้วยวิธีเดิมเช่นกัน” เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนความหลัง “แต่ในกรณีของฉันมันพิเศษกว่าคนอื่นเพราะฉันไม่ได้ตั้งใจจะตายคนเดียวแต่ฉันตั้งใจจะพา ‘มัน’ ไปตายกับฉันด้วย… อดีตเพื่อนรักของฉัน”

“คุณว่าไงนะ…” นรกรถามอย่างไม่เชื่อหู

“หลังจากที่ฉันเห็นมันอยู่กับแฟนฉัน มันก็วิ่งตามเพื่อจะเคลียร์ ฉันก็ยอมพามันขึ้นรถขับออกไปด้วยกัน แต่ยิ่งฟังเรื่องที่มันเล่าฉันก็ยิ่งปวดใจ ฉันเลยเหยียบคันเร่งจนมิดชนกับเสาไฟฟ้าตั้งใจจะตายไปพร้อมๆ กับมัน”

“แต่คุณบอกผมว่าหักรถหลบเด็กที่ข้ามถนน”

“ฉันไม่ได้โกหก แต่ฉันแค่บอกนายไม่หมดต่างหาก” กฤตว่า “จังหวะที่รถพุ่งไปนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนมาพอดี ฉันหักรถหลบ รถเลยปัดไปแต่สุดท้ายก็ยังปัดไปอัดกับเสาไฟฟ้า และมีแค่ฉันที่ตายส่วนมันแค่บาดเจ็บเท่านั้น”

“แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ” วินทร์ถามพลางพยักเพยิดไปทางชายหนุ่มบนรถเข็น “ถ้าเขาไม่ใช่ลูกนายแล้วเกี่ยวอะไรกับนาย”

“หรือว่า…” นรกรอุทานเมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้

“ฉันยืนอยู่ตรงนั้นในสภาพดวงวิญญาณที่เว้าแหว่ง” กฤตเล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย “ยืนมองรถที่กำลังลุกไหม้ด้วยความสะใจคิดว่าลงโทษมันสำเร็จ แต่คงเป็นเพราะดวงมันไม่ถึงฆาตและความช่วยเหลือก็มาถึงก่อนพญามัจจุราชมันจึงไม่เป็นอะไร กู้ภัยงัดเอาร่างมันออกไปส่งให้ถึงมือหมอ ฉันแค้นมากจนเกือบจะร้องไห้ แล้วตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นด้านหลัง ฉันหันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นนอนกองอยู่บนพื้น ตรงจุดที่ไม่มีใครเห็นเพราะรถบัง เธอหายใจรวยริน แต่ลำแขนบางที่ชุ่มเลือดนั้นกลับกอดเด็กคนหนึ่งไว้แน่น เธอมองตรงมาที่ฉันและขอร้องให้ช่วยลูกของเธอ... แต่ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูเธอค่อยๆ ตายไปต่อหน้าต่อตา… ฉันฆ่าเธอ ฉันเป็นคนพรากญาติคนสุดท้ายไปจากเด็กชายผู้บริสุทธิ์คนนี้”

“แล้วคุณจำเขาได้ยังไง” นรกรถามต่อ

“ชื่อน่ะ” กฤตบอก “แม่ของเด็กคนนี้บอกแล้วพอดีมันคล้ายกับชื่อฉัน… อืม เท่ากับว่าฉันโกหกไปหนึ่งเรื่องสินะ”

“คุณจำได้ทุกอย่างแล้วนี่ครับ” นรกรว่า

“ตั้งแต่วันที่ไปนายพาไปแกรนด์ราวน์วันนั้น… ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าวันที่ฉันได้เจอมันอีกครั้งต่างหาก”

“นายหมายถึงอาจารย์ภูมิศิลป์เหรอ” วินทร์ถาม พยายามนึกถึงหนังสือรวมรุ่นที่เปิดดูกับนรกร “ฉันไม่เห็นจำได้ว่าชื่ออาจารย์อยู่ในรุ่นนาย”

สีหน้าของกฤตเปลี่ยนเป็นชิงชังทันที “มันคงเปลี่ยนชื่อนามสกุลแก้เคล็ดน่ะสิ คงหวังจะให้พ้นเคราะห์ แต่น่าเสียดายที่เจ้ากรรมนายเวรมันคนนี้ดันจำหน้ามันได้” กฤตว่า “หึ! คนอย่างมันทำมาลอยหน้าเป็นอาจารย์ แถมยังเป็นหัวหน้าหน่วยงานอุบัติเหตุอะไรนั่นอีก… คนอย่างมันน่ะนะ… จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ!” จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “เพราะในที่สุดวันนี้ฉันก็แก้แค้นสำเร็จแล้ว”

“ตกลงแผนของคุณคืออะไรกันแน่”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดบทสนทนา นรกรเห็นว่าเป็นจิงโจ้โทรมาจึงกดรับ “ว่าไง พี่กำลังยุ่ง…” นรกรเงียบฟังอยู่อึดใจก็ลดโทรศัพท์ลงหันไปหาวินทร์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “อาจารย์ภูมิศิลป์ขับรถชนครับ”

มุมปากยกขึ้นยิ้มนิดๆ …ในที่สุดความแค้นนี้มันก็จบลงเสียที

***********************TBC************************

Talk
ตอนนี้คิดว่าเฉลยจะครบทุกปมละนะ แต่มีประเด็นอันหนึ่งอยากเอามาเล่าสู่กันฟังเพราะเขียนจั่วหัวไว้นานแล้วกลัวลืมกัน
ตามที่เขียนไว้ตรงบทนำของเรื่อง
คือภาคนี้เขียนต่อเพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการมีความรักไม่ใช่แค่ตกหลุมรัก สารภาพรัก และได้รักกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความรักนี้ไว้มากกว่า ดังนั้นเราจึงเขียนออกมาให้คู่นี้เจอมรสุมชีวิตอะไรก็ไม่รู้(กรรมของพี่วินทร์แท้ๆ ที่มาเจอคนเขียนอย่างเรา) แล้วเขาทั้งคู่จะประคองความรักชีวิตคู่ไปได้อย่างไร ทั้งสังคม แฟนเก่า คนใหม่ ครอบครัวที่ในครั้งแรกคิดว่ารับเราได้... เทียบกับชีวิตคู่อีกคู่ที่ล้มเหลว จนถึงขั้นอาฆาตกัน
เรื่องนี้ใกล้ถึงบทสรุปแล้วค่ะ แต่ดราม่ายังพอมีกรุบกริบหวานปนขมตามเลกกี้แดนสไตล์จนจบเรื่อง555 (ยัยนักเขียนคนนี้แม่งโรคจิตว่ะ555)

ปล. บางคนอาจมีคำถามว่าที่เคยให้โหวตว่าขอเทาๆ ไม่เอาดำแล้วนี่คือ??... คือนี่เทาแล้วค่ะ เทาจริงๆ นะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2019 21:31:59 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #875 เมื่อ03-02-2019 22:15:43 »

หลายซับหลายซ้อนเหลือเกิน..นน ว่าแต่เทาของไรต์ยังขนาดนี้ ถ้าดำพี่คงแย่  :hao5:
ตามอ่านตลอดชอบค่า  :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #876 เมื่อ04-02-2019 00:20:36 »

รอตอนต่อไปอย่างจดจ่อ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #877 เมื่อ04-02-2019 13:34:57 »

รอแกะปมต่อไป มากันเรื่อยๆ กรุบกริบๆ

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #878 เมื่อ04-02-2019 13:36:36 »

เอาแล้วไง ถ้ากฤตรูว่าทั้งพลูทั้งภูมิศิลป์ไม่ผิด
กฤตจะต้องเจ็บปวดมากๆแน่
คนนึงก็เพื่อนรัก คนนึงก็คนรัก
ถ้าฮารืฟบอกความจริงหวังว่ากฤตคงคิดได้ซะที

แอบโล่งอกเรื่องวินทร์กับฮาร์ฟที่เลือกจะเคลียร์กัน
แต่เป็นห่วงวินทร์สรุปวินทร์ไม่มีโอกาสกลับเข้าร่างแล้วใช่มั้ย

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #879 เมื่อ04-02-2019 14:50:51 »

เหลือปมของพี่วินทร์สินะ  :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
« ตอบ #879 เมื่อ: 04-02-2019 14:50:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Wordstringer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #880 เมื่อ06-02-2019 12:14:23 »

เทา ๆ ด้วยกันต่อไปครับ  :hao5: :hao5: :hao5:

ไม่ชอบคนอย่างภาษิตเลย  :m16: สมควรโดน  :beat:
ก่อนจบ รบกวนคนเขียนจัดหนัก ๆ ให้ซักทีนะครับ  :fire: :fire: :fire:

ปล.คนเขียน สู้ ๆครับ :3123: :3123:

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #881 เมื่อ06-02-2019 22:18:40 »

 :katai2-1:พี่วินทร์เนี่ยมีความสตอแหลเกินเบอร์จริงๆเลยนะคะ.. 5555..."นี่แฟนนะไม่ใช่ควาย..." จร้าาาา.. พี่ไม่มีเขาถูกคร่าาา.. แต่รู้สึกจะโดนน้องฮาร์ฟจูงเข้าทางตลอดเลยนะคะ.. คิคิคิ.. จะยากอะไรก็แค่ยอมทุกทางใช่มั้นคะพี่วววววววินทร์ :katai3:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่13 สารภาพ P.30[3/02/2562]
«ตอบ #882 เมื่อ11-02-2019 18:16:32 »

บทที่ 14 สิ่งสำคัญ

“อาจารย์อาการเป็นอย่างไรบ้าง” นรกรถามกับน้องๆ แพทย์ประจำบ้านที่ยืนออกันอยู่หน้าห้องผ่าตัด

“กะโหลกศีรษะแตก มีเลือดคั่งในสมองครับ” อนุวัฒน์รายงานพร้อมกับหยืบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพแผลกับผลCT scan ให้ดู “ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหา ผลเอ็กซเรย์ทั้งตัวปกติ ที่หนักสุดก็คงเป็นที่หัวนี่แหละครับ ตั้งแต่มาถึงห้องฉุกเฉินอาจารย์ไม่รู้สึกตัวเลย โคม่าสกอร์เท่ากับสอง”

“อืม” นรกรพยักหน้าตามพลางรับโทรศัพท์มาเปิดดูภาพสแกนสมองที่อนุวัฒน์ถ่ายมา เขาค่อยๆ ซูมดูทุกภาพและจดจำรายละเอียดไว้ในหัว

“ครั้งนี้มัจจุราชมาไวกว่าที่คิดแฮะ” กฤตที่ตามหลังมาดูผลงานแทบจะร้องเป็นเพลงด้วยความสะใจ

