บทที่ 7 : สุสานวิหารร้าง (1)
ความตึงเครียดกระจายไปทั่วค่ายพักแรมเล็กๆ ของเอลฟ์เมื่อมาลแกธกล่าวว่าต้องการม้า “และเจ้า” หัวหน้าหน่วยกาลาฮานชี้เนอร์ดาเนล “เตรียมอาวุธแล้วมากับข้า ที่เหลือเฝ้าดาร์กเอลฟ์กับดวอร์ฟรอกองสนับสนุนจนกว่าจะส่งตัวเสร็จ ยังไม่ต้องตามข้ามา ข้าไม่คล่องตัว”
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งถาม ขณะที่เนอร์ดาเนลรีบเตรียมอาวุธและม้าให้พร้อม
“ยังไม่รู้ชัด เอาเฟียตมา”
ลูกน้องน้อมศีรษะรับ ก่อนนำเอาเฟียต หรือเจ้านกส่งสารประจำหน่วยมาให้หัวหน้า มาลแกธประคองมันไว้ในอุ้งมือ กระซิบภาษาควาร์กับมัน มันขานรับคล้ายรู้เรื่อง พร้อมจะทำตามคำสั่ง
‘ตามหาเดเนธอร์’“พร้อมแล้วขอรับ” เนอร์ดาเนลจูงม้ามาให้หัวหน้าหน่วย
มาลแกธดึงตัวเองขึ้นม้า “พวกเจ้าจงรอจนกว่ากองสนับสนุนจะมา หลังจากเสร็จธุระให้ไปรอข้าที่ปากทางเข้าสุสานวิหารร้าง” เขากำชับ
ลูกแก้วร้าวลึกขึ้นเรื่อยๆ เทพแห่งลมกระซิบแผ่วเบา
เดเนธอร์...สุสานวิหารร้าง“ท่านมาลแกธ!” อิลมาเรวิ่งมาขวางหน้าม้า ลอดผ่านพวกเอลฟ์อย่างว่องไว “จะ...จะไปไหนเหรอเจ้าคะ” เธอกดท้อง หอบ
“ข้ามีธุระด่วน อิลมาเร” มาลแกธกำลังจะปล่อยให้เฟียตบิน
“คะ...โคลด์ให้ข้ามาบอกว่า ถ้าจะไปสุสานวิหารร้าง...เขารู้ทางข้างใน รู้ว่าจะผ่านพวกอันเดดได้ยังไง” อิลมาเรไม่เข้าใจที่โคลด์พูดนัก แต่ก็รีบมาบอกตามที่โคลด์เร่งมา
“อย่าว่าข้าใจร้ายเลย ถึงเขาจะทราบเส้นทางทะลุปรุโปร่ง แต่สภาพของเขามีแต่ถ่วงให้ข้าช้าลง”
“เขาบอกอีกว่าถ้าท่านหยิ่งนักไม่ฟังเขา ลูกน้องของท่านจะไม่รอด...ท่านช่วยฟังเขาหน่อยได้ไหม อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าท่านกำลังจะไปไหนใช่ไหมเจ้าคะ”
อิลมาเรเดาจากสีหน้าของทุกคนที่งงงวยพอๆ กับเธอ โคลด์ไม่ควรทราบว่าเดเนธอร์อยู่ที่ไหน เพราะเขานอนเจ็บอยู่แต่ในกระโจม แต่อยู่ๆ เขาก็บอกให้เธอรีบมาบอกมาลแกธ
หน่วยกาลาฮานมองกันและกันเงียบๆ คล้ายพูดคุยกันทางสายตา ที่ดาร์กเอลฟ์รู้เรื่องจุดหมายของหัวหน้าก็น่าสงสัย และถ้าให้พึ่งดาร์กเอลฟ์ที่เพิ่งฆ่าเพื่อนพ้องมาก็อย่างไรอยู่ แต่ว่าไม่มีชนเผ่าใดรู้จักพวกอันเดดได้ดีไปกว่าพวกทมิฬอีกแล้ว
มาลแกธใช้เวลาตัดสินใจเพียงครู่เดียว “พาเขามา”
เนอร์ดาเนลรับคำสั่งนั้นเอง เขาดึงโคลด์ออกมาจากกระโจม มาลแกธลงจากม้ามาดูดาร์กเอลฟ์ที่แทบยืนไม่ไหว
“ข้าขอทำอะไรเอาแต่ใจสักหน่อย” หัวหน้าหน่วยกาลาฮานจับโคลด์หันหลังแล้วดึงเสื้อออก เขาทาบมือกับบาดแผล ร่ายเวทเป็นภาษาตะวันออก สำเนียงดุดันก้องไปทั่วป่า
ทันใด บาดแผลกลับสมานตัวอย่างรวดเร็ว ผิวเนื้อบริเวณนั้นนูนขึ้นเหมือนแผลเป็น ดูแล้วเป็นแผลเป็นเก่าด้วยซ้ำ
