ตอนที่ 17 : ความคิดถึงของเบิ้ม
ทริปเที่ยวคุณหญิงเป็นคนวางตารางทั้งหมด เบิ้มเลยแทบไม่ต้องทำอะไร นอกจากคอยจับตาดูเด็กเวรไม่ให้เดินหลง และ...
“ทำไมภาพเบลอแบบนี้ล่ะเบิ้ม!”
เป็นตากล้องให้สองแม่ลูก
โอ้ละหนอชีวิต เป็นสตั้นท์แมนดีๆ หาเรื่องเป็นบอดี้การ์ด จากนั้นก็โดนใช้เป็นช่างกล้องซะงั้น แล้วโปรดดูความหนาล่ำบึกของเบิ้มซะก่อน คนที่สนใจแต่ศาสตร์การต่อสู้ จะไม่เข้าใจหลักการถ่ายรูปมั้ย เอะอะก็หน้าชัดหลังเบลอ ถ่ายรูปคนสวยอย่างเดียวไม่ได้ต้องถ่ายวิวสวยด้วย ถ้าเด็กเวรเผลอกะพริบตาคนโดนด่าก็เบิ้มอีก แล้วยังคุณหญิงที่เป็นสายแฟชั่นจ๋า ภาพทุกภาพต้องออกมาเก๋ไก๋มีสไตล์ เงาต้องตกกระทบใบหน้าพอดี ภาพถ่ายต้องดูเหมือนเผลอทั้งที่ไม่เผลอ จังหวะลมพัดก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ผมต้องปลิวสลวย แต่ไม่รู้ทำไม เบิ้มถ่ายออกมาทีไรผมปลิวบังหน้าตลอดอย่างกับผี
เที่ยวกันมาเกือบอาทิตย์ ไอ้เบิ้มไม่เคยรู้ไร้ค่าขนาดนี้มาก่อน
ให้ไปดริฟๆ ยังง่ายกว่ากดชัตเตอร์!
“เบิ้ม ทำไมถ่ายสะพานโกลเด้นเกทแหว่งแบบนี้ล่ะ”
นั่น เอาอีกแล้ว พอเป็นเรื่องภาพถ่าย คุณหนูกับคุณหญิงเข้าขากันดีมาก ประหนึ่งว่าเบื้องหลังจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่เรื่องรักษาหน้านั้นยอมไม่ได้ ต่อให้ต้องยิ้มจนเหงือกแห้ง ตากแดดตากลมก็ยอม ขอแค่มีรูปที่สวยที่สุดไปลงอวดบนอินเตอร์เน็ต!
เบิ้มขอแปะมือกับคมสันได้มั้ย
ให้ตามติดดูแลเด็กเวร บังคับให้กินผักน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องถ่ายรูปเนี่ยไอ้เบิ้มขอเถอะ!
ผลคือหลังจากเล่าเรื่องนี้ให้คนรักฟัง คมสันก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพียงได้ยินใจเหี่ยวๆ ของไอ้เบิ้มจากการโดนด่าของสองแม่ลูกต่างวัยก็พองฟู เพราะตั้งแต่มาเที่ยวต่างประเทศ คมสันก็แทบไม่ยิ้มเลย
พวกเขาคุยกันทุกเช้า เพราะทั้งคุณหญิงและเด็กเวรต่างตื่นสายทั้งคู่ มีแต่ไอ้เบิ้มนั่นแหละที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม ถ้ามีเวลาเป็นต้องไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ที่พัก เห็นแบบนี้แต่ที่ต่างประเทศมีสวนเยอะกว่าที่ประเทศไทยซะอีก...
