กระดาษขู่อาฆาตเขียนด้วยอักษรสีแดงที่ไม่รู้ว่าหมึกหรือว่าเลือด ถ้อยคำผรุสวาทด่าทอการทำงานของท่านจนเต็มหน้ากระดาษ มันถูกเก็บไว้ในซองอย่างดีจนมองผ่านๆ แล้วไม่ต่างจากเอกสารทั่วไป นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าทุกครั้งเท่าที่ผ่านมา
"โอ้ย คราวนี้น่ากลัว"
"ถ้าฉันไม่ไปตามหาเอกสารจะรู้ไหมเนี่ย"
ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ท่านเอามาบอก แต่เธอลืมหยิบเอกสารออกมาจากห้องจนแอบถือวิสาสะเข้าไปเอาเองอีกรอบจนเจอว่ามันถูกทิ้งเอาไว้ในถังขยะ
"ท่านไม่บอกใครบ้างเหรอ เรื่องนี้มันใหญ่แล้ว"
ผู้พิพากษาเป็นอาชีพที่มาพร้อมกับความเสี่ยง นอกจากจะไม่สามารถเข้าไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นได้ในทุกโอกาสแล้วยังต้องระวังอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย การตัดสินหนึ่งครั้งมันอาจทำลายทั้งชีวิตของคนบางคน มันเลยเป็นเหตุผลให้ท่านบางคนเลือกรับคดีไงล่ะ
"อย่างท่านถ้าบอกล่ะแปลก" เคยปริปากพูดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานเสียที่ไหนล่ะ เรื่องส่วนตัวนี่ยิ่งแล้วใหญ่ แค่รู้ว่ามีแฝดทั้งศาลก็ตื่นเต้นไปหมด "นี่ท่านไปไหนเช้านี้?"
ท่านผู้ไม่เคยเข้างานสายวันนี้ยังไม่เห็นตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าวันนี้ออกไปทำธุระข้างนอก
เช้ามาก็เจอเรื่องแปลกไปแล้วสองเรื่อง
"ไม่ร...แป๊บนะ" พอพูดถึงท่านท่านก็โทรมา เธอยกมือขึ้นพักเบรคการพูดคุยพร้อมกับรับสายอย่างรวดเร็ว "ค่ะท่าน"
(ผมเข้าบ่าย รถมีปัญหา)
"อ๋อ ได้ค่ะท่าน"
(แล้วก็ใครมาหาผมให้ระวังหน่อย)
"...ค่ะ"
สายขาดไปแล้ว และสิ่งเดียวที่เธอทำได้คือเม้มปากเอาไว้จนแน่น มันไม่สัมพันธ์อะไรเลยกับการที่รถมีปัญหาแล้วจะต้องรอถึงบ่าย ในเมื่อท่านเองก็สามารถปล่อยให้ประกันจัดการได้
"ว่าไง"
"รถ"
"เรื่องใหญ่นะเนี่ย"
เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันเรื่องรถที่เป็นหัวข้ออยู่ตอนนี้มันหมายถึงอะไร
"งั้นฉันไปเก็บแฟ้มเซนต์ออกมาก่อน ไว้ท่านมาแล้วค่อยให้ดีกว่า" ลุกออกจากโต๊ะไปทางประตูห้องแขวนชื่อของท่านเอาไว้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วจึงเห็นความผิดปกติบางอย่าง
"เธอ มานี่หน่อย" เรียกให้อีกคนเดินมามองมุมเดียวกัน "รู้สึกไหมว่าห้องของท่านมันโล่งกว่าเดิมเยอะเลย"
