wee เอิ้กๆ เร็วพอปะ ใจร้อนจังไม่ทันก็เสร็จซะละ
oaw_eang อ่านอีกตอนเดียวเองครับ สมหวังอ่ะป่าวมะรู้ ลุ้นเอา
shell อย่าไปเห็นจรเข้แถวบ้านเป็นธลนะ อันตรายมั๊กมั๊ก
meemewkewkaw ขี้สงสารแบบนี้ไม่สงสารป๋มบ้างหรือก๊าบ
ไม่ต้องรักผมก็ได้ แค่สงสารก็ยังดี ขอแค่ให้ผมได้เห็นหน้าหมีบ้าง หือหือ
บทที่ 21
“สวัสดีคะคุณพ่อ” หญิงสาวพูดพลางยกมือไหว้ชายชราตรงหน้า
“อ้าวๆ เออๆ เหนื่อยไหมมากินน้ำกินท่ากันก่อนสิ เฮ้ย เอาน้ำมารับแขกทีเว้ย” ชายชรากล่าว ชายหนุ่มเดินลงมาจากรถพลางแบกกระเป๋าลงมาด้วย
“ไอ้กฤษเอ็งไม่ต้องแบกเองหรอกน่า ให้คนอื่นเขาจัดการเถอะน่า” ชายชราพูด กฤษณาส่ายหัว
“ไม่เป็นไรครับพ่อ อีกอย่างมีกระเป๋าแค่ไม่กี่ใบเองครับ” กฤษณาพูด พ่อของกฤษณาพยักหน้า
“ตามใจแกแล้วกัน เอ้าๆ ขึ้นบ้านๆ” พ่อของกฤษณาตอบก่อนที่ทุกคนจะเดินขึ้นบ้านกันไป
“ต้องรบกวนคุณพ่ออีกแล้วละคะ” หญิงสาวพูด พ่อของกฤษณายิ้ม
“โอ๊ย ไม่รบกวนเลย มานะดีแล้วข้าจะได้มีเพื่อนคุย” พ่อของกฤษณาตอบ
“คุณปู่เหงาหรอคะ” เด็กหญิงพูด พ่อของกฤษณาพยักหน้า
“ก็ปู่คิดถึงหลานที่น่ารักนะสิจ๊ะ” พ่อของกฤษณาพูด เด็กหญิงพยักหน้า
“งั้นหนูจะอยู่คุยกับคุณปู่ทั้งวันเลย” เด็กหญิงตอบ พ่อของกฤษณายิ้มรับ
“โอ้ ดีเลยๆ ปู่มีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยหลานเอ้ย” ชายชราตอบ เด็กหญิงตาลุกวาว
“จริงหรอคะ เรื่องของพี่ธลหรือเปล่าคะ” เด็กหญิงพูด ทุกคนในบ้านต่างเงียบสนิทกันไปชั่วขณะนึง กฤษณารีบเดินเข้ามาทันที
“ธล ลูกมีอะไรจะให้คุณปู่ไม่ใช่หรอ” กฤษณาพูด เด็กหญิงพยักหน้าพลางยื่นกล่องขนมส่งให้
“หนูทำมาให้คุณตาอะคะ คุณแม่ก็ช่วยหนูทำด้วยคะ” เด็กหญิงกล่าวเสียงใส พ่อของกฤษณารับกล่องนั่นมา
“โอ้ อะไรเนี่ย อะลัวงั้นหรอ น่ากินจัง เก่งจังเลยนะหลานปู่” พ่อของกฤษณากล่าวชมเด็กหญิงยิ้มแป้น
“เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บในห้องก่อนนะพ่อ” กฤษณาพูดพลางแบกกระเป๋าขึ้นไปข้างบน เขาไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้มาเกือบสิบกว่าปีแล้วตั้งแต่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ กฤษณากลับขึ้นมาที่ห้องของเขา ห้องที่มีความหลังของครั้งก่อนอยู่เต็มแน่น ห้องที่เขาและชลาธลเคยนอนด้วยกัน ห้องที่ทั้งสองนั่งคุยกัน กินขนมด้วยกัน แต่บัดนี้มันมีเพียงแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ในห้องว่างเปล่าแห่งนี้
“แกไปเล่าอะไรให้หลานฟัง” เสียงของพ่อกฤษณาดังขึ้น กฤษณาถอนหายใจ
“ก็แค่เล่านิทานนะครับพ่อ ไม่มีอะไรหรอก” กฤษณาตอบ พ่อของกฤษณาถอนหายใจยาว