และเพราะเวลาที่ต่างกัน เมื่อเบิ้มตื่น คมสันก็มักอยู่ที่บ้านในห้องนอนเตรียมหลับทุกที
แต่วันนี้มาแปลก
เพราะภาพที่ปรากฏในจอโทรศัพท์ระหว่างพวกเขาวีดีโอคอลอยู่นั้น คือโต๊ะทำงานของผู้ช่วยเลขา
“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอสัน”
(( มีงานค้างที่อยากสะสางให้เสร็จในวันนี้น่ะ ))
คมสันตอบ ประหนึ่งเป็นพนักงานดีเด่นผู้คร่ำเคร่งกับงาน แต่ไม่ใช่หรอก คมสันอยากตามมาใจจะขาด เลยได้แต่ฝืนตัวเองทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อจะได้จบโปรเจ็กต์เร็วๆ
ต่อให้กลับบ้านก็ไม่มีใครอยู่
งั้นสู้ทำงานที่บริษัทยังดีกว่า เพราะบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์นั้นมีห้องพักสำหรับดาราที่ถ่ายละครจนดึกด้วย คมสันสามารถทำเรื่องขอใช้ห้องนั้นในการพักผ่อนชั่วคราวได้ แม้ห้องจะเล็กแคบ ไม่มีห้องน้ำส่วนตัวก็ตาม
ทุกวันเวลาโทรหากัน คมสันแทบจะไม่เล่าเรื่องฟังตัวเอง แต่เป็นผู้ฟังที่ดีเวลาเบิ้มเล่าเรื่องคุณหนู แผนเที่ยวของคุณหญิงคือบินมาที่แคลิฟอร์เนีย พักที่ซานฟรานซิสโก แล้วให้คุณหนูไปเรียนภาษาที่โรงเรียนสอนสำหรับชาวต่างชาติหนึ่งเดือน จากนั้นค่อยไปเที่ยวเล่นกันที่รัฐอื่น อย่างแกรนแคนยอนก็ถูกคุณหนูตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องไปให้ได้
ฉะนั้นในช่วงนี้หลังรอเด็กชายกิจภัทรเลิกเรียน พวกเขาเลยได้แต่เที่ยวเล่นในแถบแคลิฟอร์เนีย โกลเด้นเกทนั้นไปเกือบสิบครั้งแล้ว เป็นสถานที่ฝึกถ่ายรูปของเบิ้ม สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ไม่ต้องพูดถึง คุณหนูโวยวายอยากจะไปตั้งแต่วันแรกที่มาถึงด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่านอนซมเพราะเจ็ตแล็ก สถานที่กินข้าวประจำคือเพียร์ 39 แต่เบิ้มไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ อเมริกามีแต่พวกของทอด เบอร์เกอร์ เฟรนฟราย ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่คุณหนูแสนจะเป็นปลื้ม ว่างๆ ก็ไปนั่งตากลมดูแมวน้ำแถวนั้น เพราะที่เพียร์ 39 มีแมวน้ำรวมตัวกันเยอะมาก นกนางนวลยิ่งไม่ต้องพูดถึง...
ยังไงก็ตาม ไอ้เบิ้มปลื้มคุกอันคาทราชเป็นพิเศษ อยากจะพาคมสันมาเที่ยวด้วย เพราะไปกับเด็กเวร...โดนเกาะหนึบแทบยังต้องปลอบเด็กอีก ในโลกที่แสนจะเพอรเฟ็คได้รับการกรองอย่างดีจากคมสัน ทำให้เด็กชายกิจภัทรแทบไม่เคยต้องมาดื่มด่ำกับประวัติดำมืดของคุกที่ได้ชื่อว่ารักษาความปลอดภัยสูงสุดของเกาะกลางน้ำแห่งนี้
อาจเพราะเรียนโรงเรียนนานาชาติ ทักษาการฟังของเด็กเวรเลยไม่เป็นปัญหา ที่ติดขัดอย่างเห็นได้ชัดคือการพูด เพราะเรียนกับเด็กไทย เลยไม่ค่อยจับกลุ่มพูดภาษาอังกฤษเท่าไหร่ การส่งไปเรียนเสริมที่นี่เลยได้ผลดี ส่วนไอ้เบิ้มนั้นไม่ต้องห่วง เขาเคยมาเรียนต่อและเกือบได้ทำงานที่ต่างประเทศ ทั้งทักษะการฟังและพูดผ่านฉลุย แถมยังมีใบขับขี่สากล พาชมรอบเมืองได้สบาย
(( พรุ่งนี้ฉันจะขึ้นเครื่อง ))
“จะไปจีนอีกแล้วเหรอ” เบิ้มถามระหว่างนั่งพักที่สวนสาธารณะเพื่อจะได้จ้องหน้าคนรักให้หายคิดถึง เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนพวกเขาอดติดต่อกันเพราะคมสันต้องบินไปจีนเพื่อคุยงาน เพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันนี่เอง
(( ไปหานาย ))
หัวใจไอ้เบิ้มถึงกับเต้นรัว
“ปิดโปรเจ็กต์ได้แล้วเหรอสัน”
(( ใช่ )) คมสันเอ่ยทั้งรอยยิ้มบางชวนให้จับจูบ (( ถ้าไม่คิดว่าจะปิดงานนี้ได้ ฉันไม่เอาสัญญาไปที่จีนด้วยตัวเองหรอก ))
คนรักของเขาเก่งที่สุด แม้ว่า...รอยยิ้มนั้นจะให้อารมณ์ชวนเสียวสันหลัง เกรงว่าการไปจีนที่เบิ้มคิดว่าไปทำงานธรรมดานั้น...จะไม่ธรรมดาสำหรับคนในบริษัทสักเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้ยังเคยพึมพำให้ฟังอยู่แท้ๆ ว่าทางนั้นคุยยาก แต่ไม่ถึงเดือนก็สรุปจบแล้วยังบินสัญญาไปให้เซ็นด้วยตัวเอง ต้องมีอภินิหารกำลังภายในแหงแซะ!