“แกทำอะไรวะ!” วินทร์ถามผ่านซี่ฟันที่ขบแน่นด้วยความโกรธ

“ไม่ได้ทำอะไรมากเลย ก็แค่ตัดสายเบรก” กฤตตอบสบายๆ “นี่แอบตามอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าใช้รถคันไหน แล้วก็ขอบคุณพวกนายนะที่ทำให้ฉันรู้ตารางงานของเขา”

“แกมัน…” วินทร์ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาต่อว่าดี เขากัดฟันแน่นและหันไปหานรกรที่ทำหน้าเครียดกับโทรศัพท์ “ฮาร์ฟ…”

นรกรไม่พูดอะไร เขาส่งโทรศัพท์คืนอนุวัฒน์แล้วพุ่งไปที่ประตูห้องเปลี่ยนชุดรวดเร็วจนจิงโจ้ต้องคว้าแขนไว้

“เดี๋ยวก่อนครับพี่ฮาร์ฟ”

“มีอะไรเหรอ”

“อาจารย์สรวิชญ์เป็นคนลงมือผ่าตัดเองครับ” จิงโจ้บอก

นรกรพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”

ด้วยเป็นเวลาน่าสิ่วน่าขวานต้องใช้สมาธิเป็นอย่างสูงและใช้มือดีที่สุดในการทำงาน ไม่ใช่แค่ต้องการคนเก่งและทำงานรวดเร็ว แต่ต้องเป็นคนที่รู้ใจกันเพียงแค่มองตาก็สามารถตอบสนองและประสานงานกันได้ ตั้งแต่ทีมดมยาไปจนถึงผู้ช่วยส่งเครื่องมือแพทย์ เพราะเหตุนี้จึงไม่มีแพทย์ประจำบ้านคนใดกล้าเข้าไปเป็นผู้ช่วยหรือสังเกตอาการข้างในห้องผ่าตัด แม้แต่อนุวัฒน์ที่เพิ่งจบหมาดๆ ชั่วโมงบินยังไม่สูงมากก็กลัวว่าจะไปทำให้ล่าช้าเสียมากกว่าจะช่วย

“อาจารย์ต้องการผู้ช่วย” นรกรตอบสั้นๆ

“อาจารย์วิมลภากำลังขับรถมาครับ อีกครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง” อนุวัฒน์ให้ข้อมูลเพิ่ม

นรกรสบตาอนุวัฒน์แล้วมองเลยไปหาน้องๆ คนอื่น ทุกคนเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเขากับพ่อยังคงทะเลาะและไม่พูดกันอยู่ “อาจารย์สรวิชญ์กับพี่แยกเรื่องส่วนตัวได้” เขาบอก “ตอนนี้การช่วยอาจารย์ภูมิศิลป์สำคัญกว่า”

นรกรพยักหน้าให้จิงโจ้ปล่อยแขนที่รั้งไว้แล้วรีบก้าวยาวๆ เข้าไปเปลี่ยนชุด

“นี่นายน่ะ ฉันมีอะไรจะบอก” วินทร์เอ่ยเสียงเครียดกับกฤต

“ว่าไง”

“ฮาร์ฟเล่าให้ฉันฟังเมื่อคืน”

“เรื่องอะไร”

“พี่เพ็ญโทรกลับมาแล้ว” วินทร์เริ่มต้น “เธอเล่าว่าคุณพลูไปงานศพนายทุกวัน…”

“เธอโกหก!” กฤตขัดขึ้น “ฉันมองหาอยู่ทุกวันแต่ฉันไม่เห็นแม้เงาของผู้หญิงคนนั้นเลย”

“เป็นเพราะว่าแม่นายไม่ให้เข้างานต่างหาก พี่เพ็ญเล่าว่าแม่นายเกลียดคุณพลูมาก”

“เพราะเธอเป็นสาเหตุให้ฉันต้องตายไง”

“นั่นก็ใช่ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะแม่นายเกลียดเธออยู่แล้วเพราะว่าเธอจน”

“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง แม่ฉันเอ็นดูเธอจะตาย”

“แม่นายอยากให้นายแต่งงานกับผู้หญิงที่หมั้นหมายไว้”

“แต่ฉันปฏิเสธงานคลุมถุงชนไร้สาระอะไรนั่นไปแล้ว!” กฤตเถียง

“พี่เพ็ญยังบอกอีกว่าเธอเขียนจดหมายหานายทุกวัน คนที่ไม่เคยตอบเธอเลยคือนายต่างหาก และจดหมายฉบับเดียวที่เธอได้รับคือจดหมายบอกเลิกพร้อมกับการ์ดงานแต่งงานของนายกับผู้หญิงคนที่แม่นายหมั้นหมายให้”

“นายจะบอกว่าแม่ฉันจัดฉากเรื่องทั้งหมดเหรอ! แล้วยังไงอีก ยังไงสิ่งที่ฉันเห็นตำตามันก็คือความจริงอยู่ดี เรื่องก็ดูลงล็อกกันดีนี่ พอผิดหวังจากฉันก็เลยไปคบกับเพื่อนฉัน”

“เรื่องนั้นฉันกับฮาร์ฟก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่านะ…” วินทร์เว้นวรรคไปเล็กน้อย “นายบอกว่านายรู้มาตั้งแรกใช่ไหมว่าอาจารย์ภูมิศิลป์คือเพื่อนรักของนาย สิ่งที่นายคิดคือคุณพลูหนีไปกับอาจารย์ แต่สิ่งที่ฉันรู้และเห็นมาตลอด คืออาจารย์ภูมิศิลป์เป็นโสด เขาไม่เคยมีใครมานานมากๆ แล้ว และอุทิศทั้งชีวิตให้กับงาน เรื่องนี้ทุกคนเป็นพยานได้”

“แล้วยังไง พวกมันก็แค่เลิกกันไง กรรมตามสนองมันแล้ว”

วินทร์เงียบไปอึดใจ “พี่เพ็ญบอกว่าคุณพลูเสียหลังจากงานศพนายไม่นาน… เธอตรอมใจตายเพราะคิดถึงนาย”

ดวงตาของกฤตเบิกค้างด้วยความตกใจ “แกโกหก!”

“นี่คือความจริง!” วินทร์ยืนยัน “และตอนนี้เราก็คิดว่าเราเจอคุณพลูแล้ว”

“แกหมายความว่าไง”

“นี่ยังเป็นแค่ลางสังหรณ์กับการคาดเดาของฮาร์ฟ แต่ฉันคิดว่าเขาไม่น่าพลาด” วินทร์บอก “และมันก็เป็นความผิดของฉันด้วยส่วนหนึ่งที่ห้ามนายไม่ให้เข้าห้องล็อกเกอร์ ไม่งั้นเรื่องมันอาจจะจบเร็วกว่านี้ก็ได้”

“ไหนแกบอกว่าเธอตายไปแล้วไง!”

“ใช่! เธอตายไปแล้ว แต่ถ้าเธอไม่ได้ไปไหน ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่เพื่อรอนายกลับมาล่ะ… รอมาตลอดยี่สิบสี่ปี”


นรกรเดินเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ เขาเหลือบมองทางหางตาเห็นชายกระโปรงสีขาวโผล่วับแวมลงมาจากหลังตู้ล็อกเกอร์ใบแรกเหมือนอย่างที่เคยเห็นมานาน อย่างน้อยก็สิบปีนับจากวันที่เขาเข้ามาเรียนเฉพาะทางที่โรงพยาบาลแห่งนี้

หลังจากที่ได้ฟังพี่เพ็ญเล่า จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว ภาพติดตาของคนทั่วไป ‘ผี’ คือผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาว แต่สำหรับคนที่เห็นผีมาทั้งชีวิตอย่างเขาแล้วมันไม่ใช่ เขาไม่เคยเห็นผีตนอื่นผมยาวและสวมชุดขาว ทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่ชุดก่อนตายหรือชุดที่ญาติทำบุญมาให้ทั้งนั้น

ถ้าหากว่าลางสังหรณ์ของเขาถูก การที่ผู้หญิงตรงบันไดชั้นสองขึ้นมาหาเขาหน้าห้องผ่าตัดในวันที่กฤตธีโดนรถชน เรื่องที่คุณพลูเสียไปแล้ว และคุณพลูคือพยาบาลสาวสวยที่มีผมยาวมากๆ ทุกอย่างมันดูเข้าล็อกกันพอดี

“ผมมีเรื่องอยากถามครับ” ถามไปพลางก็เปลี่ยนชุดไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา “คุณชื่ออะไร แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ”

ใบหน้าที่เหลือแค่หนังแห้งเหี่ยวหุ้มกระดูกก้มมองลงมา เธอเอียงคอคล้ายกำลังนึกก่อนจะตอบด้วยเสียงยานคาง “ไม่รู้สิ… ฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน… เรื่องมันนานมาแล้ว”

นรกรพยักหน้า เพราะเวลาที่งวดเข้ามาทำให้ไม่มีเวลาถามต่อแล้ว เขาปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ “ผมจะไปช่วยชีวิตคนๆ หนึ่ง”

“ก็ไปสิ… ช่วยให้ได้นะ… แต่ถ้าตายก็มาอยู่ด้วยกัน”

“ต้องได้สิครับ” นรกรยืนยัน “ผมจะช่วยให้ได้เขาชื่อภูมิศิลป์เป็นอาจารย์ที่รักของพวกผม และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เขาอาจจะเป็นคนสำคัญของคุณก็ได้นะครับ”

“หมอพูดเรื่องอะไร… ใครคือภูมิศิลป์ แล้วเกี่ยวอะไรกับคนสำคัญของฉัน…”

“ถ้าอยากรู้ว่าผมพูดอะไร ก็นึกให้ออกสิครับว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดโดยไม่ต้องรอให้ผมบอกเลย” นรกรทิ้งท้าย “เดี๋ยวผมกลับมาแล้วเราค่อยคุยกันนะครับ”

OOOOO

“ไม่จริง! แกโกหก!!”

“ฉันไม่ได้โกหก ฉันบอกแล้วว่ามันเป็นแค่ลางสังหรณ์กับการคาดการณ์ของพวกเราและตอนนี้คนเดียวที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้นายก็ทำให้เขาอยู่อาการโคม่าไปแล้ว”

“ก็ดีแล้วไง ถ้ามันตายฉันจะได้คุยกับมันง่ายๆ ไง”

“แบบนั้นมันจะดีจริงๆ เหรอกฤต” วินทร์ถาม

“แน่นอน”

“ถึงแม้ว่าทั้งหมดนั่นจะเป็นความเข้าใจผิดของนาย… คุณพลูยังรักและรอนาย และอาจารย์ภูมิศิลป์ก็เป็นเพื่อนที่คอยดูแลคนรักของเพื่อนจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเธอ… ไม่มีการทรยศ ไม่มีใครหักหลังใคร ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด… แบบนี้แล้วมันยังดีจริงๆ เหรอกฤต”

“มันก็แค่นิยายที่พวกแกแต่งขึ้นมา! ฉันไม่เชื่อเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้หรอก!!”
 
