คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 48
ทดลอง
---------
วาจาผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน จะไม่ทำตามก็ได้ หากเห็นว่าบริบทเปลี่ยนแปลง แต่รติมิใช่คนนิ่งเฉยต่อคำแนะนำของผู้อื่น โดนเฉพาะผู้อื่นอย่างท่านอมราที่มิได้มุ่งร้าย อีกทั้งคำพูดของนางก็ล้วนไม่มีเรื่องใดเกินจริง
‘…ใจคนเราเป็นเลือดเป็นเนื้อ บอกไม่ได้ว่าวันใดจะเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เจ้าต้องรู้จักประคบประหงม รู้จักทำให้เขารักหลงอย่าได้หน่าย อย่าประมาทเชียว’
ลงท้ายว่าอย่าประมาทเช่นนี้ รติก็ชักรู้สึกว่าหากจะลองทำในสิ่งที่ท่านอมราแนะนำก็คงไม่เสียหาย
‘ยามเดินในเมือง ก็ต้องรู้จักออเซาะให้เขาช่วยจับจูง...’
ตรัสและรติต้องเดินด้วยกันทั้งเช้า กลางวันและเย็น เส้นทางประจำของพวกเขาคือเรือนอหัสกรสู่ร้านยาอหัสกรที่อยู่ใกล้น้ำพุใจกลางเมือง และจากร้านยาอหัสกรกลับมาที่เรือน
โอกาสจะทำตามคำแนะนำของหญิงชรานั้นมีมากทีเดียว ผิดก็แต่...จะเริ่มเช่นไร
ถนนไม่กว้างไม่แคบ ริมถนนเป็นทางเดินเท้า กลางถนนเป็นทางสัญจรของรถม้า เกวียน รถเข็นรถลาก ตอนเช้าผู้คนไม่พลุ่กพล่านนัก ก็พอจะเดินเคียงโดยไม่เกะกะ
แต่เดินเคียง...หาใช่เดินออเซาะ
แล้วออเซาะทำเช่นไร? ตรัสจึงจะจับจูง
แล้วตรัสจะจับจูงทำไมในเมื่อเส้นทางสายนี้พวกเขาก็เดินด้วยกันทุกวัน
“รติ... นั่นเจ้าจะไปไหน” เสียงเรียกดังปลุกสติ ทำเอารติกะพริบตาปริบๆ รู้ตัวก็ตอนที่ตนเองกำลังจะเดินไปทางหนึ่ง ในขณะที่ตรัสยืนอยู่อีกทางหนึ่ง
มัวแต่คิดจนเดินไม่รู้สติ ผิดทางเสียแล้ว ฝ่ายภรรยาทำหน้างงงัน ตรัสจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา
“เจ้าไม่สบายหรือ วันนี้ดูใจลอยพิกล”
“ป...เปล่า ข้า...มัวแต่คิด...”
“คิดว่าจะขายผงสมุนไพรอะไรอีกแล้วล่ะซี เวลาเดินก็เดิน อย่าเพิ่งคิด ไว้ถึงร้านแล้วจะคิดก็ไม่ว่า” ตรัสมิได้ดุจริงจัง เพราะรู้นิสัยชอบทำงานของรติดี
“มาเถอะ ข้าจูง จะได้ไม่หลงอีก” ว่าแล้วก็คว้าเอาข้อมือของภรรยามากุมแล้วพาเดินเลี้ยวยังทางที่มุ่งสู่ร้านยาอหัสกร รติท้วงไม่ทัน แต่พอก้มลงมองมือของตนที่ถูกอีกฝ่ายจับอยู่ ก็พลอยคิดไปถึงคำสั่งสอนของหญิงชรา
‘…ออเซาะให้เขาช่วยจับจูง’
อย่างนี้เรียกออเซาะให้จับจูงไหมไม่รู้ แต่ตรัสจูงเขาจนกระทั่งถึงร้านยา พอตอนกลางวัน ตรัสก็ยังจูงภรรยากลับไปกินมื้อเที่ยงที่เรือน โดยให้เหตุผลว่ารติจะมัวแต่คิดแล้วเดินผิดทางอีก แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดอยู่แค่ครั้งนั้น เพราะตรัสเห็นว่าภรรยาไม่ได้ป่วยไข้ เมื่อมีสติครบถ้วน ก็เลิกจับจูงไปโดยปริยาย
เรื่องออเซาะนั้นถือว่าเป็นงานยาก รติล้มเลิกเพราะทำไม่ได้ ก็มาถึงคำสั่งสอนเรื่องที่สอง
‘ยามรับประทานอาหารก็ต้องรู้จักป้อนข้าวป้อนน้ำ ชะม้อยชายตาให้เขาด้วย...’