ด้วยความที่เป็นคนรักที่ดี เบิ้มเลยเลือกที่จะไม่ถาม....
((เช้าวันพรุ่งนี้มีประชุมครั้งสุดท้ายเรื่องนี้กับประธาน ส่วนช่วงบ่ายฉันจะไปสนามบิน ขอลาเรียบร้อยแล้ว ))
ที่แท้คมสันนั่งทำงานดึกดื่นก็เพราะจะเคลียร์งานคั่งค้างทั้งหมดในการขอพักยาวนี่เอง
“คิดถึง...” พอรู้ว่าคนรักใกล้จะมาหา ไอ้เบิ้มก็แสดงความในใจไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะจี้ใจดำ ทำให้คมสันเจ็บช้ำซะเปล่าๆ ที่อยู่คนเดียว
(( คิดถึง... ))
ไอ้เบิ้มใจเต้นแรงอีกครั้ง ยากนักที่คมสันจะพูดคำหวานกับเขา
(( คุณหนู ))
...อืม ก็ไม่ผิดกับที่คิดเท่าไหร่ คมสันแสดงความรักต่อคุณหนูอย่างเปิดเผยทั้งการกระทำและคำพูด แต่กับไอ้เบิ้มเนี่ยต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะพูดให้ชื่นใจสักนิดก็ไม่มี
ไอ้เบิ้มชินแล้ว ถ้าไม่ชิน คงไม่คบกันได้ราบรื่นขนาดนี้หรอก
เพราะคมสันที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักและชวนให้เขาอยากรักมากๆ
“อย่าหักโหมนะ ใต้ตานายคล้ำแล้ว”
(( ไว้นอนบนเครื่องบิน )) คมสันตอบทันที บ่งบอกว่าคืนนี้อาจจะโต้รุ่ง
เบิ้มถอนหายใจเฮือก คมสันดื้อไม่แพ้เด็กเวรเลย
แต่ถ้าพูดออกไปมีหวังชีวิตจะไม่ยืนยาว
เพื่อการครองรักที่หยั่งยืน เบิ้มเลยเลือกปิดปาก แล้วเตรียมอำลากับคมสันเพราะใกล้เวลาตื่นนอนของเด็กเวร
“จะให้บอกคุณหนูมั้ยว่านายจะมา”
(( ไม่ต้องหรอก ไว้ค่อยเซอร์ไพรส์ ))
เบิ้มยิ้ม ที่ยิ้มเพราะรู้ว่าคมสันไม่ได้ตั้งใจจะเซอร์ไพรส์หรอก แต่เพราะคิดถึงคุณหนูแทบจะขาดใจ หากบอกเรื่องนี้ให้รู้เด็กชายกิจภัทรจะต้องรีบโทรมาหาแน่ และจะทำให้คมสันที่ตั้งใจโต้รุ่งไม่มีสมาธิทำงาน
คิดจะเป็นเขยแต่งเข้า ก็ต้องยอมรับการเป็นที่สองในใจคมสัน
แต่พอคิดว่าต้องไปแข่งขันกับเด็กเวร...เบิ้มก็...ยอมแพ้ดีกว่า
อนาคตเมื่อโตขึ้นก็ต้องมีคนรัก เมื่อนั้นคมสันคงจะปล่อยๆ บ้าง แล้วพวกเขาก็จะมีชีวิตคู่รักที่หวานซาบซ่านสมใจสักที
...รึเปล่านะ
“แล้วเจอกันครับ”
(( อืม แล้วเจอกัน ))
เพราะการบินจากไทยมาอเมริกา แทบจะเรียกได้ว่าข้ามวันข้ามคืน เช้าวันต่อมาเบิ้มเลยต้องเก็บความตื่นเต้นไว้เต็มที่ระหว่างพาเด็กเวรไปส่งที่โรงเรียนหลังแวะส่งคุณหญิงไปช้อปปิ้ง ทั้งคู่ไม่รู้เรื่องคมสันจะมา ให้ถูกคือ...เบิ้มเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคมสันจะมาถึงกี่โมง
เสนอตัวไปรับก็ไม่ยอม บอกว่าจะมาเซอร์ไพรส์
แต่โทษเถอะ มีหรือจะปิดเบิ้มได้ เขารู้หรอกว่าทำไม
บางครั้งคมสันก็มีความคิดแปลกๆ อย่างเช่นสภาพตัวเองตอนนั่งหลับบนเครื่องหลายสิบชั่วโมงโดยไม่ได้อาบน้ำนั้นจะไม่ยอมให้ใครเห็นเด็ดขาดเนี่ย...เบิ้มแสนจะอ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน ไม่เห็นต้องทำตัวให้ดูดีเพอร์เฟ็คตลอดเวลาก็ได้นี่นา แต่นั่นคงเป็นศักดิ์ศรีบางอย่างของคมสัน ซึ่งเขายังไม่หาญกล้าพอจะไปแย้งในตอนนี้
“วันนี้มีเรื่องดีๆ เหรอคะ”
“ครับ?”
เบิ้มยืนส่งเด็กเวรเดินเข้าโรงเรียน เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าถ้าไม่มองจนมั่นใจว่าเด็กเวรเข้าห้องเรียนถูก เขาก็จะไม่ไปไหน
“ก็เห็นเดินยิ้มมาแต่ไกลเลย”
คู่สนทนาของเขาคือฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์คอยต้อนรับผู้ปกครองและอธิบายรายละเอียดการเรียนแก่ผู้สนใจ แม้คุณหญิงจะเป็นคนหาข้อมูลให้ แต่เบิ้มต้องมาติดต่อแล้วพาเด็กเวรมาดูด้วยตัวเองว่าถูกใจหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้เบิ้มเลยค่อนข้างสนิทกับเธอ เพราะต้องถามละเอียดยิบๆ ทั้งเรื่องหลักการสอน สังคมในห้องเรียน ระบบความปลอดภัย และอีกหลายอย่างที่คมสันกำชับไว้...
บางครั้งเวลาไม่รู้จะไปไหนเบิ้มก็จะนั่งรอมันตรงนี้จนกว่าเด็กเวรจะเลิกเรียน หญิงสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์จึงกลายเป็นเพื่อนคุยที่ดี เธอเล่าให้ฟังว่าเพิ่งเลิกกับแฟนที่เจ้าชู้ เลยอยากหาคนใหม่ที่ดูซื่อบื้อจริงใจ ถ้าเบิ้มมีคนรู้จักก็แนะนำได้
แน่นอนว่าเบิ้มไม่ได้แนะนำจริงจังนัก เลยออกไปทางคุยเล่นและลามมาเรื่องงานอดิเรกและความชอบมากกว่า ตอนเธอรู้ว่าเบิ้มเคยถูกทาบทามมาทำงานที่อเมริกาก็ตาวาว ชื่นชมจนไอ้เบิ้มแทบลอย
“วันนี้ก็นั่งเฝ้าเหมือนเดิมเหรอคะ”
“เอ่อ...ครับ” เพราะไม่รู้ว่าคมสันจะมาถึงกี่โมง และมั่นใจว่าที่แรกที่คมสันมาเยือนจะต้องเป็นโรงเรียนที่เด็กเวรเรียนอยู่ เบิ้มเลยตั้งมั่นปักหลักไม่ไปไหนเด็ดขาด
“อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาพักฉันแล้ว ไปทานข้าวด้วยกันมั้ยคะ”