OOOOO

ด้านในห้องผ่าตัดที่กำลังคร่ำเครียด ในขณะเจาะผ่านกะโหลกศีรษะลงไป ปลายสว่านก็ไปโดนแอ่งเลือดที่คั่งอยู่ทำให้เลือดกระเด็นขึ้นมาโดนแว่นตาของนายแพทย์ที่กำลังจับจ้องไปที่แผ่นบางๆ สีขาวขุ่นของเยื่อชั้นนอกซึ่งหุ้มสมองไว้อยู่ นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิ แต่บดบังทัศนวิสัย จะละสายตาไปจากงานตรงหน้าแม้เพียงชั่วครู่ก็กลัวจะเสียเวลา

และตอนนั้นเองที่ใครคนหนึ่งในชุดกาวน์ปลอดเชื้อเดินแทรกเข้ามา แวบแรกในใจของศาสตราจารย์สรวิชญ์คิดถึงผู้หญิงที่เป็นทั้งภรรยาที่ดีและเพื่อนร่วมงานที่รู้ใจ หากด้วยส่วนสูงที่มากกว่าก็ทำให้รู้ทันทีว่าไม่ใช่

ห้องผ่าตัดที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบไปกันใหญ่ คนอื่นๆ ลอบมองตากันต่างไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะได้ยินข่าวมาเหมือนๆ กัน จนกระทั่งคนที่เพิ่งมาถึงเอ่ยขึ้น

“ผมเปิดกะโหลกให้ครับ” นรกรพูดผ่านหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง

“รู้เหรอว่าฉันจะทำะไร” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามเสียงห้วน

“เลือดออกในสมองส่วนหน้าทั้งสองข้าง เราต้องทำการเปิดกะโหลกด้านหน้าออกทั้งสองฝั่ง”

“อืม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้ากับแผนการผ่าตัดที่เหมือนก๊อปปี้ออกมาจากสมอง แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นศัลยแพทย์ ขนาดพยาบาลที่ช่วยส่งของในเขตผ่าตัดยังรู้ขั้นตอนเลย

ถึงอย่างนั้นนั่นก็ทำให้เขายอมละสายตาหันไปให้พยาบาลที่อยู่นอกเขตผ่าตัดช่วยเช็ดแว่นตาให้

เมื่อเขาหันกลับมากะโหลกก็ถูกเปิดออกอย่างสวยงามเห็นก้อนเลือดที่คั่งอยู่ด้านใน และความรวดเร็วนั่นต่างหากที่ทำให้เขานึกชื่นชม ยังไม่ทันจะพูดอะไรนายแพทย์ที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยก็กล่าวต่อ

“ปริมาณก้อนเลือดที่คั่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ วัดจากภาพสแกนน่าจะราวๆ 60 CC ก่อนคนไข้เข้าห้องผ่าตัดตรวจค่าความเข้มข้นเลือดของคนไข้ได้ 35 vol% การผ่าตัดโดยเฉลี่ยเสียเลือดราว 500-1000 cc หรืออาจมากกว่านั้นถ้ามีภาวะแทรกซ้อน ผมขออนุญาตตามเลือดจากธนาคารเลือดมารอให้เลยนะครับ” นรกรหันไปสบตาศาสตราจารย์สรวิชญ์เพื่อขอความเห็น

“หมอจะเอากี่ถุงคะ” พยาบาลร้องถามพลางเปิดดูข้อมูลในแฟ้มที่ส่งมากับคนไข้ นรกรก็พูดต่อ

“ที่ ER จองเลือดไว้สี่ถุง พลาสม่าสี่ถุง เกร็ดเลือดอีกสิบถุง คุณพยาบาลช่วยคอนเฟิร์มให้ผมหน่อยครับว่าได้ครบไหม ถ้าได้แล้วขอเลือดมาเตรียมไว้ก่อนสองถุงครับ”

พยาบาลพยักหน้าตาม ข้อมูลทั้งหมดตรงตามที่เขาพูดทุกบรรทัด เธอจึงหันไปจัดแจงให้ตามที่ขอ

“จำเคสแม่นดีนี่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พึมพำผ่านผ้าปิดปากปิดจมูก

“เรื่องพื้นฐานที่ศัลยแพทย์ต้องรู้ก่อนผ่าตัด” นรกรตอบ “ไม่ใช่แค่ต้องรู้ว่าจะผ่าตรงไหน อย่างไรแต่ต้องจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ว่าจะโรคเดิม ผลเลือด ยาที่ทานในอดีตจนถึงปัจจุบัน ผลแลป จำนวนเลือดที่มีเพื่อวางแผนให้สอดคล้องกับการผ่าตัด และต่อให้มีโอกาสที่จะรอดชีวิตมีแค่ 1% เราก็ต้องช่วยให้เต็มที่ ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นหมอ แต่เพราะความหวังแค่นั้นมันก็มากพอแล้วสำหรับคนที่รอเขาอยู่ด้านนอกห้องผ่าตัด…. เรื่องทั้งหมดนี้คุณเป็นคนสอนผมเองนี่ครับ”

“ใช่ ผมสอน” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเรียบๆ “แต่วันนี้คุณพูดผิดไปอย่างหนึ่งนะหมอ”

นรกรกลั้นหายใจเตรียมรับคำต่อว่า แต่ถ้อยคำที่เอ่ยต่อมานั้นกลับช่วยเติมหัวใจที่เบาหวิวให้กลับเต็มตื้นขึ้นมาอีกครั้ง

“เคสนี้ไม่ได้มีความหวังแค่ 1%” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกพลางเพ่งสมาธิไปตรงเนื้อสมองที่กำลังทำการล้างเลือดที่คั่งออกและหยุดเลือดที่ไหลอยู่ตรงหน้า ถึงเขาจะเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่การที่มีอีกมือมาช่วยแบบนี้มันก็ดีกว่ากันเยอะเลย “เพราะมันคือ 100% ต่างหาก”

นรกรหันไปสบนัยน์ตาสีเทาที่มองมาและพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง

OOOOOO

กฤตยืนกำหมัดแน่น ภาพความทรงจำในหัวตีกันสับสน

“ฉันว่าแฟนแกกับไอ้ภูมิมันแปลกๆ หรือเปล่า”

คนถูกตั้งคำถามเหลือบตาขึ้นมอง “อะไรของแกที่ว่าแปลก”

“ก็แบบไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ วันก่อนฉันก็เห็นไปกินข้าวด้วยกัน”

“อ้อ! วันนั้นฉันอยู่เวรไม่ว่างพาพลูไปส่งบ้าน ภูมิมันเลยอาสาไปเอง คงแวะกินข้าวกันก่อนกลับล่ะมั้ง”

“เรื่องแบบนี้คนไม่ใช่แฟนทำแทนกันได้ด้วยเหรอวะ” คนถามยังไม่หยุดสงสัย”

“ในฐานะเพื่อนสนิทแฟนไง” กฤตหัวเราะพลางตบบ่าคนถาม “แกอะคิดมาก ไอ้ภูมิมันไม่ตีท้ายครัวฉันหรอกน่า”

“ระวังไว้หน่อยแล้วกัน แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”





“ทำไมแกถึงทำกับฉันแบบนี้ไอ้ภูมิ! ฉันอุตส่าห์ไว้ใจแกให้แกดูแลเธอแต่พวกแกสองคนกลับมารวมหัวกันหักหลังฉันแบบนี้น่ะเหรอ”

คนที่นั่งมาด้วยกันในรถเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ฉันขอโทษ”

“ขอโทษแล้วมันหายไหม” เขาถามย้ำหากคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ “ฉันถามแกว่ามันหายไหม ไอ้เพื่อนสารเลว!!”


ใช่! เขาไม่ได้เข้าใจผิด มันสารภาพกับเขาเอง… ที่เขาทำมันถูกต้องแล้ว ไอ้เพื่อนสารเลวคนนี้มันสมควรตายแล้ว

วินทร์เหลือบตามองกฤตสลับกับประตูห้องผ่าตัดเป็นระยะ เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังนั้นสั่นไหวไปจากเดิม เขาคิดว่ากฤตคงกำลังทบทวนเรื่องในอดีตและกำลังสับสนอยู่เหมือนกันเพราะถ้าเรื่องมันไม่เป็นอย่างที่เจ้าตัวคิดมาตลอดเท่ากับว่าเขากำลังจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปอีกคน

เข็มเวลาของคนรอคืบผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ละนาทีนั้นยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกันตร์ บรรดาแพทย์ประจำบ้านเดินวนกันเป็นหนูติดจั่นไม่มีใครเป็นอันทำอะไร

“อาจารย์วิมลภาส่งข้อความมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้รถติดมากเลยจะจอดรถแล้วนั่งวินมา” จิงโจ้ร้องขึ้นทำลายความเงียบ

“แกก็ตอบไปสิว่าพี่ฮาร์ฟไปช่วยแล้ว” อนุวัฒน์บอก “ไม่ต้องให้อาจารย์รีบมาก เดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่”

“ครับๆ” จิงโจ้พิมพ์ตอบยุกยิกปากก็บ่นงึมงำไปด้วย “นี่ถ้าพี่วินทร์ไม่ได้ทะเลาะกับอาจารย์สรวิชญ์อยู่เราก็คงไม่ต้องมานั่งลุ้นกันขนาดนี้ อย่างน้อยก็จะได้เข้าไปให้กำลังใจกันข้างใน”

“เงียบน่าไอ้โจ้” อนุวัฒน์พูดลอดไรฟัน “พี่ฮาร์ฟเข้าไปช่วยแล้วไง แล้วถึงพวกเราเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

“ก็ไปให้กำลังใจไงพี่วัฒน์”

อนุวัฒน์ถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก อย่างน้อยการได้ต่อล้อต่อเถียงกับจิงโจ้ก็ทำให้เส้นประสาทที่กำลังตึงเปรี๊ยะของเขาคลายลงบ้าง

วินทร์ก้มหน้าลงมองมือตัวเอง… นี่ไม่ใช่ที่ของเขา เขาไม่สมควรอยู่ที่นี่…

เขาหันไปมองกฤตอีกครั้ง เห็นว่าไม่มีทีท่าจะหนีหรือไปทำอะไรที่ไหนจึงแอบหลบฉากไปอีกทาง

OOOOOO

เลือดที่คั่งอยู่ถูกล้างออกจนหมด เลือดที่ไหลสามารถทำการหยุดได้เรียบร้อย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และสัญญาณชีพต่างๆ บนหน้าจอมอนิเตอร์นั้นก็คงที่เป็นที่น่าพอใจ

พยาบาลที่ทำหน้าที่ส่งเครื่องมือหยิบเข็มกับไหมสำหรับเย็บปิดแผลส่งให้ แต่ศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับไม่ยอมรับมา และกล่าวเสียงเรียบ

“ขอดูฝีมือเย็บหน่อยว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”

“ครับ อาจารย์”

นรกรรู้สึกหายใจทั่วท้องเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้าห้องผ่าตัดมา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ยืนชูนิ้วโป้งให้อยู่ตรงมุมห้อง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าปิดปากปิดจมูกอมยิ้มตอบก่อนจะยื่นมือไปรับเข็มกับไหมสำหรับเย็บแผลมา

OOOOOO

“เป็นไงบ้างครับพี่ฮาร์ฟ” จิงโจ้โผเข้าไปหาเป็นคนแรกทันทีที่เห็นนรกรเดินออกมาจากห้องผ่าตัด คนอื่นๆ ก็พลอยลุกตามกันไปด้วย

นรกรถอดผ้าปิดปากปิดจมูกออกแล้วพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง “ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้อยู่ห้องรอฟื้น เดี๋ยวจะส่งไปสังเกตอาการต่อที่ไอซียู พี่สั่งเจาะเลือดกับยาไว้แล้ว ฝากพวกนายดูต่อด้วยนะ”

“พี่ฮาร์ฟสุดยอด!”