ห้องที่เคยโล่งอยู่แล้วคราวนี้เกือบเรียกได้ว่าว่างเปล่า ของใช้ในห้องของท่านจะมีอยู่ไม่กี่อย่าง หนังสือกฎหมาย แฟ้มสรุปคดีสำคัญ กองกระดาษข้อมูลที่ใช้ประกอบในคดีต่างๆ บนโต๊ะทำงานก็มีเพียงรูปครอบครัวแล้วก็กระบอกใส่ปากกา เรียกได้ว่าไม่มีอย่างอื่นนอกเหนือไปจากสิ่งที่ต้องใช้ในการทำงาน เคยลองสังเกตเหมือนกันว่ามีสิ่งไหนช่วยบอกใบ้ถึงความสัมพันธ์อื่นของท่านหรือไม่ แล้วก็ไม่เคยพบอะไรทั้งนั้น
เมื่อวันหนึ่งเดินเข้ามา
ก็ต้องมีวันเดินจากไป
พอบ่ายโมงกว่าท่านก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใส่เอกสารใบเก่ง มันทำมาจากหนังแต่ไม่ใช่ของแบรนด์ หรืออาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าท่านมีรสนิยมในการเลือกซื้อของที่เป็นเอกลักษณ์ในทุกอย่าง
กลิ่นของบุหรี่ลอยตามลม รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นสิงห์อมควัน เพียงแต่ตามปกติแล้วท่านทิวาไม่ค่อยสูบหนักในสถานที่ทำงาน จะต้องเป็นเคสหนักระดับมากที่สุดเท่านั้นถึงจะได้กลิ่นของบุหรี่นอกลอยตามเส้นทางการเดิน ไม่อย่างนั้นท่านจะชอบออกไปสูบแค่ไม่กี่นาทีพอให้หายอยาก
จนมีคนแซวว่าเห็นก้นบุหรี่ที่เหลือมากกว่าครึ่งเมื่อไหร่ก็รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนยืนก่อนหน้า
ทุกอย่างเหมือนปกติ ท่านเข้าห้องไปทำงานแล้วจะไม่เรียกจนกว่ามีงานจริงๆ อย่างน้อยด้านในห้องทำงานก็จะมีการดูแลเรื่องความเรียบร้อยเอาไว้ดีจนไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีใครบุกรุกมาถึงด้านในหรือไม่
มันไม่ใช่เรื่องแรก รวมถึงมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก น่าห่วงที่สุดก็คนที่ไม่เคยคิดจะระวังตัวเองอย่างท่านนี่แหละ จะบอกว่าตัวเองไม่มีอะไรน่าห่วงถ้าเกิดอะไรขึ้นมามันจะแย่เสียเปล่า
"ท่านดูแลตัวเองด้วยนะคะ"
อาจจะเป็นเรื่องไม่เข้าท่า เธอก็อดพูดมันออกไปไม่ได้
"หน้าที่ผมหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง"
ไม่เข้าใจในความหมายนั้น รวมถึงไม่มีโอกาสได้ถามมันออกไป เลยต้องปลอบใจตัวเองไปว่าท่านก็คงหาทางแก้ไขปัญหาได้เองอย่างทุกที
"แย่ล่ะ" แฟ้มที่เอาออกมาเมื่อเช้ายังไม่ได้หยิบเข้าไปใหม่ งานด่วนที่รอให้ท่านเซนต์พรุ่งนี้ไม่ได้
วิ่งตามท่านออกไปทันที เพิ่งเดินออกไปไม่นานคิดว่าจะน่าจะตามทัน จุดหมายปลายทางอยู่ตรงลานจอดรถด้านข้างของตึก ได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าเมื่อไปถึงจุดหมายแล้วท่านจะยังไม่เคลื่อนรถออกไป
"..."
ใช่...เธอมาทัน
ก่อนที่จะมัจจุราชจะพรากดวงวิญญาณของท่านไป
ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงญาติร้องปะปนไปกับเสียงสั่งของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล กลิ่นของคาวเลือดรุนแรงจนกลบยาฆ่าเชื้อ เตียงของผู้ป่วยหนักหายเข้าไปข้างหลังประตูแล้ว เหลือเพียงคนสบายกายที่เพิ่งได้รับข่าวไม่น่าสบายใจ
เหตุที่คราวนี้วุ่นวายไปมากกว่าทุกทีเพราะชื่อของผู้ป่วย ตระกูลที่ไม่เคยคิดจะมาหาโรงพยาบาลเพียงเพื่อตรวจร่างกายประจำปี ตามรายงานเบื้องต้นคือถูกอาวุธปืนเข้าที่จุดอวัยวะสำคัญ ยังไม่ทราบว่าคนร้ายเล็ดรอดเข้าไปด้านในพื้นที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นได้อย่างไร
หนึ่งคนเจ็บพาหลายคนรอตามมา แม้จะอายุเลยเลขสามกันเข้าไปแล้วมันก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่ควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ ชายตัวเล็กสุดตาแดงก่ำมีอีกคนคอยจับมือเอาไว้ บางส่วนเงียบสนิทไม่เอ่ยคำใด ที่เห็นได้ชัดคือสาวคนเดียวท่ามกลางกลุ่มชายหลายชีวิต
"เสียเลือดมากครับ ต้องให้เลือด"
รายงานตามหน้าที่ ร่างกายของคนไข้ต้องการเลือดเข้าไปช่วยในการเสริมให้อวัยวะภายในทำงานได้เช่นเดิม เพียงแต่ว่ากรุ๊ปเลือดที่ตามหาอยู่นั้นมันมีอยู่เพียงน้อยนิดในประเทศ
"ไวท์...เลือดเรา" โรมันรีบเอ่ยออกไป เขาคำนวณดูแล้วว่าร่างกายของตัวเองพร้อมที่จะบริจาคได้อย่างแน่นอน คราวนี้จะไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อน ที่เขาไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ "เดี๋ยวไม่ทันนะ"
“...”
สิ่งที่ต้องรับรู้สร้างช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับรัตติกาล
ห้องที่เคยจอแจกลับไม่ได้ยินเสียงรบกวนใด ญาติที่สามารถให้ความยินยอมในการต่อชีวิตได้มีเพียงน้องสาวฝาแฝด เธอไล่มองหน้าของเพื่อนคุ้นเคยทุกคนจนครบ ตั้งแต่น้องคนโตต่อด้วยน้องชายคนเล็ก หนุ่มแว่นกรอบโตกับชายผิวขาว และสุดท้าย...
'ครึ่งชีวิต'
กระพริบตาถี่ไล่อาการประสาทหลอน เมื่อลองตั้งสมาธิให้ดีแล้วก็ยังเห็นพี่ชายของตัวเองยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงแว่วกำลังเตือนว่าห้ามลืมคำที่สัญญากัน
ขอบตาร้อนผ่าว กลั้นทุกความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาให้หยุดอยู่ตรงนั้น สีขาวมือกุมประสานกันเอาไว้ให้กำลังใจตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับคิดกลับไปถึงช่วงเวลาใต้ต้นไม้ใหญ่ของคนสองคน
'ไวท์...สัญญากับพี่หน่อย'
'สัญญา?'
'ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น...ห้ามเอาเลือดคนอื่นเข้ามาอยู่กับพี่' เรื่องที่ไม่เคยรู้จนกระทั่งยอมเอ่ยปากบอก...ในวันที่สายเกินไป
'พี่สัญญากับพิชชาเอาไว้แล้ว' เมื่อหลับตาลงภาพรอบตัวเหลือเพียงสีดำสนิท เชือกที่มองไม่เห็นส่งต่อความรู้สึกหลากหลายเข้ามาไม่มีหยุด บอกตัวเองว่าอย่าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา การจากลามันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ หลายครั้งแล้วที่โลกสอนเรื่องนี้แต่เธอไม่เคยยอมรับมันได้
มันยากเกินกว่าจะยอมรับว่ากลางวันกำลังจะจากกลางคืนไป
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งลมหายใจก็ขาดช่วงไป ร่างของครึ่งชีวิตยังอยู่ตรงที่เดิมส่งรอยยิ้มมาให้ราวกับรับรู้แล้วว่าเธอตัดสินใจอย่างไร เมื่อนั้นองศาของริมฝีปากจึงเปลี่ยนเป็นยกขึ้นนิดหน่อยผิดจากวิสัยปกติ ส่งคำตอบคืนผ่านสายใยที่ไม่เคยมีใครอื่นเข้าใจ
แบล็คทำเพื่อไวท์มามากพอแล้ว...คราวนี้ให้ไวท์ได้ทำเพื่อแบล็คบ้างนะ
"ไม่ต้องยื้อค่ะ" เสียงไร้โทนเอ่ยชัด
"ไวท์!" ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อของตัวเองจากหลายทิศ เธอกำมือของตัวเองเอาไว้แน่น ท่องบอกเอาไว้ว่าอย่าแสดงอาการอ่อนแอออกไป ต้องขอบคุณมือของใครอีกคนที่กำลังกดให้กำลังใจตรงบ่า มันช่วยให้รัตติกาลทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้
มันไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา
แต่เป็นสิ่งที่อีกคนบัญชาไว้
"แบล็คสั่งไว้แล้ว..." เสียงที่ไม่เคยขึ้นสดใสครั้งนี้หม่นกว่าที่เคย "อีกคนรออยู่"
'พี่กำลังรอเวลาตามไป' เหลือเพียงความเงียบสงัด ทุกคนเป็นพยานในวันที่ใครคนนั้นกลับมา วันรวมกลุ่มที่มากันพร้อมหน้า ต่างคนต่างพา ‘ความรัก’ ของตัวเองมาด้วย ยังแซวกันอยู่เลยว่ามีเพียงทิวากาลไม่เข้าพวก
และเหมือนว่าความคิดนั้นจะส่งไปถึงใครอีกคน เมื่อมีของสิ่งหนึ่งถูกส่งมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
กล่องขนาดกำลังดีมีกลิ่นหอมแปลกลอยกำจาย พร้อมรูปถ่ายขาวดำของชายคนหนึ่ง ด้านล่างภาพระบุวันเวลาที่ต่างกันเอาไว้สองส่วน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ไม่ว่าคนที่รู้อยู่แล้วหรือว่าคนที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน
มือที่ยกไปแตะของชิ้นใหม่อ่อนโยนราวกับของล้ำค่า รอยแย้มยิ้มสุขปนเศร้านั้นไม่เคยให้ใครมาก่อน
“แบล็คหมดหน้าที่แล้ว”
‘กลับมาหาผมแล้วเหรอพิชชา’ "...ให้เขาได้พบกันสักที"
“กลับมาแล้วนะ”
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”
เราจะได้เจอกันอีกครั้งในโลกของวิญญาณ
***
สวัสดีค่ะ คิดว่าเป็นการคุยกันท้ายเรื่องที่ยาวกว่าคราวที่แล้วแน่เลย (หัวเราะ)
อย่างแรกที่ต้องมาก่อนเรื่องอื่นคือขอบคุณทุกท่านที่อยู่กันมาจนถึงบรรทัดนี้ ไม่ว่าจะแวะเข้ามาอ่านเรื่องต่อจากที่หนึ่งหรือว่าจะเป็นการเจอกันในเรื่องนี้ครั้งแรกก็ตาม ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับนิยายเรื่องนี้ เพราะถ้ามีแต่เจ้าเป็นคนเขียน แต่ไม่มีทุกท่านที่เป็นคนอ่าน มันก็ไม่สามารถดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอนค่ะ
ส่วนถัดมาเจ้าจะมาคุยถึงความเป็นมาของเรื่อง PITCH BLACK กันเนอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะเรียกว่าต่อยอดก็ไม่เชิง เพราะที่จริงแล้วตอนแรกเจ้าเคยคิดว่าจะทำให้เรื่องทั้งหมดจบที่ที่หนึ่งให้ได้ค่ะ แต่พอวางโครงไปมาแล้วพบว่าไม่ไหวจริงๆ พี่แบล็คเลยจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาแต่งยาวนานมากเลย เพราะเรียกได้ว่าเรื่องนี้เริ่มตั้งแต่เรื่องของน้องโรมกับที่หนึ่งเลยก็ได้
เพราะงั้นเจ้าถึงใช้เวลานานมากในการเลือก 'พิชชา' มันเริ่มมาจากการเลือกชื่อเรื่องค่ะ เจ้าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นชื่อสีดำ หาไปหามาจบพอใจตรงพิชแบล็คนี่แหละ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าตัวเอกต้องชื่อพิชนะ เหมือนเดิมคือรื้อไปรื้อมาเจอชื่อพิชชา โห รู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญขึ้นมาเลยค่ะ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นคือการสร้างตัวละครทั้งหมดขึ้นมา เพื่อให้สอดรับกับสิ่งที่เราอยากจะเคลียร์ให้ได้ตามที่บอกไว้
เรื่องนี้เจ้าเล่นกับรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะค่ะ ตั้งแต่สัญลักษณ์ของเรื่องแล้ว มันคือตัวแทนในหมากรุกที่ใช้สำหรับ คิง แล้วก็ ควีน ค่ะ มันก็แทนการสลับกันได้อยู่นะ แต่บอกเอาไว้ตรงนี้เลยคือเรื่องของตำแหน่งเจ้าไม่ได้ฟันธงเด็ดขาด แล้วก็มีที่แทรกเอาไว้อีกหลายอย่างมากค่ะ ถ้าไล่หมดคงต้องโดนลิมิตแน่ๆ
พี่แบล็คเป็นตัวละครที่เจ้าคิดว่าจะไม่แต่งใครให้ยากเท่านี้อีกแล้วค่ะ เขาเป็นตัวละครที่ทำเจ้าหนักใจมาตั้งแต่ต้น การวางตำแหน่งให้เขาเป็น 'ราชา' สร้างปัญหาในการเล่าเรื่องหลายต่อหลายครั้งเลยค่ะ สิ่งที่เจ้าตั้งใจไว้ในการแต่งเรื่องนี้คือเป็นการเก็บตกบางประเด็นที่ไม่สามารถใส่ลงไปในเรื่องที่หนึ่งได้อย่างที่เคยบอก อีกส่วนมันคือการเข้าไปทำความรู้จักกับพี่แบล็คไปพร้อมกันนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) ในมุมของน้องโรมหรือว่าที่หนึ่งก็มองพี่แบล็คไม่ค่อยต่างกันหรอก แล้วมุมของพี่แบล็คที่มองคนอื่นมันจะเป็นแบบไหนบ้างนั่นคือหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่เจ้าต้องทำมันให้ได้ค่ะ
โจทย์เรื่องปมใหญ่ที่สุดคือเรื่องของคุณแม่ค่ะ ที่เจ้าอยากจะคลายมันให้ได้ ทั้งเรื่องน้ำหอมที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกด้วย และค้นพบแล้วจริงๆ ค่ะว่าจงอย่าวางปริศนาไปทั่ว ตอนต้องมาตามแก้นี่มันทรมานมากเลยค่ะ ตอนที่แก้มันได้รู้สึกชีวิตนี้ปฎิบัติภารกิจสำเร็จไปอีกอย่าง ภาคภูมิใจมากๆ ค่ะ (ฮา)
ส่วนเรื่องที่เราจะไม่พูดไม่ได้เลย คือตอนจบค่ะ นี่คือสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยากที่สุดสำหรับเจ้า คือบังคับตัวเองแบบไหนให้พาเรื่องนี้จบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้น เจ้าตั้งใจตั้งแต่ตอนที่คิดจะแต่งแล้วค่ะ ว่าอยากให้จบอย่างนี้ เหตุผลก็ดูง่ายๆ ไม่ค่อยมีอะไรนะคะ เจ้าแค่คิดไม่ออกว่า 'รัก' ขนาดไหนถึงจะควรค่ากับราชาอย่างแบล็คเท่านั้นเองค่ะ แต่พอแต่งไปแต่งมาก็จะมีคำถามนี้ตามมาตลอดว่าเจ้าจะจบแบบนี้แน่เหรอ เพราะในแต่ละส่วนของเรื่องมันต้องสอดคล้องกับช่วงจบ ตีกับตัวเองตลอดทั้งเรื่องเลยค่ะ ขนาดตอนท้ายๆ แล้วนะ
ถามว่ากลัวฟีตแบคไหม ไม่ค่ะ เจ้าเชื่อว่าเจ้าวางเบื้องหลังของเหตุผลเอาไว้ในเรื่องจนครบแล้ว แล้วเพราะตั้งใจจบอย่างนี้แหละค่ะ การแต่งเลยยากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าวางตัวละครมาให้พิชชาเห็นได้ ยกเว้นของตัวเอง นั่นคือพิชชาเห็นอยู่แล้วค่ะว่าในวันหนึ่งจะไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง การบอกออกไปแบบทางอ้อมนั่นแหละถึงเหนื่อยกว่า เจ้าใช้คำว่า 'ได้รัก' ตอนที่พิชคุยกับพี่แบล็ค เพราะพิชชารู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือแค่ได้รักจริงๆ ค่ะ แต่เขาจะไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน รวมถึงการที่บอกว่าคุณต้องอยู่บนนั้นลำพัง เจ้าถึงบอกตลอดว่าการแต่งเรื่องนี้ยากและทรมานค่ะ คือหลุดไปตรงไหนตรงหนึ่งนี่เรื่องอาจพลิกได้เลย
คุยแต่พี่แบล็คไม่พูดถึงพิชชาเลยเนอะ เจ้าชอบพิชชามากเลยนะคะ ชอบทุกอย่างที่เป็นเขาเลย ถ้าเราต้องเป็นคนที่เห็นทุกอย่างขนาดนั้นแล้วยังจะทำตามความปรารถนาของตัวเองอยู่หรือเปล่า คนที่รู้ทุกเรื่องแต่ก็พูดได้แค่บางเรื่อง คนที่ต้องทำ 'หน้าที่' ของตัวเองให้เสร็จเช่นเดียวกัน เจ้าชอบความมั่นใจในแบบของพิชชานะ เขาเป็นตัวละครที่เข้มแข็งลำดับต้นๆ ของเจ้าในเวลานี้เลยค่ะ
แล้วเจ้าก็เชื่อนะคะ ว่าเขาจะได้พบกันอีกครั้งจริง (ยิ้ม)
มันเลยเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นการเล่าจากหลังมาหน้าค่ะ จะว่ายังไงดีล่ะ เป็นเรื่องที่ควรเริ่มจากสุดท้ายแล้วค่อยไล่เรียงมาจนถึงจุดเริ่มต้น เจ้าอยากลองเอาตอนจบมาไว้ข้างแรกสุดมานานแล้วค่ะ จบสบโอกาสจากเรื่องนี้นี่แหละ เพราะงั้นในบทแรกและบทสุดท้ายเราจะได้เห็นคำเดียวกันโผล่ขึ้นมาในส่วนท้ายเหมือนกัน เรียกว่าสปอลย์ตอนจบไว้ตั้งแต่บทแรกเลยก็ได้นะ (หัวเราะ)
สำหรับเพลงที่ใช้ในเรื่องนี้ คือ Wonder Wall - Oasis ค่ะ ช่วงเริ่มแต่งพี่แบล็คเจ้าฟังมันซ้ำๆ จนหลอนหูเลยล่ะ เจ้าชอบความหมายของเนื้อเพลงนี้มากๆ เลยอยากเอามาใส่ไว้ในเรื่องค่ะ
เห็นไหม บอกแล้วว่ามันต้องยาวมากแน่ๆ (หัวเราะ) เหมือนกับว่าเราต้องจบให้เคลียร์ทั้งหมดให้ได้ เพราะจะไม่มีเรื่องอื่นมาช่วยต่อยอดแล้วนะ (ฮา) ถ้าสงสัยตรงไหนถามเพิ่มเติมได้นะคะ เจ้าจะกลับมาตอบให้ครบเลยค่ะ
และนี่คือทั้งหมดของ 'สีดำสนิท' สำหรับเจ้าค่ะ
ท้ายสุดนี้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ การกดบวกและชื่นชม
ขอบคุณจากใจจริงค่ะ
23August