“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ผมซื้อเบอร์เกอร์มาตุนไว้แล้ว” เบิ้มชูถุงกระดาษที่ใส่เบอร์เกอร์สามชิ้นสำหรับมื้อเที่ยงของตัวเอง ถึงจะไม่ค่อยชอบ แต่ต้องยอมรับว่าสะดวกในการพกและรับประทานจริงๆ
“อีกไม่กี่วันก็จะครบเดือนแล้วนะคะ”
“ครับ” แม้เบิ้มจะไม่ใช่คนพูดมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเสียมารยาทกับคู่สนทสนา อย่างน้อยก็ต้องมีอืออาขานตอบบ้างไม่ให้เสียกำลังใจ
“ถ้าครบเดือนแล้วจะไปไหนกันเหรอคะ”
“วางแผนไว้ว่าจะขับรถเที่ยวน่ะครับ ขับรถเลียบถนนชมวิวไปลาสเวกัส ลอสแองเจอลิส แล้วก็ไปแกรนเคนยอน...จากนั้นค่อยนั่งเครื่องบินไปนิวยอร์ค” เบิ้มเล่าแผนการเที่ยวคร่าวๆ ให้ฟัง
“งั้นเราคงไม่เจอกันแล้วสินะคะ”
เบิ้มไม่ตอบ แต่ยิ้มให้
“น่าเสียดายจัง” เธอรำพึง พอดีกับได้เวลาพัก เลยเดินไปเปลี่ยนเวรกับเพื่อนร่วมงานอีกคน ก่อนจะเดินมาตรงหน้าเบิ้ม “จะไม่ไปทานข้าวด้วยกันจริงๆ เหรอคะ”
เบิ้มชูถุงเบอร์เกอร์อีกครั้ง
“งั้นถ้า...ฉันไม่ได้ชวนไปกินข้าว แต่ชวน...” พลันใบหน้านั้นค่อยๆ ยื่นเข้าใกล้ ด้วยสัญชาตญาณของเดอะแฟลช ระยะห่างแค่นี้ทำให้เบิ้มหลบเลี่ยงได้ไม่ยากเย็น แต่ช่างพอดีเหลือเกิน เพราะตอนที่เธอกำลังปรายตาเชิญชวนอยู่นั้น สมาธิทั้งหมดของเบิ้มจดจ่ออยู่แต่ร่างที่ผลักประตูเข้ามา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดลำลองพอดีตัว ไม่ได้สวมสูทเหมือนเคยแต่ความสง่านั้นยังเต็มร้อย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินนั้นตัดกับท่อนแขนขาวผ่อง รองเท้าหนังที่สวมใส่เสมอกลายเป็นรองเท้าผ้าใบสีขาว เส้นผมสีดำที่มักเปิดเสยข้างหนึ่งด้วยเจลถูกปัดทัดหูลวกๆ ปล่อยให้ส่วนที่เหลือปรกใบหน้า ดูเซ็กซี่ทรงเสน่ห์ สะกดไอ้เบิ้มให้มองตาค้างเข้าอย่างจัง
และก็เปิดโอกาสให้หญิงสาวที่จ้องจะจีบเบิ้มนั้นฉวยโอกาสก้มจูบอย่างว่องไว
แม้ในสายตาของเบิ้มจะมีแต่คมสัน แต่การโดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้เขาขยับหลบทันท่วงที แต่ก็ไม่แคล้วโดนจูบข้างแก้มแทนริมฝีปาก วินาทีนั้น ดวงตาใต้กรอบแว่นของคนรักพลันเปล่งประกายเจิดจ้าแทบจะแผดเผาไอ้เบิ้มให้เป็นจุล เขารีบผลักหญิงสาวตรงหน้าออก ก่อนจะเดินตามหลังคมสันที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา ก็ผลักกลับออกไป
“สัน!”