“แล้วเป็นไงบ้างครับ” อนุวัฒน์ถามแบบรู้กันเพราะยังไม่เห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับออกมา

“อาจารย์เปลี่ยนชุดอยู่น่ะ พี่เลยออกมาบอกอาการกับพวกนายก่อนจะได้ไม่เครียด” นรกรว่า “แต่ถ้าพวกนายหมายถึงเรื่องนั้น… ก็ไม่มีอะไรทุกอย่างเรียบร้อยดีเหมือนกัน… ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”

นรกรรู้ว่าพ่อยังไม่หายโกรธเขา แต่การที่พ่อไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขานั้นก็มีความหมายมากเกินพอแล้ว เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยที่สุดพ่อก็ยอมรับเขาในฐานะหมอคนหนึ่งที่จะช่วยพ่อ… ที่จะช่วยคนไข้ไปด้วยกันได้

“รีบๆ ปรับความเข้าใจกันนะครับ” อนุวัฒน์ให้กำลังใจ

“ขอบคุณนะ” นรกรบอก “พี่ไปเปลี่ยนชุดก่อน พวกนายไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์ให้หน่อยเดี๋ยวพี่ตามไป”

“ครับ”

นรกรรอจนทุกคนแยกย้ายกันไปหมดจึงหันไปพูดกับคนที่สุดท้ายที่ยังยืนอยู่

“คุณกฤต ช่วยตามผมมาด้วยครับ”

“นายจะพาฉันไปไหน” กฤตถาม

“ไปหาคุณพลูครับ” นรกรตอบพลางเดินนำไปทางห้องล็อกเกอร์ เขามองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ ทั้งฝั่งของสายศัลยกรรมทั่วไปที่อยู่ห้องติดกันจึงเปิดประตูเข้าไป

“คุณครับ” นรกรเรียกผีสาวในชุดขาวบนตู้ล็อกเกอร์

เธอตวัดขาห้อยลงมาพร้อมกับชะโงกหน้าลงมาหา “มีอะไรหรือคะคุณหมอ”

“คุณจำผู้ชายคนนี้ได้ไหมครับ”

หญิงสาวเอียงคอมองอยู่อึดใจ “นั่นแฟนคุณหมอ” เธอชี้ไปที่ร่างโปร่งแสงของวินทร์ก่อนจะหันไปทางกฤต “นั่นก็แฟนคุณหมอ… มันเกิดอะไรขึ้นทำไมแฟนคุณยังเดินได้ทั้งที่วิญญาณออกจากร่างมาแล้ว…”

นรกรหันไปมองหน้าวินทร์

“ฉันก็เห็นเป็นหน้าตัวเองเหมือนกัน” วินทร์บอก

นรกรหันไปหากฤต “คุณจำเธอได้ไหม”

“ไม่รู้…” กฤตตอบตะกุกตะกัก “ฉันจำไม่ได้ นี่ไม่ใช่พลูที่ฉันรู้จัก… เธอไม่ได้หน้าตาแบบนี้”

นรกรล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและยื่นขึ้นไปบนหลังล็อกเกอร์ มันคือดอกลั่นทมที่พระท่านให้เขามาเมื่อหลายวันก่อน
 
“คุณจำดอกลั่นทมดอกนี้ได้ไหมครับ”

เธอเอียงคอมองอย่างสนอกสนใจ “ก็… สวยดี แต่… มันเหี่ยวแล้ว”

นรกรถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เธอตายมานานเกินไป เราต้องฟื้นความทรงจำเธอ”

“ทำยังไงล่ะฮาร์ฟ”

“หาสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อะไรที่แรงกว่านี้” นรกรบอก “แต่ก่อนจะทำแบบนั้น ผมขอถามคุณอีกครั้งได้ไหมครับคุณกฤต”

“อะไร”

“เธอคนนี้ใช่คุณพลู… ผู้หญิงที่คุณรักหรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่” กฤตตอบ

“ไม่ใช่จริงๆ เหรอครับ คุณลอง…”

“ฉันบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไง!” กฤตตะโกนจนเกือบจะตวาดแล้วก็ผลุนผลันออกไป

“ไม่ตามไปจะดีเหรอ” วินทร์ถาม

“เขาไม่ไปไหนไกลหรอกครับ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรด้วยที่เราจะไปบังคับให้เขาคิดว่านี่คือคุณพลู” นรกรพูดเรียบๆ พลางเก็บดอกลั่นทมใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวบนตู้ล็อกเกอร์อีกครั้ง

วินทร์เลิกคิ้ว “มีแผนอะไรเหรอไง”

“ไม่มีครับ” นรกรตอบตามตรง “ผมแค่พูดไปตามความจริง… ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ก่อนที่เราจะแก้ปัญหาได้เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่ามีปัญหา”

“ก็จริงน่ะนะ” วินทร์พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงต่อ… รอ?”

“ไม่ครับ” นรกรตอบ “แบบนั้นมันเสียเวลา ในเมื่อเขาไม่ยอมรับก็ช่างเขา ส่วนผมก็จะหาทางทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้”

“งั้นเราก็เริ่มตรงที่ต้องพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่านี่คือคุณพลู… ว่าแต่นายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน เพราะเท่าที่ฉันเห็นเธอก็แบบว่า… คือ… ไม่มีเค้าความสวยของผู้หญิงในรูปคนนั้นเลยนะ”

“ใช่เธอแน่นอนครับ” นรกรกล่าวหนักแน่น

“อะไรทำให้นายมั่นใจขนาดนั้น”

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเปิดรูปกฤตที่เขาถ่ายมาจากหนังสือรุ่นเมื่อหลายวันก่อน เขากดขยายภาพจนเต็มหน้าจอแล้วหันให้ดู “พี่วินทร์ลองดูให้ดีๆ สิครับ ว่าเขาหน้าคล้ายใคร”

วินทร์หรี่ตามองอยู่อึดใจ… จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้น… แต่พอเขาลองจินตนาการเปลี่ยนทรงผมในใจ ภาพของใครอีกคนก็ซ้อนทับขึ้นมาทันที “หมอนี่หน้าคล้ายไอ้ธีร์น้องชายนาย! ไม่สิต้องบอกว่าไอ้ธีร์หน้าคล้ายกฤตถึงจะถูก”

นรกรพยักหน้า “ใช่ครับ ผมนึกตั้งนานว่าเขาหน้าคุ้นๆ ที่แท้ก็คล้ายธีร์นี่เอง ผมไปสืบมาแล้วว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรอกนะครับ ก็แค่คนหน้าคล้ายกันเฉยๆ”

“อืม” วินทร์ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมนรกรถึงมั่นใจนัก “นายเคยบอกฉันว่าเธอเป็นแฟนคลับไอ้ธีร์ใช่ไหม”

นรกรพยักหน้า “ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน… ถึงจะแทบไม่เหลือความเป็นคนและความทรงจำแล้ว แต่ลึกลงไป… ฝังแน่นอยู่ในดวงวิญญาณ เธอยังคงจำคนที่เธอรักได้ และยังเฝ้ารอเขาอยู่”

“แล้วทำไมต้องจำเพาะเจาะจงมานั่งรอที่ตู้ล็อกเกอร์ใบนี้ด้วยล่ะ” วินทร์ตั้งข้อสังเกต

นรกรกวาดสายตาขึ้นลงมองตู้ล็อกเกอร์ตรงหน้าอย่างพิจารณา “พี่วินทร์ครับ… ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ มีใครเคยใช้ตู้ใบนี้ไหม”

วินทร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่มีนะ”

“แล้วเคยมีใครเปิดดูไหมครับว่ามีอะไรอยู่ข้างใน” นรกรถามต่อ

“เท่าที่จำได้ ก็ไม่มีเหมือนกัน หรือว่ามันจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน”

นรกรยกมือขึ้นสัมผัสประตูตู้ แล้วออกแรงดึงแต่ไม่ว่าจะดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออกทั้งที่ไม่มีกุญแจล็อก

“ลองตามช่างมางัดไหม” วินทร์เสนอ “มันอาจจะติดอะไรก็ได้”

“ผมคิดว่าช่างก็งัดไม่ออกครับ” นรกรบอกหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง “ที่มันเปิดไม่ออก ไม่ได้เกี่ยวกับประตูตู้ไม่ดี แต่เป็นเพราะเธอไม่ยอมให้เราเปิดต่างหาก”

ทั้งสองเงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังตู้ หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านบนใช้สองมือที่แห้งเหี่ยวเกร็งจับจับฝาตู้ไว้แน่น นัยน์ตาลึกโหลที่มองจ้องลงมาดูวาวโรจน์ขึ้นอย่างโกรธเคืองพวกเขาที่บังอาจมายุ่งกับของสำคัญของเธอ

**********************TBC****************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2019 01:29:09 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #883 เมื่อ11-02-2019 19:27:12 »

เหยยยย คุณพลู คือพี่สาวในห้องล็อคเกอร์
พีคไปอีกกกกกก

กฤตต้องใจเย็นกว่านี้ ยอมรับความจริงได้แล้ว
อย่าให้ความแค้นมาบังตา

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #884 เมื่อ11-02-2019 19:34:26 »

โอ้ยยยยย ผีที่เป็นเพื่อนฮาร์ฟมานาน คือคุณพลู ค้างไปอีก

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #885 เมื่อ11-02-2019 22:26:02 »

พีคในพีค..คคคคคคคค   o22 o22 o22

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #886 เมื่อ12-02-2019 12:22:12 »

มีเรื่องที่คาดไม่ถึงมาอีก :a5:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #887 เมื่อ12-02-2019 16:23:35 »