“ข้ายืมร่างกายในอนาคตของเจ้ามา สลับที่กัน ต่อจากนี้อีกสิบปียี่สิบปี มันจะปริเหมือนตอนถูกแทงใหม่ๆ” มาลแกธอธิบาย โคลด์สังเกตเห็นว่าแผลที่คอของมาลแกธก็หายดีแล้ว
“ช่างปะไร” โคลด์สะบัดตัวจากมือ นี่คือเวทที่มาลแกธพูดก่อนหน้า นับว่าอีกฝ่ายรอบคอบที่รักษาตัวเองด้วย เพราะถ้าให้เขาหายเจ็บอยู่คนเดียวก็อันตรายเกินไป
โคลด์ใส่เสื้อ เอ่ยธุระของเขา
“ลูกน้องเจ้ามันโง่ เข้าไปในสุสานแห่งวิหารอัปลักษณ์มารดา เส้นทางข้างในเป็นเขาวงกตขนาดย่อม มีแต่อันเดด ถ้าพาข้าไปด้วย ข้าบอกได้แน่ว่ามันอยู่ที่ไหน และมีประโยชน์กว่าพวกเจ้าไปกันสองคน”
“เตรียมม้าให้เขา”
เนอร์ดาเนลขบกรามแต่ทำตามคำสั่ง เขาเชื่อความรีบร้อนของหัวหน้าว่าเวลาของเดเนธอร์เหลือน้อยแล้ว
“ข้ามีข้อแม้อีกข้อ ปล่อยอิลมาเรไป”
“...ปล่อยดวอร์ฟ” มาลแกธเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนปล่อยให้เฟียตโผบิน
โคลด์ยิ้มสมใจ
เจ้าใช้อิลมาเรเป็นจุดอ่อนข้า ข้าก็ใช้ลูกน้องที่เจ้าห่วงนักหนาเป็นจุดอ่อนเจ้าดาร์กเอลฟ์เอ่ยขออาวุธ เขาได้รับอนุญาตให้พกไปได้ชิ้นหนึ่ง จึงเจาะจงมีดสั้นน้ำแข็ง เมื่อตกลงกันได้แล้วพวกเขาก็ขึ้นม้า กระตุกบังเหียนควบออกไป
ในเวลาเดียวกับที่คนทั้งสามเร่งเดินทาง
...อิลมาเรมองเห็นนกสีขาวโผบินตามพวกเขาไป
โคลด์ไม่ได้ห่วงชีวิตเดเนธอร์ แต่จู่ๆ โอกาสหนีที่หาแทบตายก็ร่วงลงมาใส่หน้า แม้ต้องเผยความลับนิดหน่อย เขาก็ยอมแลก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” มาลแกธเอ่ยถาม แม้ใจจะคิดไว้แล้วว่าโคลด์ไม่มีทางบอก หรือถึงบอกก็คงโกหก
“ข้ามีวิชาของข้า เจ้าตามนกเจ้าไปเถอะ มันจะไปทางเดียวกับที่ข้าบอก” โคลด์ตอบกลายๆ ให้มาลแกธไม่อาจฟันธงว่าเขาโกหก และเผยว่าเขารู้เรื่องนกสื่อสารของมาลแกธ
โคลด์รู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร
หลังควบม้าเร็วข้ามภูเขาโดยไม่หยุดพัก พวกเขาก็มาถึงสุสานวิหารร้างในเวลาอันตราย...นั่นคือเวลาโพล้เพล้ บุตรพระอาทิตย์กำลังจะอำลาโลก เทพีจันทร์เตรียมตัวขึ้นฉายแสงบนฟ้า เวลาแห่งคนตายกำลังจะมาถึง
“เจ้าฟังนกรู้เรื่อง?” มาลแกธถามอีก ข้อจำกัดของควาร์อีกอย่างหนึ่งคือภาษาของสัตว์ ธาตุในโลกส่วนใหญ่มีภาษาเป็นสากล แต่สัตว์ไม่ใช่ พวกมันมีการสื่อสารเฉพาะกลุ่ม เรียบง่าย...แต่ก็มีความซับซ้อนละเอียดอ่อนในตัว ควาร์ที่ฝึกจนพูดคุยกับสัตว์รู้เรื่องต้องคลุกคลีกับพวกมันนานพอ
เหมือนที่มาลแกธคลุกคลีกับเฟียตนานพอ
“ข้าคุยกับมังกรศิลาได้ไม่ใช่หรือไง” โคลด์อาจคุยกับมังกรศิลาได้จริง แต่เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปคุยกับนกของมาลแกธ
มาลแกธไม่ได้ถามต่อ พวกเขาอยู่หน้าประตูทางเข้าวิหารร้าง โดยมีเนอร์ดาเนลเข้าไปสำรวจก่อน