เบิ้มลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น
เอาตรงๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคมสันโกรธอะไร เพียงแต่พอเห็นคนรักเดินหนีก็เดินตาม เป็นสัญชาตญาณของพ่อบ้านใจกล้าที่ควรมีติดตัว
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วนี่...ไปที่บ้านแล้วสินะ” เบิ้มอมยิ้มเมื่อได้กลิ่นสบู่จากตัวคนรักและเพิ่งสังเกตเส้นผมที่แห้งหมาด คมสันคงถือโอกาสที่ไม่มีใครอยู่บ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วค่อยมาหาที่โรงเรียนสอนภาษา
อย่าแปลกใจทำไมเบิ้มเรียกบ้าน พวกเขามากันหลายคน และทั้งคุณหญิงกับคุณหนูจำเป็นต้องมีห้องส่วนตัว ก็เลยไม่ได้พักที่โรงแรม แต่จองบ้านเช่าแทน
“หอมจัง” ไอ้เบิ้มอยากจะกอดคนรักแทบแย่ อเมริกาเป็นประเทศที่ค่อนข้างเปิดเผย จะมายืนกอดกันตรงข้างถนนก็ไม่เป็นไร ติดก็แต่คมสันเดินขึ้นรถรางว่องไว ทำเอาเบิ้มต้องตามขึ้นไปแทบไม่ทัน
บนนั้นมีคนเบียดเสียดพอสมควร ไอ้ที่คิดอยากจะทำเลยไม่ได้ทำ
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านพัก เบิ้มที่คิดจะบอกคมสันว่ารถยนต์จอดอยู่ที่โรงเรียนจะขึ้นรถรางทำไมก็ไม่ทันแล้ว ถึงจะบื้อแค่ไหนก็จับอารมณ์สงบนิ่งที่ไม่ธรรมดาของคมสันได้ เบิ้มยืนกุมมือเจี๋ยมเจี้ยมเดินตามหลังอีกฝ่ายที่เดินนำไปที่ห้องนอน...ของเบิ้ม บ้านนี้มีห้องนอนสามห้อง แยกเป็นของคุณหญิง คุณหนู และของเบิ้ม แน่นอนว่าคมสันที่เพิ่งตามมาสมทบนั้นจะไปแย่งที่นอนอีกสองคนไม่ได้ ให้นอนโซฟาก็ไม่มีทาง ฉะนั้นการที่มานอนกับเบิ้มนั้นเหมาะสมดีแล้ว คุณหนูไม่ทันฉุกใจสงสัยแน่
แม้ช่วงหลังมานี้พวกเขามักนอนคุยกันบนเตียง แต่เวลามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน คมสันมักเดินไปนั่งไขว่ห้างตรงปลายเตียง และตอนนี้คนรักของเขาก็ตวัดขาไขว่ห้างในมุมคุ้นตา
“สัน...หรือว่านายโกรธเรื่องฉันโดนหอมแก้ม? ที่นี่ทักทายแบบนั้นเป็นเรื่องปกตินะ”
“อ้อ แสดงว่าทำบ่อยสินะ” คมสันเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าเยือกเย็น แต่ดวงตาใต้กรอบแว่นที่ตวัดจ้องมานั้นเล่นเอาไอ้เบิ้มเสียววาบๆ
“ไม่ใช่แบบนั้น เอ่อ...แต่ก็ใช่”
เบิ้มตอบตามจริง คมสันไม่โกหกกับเขา เบิ้มเลยปฏิญาณว่าจะไม่พูดโกหกกับคนรักเหมือนกัน ที่อเมริกาการกอดจูบเป็นเรื่องปกติ ตอนมาเรียนต่อก็โดนผู้หญิงจูบแก้มผู้ชายโผกอดออกบ่อยไป
ก็ไอ้เบิ้มเป็นผู้ชายตัวใหญ่ที่ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่นา
“นายบอกว่าไม่เคยโดนจีบ”
“ใช่ครับ”
คมสันหรี่ตาจับผิดกับคำตอบในทันทีทันใดอย่างมั่นใจของเบิ้ม
“ไม่เคยมีใครจีบมาก่อนเลย” เห็นสายตานั้นมองประเมิน เบิ้มเลยยิ้มประจบ “สันจีบคนแรกเลยครับ”
“อย่างนี้นี่เอง”
อะไร ทำไม เบิ้มไม่เข้าใจ แต่คมสันกลับเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
เรื่องมันง่ายนิดเดียว
ก็แค่คนที่คิดว่าเพิ่งมีรักแรกอย่างเบิ้ม ดันไปสร้างรักแรกหรือไม่ก็รักที่สอง สาม สี่ให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว!