อ่านเรื่องนี้แล้ว ได้มีโอกาสไปดูซีรีย์ย้อนหลังเรื่อง เซนสื่อรักสืบวิญญาณ ทำให้รู้ว่า ตอนเป็นคน เลวและเห็นแก่ตัวยังไง ถ้าไม่มีสำนึก ตายกลายเป็นผีแล้วความเห็นแก่ตัวจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ตัวกูของกูเรื่องกูสำคัญที่สุดใครจะฉิบหายจากการกระทำของเราเท่าไหร่ มากมายยังไงก็ไม่สน  อ่านไปดูไป ขัดใจยิ่งนัก เลวววว

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #888 เมื่อ14-02-2019 09:18:38 »

โอ้โหหหห เปิดเผยเรื่องของส่วในห้องล็อกเกอร์แล้ว
พีคเลยยยยย ปัญหาปมของกฤตใกล้จะคลี่คลายแล้ว แต่เป็นกังวลปมร่างของพี่วินทร์จังเลย  :hao5:

ออฟไลน์ honeymic

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #889 เมื่อ15-02-2019 14:08:36 »

 ลุ้นค่ะลุ้น  ให้เดาก็คิดว่าน่าจะเป็นลอคเกอร์เก่าของคุณกฤต

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
« ตอบ #889 เมื่อ: 15-02-2019 14:08:36 »





ออฟไลน์ Maeo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #890 เมื่อ23-02-2019 09:02:25 »

 :a5:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #891 เมื่อ23-02-2019 21:14:10 »

บทที่ 15 เผชิญหน้า

“ผมอยากไปปรึกษาอาจารย์องค์อินทร์” นรกรบอกหลังจากที่เปลี่ยนชุดผ่าตัดเรียบร้อยและเดินออกมานอกห้องล็อกเกอร์

“นายคิดว่าเขาจะช่วยอะไรเราได้หรือไง” วินทร์ถาม

“อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ถึงจะช่วยไม่ได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลองดูนี่ครับ”

“ก็ตามใจนาย” วินทร์ตอบแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก “แต่ตอนนี้มืดแล้วนะ ไม่ใช่ว่าสำนักปิดไปแล้วเหรอ”

นรกรพลิกนาฬิกาขึ้นดู การผ่าตัดกินเวลานานกว่าที่เขาคิดไว้มาก แต่เขาก็ไม่อยากรอจนถึงวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าเข้าใกล้โอกาสที่จะช่วยทุกคนได้มากแล้ว ทุกคนจะได้หลุดจากบ่วงกรรมนี้ กฤตจะได้ไปสู่สุขคติและเขาจะได้ร่างของวินทร์คืนมาเสียที
“ลองไปดูก่อนก็ได้ครับ”

แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงลานจอดรถ ทั้งสองก็พบคนที่กำลังจะไปหาที่สำนักคนทรงเจ้าตรงทางเชื่อมระหว่างตึกซึ่งเป็นลานกว้าง ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ร่างทรงสูงวัยที่ปกติจะนุ่งขาวห่มขาวสำหรับทำพิธีเปลี่ยนมาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปิดบังรอยสักที่เป็นลายพร้อยเต็มตัวกับกางเกงขายาวสีสุภาพ ผมสีดอกเลายาวรุงรังถูกรวบและรัดไว้เรียบร้อยเหมือนทุกครั้งที่เขามาโรงพยาบาล มีแค่หนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวลงเจลจนแข็งขนาดลมพัดยังไม่กระดิกที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ เขายืนประสานมืออย่างสงบนิ่งคล้ายกับกำลังรอใครอยู่ และเมื่อทั้งสองเดินเกือบถึงตัว อาจารย์องค์อินทร์ก็เบนสายตามาหา

“เจอกันอีกแล้วนะพ่อหนุ่ม” ร่างทรงทัก “มีเรื่องอะไรอยากคุยกับข้าอย่างนั้นรึ”

“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ แล้วทำไมถึงรู้ว่าผมมีเรื่องจะคุยด้วย” นรกรถาม

หนวดทรงนายจันทร์หนวดเขี้ยวกระดิกเล็กน้อยเมื่อร่างทรงยกยิ้มมุมปาก “มาตรวจตามนัดไง พ่อหนุ่มลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อหนุ่มนัดให้มาตรวจนอกเวลาวันนี้ ครั้งก่อนเจอกันยังย้ำอยู่เลยว่าอย่าลืมนัด แต่กลายเป็นพ่อหนุ่มเสียเองที่ผิดเวลานัด”

นรกรกรอกตา ตกลงเขายังเชื่อได้อยู่ใช่ไหมว่าร่างทรงชื่อดังคนนี้มีฝีมือจริงๆ ไม่ใช่ของเลียนแบบหรือพวกโอ้อวดเกินจริงแบบที่รายการทีวีชอบนำเสนอ “ขอโทษครับ พอดีผมมีผ่าตัดด่วน เชิญตามผมมาครับเดี๋ยวผมตรวจให้”

“ถ้ามีเรื่องด่วนขนาดนั้น ตอนนี้นัดของข้าคงไม่สำคัญแล้ว” อาจารย์องค์อินทร์กล่าว “มีเรื่องร้อนใจอะไรรึ ถึงจะไม่ได้นัดล่วงหน้า แต่ข้าก็ยินดีให้คำปรึกษาพ่อหนุ่มนะ”

นรกรเหลียวมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคน เขาหันไปสบตาวินทร์ครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ผมต้องทำยังไงถึงจะทำให้ดวงวิญญาณที่ตายมานานมากๆ แล้วจำเรื่องของตัวเองได้ครับ”

“เรื่องนั้นพ่อหนุ่มมีคำตอบในใจอยู่แล้ว” อาจารย์องค์อินทร์บอก

“แต่มันต้องใช้เวลา ผมไม่อยาก…”

“เข้าใจว่าพ่อหนุ่มร้อนใจ แต่รีบไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา อีกอย่างพ่อหนุ่มทำใจได้แล้วอย่างนั้นรึที่จะปล่อยเขาไป”

“คุณหมายความว่าอะไรครับ”

 “การที่พ่อหนุ่มคิดจะช่วยวิญญาณที่น่าสงสารดวงนั้นเป็นเรื่องดี แต่เมื่อใดก็ตามที่เรื่องที่ติดค้างนั้นคลี่คลาย ‘วิญญาณทุกดวง’ ก็จะไปอยู่ภพภูมิที่เหมาะที่ควร”

“ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วนี่ครับ”

“ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ก่อนที่เราจะแก้ปัญหาได้เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่ามีปัญหา” อาจารย์องค์อินทร์กล่าวต่อ

นรกรเงียบฟัง นั่นเป็นประโยคที่เขาเพิ่งพูดกับวินทร์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“ในเมื่อตัวพ่อหนุ่มเองยังไม่เข้าใจถึงต้นเหตุของปัญหาแล้วพ่อหนุ่มจะแก้ปัญหาจริงๆ ได้อย่างไร”

“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมไม่เข้าใจปัญหาครับ” นรกรถาม

อาจารย์องค์อินทร์หันไปสบตาวินทร์ “พ่อหนุ่มคนนี้น่ะได้ใช้บุญกับกรรมหมดไปแล้ว…”

“อาจารย์” วินทร์ที่เงียบฟังอยู่นานขัดขึ้นทันทีแต่อาจารย์องค์อินทร์ไม่สนใจ

“รู้ไหมว่าความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร…”

“อาจารย์ ผมขอร้อง!”

“มันหมายความว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้ว” อาจารย์องค์อินทร์พูดต่อจนจบ

“โธ่… ผม… ฟังฉันก่อนนะฮาร์ฟ” วินทร์หน้าเสีย เขารีบหันไปหานรกรเพื่ออธิบาย

“เรื่องนั้นผมทราบอยู่แล้วครับ” นรกรพูดขึ้นอย่างใจเย็นด้วยสีหน้าที่ยังคงเป็นปกติ และนั่นทำให้ทุกคนแปลกใจมากทีเดียว

“ตั้ง… ตั้งแต่เมื่อไหร่ฮาร์ฟ” วินทร์ละล่ำละลักถาม

“ตั้งแต่แรก… วันที่กฤตฟื้นขึ้นมาในร่างพี่วินทร์ที่โรงพยาบาล” นรกรบอก

ตาคมเบิกโพลงด้วยความตกใจ “ทำไมนายถึงรู้…”

“พี่วินทร์ลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าตั้งแต่จำความได้ไม่มีวันไหนที่ผมไม่เห็นผี”

มันไม่เหมือนกัน… เค้าโครงที่เคยเห็นเลือนรางตอนเป็นอทิฏฐ์นั้นกลับชัดเจน เช่นเดียวกับร่างโปร่งแสงอื่นๆ
ไม่ถึงขั้นมั่นใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเชื่อใจ และรอ… รอวันที่วินทร์จะบอกกับเขาด้วยตัวเอง

“แสดงว่าพ่อหนุ่มพร้อมจะปล่อยเขาไปแล้วสินะ” อาจารย์องค์อินทร์ถาม

“เรื่องนั้นผมจัดการเองครับ” นรกรว่า “คำถามของผมคือทำยังไงวิญญาณของพี่สาวที่ห้องล็อกเกอร์ถึงจะจำเรื่องของตนเองได้เร็วที่สุดครับ”

“เปิดประตูที่ปิดตาย” อาจารย์องค์อินทร์ยอมตอบคำถามในที่สุด “แก้ผิดให้เป็นถูก”

“แค่นี้ใช่ไหมครับ ขอบคุณมากครับ” นรกรกล่าว “ผมเองก็ไม่มีอะไรจะถามอาจารย์แล้ว ถ้าเช่นนั้นขอเชิญที่ห้องตรวจ ผมจะ…”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี” อาจารย์องค์องค์แทรกขึ้น “ยาที่ให้ไปครั้งก่อนยังมีอยู่อีกมาก พ่อหนุ่มไม่ต้องเป็นห่วงข้า เอาเวลานี้ไปห่วงตัวเองเถอะ” พูดจบก็กลับหลังหันออกเดินไป

“นี่คุณ…”

“ขอให้โชคดี” อาจารย์องค์อินทร์กล่าวทิ้งท้าย

พอร่างทรงเดินลับตาไป วินทร์ก็หันไปสบตาคนข้างตัว มองลึกเข้าไปในดวงตาสีอ่อนตรงหน้า เขาคิดว่าจะได้เห็นความหวั่นไหวหรือเศร้าหมองแม้สักนิด หากมันยังคงแน่วแน่ไม่มีความลังเลเหมือนตอนที่ประกาศออกมาครั้งแรกว่าจะช่วยเขาให้ได้ไม่มีผิด
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่านรกรไม่รู้ถึงได้พยายามช่วยเขา แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่นรกรรู้อยู่แล้วว่าความหวังที่เขาจะกลับมานั้นริบหรี่กว่าเปลวเทียวในคืนวันฝนตกก็ยังยืนยันและยืนหยัดที่จะช่วยเขาโดยที่ไม่เคยเผยด้านอ่อนแอให้เขาเห็นแม้สักครั้ง