สามีภรรยาร่วมโต๊ะด้วยกันทุกวัน วันละสามเวลา แต่ทุกเวลาล้วนมีผู้อื่น การจะชะม้อยชายตาย่อมไม่เหมาะ รติจึงหาโอกาสจากมื้อกลางวันในวันหนึ่งที่มีคนไข้นัดมาดูแผลตอนเที่ยง
ตรัสจะกลับไปกินอาหารกลางวันที่เรือนย่อมไม่สะดวก เพราะต้องรอทำแผลคนไข้ก่อน ครั้นทำเสร็จแล้วค่อยกลับไป คนที่เรือนก็ต้องหิ้วท้องรอ รติจึงเสนอให้คนที่เรือนกินกันไปได้เลย ส่วนอาหารกลางวันของเขาและตรัส รติจะหิ้วมากินที่ร้านยา
มื้อกลางวันที่มีเพียงสองคนเกิดขึ้นแล้ว เรื่องถัดไปก็คือชะม้อยชายตา
...แล้วมันทำอย่างไร...
ต้องก้มหน้าไหม แล้วต้องเหลือบตาขึ้นหรือ แล้ว...ต้องยิ้มไหม? จะยิ้มอย่างไร ต้องเคี้ยวข้าวให้หมดก่อนใช่ไหม...
“รติ...รติ...” เสียงเรียกของผู้ร่วมโต๊ะดังปลุกสติ รติสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็พลันรู้ตัวว่าเขาเอาแต่คิดจนไม่ตักข้าวเข้าปากสักคำ
“เจ้าเป็นอะไร” ตรัสถาม มองภรรยาด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง รติเอาแต่คนข้าวในชามไปมาจนเละไปหมดแล้ว ยังไม่เห็นกินสักคำ
“อ...เอ่อ...ม...ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรได้อย่างไร ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้ง แล้วข้าวนั่นก็คนจนเละ มัวแต่คิดอะไรอยู่”
คราวนี้ตรัสชักจริงจัง สองครั้งแล้วที่เขาจับได้ว่าอีกฝ่ายเอาแต่ตกอยู่ในภวังค์จนดูไม่ปกติ
“หรือไม่สบาย? เจ้าเจ็บป่วยตรงใด บอกข้า” สามีไม่พูดอย่างเดียว แต่ลุกจากเก้าอี้มาจับหน้าผากลูบแก้ม หากแต่อุณหภูมิของภรรยาปกติ
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”
“ถ้าเช่นนั้นคิดอะไร”
คำถามนี้ตอบยาก หากตอบตามความจริงว่าคิดไม่ตกว่า ‘ชะม้อยชายตา’ ทำอย่างไร มีหวังตรัสคงยิ่งตกตะลึงพรึงเพริศ
“อ...เอ่อ...ก็...เรื่องผงสมุนไพร”
พอตอบไปเรื่องงาน คราวนี้ตรัสทำหน้าดุ ถอนหายใจแรง
“เรื่องนี้อีกแล้ว นี่เวลาพักกลางวันก็ยังเอาแต่คิดเรื่องงานเช่นนี้ แล้วสมองจะได้พักผ่อนหรือ” กลายเป็นว่าถูกดุ รติยิ้มแหย
“ขอโทษ ข้า...คิดเพลินไปหน่อย...”
“เลิกคิด แล้วกินข้าว” พอสั่งเสียงเข้มงวดเช่นนั้น ตรัสก็เหลือบไปมองข้าวในถ้วยของรติที่กลายเป็นก้อนรวมกันไม่น่ารับประทานอย่างยิ่ง เขาส่ายศีรษะ ขยับเก้าอี้ของตนเองเข้าไปหาภรรยา พร้อมด้วยชามข้าว
“ข้าวในถ้วยของเจ้าน่ะกินไม่ได้แล้ว กินกับข้าก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไร ข้ากินได้” รติรีบท้วงเมื่ออีกฝ่ายจะยกชามข้าวของเขาไป
“จะกินได้อย่างไร จับกันเป็นก้อนเละขนาดนี้ ไม่ดื้อ กินข้าวกับข้า แล้วก็เลิกคิดเรื่องงานเวลากินข้าวด้วย”
พอถูกสามีดุด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง รติก็พลอยเถียงไม่ออก หรืออีกนัยหนึ่งคือเกรงว่าเถียงไปแล้วจะกลายเป็นความแตกเรื่องที่กำลังคิดหาใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องชะม้อยชายตา คราวนี้คงถูกดุหนักกว่าเดิม
เป็นอันว่าคำสั่งสอนเรื่องที่สองของท่านอมราก็ไม่สัมฤทธิ์ผล รติชักถอดใจ ยิ่งคิดถึงคำสั่งสอนเรื่องที่สาม คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่
‘เวลาแนะนำตัวกับใคร ก็จงพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นภรรยาของตรัส อย่าได้กระมิดกระเมี้ยน’
อย่าได้กระมิดกระเมี้ยนทำอย่างไร รติไม่รู้ ที่ไม่รู้หนักกว่าคือจะต้องแนะนำตัวกับใคร