เบิ้มตัวสูงมาก เรียกได้ว่าเกินร้อยเก้าสิบ รูปร่างกำยำบึกบึน เวลายืนกับผู้หญิงไทยแล้วดูเหมือนยักษ์กับคนแคระ ไม่ใช่ผู้หญิงไทยเตี้ย แต่ด้วยสรีระคนส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยเหมาะสมกับเบิ้ม ยิ่งเบิ้มบ้าออกกำลังกาย ออกกองนอกสถานที่จนดำคล้ำ คลุกกับวงการบันเทิงที่มีคนหน้าตาดีตัวเลือกเยอะ ทำให้เวลาเบิ้มอยู่ประเทศไทย ไม่ค่อยมีคนมาจีบหรือถูกตาต้องใจเท่าไหร่
แต่พออยู่อเมริกา ความคมเข้ม ความสูงใหญ่กำยำ กลับโดนใจผู้หญิงที่นี่เข้าอย่างจัง และด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่าง ทำให้ไอ้เบิ้มคนนี้ไม่เคยคิดถึงเรื่องชู้สาว เห็นการกอดจูบเป็นเรื่องธรรมดา จะชวนไปกินข้าวเฮฮาสังสรรค์นั่งเบียดแนบชิดก็ไม่แปลกอะไร
ถ้าไม่รุกซึ่งหน้าแบบคมสัน ยากนักที่จะทำให้เบิ้มรู้ตัว!
และคนไม่รู้ตัวคนนั้นก็กำลังมึนงงกับคนรักที่จู่ๆ ก็ลุกจากปลายเตียง แล้วเดินมากระชากคอเสื้อให้โน้วตัวลงมาประกบจูบ
ความคิดถึง ความคะนึงหา ปรากฏขึ้นมาในวินาทีที่พวกเขาจุมพิตกัน เบิ้มลืมเลือนความขัดแย้งเมื่อครู่แล้วเตรียมจะกอดคนรักเพื่อจุมพิตให้แนบแน่นยิ่งขึ้น แต่ไม่ทันได้ทัน คมสันก็ผลักออกเขาออก
“สัน?”
“มานี่...”
วินาทีนั้น เบิ้มคล้ายโดนสะกด มองคนรักที่เดินไปถอดแว่นวางบนหัวเตียง พลางเสยผมเผยให้เห็นดวงตาเรียวชี้ที่แฝงความร้ายกาจแกมออกคำสั่ง สมองพลันว่างเปล่า เดินตามนิ้วเรียวที่กระดิกเรียกนั้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะใจเต้นถี่เมื่อคมสันผลักอกเขาให้ลงไปนอนหงายกับเตียง พร้อมร่างที่ขึ้นมาคร่อมทับด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
คมสันค่อยๆ ถอดกระดุมเบิ้มทีละเม็ดจนหมด ปลายนิ้วสวยลูบตามกล้ามเนื้อของเบิ้มแกมหลงใหล ดวงตาที่ปราศจากแว่นปิดบังเปล่งประกาย บั้นท้ายกดทับส่วนกลางลำตัวของเบิ้มที่เริ่มปูดโปน
เบิ้มหายใจติดขัด รู้สึกบรรยากาศเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากจะบีบเคล้นฟ้อนเฟ้นร่างคนตรงหน้า แต่ไม่ทันจะเอื้อมมือสัมผัสสนองความต้องการ คมสันพลันจับมือเบิ้มทั้งสองให้วางนาบกับเตียงแล้วใช้เข่าตัวเองกดทับ พร้อมส่งยิ้มวายร้าย
“ห้ามขยับ”
ในท่านั่งคร่อมที่แยกขาออกเล็กน้อยเพื่อกดทับช่วงแขนของเบิ้ม อีกทั้งปลายนิ้วซุกซนที่เปลี่ยนจากลวนลามกันเป็นถอดกระดุมเสื้อตัวเองบ้าง ทำให้เบิ้มกลืนน้ำลายหนืดคอไม่กล้าขัดขืนคำสั่ง เบิ้มมองตามทุกการกระทำของคมสันไม่กะพริบ ราวกำลังลุ่มหลงในเวทมนตร์ของจอมมาร โดยเฉพาะยามที่อีกฝ่ายแกะกระดุมแค่สามเม็ดก็หยุดมือ แล้วเปลี่ยนไปถอดกางเกงแทน
ถึงตอนนี้ต่อให้โง่แค่ไหนเบิ้มก็รู้แล้วว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกัน แม้อยากจะเป็นฝ่ายพลิกตัวจับร่างตรงหน้ากดกับเตียงก็ยอมอยู่นิ่งแต่โดยดี เพราะภาพตรงหน้าช่างสวยงามยั่วเย้า ไม่ว่าใครต่างก็ยินดีที่จะนอนอย่างศิโรราบเพื่อชมมอง และเบิ้มก็รู้นิสัยคนรัก คมสันชอบเป็นฝ่ายควบคุม แม้จะต้องรองรับความแข็งขืนที่พร้อมประทุของเบิ้ม แต่จะมีความสุขมากเวลาได้คุมจังหวะและคุมเชิงอยู่เหนือร่างกำยำเหมือนตอนนี้
ดูจากรอยยิ้มสนุกสนานนั้นก็รู้แล้ว คมสันรู้วิธีคุมเกมและปั่นอารมณ์ดีเยี่ยม กางเกงถูกถอดออกไป ทำให้เบิ้มเห็นเรียวขาเปลือยเปล่าที่คร่อมทับและแยกออกน้อยๆ ด้วยลมหายใจที่ปั่นป่วน สาบเสื้อที่ปลดกระดุมด้านบนแค่สามเม็ดคลุมทับส่วนกลางลำตัวของอีกฝ่าย แต่คอเสื้อที่เปิดให้เห็นแผ่นอกขาวกับตุ่มไตสีชมพูด้านในก็ทำเอาเบิ้มต้องกำมือแน่น
ถอดกางเกงตัวเองเสร็จ ก็ได้เวลาคมสันถอดกางเกงให้เบิ้มบ้าง ปลายนิ้วที่จงใจละเลยส่วนร้อนรุ่มแข็งขืนแล้วถลกพรวดออกมาทีเดียวจนเหลือแค่กางเกงชั้นในนั้นทำเอาเบิ้มใจกระตุกเป็นระยะ
คมสันหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเบิ้มกัดฟันอย่างอดกลั้น ก่อนจะโน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อมอบจูบดูดดื่มที่แสนจะเซ็กซี่เร่าร้อน เรียวลิ้นของพวกเขาเกาะเกี่ยวรุกไล่อย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่เบิ้มจะเพิ่งสังเกตเห็น ว่าระหว่างคมสันมอบจูบสุดเคลิบเคลิ้มให้นั้นกำลังทำอะไรอยู่...
ร่างกายที่เอนน้ำหนักมาตรงหน้าจำต้องกระดกบั้นท้ายอัตโนมัติ และนั่นก็ทำให้คนรักของเขาเอื้อมมือไปขยายช่องทางได้สะดวกด้วยท่วงท่าสุดเซ็กซี่จนไอ้เบิ้มแทบกำเดาพุ่ง
“เอ่อ...โลชั่นมั้ย”
เพราะเห็นว่าการกระทำนั้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ เบิ้มเลยผละจูบแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง คมสันลังเลเล็กน้อย ดวงตาที่จ้องมานั้นแฝงความไม่พอใจหลายส่วน คงเพราะไม่อยากโดนมองว่าพลาดพลั้งกับเรื่องเล็กน้อย แต่พอเบิ้มชะโงกหน้าไปจูบที่ปลายคาง ลำคอ และไหปลาร้า คมสันก็ยอมพยักหน้ารับ
เบิ้มรีบเอื้อมมือไปหยิบโลชั่นจากลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียงทันที พอส่งให้คนรักก็รีบทิ้งตัวนอนนิ่งไม่ขยับเหมือนเคยเยี่ยงข้าทาสแสนซื่อสัตย์ แล้วชมการกระทำสุดเซ็กซี่ราวปีศาจร้ายแสนยั่วอย่างเอาใจช่วย
นี่ต่างเป็นครั้งแรกของพวกเขาสองคน
ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปสินะ
ในที่สุดใบหน้าที่เผลอขมวดคิ้วมุ่นในช่วงแรกก็คลายลง คมสันหยุดเตรียมร่างกาย แล้วหันมาถลกกางเกงในเบิ้มลง ปลดปล่อยสัตว์ร้ายที่รออยู่นานแล้วให้เด้งผงาด
เห็นส่วนนั้นของตัวเองขยายเต็มที่แถมยังมีน้ำใสปริ่มตรงส่วนปลายแล้วเบิ้มก็กลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนจะนิ่วหน้า เพราะคมสันกอบกุมส่วนบิ๊กเบิ้มสมชื่อเจ้าของรูดขึ้นลงคล้ายทำความคุ้นเคยกับขนาด ไม่ก็พยายามกล่อมเกลาให้เชื่อฟัง สีหน้าอึดอัดแทบจะระเบิดของเบิ้มเรียกรอยยิ้มจากคนรัก เป็นรอยยิ้มที่เขาคิดออกอย่างเดียวว่า...
เป็นรอยยิ้มของจอมมาร
(ต่อด้านล่าง)