บนไหล่เล็กๆ นั่นแบกความรู้สึกหนักอึ้งไว้มากมายขนาดไหนกัน ทุกรอยยิ้มที่ส่งมาให้ต้องกล้ำกลืนอะไรลงไปบ้าง เขาไม่เคยรู้และประมาณค่าไม่ได้เลย

ที่นรกรเคยต่อว่าเขาไว้มันถูกทุกอย่าง ทั้งที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เขากลับไม่กล้าแชร์ส่วนที่เป็นทุกข์ให้อีกฝ่ายรับฟัง แบกรับความรู้สึกที่ต้องเข้มแข็งและอยากจะปกป้องรอยยิ้มนั้นไว้ทั้งที่จริงแล้วเป็นตัวเองต่างหากที่ได้รับการปกป้องจากอีกฝ่ายมาตลอด

“ขอโทษนะ”

“เรื่องอะไรครับ”

“ฉันน่าจะบอกนายด้วยตัวเอง” วินทร์บอก “นายรอให้ฉันพูดอยู่ใช่ไหม”

“ครับ”

วินทร์เงียบไปอึดใจก่อนจะสารภาพความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมา “ฉันกลัว”

“พี่วินทร์กลัวอะไรครับ”

“ทีแรกฉันคิดว่าตัวเองกลัวนายจะเสียใจ… กลัวนายทำใจไม่ได้… กลัวว่านายจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีฉัน” วินทร์หยุดเว้นวรรคไปเล็กน้อย “แต่หลายวันมานี่นายแสดงให้เห็นว่านายอยู่ได้ถ้าไม่มีฉัน นายไปทำงานได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ… แล้วฉันก็เข้าใจว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันกลัวคือเรื่องที่ต้องไปจากนาย กลัวว่านายจะมีคนใหม่ และที่กลัวที่สุดคือกลัวว่าวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปตัวเองจะหายไปจากความทรงจำของนาย… และฉันก็ยังมีเรื่องที่ต้องบอกนายอีกเต็มไปหมด สองปีที่ได้อยู่กันมันไม่พอ… มันยังมีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ ฉันกลัว…” จู่ๆ เสียงของเขาก็ขาดหายไปเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่อก

“ผมก็กลัวเหมือนกันครับ” นรกรบอก “ทุกอย่างที่วินทร์พูดมาผมกลัวหมดเลย วันแรกผมกลัวจนไม่กล้ามองหน้าพี่วินทร์ตรงๆ ด้วยซ้ำ เพราะมันตอกย้ำความคิดที่เวียนวนอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าเวลาของเราไม่มีเหลือแล้ว… กลัวจนอยากจะร้องไห้ แต่ผมร้องไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมเข้มแข็งแต่ผมทำให้พี่วินทร์มีห่วงมากกว่านี้ไม่ได้ แล้วตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่า ถ้าครั้งนั้นพี่วินทร์กลับมาได้เพราะผม ครั้งนี้ผมก็จะทำให้พี่วินทร์กลับมาให้ได้แต่จะต้องไม่ใช่วิธีเดิม เพราะฉะนั้นผมถึงหันมาเผชิญหน้ากับความกลัวแล้วก็สู้กับมัน สู้เพื่อที่จะพาพี่วินทร์กลับมา แล้วผมเองก็ต้องขอโทษพี่วินทร์ด้วย”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่คิดเองเออเองว่าที่พี่วินทร์ไม่ยอมบอกผมตรงๆ เป็นเพราะพี่วินทร์ยังอยากอยู่กับผมใช่ไหมครับ”
คำพูดที่เคยให้กันไว้เมื่อนานมาแล้วดังขึ้นในหัว

…ถ้าคุณจะไป ผมคงไม่รั้งคุณไว้ แต่ถ้าคุณเลือกที่อยู่ คุณจะมีผมอยู่ข้างๆ นะ…
“ใช่ไหมครับ… ผมไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”

วินทร์สบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองมา มันยังคงมั่นคงเหมือนเดิมนับแต่เอ่ยคำสัญญานั้น และถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนไป ก็คงจะเป็นความรักที่เพิ่มขึ้นทุกๆ นาทีละมั้ง

เขาเคยกลัวที่จะตอบคำถามนี้เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดว่ามันยากเกินไปอีกแล้ว “ฉันอยากกลับไปอยู่กับนาย” เขารู้ว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่นรกรต้องการคือคำยืนยันจากปากของเขา “นายคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้า และนี่เป็นรอยยิ้มที่สวยงามและจริงใจที่สุดในรอบหลายวันมานี้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ นรกรรีบกดรับสายจิงโจ้ที่โทรมาด้วยความร้อนใจ และสิ่งที่ปลายสายบอกมาก็ทำให้เขาต้องออกวิ่งเป็นครั้งที่สองในรอบวัน

OOOOOO

นรกรวิ่งมาถึงไอซียูโดยไม่หยุดพัก เปิดประตูเข้าไปได้ก็พุ่งตรงไปยังห้องผู้ป่วยที่น้องๆ แพทย์ประจำบ้านยืนรุมกันอยู่ “เกิดอะไรขึ้นจิงโจ้”

จิงโจ้ส่งแฟ้มให้ ในขณะที่อนุวัฒน์รายงานผลให้ฟังพร้อมกับเดินนำไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเปิดภาพผลสแกนสมองรอไว้แล้ว “ระดับความรู้สึกตัวลดลง ม่านตาเริ่มขยายและความดันเลือดก็สูงขึ้นมาก ตอนนี้ให้ยาลดความดันจนจะถึงระดับสูงสุดแล้วแต่ความดันยังไม่ลดลง ผมเลยส่งทำ CT scan ซ้ำ ไม่มีเลือดออก แต่คนไข้มีภาวะสมองบวมเพิ่มขึ้นมากครับ”

นรกรอ่านผลอย่างละเอียดอีกครั้ง ผลเป็นอย่างที่อนุวัฒน์ว่า และอาการทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นอาการของความดันในกะโหลกศีรษะสูงโดยไม่ต้องสงสัย  หากปล่อยไว้นานกว่านี้สมองจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ เหมือนกับนับถอยหลังรอเวลาเวลาระเบิด “ให้ยาลดการบวมของสมอง”

“ข่าวร้ายครับพี่” จิงโจ้ว่า “คุณพยาบาลโทรมาบอกว่าตอนนี้ของขาดโรงพยาบาล พี่ฮาร์ฟจะใช้ยาตัวไหนแทนดีครับ”

นรกรนิ่งคิดอยู่อึดใจ ยาตัวอื่นที่พอใช้ได้ก็มีอยู่แต่ประสิทธิภาพต่างกันค่อนข้างมาก แล้วเขาก็นึกถึงยาตัวใหม่ที่ภาษิตพรรณาสรรพคุณกรอกหูทุกวันกับผลงานวิจัยที่เพิ่งไปรับฟังมา แต่ด้วยข้อดีข้อเสียที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับเพราะยังไม่ได้นำมาใช้ในวงกว้างและยังไม่ได้อนุมัติให้นำมาใช้อย่างถูกต้องในโรงพยาบาลทำให้เขาต้องปรึกษาคนที่มีอำนาจเหนือกว่า

“นายคิดจะใช้ยาของหมอนั่นใช่ไหม” วินทร์ถามราวกับอ่านความคิดของเขาออก “พ่อนายจะยอมเหรอ ได้ข่าวว่ายังไงก็ไม่ยอมนี่ ถึงขั้นปฏิเสธคำเชิญแล้วส่งนายไปแทน”

“ผมจะลองคุยดูก่อน”

เพราะไม่อยากทะเลาะกับบุพการีให้น้องๆ ได้ยิน นรกรจึงเดินหลบฉากออกมายืนคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอก

เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุด เตรียมพร้อมข้อมูลในหัว การถกปัญหาเรื่องงานกับศาสตราจารย์สรวิชญ์ยังคงเป็นเรื่องยากเสมอ ยิ่งมีเรื่องที่พวกเขาทะเลาะกันจนถึงขั้นไม่มองหน้า แต่จากที่เผชิญหน้ากันในห้องผ่าตัดเมื่อสักครู่ อย่างน้อยศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็ยังเป็นคนเดิมที่เขารู้จัก… คนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจนแม้กับลูกชายเพียงคนเดียว สำหรับคนอื่นอาจฟังดูแย่ แต่สำหรับเขามันก็แค่กลับไปเริ่มต้นใหม่

และตอนนี้เวลามีไม่มากแล้วเขาต้องคุยกับพ่อให้รู้เรื่องแม้ว่าพ่อจะไม่อยากคุยกับเขาก็ตาม
นิ้วเรียวกดปุ่มโทรออก หูคอยฟังจังหวะที่เสียงรอสายจะกลายเป็นเสียงคนพูด แต่แล้วสัญญาณก็หลุดไป เขากดโทรซ้ำจนถึงครั้งที่สามซึ่งจู่ๆ เสียงก็ไปกลางคันเหมือนโดนกดตัดสายทิ้ง

นรกรลดโทรศัพท์ลงมองกำลังจะกดโทรหาเป็นครั้งที่สี่เสียงห้าวก็ดังขึ้นด้านหลัง
“โทรหาฉันมีอะไร”

เขาสะดุ้งหันไปเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กำลังเดินตรงมาหา ใบหน้าของศาสตรจารย์สรวิชญ์นั้นเครียดขมึงจนนรกรรู้สึกตกประหม่า เขาเตรียมใจที่จะคุยแค่โทรศัพท์ และการคุยโดยที่มีหน้ากากปิดไว้ครึ่งหน้าในห้องผ่าตัดนั้นก็ง่ายกว่าคุยแบบเผชิญหน้าตรงๆ เยอะเลย

“เอ่อ… พ่… อาจารย์ครับผมมีเรื่องจะปรึกษา เรื่องอาการของอาจารย์ภูมิศิลป์น่ะครับ”

“ว่ามาสิ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเสียงห้วน

นรกรเล่าอาการและปัญหาให้ฟังก่อนจะจบด้วยแนวทางแก้ไขของเขา “จากผลงานวิจัยที่นำเสนอมาพบว่าสามารุช่วยลดอาการบวมของสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ เทียบกับยาตัวเดิมคิดเป็น 20% และยังมีผลข้างเคียงน้อยกว่า อาจารย์คิดว่ายังไงครับ”

“คิดรอบคอบดีเแล้วใช่ไหม” นั่นเป็นทั้งคำตอบและคำถามเชิงคาดคั้นที่มากับน้ำเสียงเฉียบขาด

“ครับ”

“ก็ลองดู”

“แล้วอาจารย์ไม่มีความเห็นอะไรเลยเหรอครับ”