วันๆของเขาล้วนหมดไปกับการค้าขายในร้านยาอหัสกร ลูกค้าที่แวะเวียนมาล้วนอยากรู้เรื่องผงสมุนไพรมากกว่าอยากรู้ว่าคนขายเป็นใคร หนำซ้ำ...มีใครบ้างไม่รู้ว่าเขาคือภรรยาของหมอตรัส
“อ...เอ่อ...ท่าน...ท่านรู้จักข้าใช่ไหม” ลองเสี่ยงถามลูกค้าคนที่หนึ่งที่เข้ามาซื้อผงสมุนไพร ลูกค้าคนนั้นก็กะพริบตาปริบๆ
“รู้จักซี ท่านคือภรรยาของหมอตรัส”
ลูกค้าว่ามาเช่นนี้ก็เป็นอันว่าไม่ต้องแนะนำตัว
พอพบหน้าลูกค้าคนที่สอง รติก็ลองดูอีก
“เอ่อ...ท่านรู้ไหมว่าข้าชื่ออะไร สกุลอะไร”
ลูกค้าคนนั้นกะพริบตาปริบๆ
“ท่าน...เป็นภรรยาของหมอตรัส ชื่อรติ”
กับคนนี้ก็ไม่ต้องแนะนำตัวอีก รติถอดใจลงทุกที จนกระทั่งลูกค้าคนที่สาม
“ท่าน...รู้ไหมว่าข้าชื่ออะไร”
ลูกค้าผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ ยิ้มจืดแล้วส่ายหน้า
“ขอโทษที ข้าไม่ค่อยได้เข้ามาในเมือง บังเอิญท่านพ่อฝากให้มาซื้อผงสมุนไพรก็เลยแวะมาซื้อให้”
คล้ายรติเห็นแสงเรืองรองแห่งความหวัง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ รีบแนะนำตัวพัลวัน
“ข้าชื่อรติ อหัสกร เป็นภรรยาของหมอตรัส!”
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จัก” ลูกค้าคนนั้นตอบพลางหัวเราะ ตอนนั้นเองที่รติเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่าทีของเขาคงจะเกินกว่าคำว่า ‘อย่าได้กระมิดกระเมี้ยน’ ไปมากโข เพราะมัวแต่ดีใจที่จะได้ลองแนะนำตนเอง
เขาถอนหายใจ สุดท้าย ก็จำต้องถอดใจกับคำสั่งสอนที่สามของท่านอมราเช่นเดียวกับคำสั่งสอนที่หนึ่งและสองนั่นเอง
คำสั่งสอนของท่านอมราล้วนไม่สำเร็จสักข้อ เหลือเพียงข้อสุดท้าย
‘...ถ้าเจ้าอยากให้เขารู้สึกอบอุ่น ก็จับมือเขาทั้งมือ แต่หากเจ้าอยากให้เขารู้สึกวูบวาบ ก็ต้องค่อยๆลูบ ค่อยๆแตะ ฝ่ามือเอย ท้องแขนเอย ต้นขาเอย ผิวใต้ร่มผ้าส่วนใหญ่มิได้ถูกผู้อื่นแตะต้องโดยง่าย เจ้าเป็นภรรยา ย่อมมีอภิสิทธิ์ในพื้นที่ที่ผู้อื่นมิอาจมีสิทธิ์’
รติก็เป็นชาย คำสั่งสอนข้อนี้ของท่านอมราเขาย่อมเข้าใจ เพศชายนั้นมีพื้นที่อ่อนไหวไม่กี่แห่ง แต่ใช่ว่าชายทุกผู้จะมีจุดที่อ่อนไหวเช่นเดียวกัน กระนั้น ไม่ว่าจะจุดใด การค่อยๆลูบ ก็เป็นวิธีจุดอารมณ์ได้ไม่ต่างกันเลย
แต่...อย่างไรจึงจะเรียกว่าลูบ
วันนี้ทั้งวัน รติลองจับมือตนเองตามที่ท่านอมราสอน จับทั้งมือให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ลูบเบาๆที่กลางฝ่ามือก็ไม่เห็นจะให้ความรู้สึกวูบวาบแต่อย่างใด เพียงรู้สึกจั๊กกะจี้เท่านั้น
หรือต้องลูบเบากว่านี้? แต่ยิ่งลูบเบา ก็ยิ่งจั๊กกะจี้ แต่อย่างที่กล่าว แม้ทั้งเขาและตรัสล้วนเป็นชาย แต่ก็ใช่ว่าจะมีพื้นที่อ่อนไหวเช่นเดียวกัน
ดังนั้น...ต้องลอง
สองสามีภรรยานั้นยุ่งอยู่เสมอ ตลอดทั้งวัน ทำงานที่ร้านยาอหัสกร พอกลับมาที่เรือน คนหนึ่งต้องทำผงสมุนไพร อีกคนทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงาน จนกระทั่งตกดึก ตรัสถึงไปตามภรรยามาเข้านอน
รติไม่ค่อยจะมีสมาธินัก เพราะเอาแต่คิดว่าจะหาทางทดลองทำตามที่คิด พอก้าวเข้ามาในเรือนพักผ่อนแล้ว นี่คือช่วงเวลาสองต่อสองของพวกเขา ตรัสหันไปปิดประตูลงกลอน พอเรียบร้อยดีแล้ว กำลังจะหมุนตัว ก็กลับถูกคว้ามือไว้
คนถูกคว้ามือชะงัก คนคว้ามือก็ชะงัก
ฝ่ายสามีมองหน้าภรรยา ฝ่ายภรรยาก็มองหน้าสามี ก่อนที่รติจะรู้ตัวรีบปล่อยมืออีกฝ่ายออก
“อ...เอ่อ...เอ่อ...ขอโทษ...ข้า...”
ไม่รู้จะอ้างอย่างไร รติรู้สึกเหมือนตนเองช่างไร้สาระ ทำเรื่องอะไรไม่เข้าท่า แต่ท่าทางของเขากลับยิ่งทำให้ตรัสเป็นห่วง
ความประพฤติของรตินั้นเรียกได้ว่าไม่ปกติ สามีผู้เอาใจใส่เช่นตรัสจะดูไม่ออกเชียวหรือ แม้ไม่พูด แต่เฝ้าดูภรรยาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้หนักอกเรื่องใด
“หน้าเจ้าแดง เป็นอะไรไป หรือไม่สบาย” เขาถามด้วยความเป็นห่วง เอื้อมมือไปแตะหน้าผาก
“อุณหภูมิปกติ...” ตรัสเอ่ย “...แต่แก้มเย็น...”
รตินั้นขี้หนาว กระทั่งอากาศในช่วงใบไม้ผลิที่อุ่นขึ้นมากแล้ว แต่ช่วงกลางคืนก็ยังหนาวเย็น ในโรงครัวมีทั้งไฟมีทั้งน้ำร้อนก็จริง แต่ก็มิได้เป็นห้องหับมิดชิด
เขาลูบมือกับข้างแก้มของภรรยาคล้ายจะให้ความร้อน ฝ่ามือของตรัสมิได้นุ่มนวล แต่กระด้างอย่างชายหนุ่ม ทว่าก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น
...อุ่น...
...จับเช่นนี้สินะที่เรียกว่าอุ่น...
รติจับมือของสามีแล้วแนบแก้มของตนลงกับมือนั้นมากขึ้น ฝ่ามือของตรัสให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายจนเผลอยิ้ม เหลือบตาขึ้นมอง
“แต่มือของท่านอุ่น...”
ท่าทางของภรรยานั้นไม่ได้ออดอ้อน ไม่ได้แฝงจริตมารยา แต่กลับทำให้หัวใจของตรัสเต้นถี่
ฝ่ามือของเขาที่แนบอยู่กับแก้มของรติ ค่อยๆไล้นิ้วโป้งกับผิวแผ่วเบา ดวงตายังมองสบเข้าไปในดวงตาของภรรยา
ราวกับต้องมนตร์ ตรัสขยับเข้าใกล้ ก้มลงหา แล้วแนบริมฝีปากเข้าไปกับริมฝีปากของภรรยาแผ่วเบา
จุมพิตนั้นชวนให้เคลิบเคลิ้มจนเบียดกายเข้าหากัน บดริมฝีปากเข้าแนบสนิทกันมากกว่าเดิม สื่อความรู้สึกของหัวใจผ่านทางการสัมผัสกันและกัน จนกระทั่งริมฝีปากของตรัสผละออกห่างเล็กน้อย เมื่อนั้น รติจึงคล้ายได้สติ รีบดันแผ่นอกร้อนรุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วท้วงแผ่วเบา
“ตัวข้ามีแต่กลิ่นสมุนไพร”
ประโยคนี้แสนน่ารักสำหรับตรัส คล้ายจะปรามแต่มิได้ห้ามจริงจัง ราวกับว่าหากกายไร้กลิ่นสมุนไพรเหล่านี้แล้ว...ก็ไม่ว่า
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะอาบน้ำให้”
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
--------
จริงๆ รติไม่ต้องทำตามท่านอมราเลยค่ะ แค่รติทำในสิ่งที่รติอยากทำ ตรัสก็วูบวาบแล้ว
ส่วนตอนหน้าก็คือ...รติต้องได้รับผลจากการทดลองในตอนนี้ค่ะ ฮ่าฮ่า
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านเลยค่ะ