ในบันทึกกล่าวว่าวิหารแห่งนี้สร้างจากหินอ่อนสีขาว มีรูปสลักมารดานภาและเหล่าบุตรธิดาอันวิจิตรโอฬารตั้งอยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นประตู เสาต้นใหญ่ หรือกรอบหน้าต่าง ล้วนแต่ได้รับการสลักเสลาอย่างประณีต ภายในมีโถงทางเดินทอดยาว จุคนได้นับร้อย บนผนังสองข้างทางบอกเล่าเรื่องราวของมารดานภาและการกำเนิดเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ทว่าปัจจุบันวิหารศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นซากปรักหักพัง ถูกเถาไม้เลื้อยคลุมจนมองไม่เห็นเนื้อหินอ่อน ให้บรรยากาศหม่นหมองวังเวงไม่น่าเข้าใกล้ สุดท้ายก็เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณร้าย หรือพวกศพเดินได้อย่างอันเดด
มาลแกธเงี่ยหูฟัง เขาได้ยินแต่เสียงชั่วร้ายอัปมงคลในที่แห่งนี้ เสียงที่ควาร์จะหลีกเลี่ยง เนื่องเพราะเชื่อว่าจะถูกสะกดและถูกล่อลวงไปในทางไม่ดี เว้นเสียแต่…
เสียงทรายเขาได้ยินเสียงทราย แถมยังเป็นทรายที่ได้รับการร่ายเวทคุ้มกันระดับสูงเสียด้วย มาลแกธตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกนิด เขาได้ยินมันเอ่ยชื่อ
กอห์นดีเอนชื่อเงาสังหารของคิงซิกฟรีด
มาลแกธสบถ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
“ไม่รีบเข้าไปหรือไง” โคลด์ชักมีดสั้นออกมาเตรียมพร้อม เดินตรงเข้าไปในวิหารร้างอย่างไม่ลังเล ที่เขาเคยบอกว่าตนไม่ได้ยินเสียงอย่างควาร์นั้นเป็นความจริง แต่ถึงได้ยินเสียงเตือนอันตรายใดๆ เขาก็หาสนใจ
เพราะที่นี่คือจุดหมายที่เขาตั้งใจมาตั้งแต่แรก!
ครู่เดียวโคลด์ก็ตามเนอร์ดาเนลทัน ภายในวิหารร้างเงียบสงัด ไร้เสียงหรือความเคลื่อนไหว จนเนอร์ดาเนลคิดว่าไม่จำเป็นต้องพาดาร์กเอลฟ์มาด้วยก็ได้
กระทั่งลูกธนูจากทุกทิศทางพุ่งเข้าหาพวกเขา!
โคลด์ว่องไวมากพอจะหลบหลังเสา เขาฟังเสียงลูกธนูกระทบพื้นหินอย่างเฉยๆ ไม่สนใจว่าเอลฟ์อีกตนจะเป็นอย่างไร เขาพอเดาได้ว่าจะเป็นแบบนี้ ทว่าไม่คิดเตือน
ประสาทของเนอร์ดาเนลไม่ไวเท่าโคลด์ แต่เฉียบคมพอที่จะตัดสินใจฉับพลัน เขาใช้ดาบฟันลูกธนูก่อนหาที่กำบัง อักขระเวทบนใบดาบเรืองขึ้นในความมืดสลัว
มาลแกธจุดไฟด้วยถุงมือซึ่งเป็นอุปกรณ์เวทคู่กาย ลูกไฟลอยขึ้นสูง ส่องให้เห็นฝ่ายที่ซุ่มโจมตีพวกเขา มันเป็นออร์คผิวสีเขียวสกปรก—เผ่าที่ถือกำเนิดจากโคลนและความชั่วร้าย
โคลด์โยนมีดสั้นเล่นอยู่หลังเสา “เอลฟ์เก่งนี่นา แค่นี้ก็ฆ่ากันไปสิ ข้าแค่มานำทาง” เขาโผล่หน้ามายิ้มให้ด้วยซ้ำ
เนอร์ดาเนลอยากตะคอกว่า ‘หุบปาก’ แต่ที่เขาทำคือขบกรามแน่นไม่ให้คำสบถหลุดออกไป
“ข้ามาตามหาเพื่อน!” มาลแกธซึ่งหลบอยู่หลังเสาตรงข้ามโคลด์ตะโกนออกไป “พวกเจ้าก็มีเพื่อนใช่ไหม คงไม่อยากให้เขาเป็นอะไรเหมือนกัน!”
“มาลแกธ เจ้าอายุ 279 ปีจริงสิ” โคลด์ถามจากหลังเสา
“ข้าอยากมีอารยะ” มาลแกธพยักพเยิดไปทางเนอร์ดาเนลที่หลบลูกธนูและโจมตีอออร์คไปด้วยอย่างงานล้นมือ “เขารู้จักข้าในฐานะหัวหน้าหน่วยผู้ใจดีและใจกว้าง” เขาพูดพอให้โคลด์ได้ยินคนเดียว
“ดูตาพวกออร์คสิ ดูให้ดีๆ” ตาของออร์คเหล่านั้นเป็นฝ้าขาวขุ่นมัวเหมือนตาปลาตาย...ตาของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว
มาลแกธหันไปดูตามที่โคลด์บอก “เยี่ยม ไม่จำเป็นต้องมีอารยะ...เนอร์ดาเนล ระวังไฟ!”
ลูกไฟระเบิดออกเป็นผีเสื้อนับร้อย ตรงเข้าคลอกออร์คจนเหี้ยน แต่อย่างที่มาลแกธพูดเสมอว่าไฟคุมยาก อาจมีพลาดไปโดนอย่างอื่นที่ไม่ใช่เป้าหมายบ้าง
เนอร์ดาเนลเบิกตากว้าง ออร์คเป็นร้อยๆ ตัวถูกย่างต่อหน้า เขาทราบว่าหัวหน้าเป็นควาร์ที่ถนัดการใช้ไฟ แต่ไม่เคยเห็นกับตามาก่อน
น่ากลัว…“เจ้าลูกหมา! มองอะไร มาทางนี้ได้แล้ว!” มาลแกธตะโกนเรียกลูกน้องที่กำลังตะลึงงัน
“มาซ่อนมาเอลฟ์” โคลด์ให้คำแนะนำอย่างเหยียดๆ แล้วหันไปบอกมาลแกธ “ถ้าไฟของเจ้าเผามันตายง่ายๆ ข้าจะเสนอตัวมาทำไม”
ครู่เดียวก็มีโครงกระดูกร่างใหญ่เดินออกมาจากสุดโถงด้านใน มันแต่งชุดรุ่มร่ามเก่าขาดอย่างนักเวท สร้อยคอลูกปัดหินสีกับเครื่องประดับอย่างชาแมนทำให้พอเดาได้ว่าในอดีตมันคงเป็นจอมเวทดาร์กเอลฟ์
ชาแมนอันเดดเดินออกมาสู่แสงไฟที่มาลแกธจุดไว้ แต่ยังอยู่ไกลจากวิถีการโจมตี แสงสีเขียวเรืองรองในเบ้าตากลวงโบ๋ลุกพรึ่บ! มันโกรธที่ถูกบุกรุกอาณาเขต จึงยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ไอสีดำจากฝ่ามือที่เหลือแต่กระดูกกระจายไปทั่ว ปลุกศพไหม้เกรียมของออร์คให้ลุกขึ้นมาใหม่ ทีละตน...ทีละตน
—————————————————————————
A/N มีเรื่องอยากทอลก์มากมาย แต่นักเขียนป่วยค่ะ เป็นหวัด เอาเป็นว่า บทนี้โคลด์ได้เอาคืนบ้างแล้ว เนอะ (^_^)
ป.ล. ชาแมนอันเดดเท่เนอะ เผาเท่าไหร่ก็ลุกขึ้นมาได้ ทีนี้มาลแกธทำไงล่ะติดตามผลงานของเราได้ที่ I L L R E I ♰ Boy Love Fantasy
♰ Facebook : https://www.facebook.com/ILLREI/
♰ Twitter : @VinzeSchwarz