“แกตัดสินใจแล้วนี่”

“พ่อกำลังจะโยนความรับผิดชอบนี้ให้ผมแบกไว้คนเดียว”

“พ่อไม่ได้โยน แต่พ่อกำลังส่งต่อให้ต่างหากฮาร์ฟ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว “ฟังนะฮาร์ฟ สิ้นเดือนนี้พ่อก็จะหมดความรับผิดชอบทุกอย่างในฐานะหัวหน้าภาควิชาแล้ว ข้อแรกคือพ่อไม่อยากโดนด่าตามหลังว่าวางแนวทางอะไรไว้ให้คนรุ่นหลัง ข้อสอง ต่อเนื่องจากข้อแรก คนที่ต้องใช้คือพวกลูกและคนที่รับผลจากยาเหล่านั้นคือคนไข้ที่ให้ความไว้วางใจยกชีวิตให้ลูกรักษา ดังนั้น ลูกก็คิดเอาเองละกันว่าควรทำยังไง และนี่คือเหตุผลที่พ่อให้แกไปประชุมแทน”

นรกรนิ่งงันไปอึดใจ ช่วงปีหลังที่เขาพยายามพูดกับพ่อให้มากขึ้นทำให้เห็นอะไรที่ต่างออกไปจากมุมมองของตัวเองในวัยเด็กมากมาย นัยน์ตาสีเทายังคงแข็งกร้าวแต่เขาในวันที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็เริ่มเข้าใจถึงความเป็นห่วงและความหวังดีที่มาพร้อมกับความดุนั้น “พ่อครับ”

“อะไรอีก”

“วันนั้นผมขอโทษที่เสียงดังใส่” นรกรบอก “ผมเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงโกรธ สิ่งที่พ่อเห็นและเข้าใจมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องซึ่งพ่อสมควรโกรธ แต่ผมก็อยากให้พ่อฟังเรื่องที่ผมอยากจะอธิบายบ้าง”
กลายเป็นฝ่ายศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่เงียบไปบ้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไว้วันหลังค่อยไปคุยกันที่บ้าน”

“เอ่อ…”

“ตอนนี้อาการของอาจารย์ภูมิศิลป์สำคัญกว่า ถ้าแกคิดจะใช้ยาก็รีบโทรหาภาษิตเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในไอซียู

“มีเบอร์โทรหรือเปล่า” วิมลภาที่ยืนฟังอยู่ห่างๆ เดินเข้ามาถาม

“มีครับ” นรกรตอบ “เอ่อ… ผมเองก็ต้องขอโทษแม่ด้วยนะครับ”

“จริงๆ เรื่องพฤติกรรมเปลี่ยนนี่มันก็อธิบายได้ตามทฤษฏีเรื่องกระสมองกระทบกระเทือนล่ะนะ” วิมลภาเอ่ยขึ้น “แต่มันก็… เหตุการณ์ที่เกิดมันเกินที่ใจพ่อเขาจะรับไหว… แม่ก็ด้วย แล้วเรื่องที่ทะเลาะกันมันก็เลยเลยเถิดไปหน่อย จนถึงขั้นที่ต่อว่าลูกเรื่องที่ลูกเป็นแบบนี้น่ะ”

“ผมเข้าใจครับ”

“ซึ่งตรงจุดนี้พ่อเขาก็พยายามทำความเข้าใจอยู่นะ” วิมลภาเปิดกระเป๋าสะพายและหยิบเอาแผ่นพับใบหนึ่งออกมาส่งให้ “เผื่อว่านี่จะทำให้คืนดีกันง่ายขึ้น”

นรกรรับมาเปิดดูมันคือเอกสารเชิญชวนเข้าสัมมนาเรื่องความหลากหลายทางเพศ และวันที่จัดงานนั้นก็ตรงกับวันที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ให้เขาไปประชุมแทน

“พ่อลูกบ้านนี้ปากแข็งพอกัน” วิมลภาบอกแกมบ่น “ทั้งๆ ที่หันหน้ามาคุยกันจะเร็วกว่าแท้ๆ… ให้ตายสิ! เมื่อกี้ลูกก็อุตส่าห์ขอโทษแล้วแท้ๆ ยังจะทำเมินอีก เมื่อกี้ยังพูดชมกับแม่อยู่เลยแท้ๆ ว่าฮาร์ฟฝีมือดีขึ้นเยอะแล้ว”

นรกรนึกถึงคำที่พ่อเพิ่งจะบอกให้เขาไปคุยกันที่บ้านทั้งที่ตอนที่ทะเลาะกันประกาศกร้าวว่าอย่าให้เขาไปเหยียบบ้านอีก เขามองแผ่นพับในมือ… แค่นี้ยังไม่พอหรอก เขาต้องขอโทษพ่ออีกครั้งและต้องคุยกับพ่อให้มากขึ้นอีก เขาจะปล่อยให้พ่อพยายามอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไงล่ะ “ขอบคุณนะครับแม่”

“แม่เข้าไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์ก่อนนะ ฮาร์ฟรีบโทรให้คุณภาษิตเอายามาเลยนะ”
นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งและกดโทรออก คราวนี้รอเพียงแค่อึดใจปลายสายก็รับ “สวัสดีครับคุณพาส ผมมีเรื่องรบกวนหน่อยครับ”

“อะไรหรือครับคุณหมอ” เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างสดใสเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครโทรมา
“ผมอยากให้คุณช่วยนำยามาให้หน่อยได้ไหมครับ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมเสียงคุณหมอฟังดูรีบร้อนจัง”

“พอดีเรามีคนไข้วิกฤตที่จำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่มที่ช่วยลดอาการบวมของสมองน่ะครับ”

“สำหรับคุณหมอไม่มีปัญหาครับ” ภาษิตอบ มีความลังเลปนมาในน้ำเสียง “แต่มันจะดีเหรอครับ เพราะยาตัวนี้ยังไม่ได้อนุมัติใช้ในโรงพยาบาลเลยนะครับ ถ้าผมเอาไปให้ใช้จะมีความผิดหรือเปล่า”

“ผมรับผิดชอบเองครับ แล้วก็ถ้าการรักษาในคนไข้รายนี้เป็นได้ด้วยดี ผมคิดว่าศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็คงไม่ลังเลที่จะเซ็นอนุมัติแน่ๆ”

“แต่ว่า…” น้ำเสียงของภาษิตยังมีความไม่แน่ใจ

“ทำไมหรือครับ”

“มันก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดีนี่ครับ”

“แล้วคุณต้องการอะไรครับ”

“ก็ผมอุตส่าห์เอายาไปให้คุณทั้งที่ค่ำมืดดึกดื่นขนาดนี้ แถมต้องแวะไปเอายาที่บริษัทอีก ไกลก็ไกลอย่างน้อยผมก็ควรจะได้ค่าตอบแทนอะไรบ้างนะครับ”

“คุณอยากได้เท่าไหร่ครับ”

“ผมไม่อยากได้เงินครับ”

“แล้วคุณอยากได้อะไร”

“คุณเลิกกับผู้ชายคนนั้นให้ผมได้ไหมครับ”

“นี่คุณ มันไม่ใช่เวลา…”

“เวลามีน้อยไม่ใช่หรือครับ รีบคิดรีบตัดสินใจครับ”

นรกรเงียบไปอึดใจ “ช่วยเอายามาให้ที่โรงพยาบาลด้วยครับ”

“เกิดอะไรขึ้นฮาร์ฟ หมอนั่นว่าไง” วินทร์ถามหลังจากที่นรกรวางสายด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“เขาเสนอข้อต่อรองเพิ่มมาครับ”

“อะไรเหรอ”

“เขาขอให้ผมเลิกกับพี่วินทร์”

“เดี๋ยวนะ!” วินทร์โวยขึ้นทันที “แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน เล่นสกปรกไม่พอ นี่แผนชั้นต่ำมากเลยนะเอาคนไข้มาเป็นข้อต่อรองแบบนี้”
“พี่วินทร์ใจเย็นๆ ก่อนครับ”

“จะเย็นยังไงไหว เมื่อกี้นายตกลงกับมันไปแล้ว แล้วจะยังไง เมื่อกี้นายเพิ่งเริ่มคุยกับพ่อได้ จะหาเรื่องบ้านแตกอีกรอบเหรอ… อ้อ! แล้วนี่ฉันเล่าให้นายฟังหรือยังว่าตกลงคนที่หมอนั่นมันเล็งไว้คือฉันไม่ใช่นาย เมื่อเช้าตอนที่มันเอารูปที่นายคุยกับไอ้ปอมาให้ดูมันแอบหอมแก้มฉันด้วย”

“พี่วินทร์นอกใจผมเหรอ”

“ฉันยืนเฉยๆ มันหอมของมันเองเว้ย!”

“แล้วทำไมตอนที่เล่าให้ฟังทีแรกไม่เล่าให้หมดครับ”

“ก็…”

“ว่าแต่ผม ตัวเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันน่ะแหละ”

“เพราะตอนนี้คนที่อยู่ในร่างพี่วินทร์เป็นกฤตหรอกนะ ถ้าวันหลังยอมให้คนอื่นมาทำแบบนี้อีก ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

“จ๊ะ พ่อคนขี้หึง” วินทร์รับคำพร้อมกับส่งตาหวานให้คนที่มองเขาตาเขียวปั๊ดกลับมา “แล้วตกลงเรื่องนายภาษิตนั่นจะเอายังไง”

“ถ้าเขาอยากได้พี่วินทร์” นรกรเอ่ยขึ้น “ก็ยกให้เขาไปครับ”

“อ้าว เฮ้ย!”