“แกก็รู้กฏของเมืองดีนี่หว่า” พ่อของกฤษณาย้ำ กฤษณาพยักหน้า
“เอาน่าพ่อ ยัยธลก็ยังเด็กอยู่ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เล่าทุกอย่างหรอกครับพ่อ” กฤษณาพูด พ่อของเขาถอนหายใจยาว
“ไม่ไหวเล้ยลูกคนนี้ แล้วจะอยู่นานแค่ไหนละ” พ่อเขาถาม กฤษณาส่ายหัว
“ไม่รู้เหมือนกันอะครับ ก็คงสักอาทิตย์สองอาทิตย์ละมั้งครับ ยัยธลเขาอยากอยู่กับคุณปู่นานๆ” กฤษณาพูด
“แล้วแกเลิกคิดมากได้หรือยัง” พ่อของเขาถาม กฤษณาไม่ตอบอะไร
“อย่าเครียดมากเลยน่า ไม่แน่ไว้อาจจะมีคนเลี้ยงดูเขาแล้วก็ได้นะ” พ่อของกฤษณากล่าว กฤษณาพยักหน้ารับไม่พูดอะไร
“ตามใจแกแล้วกัน เดี๋ยวเย็นๆแม่แกก็จะกลับมาแล้ว” พ่อของกฤษณากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป กฤษณาถอนหายใจยาว หลังจากที่ชลาธลนั้นเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นจระเข้หลวงตาจำต้องเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้คนทั้งเมืองฟัง แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือพ่อของกฤษณานั้นกลับยอมรับเรื่องนี้ได้
“ข้าก็ไม่เห็นว่าธลเขาจะเลวร้ายตรงไหน เขาช่วยเราจากจระเข้มาก็ตั้งมากมาย และแค่เขาทำผิดครั้งเดียวจะมาหาว่าเขาเป็นคนไม่ดี ข้าไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอก” พ่อของกฤษณาพูดและประกาศให้ทุกคนในเมืองปิดเรื่องนี้เป็นความลับอย่างเข้มงวด กฤษณาเองก็พยายามออกตามหาชลาธลอยู่นานแต่เขาก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้ง เขาไม่อาจรู้ได้เลยจริงๆว่าชลาธลนั้นหายตัวไปที่ไหน เขาติดต่อไปที่ฟาร์มจระเข้ทุกแห่ง เขาติดตามดูข่าวสารทุกวันแต่ก็ไม่มีข่าวของจระเข้ยักษ์เลย กฤษณาในตอนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้เลยจริงๆ
“ไอ้กฤษ ถ้าเอ็งยังเป็นแบบนี้ เอ็งคิดว่าไอ้ธลมันจะดีใจหรือไง” หลวงตายุทคอยเตือนสติ
“แต่ธลกำลังรอผมอยู่ ผมต้องหาเขาให้เจอ” กฤษณายืนยัน
“ถ้าไอ้ธลมันรอเอ็งจริง มันจะหนีเอ็งไปทำไมเล่า ไอ้กฤษ คนเรามีพบก็ต้องมีจากเป็นของธรรมดา ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เอ็งอย่าไปยึดติดอะไรกับมันมากเลยนะ” หลวงตายุทตักเตือน กฤษณาเองใช้เวลาทำใจอยู่หลายเดือนกว่าเขาจะเริ่มทำใจได้และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯเผื่อว่าเขาอาจจะลืมชลาธลลงได้บ้าง กฤษณาใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆอย่างมีความสุขเรื่อยมา แม้ว่าบางครั้งเขาจะอดคิดถึงชลาธลไม่ได้แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เศร้าเหมือนแต่ก่อนเท่าใดนัก กฤษณามองไปรอบๆห้อง มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เตียงถูกเปลียนใหม่เป็นเตียงที่ใหญ่ขึ้น โต๊ะหนังสือก็ถูกย้ายออกไป ของบางอย่างในห้องเขาถูกแทนที่ด้วยของสิ่งอื่น แต่ความทรงจำของเขายังคงฝั่งแน่นไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่เอาน่า โตได้แล้วไอ้กฤษ” กฤษณาเตือนสติตัวเองก่อนที่จะจัดของในกระเป๋า ตกเย็นบ้านของกฤษณาก็จัดเลี้ยงต้อนรับครอบครัวของเขาอย่างครื้นเครง
“หลานทานน้ำพริกหนุ่มดูสิจ๊ะ ย่าทำแบบไม่เผ็ดให้หลายโดยเฉพาะเลยนะ” หญิงชรากล่าว เด็กหญิงพยักหน้าพลางหยิบเอาแตงกวาจิ้มไปที่น้ำพริกสีขาวๆก่อนจะตักเข้าปากไปเคี้ยวในปากตุ้ยๆ
“อร่อยจังคะ” เด็กหญิงตอบ หญิงชรายิ้มพลางหันไปมองหญิงสาว
“ทานผักเก่งจริงๆนะ แม่ไม่เคยเห็นเด็กทานผักได้เก่งอย่างหนูธลเลย” หญิงชรากล่าว
“ก็ได้กฤษเขานะคะ แกชอบเรื่องของชลาธลมากๆ กฤษเขาก็เลยเอามาเป็นข้ออ้างถ้าเขากินผักเขาก็จะได้ฟังเรื่องของชลาธลนะคะ” หญิงสาวตอบ หญิงชราพยักหน้า พลางหันไปมองเด็กหญิงที่กำลังหยิบเอาแตงกวาอีกชิ้นเพื่อจิ้มกับน้ำพริก ก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าหญิงสาว
“แล้ว เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่หมายถึง เขาดูซึมๆไปหรือเปล่าเวลาที่เขาเล่าเรื่องนี้นะ” แม่ของกฤษณาถาม หญิงสาวคิด
“ก็มีเหม่อๆไปบ้างนะคะ แต่เขาสนิทกันขนาดนั้นมันก็น่าเศร้านี่คะ” หญิงสาวตอบ แม่ของกฤษณาพยักหน้าพลางยิ้มให้
“จ๊ะ มันน่าเศร้าเหมือนกัน ยังไงก็ฝากดูแลเจ้าลูกชายของแม่ด้วยนะ” แม่ของกฤษณาพูด หญิงสาวพยักหน้า
“คะ หนูจะพยายามคะ” หญิงสาวตอบ
“เออ แล้วเมื่อไหร่จะย่าจะได้อุ้มหลานชายบ้างละ” แม่ของกฤษณาถาม หญิงสาวถึงกับแก้มแดงเล็กน้อย
“อะ คือ ช่วงนี้กฤษเขายุ่งนะคะ อีกอย่างตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอีกเยอะแยะนะคะ” หญิงสาวพูด แม่ของกฤษณาเหล่ตา
“แหม ก็หนูเอาแต่ขี้อายแบบนี้ละสิ ทีตอนแต่งแรกๆปุ๊ปปั๊ปก็มีชลาธลออกมาละ” แม่ของกฤษณาแซว หญิงสาวยิ้มแก้มแดงๆ
“กะ ก็ แหม คือ มันพร้อมแล้วนี้คะ” หญิงสาวตอบ แม่ของกฤษณายิ้ม
“ของอย่างนี้นะฝ่ายหญิงก็ต้องช่วยเหลือเหมือนกัน แม่มีสูตรยาปลุกมังกรนะเพื่อเอาไปใช้” หญิงชราตอบ หญิงสาวตาลุก
“มะ ไม่ต้องหรอกคะคุณแม่ อะ คือ เดี๋ยวกฤษเขาก็พร้อมเองแหละคะ” หญิงสาวตอบอย่างเขินอาย หญิงชราหัวเราะเบาๆ
“น่า แล้วจะตั้งชื่อลูกชายว่าอะไรละ แหม น่าจะไว้มีลูกชายแล้วค่อยตั้งว่าชลาธลนะ” แม่ของกฤษณาถาม
“อืม เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่รู้ตัวว่าหนูท้องแล้วละคะ ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะเรียกเขาว่าชลาธลนะคะ” หญิงสาวกล่าว แม่ของกฤษณาพยักหน้า
“แต่ยังไงก็รีบมีหน่อยนะ ย่าเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน” แม่ของกฤษณาพูด หญิงสาวทำสีหน้าเป็นห่วงทันที
“คุณแม่อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” หญิงสาวกล่าว
“คุยอะไรกันหรือ” กฤษณาเดินเข้ามาทัก
“ก็แกนะสิไม่ขยันทำการบ้าน มัวแต่อ้างโน่นอ้างนี้แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้อุ้มหลานชายกับเขาบ้างละ” แม่ของกฤษณาพูด กฤษณาเบ้ปาก
“แม่ครับ ก็บอกแล้วไงครับว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อม อีกอย่างยัยธลก็ยังเด็กอยู่ เอาไว้ให้แกโตพอที่จะเข้าใจอะไรกว่านี้หน่อยถึงตอนนั้นผมจะปั้มตั้งทีมฟุตบอลเอาเลยก็ได้นะ” กฤษณาตอบ หญิงสาวมองค้อนๆ
“แหม ทำเป็นพูดดี ตัวเองนั่นแหละชิงเสร็จก่อนทุกที” หญิงสาวตอบ กฤษณาถึงกับหน้าแดงขึ้นมา แม่ของกฤษณาหัวเราะร่า
“ก็แกนะไม่แข็งแรงเอาเสียเล้ย นี่ถ้าเป็นธลเขาคง...” หญิงชราหยุดพูดไปชั่วขณะเพราะรู้ตัวดีว่าตนเองนั้นพูดอะไรผิดไป
“แม่ว่าแม่ไปดูงานทางโน้นดีกว่า สัญญาแล้วนะ” แม่ของกฤษณาตอบพลางรีบลุกไปทันที กฤษณาก้มหน้าลงเล็กน้อย หญิงสาวตบที่บ่าของกฤษณาเบาๆ
“คุณแม่เขาคงไม่ได้ตั้งใจนะคะ อย่าไปคิดอะไรมากเลยนะคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณายิ้มรับ
“จ๊ะ” เขาพูดพลางนั่งลงร่วมรับประทานอาหาร
“จะว่าไปนี่ก็แปดปีแล้วนะคะ วันเวลานี่ผ่านไปเร็วไม่รอใครจริงๆ” หญิงสาวพูด กฤษณาพยักหน้ารับพลางนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาเจอกับเธอตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันแล้วก็คบกันเรื่อยมา ทั้งสองตัดสินใจทำงานที่เดียวกันพอเริ่มตั้งตัวได้ทั้งฝ่ายพ่อแม่ของกฤษณาและพ่อแม่ของหญิงสาวจึงตกลงปลงใจให้ทั้งสองแต่งงานกัน
“คุณพ่อคะ พรุ่งนี้หนูอยากไปดูบึงอะคะ คุณพ่อพาหนูไปนะคะ” เด็กสาวกล่าว
“แม่ว่า ไปกับแม่ดีกว่านะจ๊ะ คุณพ่อเขาขับรถมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว ให้เขาพักบ้าง” หญิงสาวแก้ตัวให้ แต่กฤษณาส่ายหัว
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ไปดูก็ดีเหมือนกัน พ่อก็ไม่ได้ไปนานแล้ว” กฤษณาตอบ เด็กหญิงยิ้มแป้นพลางยกมืออย่างดีใจ
“เย้ เผื่อว่าคุณพ่อจะเจอพี่ธลด้วยไงคะ” เด็กหญิงพูด ชายหนุ่มพยักหน้า
“จ๊ะ” กฤษณาตอบสั้นๆ หญิงสาวได้แต่มองหน้ากฤษณาด้วยสายตาที่เป็นห่วง ตกเย็นคืนนั้นกฤษณาพาธลเข้านอนที่ห้องของเขาส่วนตนเองก็เข้าไปนอนที่ห้องที่พ่อของเขาสร้างให้เขากับภรรยา
“คุณไม่เป็นไรแน่นะคะ” หญิงสาวถาม กฤษณาส่ายหัวไปมา
“จ๊ะ มันถึงเวลาที่ผมควรจะเลิกหนีได้แล้ว” กฤษณาตอบ หญิงสาวพยักหน้ารับพลางซบลงที่ไหล่ของกฤษณา
“ถ้ามีอะไรให้ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกนะคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณาพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้
“ขอบใจนะจ๊ะ” กฤษณาตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้นกฤษณาแวะไปหาหลวงตายุทที่วัดพร้อมกับครอบครัวของเขา
“สวัสดีครับหลวงตา” กฤษณายกมือไหว้ พระสงฆ์ที่ชราภาพมากแล้ว
“เออ ไม่เจอกันนานเลยนะไอ้กฤษ ดูผอมไปเยอะเลยนะเอ็ง” หลวงตากล่าว กฤษณายิ้มพลางดันตัวลูกสาวของตนมาข้างหน้า
“สวัสดีคะหลวงตา” เด็กหญิงกล่าวพลางยกมือไหว้และถอนสายบัวอย่างเรียบร้อย หลวงตารับไหว้พลางยิ้มให้
“เรียบร้อยดีจริงๆเลย สงสัยจะได้เชื้อแม่มาดี” หลวงตายุทตอบ กฤษณามองหลวงตายุทค้อนๆ
“แหม พ่อก็สั่งสอนด้วยแหละหลวงตา” กฤษณาตอบ หลวงตายุทหัวเราะเบาๆ
“ฮ่า ฮ่า เออ เว้ยเข้ามาก่อน ข้ามีอะไรจะถามเอ็งเยอะแยะ” หลวงตายุทชวนก่อนที่ทั้งสามจะเดินขึ้นไปนั่งในกุฏิ
“อ๋อ งั้นเอ็งก็จะได้เลื่อนขั้นเร็วๆนี้แล้วสิ” หลวงตายุทถาม กฤษณาพยักหน้ารับ
“ครับ ก็ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็คงตามนั้นละครับ แล้วผมก็คิดว่าเราอาจจะมีลูกกันสักคน อืม อาจจะต้องรบกวนหลวงตาช่วยดูชื่อให้ด้วยนะครับ” กฤษณาพูด หลวงตายุทพยักหน้า
“เออ เว้ย ไม่มีปัญหา เอ็งจดฤกษ์มาแล้วกัน” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ
“ข้าดีใจนะที่เอ็งเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น” หลวงตายุทกล่าว กฤษณษาพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
“คุณพ่อคะ เราจะไปดูบึงกันได้หรือยังคะ” เด็กหญิงรบเร้า กฤษณามองหน้าหลวงตาก่อนจะพยักหน้ารับ
“จ๊ะ ไปกันดีกว่า” กฤษณาตอบก่อนที่เขาจะยกมือไหว้หลวงตาแล้วจูงมือเด็กหญิงเดินไปตามทาง บึงนั้นถูกห้ามไม่ให้รุกราน และได้มีการทำเจ้าที่และตั้งชื่อบึงนั้นว่า บึงชลาธล กฤษณาเดินดูเหล่าต้นไม้ตามทาง แม้จะเปลี่ยนไปบ้างแต่มันก็ยังคงเค้าเดิมเอาไว้ได้เกือบจะเต็มร้อย ไม่นานนักทั้งสามก็มาถึงบึงสวย แสงแดดสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ เหล่านกกาต่างส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
“สวยจังเลยคะ ใหญ่ด้วย” เด็กหญิงร้องอย่างตื่นเต้น
“เราไปดูใกล้ๆกันไหม” ชายหนุ่มถาม เด็กหญิงพยักหน้า กฤษณาจูงมือเด็กหญิงไปใกล้บึงมากขึ้น ทั้งสองเดินเลียบไปตามตลิ่ง สายลมเย็นๆพัดกระทบใบหน้าของกฤษณา นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าลอยติดจมูกเขาขึ้นมา กฤษณากำมือแน่น เขาจะต้องยอมรับความจริงเสียที
“จ๋อม แจ๋ม” กฤษณารีบหันไปข้างหลังทันทีแต่เขาก็ไม่เห็นอะไร
“จ๋อม แจ๋ม” เสียงน้ำดังขึ้นอีก กฤษณาก้มลงก็พบว่าลูกสาวของตนพยายามจะเอาเท้าแหย่ลงไปในน้ำ กฤษณาดึงมือของเด็กสาว
“อย่าสิลูก เดี๋ยวตกลงไปจะแย่นะ” กฤษณาพูดเสียงดังเล็กน้อย เด็กสาวดึงขาของตนกลับ
“ก็หนูอยากรู้ว่าพี่ธลอยู่ตรงนี้หรือเปล่าอะคะ” เด็กหญิงตอบ กฤษณาก้มลงพลางจับไหล่ของเด็กสาวเอาไว้
“ตอนนี้พี่ธลเขาคงกลับไปอยู่กับจระเข้ตัวอื่นๆแล้วละจ๊ะ เขาคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วละ” กฤษณาพูด เด็กหญิงทำหน้าเศร้า
“ทำไมละคะ พี่ธลเขาไม่คิดถึงคุณพ่อเลยหรอคะ” เด็กหญิงถาม กฤษณาถอนหายใจเบาๆ
“บางครั้งคนเราก็มีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกันละจ๊ะ พ่อต้องอยู่ทำหน้าที่ของคนที่นี่ ส่วนธลเขาก็ต้องทำหน้าที่ของจระเข้ในน้ำเหมือนกัน บางครั้งหน้าที่มันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ” กฤษณาพูด เด็กหญิงมีสีหน้าสลดลง
“พี่ธลคงจะเหงาแย่เลย คุณพ่อไม่เหงาหรอคะ” เด็กหญิงถาม กฤษณาถอนหายใจเบาๆ
“ไม่หรอกจ๊ะ พ่อมีธลอยู่แล้วไง” กฤษณาพูด เด็กหญิงพยักหน้ารับ
“ไปหาแม่ไปอย่าวิ่งนะ” กฤษณากำชับ เด็กหญิงรีบเดินไปหาแม่ของตนที่กำลังเดินดูรอบบึงอยู่ไม่ห่าง กฤษณาส่ายหัวไปมา
“ทำไมเราไม่โตสักทีนะ” กฤษณาคิดอย่างหัวเสีย เขาพยายามมาเกือบสิบปีเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไป แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจลืมชลาธลได้เลย กฤษณามองไปที่บึงสุดลูกหูลูกตา บึงนี้มีความหลังของเขาและกฤษณาอยู่แน่นเต็ม ทั้งเรื่องฐานลับ ที่ที่เขาพบกันครั้งแรก และที่ที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งสุดท้าย
“จ๋อม แจ๋ม” เสียงน้ำดังขึ้น
“ธลพ่อบอกแล้วว่า...” กฤษณาหยุดพูดเมื่อเขาเห็นลูกสาวของตนกำลังเดินกลับไปที่ป่าพร้อมกับภรรยาของเขา กฤษณาหันหลังกลับไป ถ้าเขาตาไม่ฟาดเขาเห็นหางจระเข้กำลังเลื้อยหายลงไปในบึง กฤษณารีบลุกขึ้นวิ่งไปทันที
“ธล” กฤษณาร้อง แต่หางนั้นก็จมน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว กฤษณาถอนหายใจยาว
“หรือเราจะตาฟาด หูเพี้ยนไป” กฤษณาคิด แต่แล้วขาของเขาก็เหยียบเข้ากับอะไรสักอย่าง กฤษณาก้มลงดูเขาก็พบกับจี้เส้นนึง กฤษณาหยิบมันขึ้นมาดู มันเป็นจี้ที่ทำด้วยหนังจระเข้และจี้ตรงกลางก็เป็นเขี้ยวขนาดใหญ่
“หรือว่าจะเป็นสร้อยที่วิมาลามอบให้เลื่อมลายวรรณ สร้อยนี่คงจะลอยขึ้นมาจากถ้ำทองที่พังลงไปแล้ว” กฤษณาคิด พลางกำมันไว้ในมือ เขาจะปล่อยมันไปก็ไม่กล้าแต่จะเก็บไว้เขาก็กลัวที่จะทำใจไม่ได้
“คุณคะ แดดเริ่มแรงแล้วกลับกันดีกว่าคะ” หญิงสาวร้องทัก กฤษณารีบเอาสร้อยเส้นนั้นยัดกลับใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางรีบเดินกลับขึ้นไปทันที
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถาม กฤษณาส่ายหัวไปมา
“ไม่มีอะไรจ๊ะ ไม่มี” กฤษณาตอบ หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับทั้งสามออกตระเวณไปทั่วเขตในเมือง กฤษณาต้องยอมรับว่าเขาทำใจได้ยากกว่าที่คิดจริงๆ เพราะทุกอย่างล้วนแต่จะให้เขารำลึกถึงชลาธลได้ทุกอย่าง มือของกฤษณากำจี้ในกระเป๋ากางเกงแน่น มันเหมือนเป็นของต่างหน้าชิ้นเดียวของชลาธลที่เขาจะหาได้จริงๆ ตกเย็นกฤษณาและครอบครัวขับรถกลับไปที่บ้านของเขาซึ่งแม่ของกฤษณาก็ทำข้าวซอยให้ทุกคนได้ทานกันอย่างอิ่มหนำ
“คุณไม่เป็นไรจริงๆนะคะ” หญิงสาวถาม หลังจากที่กฤษณาออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“มะ ไม่นี่จ๊ะ” กฤษณาตอบ หญิงสาวถอนหายใจ
“เราคบกันตั้งแต่อยู่มหาลัยนะคะ ทำไมฉันจะดูไม่ออกละคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณาถอนหายใจเบาๆ
“อืม ผมต้องยอมรับนะ ว่านี่มันยากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก” กฤษณาพูด หญิงสาวโอบร่างของกฤษณาไว้หลวมๆ
“ฉันเชื่อว่าคุณต้องผ่านมันไปได้คะ ฉันยินดีจะช่วยคุณทุกอย่างเองนะคะ” หญิงสาวพูด กฤษณาพยักหน้ารับ
“ขอบใจนะจ๊ะ แต่ตอนนี้ผมง่วงละ ขอนอนก่อนดีกว่า” กฤษณาตอบพลางล้มตัวลงนอนแทบจะทันที แต่กระนั้นก็ตามกฤษณาก็ไม่อาจข่มตาลงไปได้ ความทรงจำของเขาและชลาธลผุดขึ้นมาเรื่อยๆอย่างไม่ยอมหยุด กฤษณาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ กฤษณาย่องจากเตียงของเขาไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ กฤษณาเปิดเกะอย่าแผ่วเบาพลางหยิบเอาจี้ที่เขาพบออกมา กฤษณาเปิดไฟหัวโต๊ะพลางพิจารณาสร้อยในมือของเขา หนังที่ตัดออกมาได้อย่างสวยงามเป็นเส้นตรง เขี้ยวที่ถูกเจาะด้วยอะไรสักอย่างถูกเส้นหนังร้อยผ่าน กฤษณามองดูอย่างทึ่งๆ
“วิมาลาทำสร้อยได้สวยขนาดนี้เลยหรอ” กฤษณาเริ่มคิดพลางนึงถึงสร้อยที่วิมาลาทำให้เลื่อมลายวรรณที่แปะอยู่ที่ผนังฐานลับของชลาธล กฤษณาตาลุกวาว
“สร้อยนี่ มันไม่ใช่ของวิมาลานี่” กฤษณาร้อง เพราะรูปจี้ที่วิมาลาทำให้เลื่อมลายวรรณนั้นแผ่นหนังมีขนาดที่ใหญ่กว่า และถูกตัดเป็นรูปคล้ายสามเหลี่ยมแต่สร้อยเส้นนี้กลับตัดออกเป็นเส้นตรงอย่างปรานีต กฤษณามือสั่นเทา