“ยังไงเขาก็จะได้แต่ร่างของพี่วินทร์ไป… ถ้าคุณกฤตยอมน่ะนะ ซึ่งผมว่าเขาไม่เล่นด้วยแน่นอน รู้แบบนี้ผมค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าจะต้องไปเปลืองตัวกับคนอื่นอีก”

“เดี๋ยวนี้ปากคอเลาะร้ายนะเราน่ะ” วินทร์แกล้งว่า

“เราเข้าไปดูอาจารย์ภูมิศิลป์กันเถอะครับ”

“เปลี่ยนเรื่องเก่งด้วย” วินทร์ยังไม่หยุดแซว เขาจึงได้ค้อนวงใหญ่กลับไปอีกหนึ่งที
อีกราวหนึ่งชั่วโมงต่อมาภาษิตก็มาถึง นรกรรีบลุกเดินไปหา

“ยาอยู่ไหนครับ”

“อยู่นี่ครับ” ภาษิตยกถุงที่ใส่กล่องยาเอา... แล้วเอกสารล่ะครับ”

“คุณต้องรอพรุ่งนี้ครับ เพราะตอนนี้อาจารย์สรวิชญ์กลับบ้านไปแล้ว” นรกรตอบพร้อมกับเอื้อมมือไปจะหยิบถุงยาแต่ภาษิตขยับหนี

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ ถ้าเช่นนั้นอีกเรื่องที่เราตกลงกันไว้ล่ะครับ”

“ผมต้องรีบเอานี้ไปช่วยชีวิตคน ขอยามาก่อนแล้วเราค่อยคุยกันได้ไหมครับ”

“แต่ผมกลัวคุณจะเปลี่ยนใจน่ะสิครับ”

“คุณพาสครับ” นรกรเอ่ยเสียงเรียบ “ผมได้ยินเรื่องทั้งหมดจากพี่วท์แล้วครับ ผมรู้แล้วครับว่าคุณวางแผนอะไรไว้”

“รู้แล้วคุณจะทำยังไงล่ะครับ”

“ก็ไม่ทำอะไรครับ ก็แค่ปล่อยให้คุณทำตามที่คุณต้องการ”

“หมายความว่าคุณจะยอมยกหมอวินทร์ให้ผมง่ายๆ อย่างนั้นหรือครับ”

“เขาไม่ใช่สิ่งของเพราะฉะนั้นผมไม่สามารถยกเขาให้ใครได้หรอกครับ” นรกรตอบ “ถ้าหากว่าคุณรักเขาก็พิสูจน์ด้วยการทำให้เขาเห็นสิครับ ไม่ใช่มายุ่งกับผมแบบนี้”

“แต่มันก็ได้ผลไม่ใช่หรือครับ เพราะดูเขาก็ไม่ไดัรังเกียจผม อ้อ! หรือว่าคุณไม่กล้าเลิกเพราะกลัวขี้ปากชาวบ้าน ขนาดเรื่องที่เขาไปเล่นจ้ำจี้กับเรียนแพทย์ในรถดังไปทั่วขนาดนั้นคุณยังปกป้องเขาเลยนี่นา ถ้าอย่างนั้นผมยอมให้คุณเป็นเมียหลวงนั่งสวยๆ หน้ารถก็ได้ แต่พอผ่านประตูโรงพยาบาลแล้วรบกวนแวะส่งเขาลงกลางทางที่หน้าบ้านผมด้วยนะครับ”

“พูดจบแล้วก็ขอยาด้วยครับ” นรกรไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาเถียงคนไม่เก่งแต่เขาไม่เห็นประโยชน์อันใดกับการคุยกันครั้งนี้ ความรักมันขอกันไม่ได้ และเขาเชื่อมั่นในคำพูดตัวเองว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ตราบใดที่วินทร์ยังรักเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร

“อย่าลืมที่คุยกันวันนี้นะครับ” ภาษิตบอก

นรกรรับยามาและเดินไปคุยรายละเอียดกับคุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินกลับมาหาภาษิตอีกครั้ง “รบกวนสอนวิธีการเตรียมยาให้คุณพยาบาลด้วยนะครับ”

ภาษิตยิ้มการค้าให้พร้อมกับเดินตามเธอไปยังรถเตรียมยา “ไม่ทราบว่าต้องใช้กับคนไข้คนไหนหรือครับ”

“นี่ค่ะ” พยาบาลสาวผายมือบอกไปยังห้องที่อาจารย์ภูมิศิลป์นอนพักรักษาตัวอยู่

“นี่… หมอภูมิไม่ใช่หรือครับ”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ใช่ครับ”

“เอ่อ… เขาเป็นอะไรมาหรือครับ”

“อุบัติเหตุรถชนน่ะครับ ตรงสี่แยกหลังโรงพยาบาลตอนนี้อาการเป็นตายเท่ากัน” นรกรตอบ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ภาษิตหน้าซีดเผือด “ปะ…เปล่า ครับ ขอให้หายไวๆ นะครับ” พูดจบเขาก็รีบเดินออกจากห้องไป

นรกรมองตามหลังคนที่รีบร้อนออกไปด้วยอาการแปลกๆ แล้วหันหน้าไปมองร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องคนไข้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้พี่วินทร์ไม่ต้องกลับบ้านนะครับ”

OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่14 สิ่งสำคัญ P.30[11/02/2562]
«ตอบ #892 เมื่อ23-02-2019 21:17:09 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ในหอผู้ป่วยอาการหนักบรรยากาศเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมของเครื่องช่วยหายใจกับเสียงสัญญาณจากหน้าจอมอนิเตอร์ดังสลับกันมาเป็นระยะ

นางพยาบาลสาวที่เข้าเวรกะดึกในคืนนี้เดินเข้าไปดูคนไข้ในห้อง ตรวจระดับความรู้สึกตัวและหยดน้ำยาของยาตัวใหม่ที่เพิ่งทดลองใช้เป็นครั้งแรกให้ไหลในอัตราปกติ เธอถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งด้วยความอัดอั้นใจที่ต้องรับหน้าที่ดูแลคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในระยะเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองคน ทั้งเป็นห่วงและเสียใจสิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีแค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดและเชื่อมั่นในการรักษาของทีมเท่านั้น
เธอกลับหลังหันแล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อพบกับแขดที่ไม่ได้รับเชิญมายืนที่ด้านหลัง

“อุ๊ย!”

“ขอโทษครับ”

“ตกใจหมดเลยค่ะ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะ คุณภาษิต”

หนุ่มหน้าตี๋มองไปที่คนไข้บนเตียงครั้งหนึ่ง “ผมมาดูว่าการให้ยาเรียบร้อยดีไหมน่ะครับ เห็นว่าเป็นยาตัวใหม่เผื่อจะมีปัญหาอะไร แล้วก็เอายามาให้เพิ่มด้วยครับเพราะผมคำนวณดูแล้วยาขวดนี้จะหมดตอนแปดโมงเช้ากลัวว่ารถติดจะมาไม่ทัน”

“การให้ยาไม่มีปัญหาค่ะ” พยาบาลสาวตอบพลางหันกลับไปมองอาจารย์ภูมิศิลป์ครั้งหนึ่ง “ขอบคุณนะคะที่เอายามาให้ ขอให้ยาของคุณได้ผลนะคะ ช่วงนี้มีแต่ข่าวให้ใจคอไม่ดีเลยเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหมอวินทร์ก็เพิ่งเกิดเรื่องไปยังไม่หายดีเลยแท้ๆ”

“ผมขออยู่เฝ้า… เอ่อ… ดูความเรียบร้อยของวิธีการให้ยาสักครู่นะครับ”

“ได้ค่ะ เชิญตามสบายเลย” เธอกล่าวพร้อมกับเดินออกไป

ภาษิตค่อยๆ ขยับเข้าไปยืนข้างเตียง เขากวาดตามองใบหน้าซีดเซียวและสายที่ต่อระโยงระยางออกมาเต็มไปหมด เขาเดินอ้อมไปดูขวดยาของตน ทำเป็นจับนั่นจับนี่ดูความเรียบร้อย ไล่มือไปตามสายน้ำเกลือที่สอดสายไว้ที่หลังมือ ภาษิตวางมืตัวเองทับลงไป มันเย็นเสียจนเขาใจสั่น เขาบีบนั้นส่งผ่านความอบอุ่นไปให้พร้อมกับถ้อยคำจากหัวใจ

“สู้นะครับ พ่อ”

หยดน้ำใสพยายามจะผลักตัวเองออกมาทางหางตา ภาษิตเงยหน้าดันมันกลับเข้าไป เขาปล่อยมือและรีบกลับออกไป
นางพยาบาลสาวมองผ่านตรงหน้าเคาน์เตอร์เห็นหนุ่มหน้าตี๋กลับออกไปแล้วจึงหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเวร “คืนนี้มีคนมาเยี่ยมอาจารย์ภูมิศิลป์เยอะจัง”

“มีแต่คนเป็นห่วงอาจารย์นี่นา” เพื่อนกล่าวก่อนจะหันไปทักทายใครอีกคนที่เพิ่งเดินออกมา “อาจารย์วินทร์ก็ไปนอนพักเถอะค่ะ มีอะไรเดี๋ยวพวกหนูโทรตาม”

ร่างสูงพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป

กฤตในร่างวินทร์ก้าวไปตามทางที่ว่างเปล่า เพราะความเงียบเขาจึงได้ยินทุกถ้อยคำที่ภาษิตพูดชัดเจน และมันทำให้เกิดความสับสนขึ้นในใจ

ไหนว่าไม่มีใคร… แล้วนี่ลูกใคร… แล้วใครเป็นแม่ของผู้ชายคนนี้

ตกลงเขาเชื่อสองคนนั่นได้ไหม หรือมันก็แค่คำโกหกซ้ำซ้อนเพื่อที่จะไล่ให้เขาไปพ้นๆ สักที

***************************************************TBC********************************************************


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #893 เมื่อ23-02-2019 22:06:03 »

หืม...มมมมมมมมมมมมมมมมมมม    :ruready :ruready :ruready

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #894 เมื่อ24-02-2019 05:46:16 »

เอาแล้วววววว มาเพิ่มอีกปมนึงแล้วจ้า

พาส กับ อาจารย์ภูมิศิลป์

แล้วกฤตจะตามไปเอาเรื่องพาส โดยใช้ร่างวินทร์มั้ยอ่ะ

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #895 เมื่อ24-02-2019 15:28:21 »

 :katai1: โอ้ยยยยย มาอีกปม พาสคือลูกรึเปล่านี่

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #896 เมื่อ24-02-2019 19:12:50 »

ซับซ้อนกว่าเรื่องหลักอีกนะคะนี่

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #897 เมื่อ24-02-2019 19:53:46 »

อ้าวววว ซับซ้อนเพิ่มขึ้นอีกปม พาสเป็นลูก แล้วใครเป็นแม่ ใช่คุณพลูไหม  หรือจริง ๆ เป็นลูกของกฤตกับคุณพลู เดามั่วซั่วหมดแล้วววววว :katai1:

ออฟไลน์ Wordstringer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #898 เมื่อ25-02-2019 20:09:45 »

กรรม !? เพิ่มมาอีกปม  :a5:
พอเรื่องนี้จบ สงสัยผมต้องไปทำบุญล้างซวยให้คู่หมอฮาร์ฟ - หมอวินทร์แล้วล่ะครับ  :katai1:
มีแต่ปัญหาประเดประดังเข้ามา จนมึนไปหมด  :really2:
(ขออย่าให้ร่างกายของหมอวินทร์ ถูกกระทำระยำตำบอนโดยนายพาเสีย เลยนะครับ  :sad4: :sad4: :sad4: รับบ่ได้)

ปล.คนเขียนสู้ ๆ ครับ  :L2: :L2: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2019 20:15:39 โดย Wordstringer »

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่15 เผชิญหน้า P.30[23/02/2562]
«ตอบ #899 เมื่อ27-02-2019 07:21:07 »

มีปมเพิ่มมาอีกหนึ่ง  :a5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด