19
เมื่อมาถึงครึ่งทางร่างสูงก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้นั้นกระต่ายน้อยเขาเปิดโรงน้ำชาอยู่ที่ไหน จึงเรียกเงามารายงานความเป็นไปทั้งสองปีให้ฟัง มิใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจหากแต่เขาคิดไว้ว่าเมื่อจัดการงานเสร็จจะไปหาทันที แม้ใจจะอยากไปเจอหน้ากระต่ายน้อยใจจะขาด และพอได้รู้ว่าหลิงเอ๋อร์ไปรอรับที่ท่าเรือ เขาจะไม่ยอมให้หลิงเอ๋อร์ต้องเสียใจเช่นนี้
สองปีที่ทรมาน ใช่ว่าเขาไม่คิดถึงช่วงระยะเวลาที่เดินทางคราแรกนั้นเป็นช่วงที่ลำบาก ทั้งการปรับตัวและภาษา วัฒนธรรมที่แตกต่างนั่นทำให้เขาต้องลำบากจะไว้ตัววางท่าเฉกเช่นการเป็นอ๋องมิได้ และเมื่อเขาลดการวางตัวมันทำให้เขาชินจนละเลยและลืมคิดไปถึงวัฒนธรรมของแคว้นตน เรื่องนี้เขาผิดเอง
เมื่อฟังคำบอกเล่าจากเงาแล้วยิ่งทำให้รู้ว่าหลิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นอย่างงดงามและคงเป็นงานยากสำหรับเขา สะกิดปลายเท่าทะยานไปยังร้านน้ำชาของกระต่ายน้อย ร่างเล็กที่นั่งอยู่ในห้องที่เปิดหน้าต่างไว้ หลิงเอ๋อร์ที่ผ่านมาสองปี...เติมโตขึ้นอย่างงดงาม งามมากจริงๆ เหมือนหัวใจเขาหยุดเต้นเมื่อได้เห็นเสี้ยวหน้าหวาน รอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรัก พริบตาเขาก็พุ่งเข้ามาอยู่ในห้องแล้ว
“ท่าน” ดวงตาดุจผลท้อนั้นเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นเขาในในห้อง
“หลิงเอ๋อร์พี่ขอโทษเจ้า” เอื้อมมือเข้าไปหาหมายที่จะจับข้อมือเล็ก หากแต่หลิงเอ๋อร์ก็ขยับถอยห่างทันที
“ท่านเข้ามาได้เยี่ยงไร ออกไปเสีย”
“อย่าตัดรอนพี่อย่างนี้หลิงเอ๋อร์”
“ต้องอภัยด้วยท่านอ๋อง หลิงเอ๋อร์นั้นมีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะเรียกได้” ถ้อยคำตัดรอนนั้นยังมิเท่าแววตาแข็งกร้าวของหลิงเอ๋อร์ที่ตอนนี้สูงขึ้นดูบอบบางยิ่งหากแต่จิตใจนั้นเข้มแข็งกว่ารูปลักษณ์
“พี่มิขอให้เจ้าอภัย แต่พี่อยากให้เจ้าฟังพี่อธิบาย” ข้าไม่กล้าแม้กระทั่งละสายตาจากร่างระหงตรงหน้า เกรงว่าหากเพียงเขาละสายตาเพียงนิดกระต่ายน้อยจะโดดหนีไป
“เฮ้อ ท่านว่ามา” เมื่อเห็นท่าทางอ่อนลงและขยับลงไปนั่งที่เดิม
“เจ้าโตขึ้นมาก”
“เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับสิ่งที่ท่านอธิบายไม่” แววตากลมนั้นตวัดมามองข้าจนสะดุ้ง อ่า คนมีชนักติดหลังคงเป็นแบบนี้สินะ ก้าวไปนั่งลงตรงข้ามสำรวจใบหน้าหวานอย่างคิดถึง
“พี่ผิดที่ทำให้เจ้าไม่ไว้ใจ หากแต่ที่ท่าเรือมิมีอันใดจริงๆ ฟรานซิสนั้นเดินทางจากโฝหลางจีเพื่อมาเป็นทูต พี่ผิดที่ให้เขาเข้ามาแตะตัวตามอำเภอใจทั้งที่พี่เป็นของเจ้า พี่ขออภัยเจ้าจริงๆ” เป็นความเลินเล่อของข้าเอง ความผิดที่ไม่คิดอะไรของข้าเอง หลิงเอ๋อร์มิได้ว่าอะไรต่อทำเพียงมองหน้าข้านิ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจแล้ว
“สองปีท่านว่าหลายสิ่งเปลี่ยนไปรึไม่”
“เปลี่ยน” แม้จะหวั่นใจแต่ก็ตอบไปตามตรง ร่างบางเท้าคางกับโต๊ะ แววตาฉายความจริงจัง
“สองปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยหวังเพราะรู้ดีกาลเวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยน.....แต่ข้าแค่เสียความรู้สึก”
“พี่.ขอโทษ”
“สองปี ท่านให้คำมั่นกับข้า วันแรกที่กลับมาท่านไม่มาหาข้า..ข้าเข้าใจเพราะท่ามิใช่คนธรรมดาย่อมมีภาระหน้าที่ หากแต่สิ่งที่ข้าเห็นมัน...”
“ไม่มีอีกแล้วพี่ผิดไปแล้ว” เอื้อมจับมือเล็กที่กำแน่นลูบเบาๆ หากแต่กระต่ายน้อยก็ยังคงนิ่ง
“ข้าว่าเราลืมไปเลยดีรึไม่”
“ไม่ พี่ไม่ยอมหรอกนะ”
“ข้าแค่เปิดโอกาสให้ท่านได้เจอ...”
“ต่อให้เจอคนเป็นหมื่นเป็นพันข้าก็ไม่มองใคร เรื่องที่เกิดข้าผิดแต่ข้าไม่ยอมให้ทุกอย่างจบลงหรอกนะ” บีบมือเล็กแน่นแววตาดุจเหยี่ยวนั้นวาวโรจน์ฉายแววไม่พอใจ
“แต่สิ่งที่ท่านทำนั้นทำลายความรู้สึกข้า ข้าจะไม่เสียใจเลยหากท่านกลับมาแล้วไม่ได้มาหาข้าเป็นคนแรกแต่เป็นการที่ท่านให้คนผู้นั้นทำการสนิทชิดเชื้อด้วยต่อหน้าข้า”
“หากแต่มันมิมีอันใด”
“ได้ เช่นนั้นหากข้าเดินเกาะแขนหรือทำตัวสนิทสนมกับผู้อื่นท่านจะยอมรึไม่”
“อวิ้หลิง”
“เห็นไหมท่านยังมิยอมแล้วเหตุใดข้าจะโกรธหรือเสียความรู้สึกมิได้” เหมือนทั้งร่างชาไปหมดและกระต่ายน้อยหนีไปเลียแล้ว แม้จะรับรู้จากเหล่าเงาว่าร่างเล็กร่ำเรียนวิทยายุทธ์ด้วยหากแต่ไม่คิดว่าจะสูงถึงเพียงนี้
อ่า
อย่างที่หลิงเอ๋อร์ว่า สองปี หลายสิ่งก็แปรเปลี่ยน
แต่ข้ามิยอมหรอกนะ
ชั่วพริบตาร่างสูงก็หายไปจากห้อง
ผมกลับมายังเรือนตัวเองด้วยวิชาตัวเบา พี่ใหญ่คงรู้แล้วแต่ท่านพ่อคงยังไม่รู้ แค่คิดถึงผมก็โมโหแล้ว หนอย กล้าให้คนอื่นเกาะแขนแบบนั้น...ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้คิด จะคิดน้อยเกินไปแล้วนะ คอยดูเถอะผมจะไม่คืนดีง่ายๆ อ๊ะๆ จริงๆความโกรธและน้อยใจก็หายไปตั้งแต่โผล่มาที่ร้านแล้วครับ แต่ว่านะ....จะต้องทำให้รู้เสียบ้างว่าการทำตามสิ่งที่ตัวเองไปเองเออเองคนเดียวนั้นมันทำร้ายจิตใจผมแค่ไหน
หึ
ในเมื่อสวยและรวมมากก็ไม่จำเป็นต้องง้อ
แค่กๆ ปล่อยเบลอประโยคด้านบนไปนะครับ เอาจริงๆแรกๆก็โกรธและเสียความรู้สึกมากหากแต่ว่าเมื่อได้คิดตริตรองดีๆแล้วก็ลดลงครึ่งหนึ่ง คำอธิบายของพี่เว่ยที่กล่าวออกมาก็ทำให้เข้าใจได้ สองปีที่เดินทางและเจอวัฒนธรรมใหม่ๆซี่งไม่เคร่งเท่ากับที่แคว้นนี้อย่างผมตอนที่มาอยู่ที่นี่ครั้งแรกก็ไม่ชินก่อนจะซึมซับและปรับตัว แต่ถึงจะอย่างนั้น ผมก็จะไม่ยอมหายโกรธง่ายๆหรอกนะ
.
.
“พี่อวี้หลิง นั่นชินอ๋องใช่รึไม่” เงยหน้าขึ้นจากการเขียนสูตรขนมมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังด้านนอก บุรุษร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีมุกเฉกเช่นแต่กาลก่อนเมื่อสบตากันก็เป็นฝ่ายผมที่ต้องหลบสายตาคมนั่น หลังจากที่คุยกันวันนั้นพี่เว่ยก็เทียวไล้เทียวขื่อ เพียงแต่เปลี่ยนจากคราก่อนคือทั้งผมและพี่เว่ยต่างมีความรู้สึกดีๆให้กันเพียงแต่ต้องเริ่มต้นใหม่
เชอะ
“ท่านโกรธชินอ๋องรึ” สงสัยว่าพี่ใหญ่คงจะเล่าให้เสี่ยวอิงฟังแล้ว ผมยืนหน้าไปกระซิบเรื่องราวทั้งหมดให้เสี่ยวอิงฟังอย่างละเอียด ยิ่งฟังดวงตาดอกท้อยิ่งเบิกกว้างก่อนจะทำหน้าขึงขังที่ต้องบอกว่าไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดแล้วบอกว่าผมทำถูกแล้ว เห็นไหมทุกคนก็เห็นด้วยกับผมทั้งท่านพ่อ พี่ใหญ่ รวมทั้งพี่ชายทั้งสองจากตระกูลโม่
“เจ้าว่าขนมนี่น่าทานรึไม่” เมื่อเห็นผมหันมาสนใจกับเสี่ยวอิง พี่เว่ยก็ดูไม่พอใจหากแต่ก็เดินตามหลงจู๊ไปยังที่นั่งส่วนตัวชั้นสอง จากวันนั้นพี่เว่ยก็ส่งกำไลคืนมาแต่ผมเก็บไว้ในหีบไม่ยอมเอามาใส่
“น่าทานสิ จะทำขนมใหม่รึ”
“อือ เพราะว่าแบบเดิมคงจะคุ้นเคยกันแล้ว เราต้องเพิ่มสิ่งแปลกใหม่ให้ร้านเราไม่จำเจ”
“พี่อวี้หลิงช่างฉลาดยิ่ง” แววตากลมฉายแววเลี่ยมใสเต็มเปี่ยม ท่าทางเหมือนลูกหมาตัวน้อยที่กระดิกหางรัวๆ นั่นทำให้ผมขำยกมือขึ้นลูบหัวว่าที่พี่สะใภ้ คิก อย่าเอาไปพูดกับพี่ใหญ่เชียวนะครับรายนั้นนะจะเขินจนหมดมาดรองแม่ทัพเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่จะมารับเจ้าใช่รึไม่”
“ใช่ขอรับ อ๊ะ นั่นไงมาพอดีเลยข้าไปนะขอรับพี่อวี้หลิง ขนมอันใหม่นี่ให้ข้าชิมก่อนนะขอรับ” ยังมีแอบกระซิบเรื่องขนมอีก
“ได้สิรีบไปเถอะ” เสี่ยวอิงยิ้มกว้างวิ่งไปหาพี่ใหญ่ที่ยืนมือมารับทันทีช่างเป็นภาพที่หลายคนนั้นอิจฉายิ่ง ถ้าอายุเสี่ยวอิงถึงวัยแล้วล่ะก็ก็คงจะออกเรือนทันทีแน่ๆ ผมส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง
“หลิงเอ๋อร์...พี่นั่งด้วยได้รึไม่” นี่เป็นอีกเรื่องที่แปลกไปของร่างสูง
“ท่านมิต้องไปทำงานรึ” ผมไม่ตอบเพียงแต่เทน้ำชาใส่ถ้วยวางลงอีกฝั่ง ร่างสูงก็รีบขยับมานั่งลงทันที
“ไม่แล้ว เสด็จพี่ให้พี่พักงานได้ครึ่งปี” แม้อยากจะบอกว่าที่ให้ลาพักนั้นเพราะเสด็จพี่กลัวว่าเขาจะง้อว่าที่น้องสะใภ้ไม่สำเร็จ ช่างเป็นแรงใจที่ดีเสียจริง
“อ้อ...แล้วฟรานซิสเล่า” ผมเงยหน้าส่งสายตาค้อนให้คนตรงข้ามไปหนึ่งที เห็นแล้วหมั่นไส้
“เสด็จพี่ส่งคณะมาต้อนรับไปยังเมืองหลวงแล้ว” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ท่านไม่อาลัยอาวรณ์หน่อยรึ” แม้จะรู้ว่าการประชดประชันจะไม่ใช่การดีหากแต่ก็อดไม่ได้ ร่างสูงไม่ได้กล่าวอะไรทำเพียงยกชาขึ้นจิบแล้วถอนหายใจเบาๆ
“มิมีอันใดให้อาลัย พี่มิได้คิดอะไรกับฟรานซิสหากแต่เมื่อคราที่เดินทางกลับมาจากโฝหลางจีได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทำให้สนิทสนมกัน พี่มองเขาเฉกเช่นน้องชายผู้หนึ่ง” ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ตอบอะไรกลับไป หยิบบัญชีมาตรวจดูยังไม่ทันที่จะได้เปิดหน้าบัญชีสมุดเล่มหนาก็วางลงเบื้องหน้า
“นี่เป็นบันทึกที่พี่เขียนตลอดเวลาสองปี เจ้าจะได้รู้ว่าพี่มิมีใคร” ว่าจบก็ลุกขึ้นเดินจากไปทันทีทิ้งผมและสมุดบันทึกไว้อะไรของเขา กัน ผมเลือกที่จะเก็บบันทึกไว้อ่านเมื่อถึงจวน ตอนนี้ก็ขอจัดการงานตรงหน้าก่อนล่ะนะ
.
.
วันที่ xx.xx.xxx
จากจรห่างไกล ใจเฝ้าคะนึงหา
ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว การเดินทางแม้นจะไม่ลำบากกายหากแต่ลำบากใจยิ่ง หลิงเอ๋อร์จะเป็นเยี่ยงไรบ้าง
คิดถึง ข้าคิดถึงกระต่ายน้อยของข้ายิ่ง
วันที่ xx xx xxxx
เมืองนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่ง ทั้งผู้คนและเครื่องแต่งกาย หากกระต่ายน้อยมาเห็นด้วยเสียจริงหากแต่คงมิมีอันใดให้กระต่ายแปลกใจเป็นแน่ เราจะอยู่ที่เมืองนี้อีก เจ็ดวัน คงพอที่จะจดบันทึกและสำรวจ
อยากกอดกระต่ายของข้าเสียจริง
วันที่ xx xx xxxx
พ้นปีแล้ว อากาศหนาวครานี้ยิ่งทำให้คะนึงถึงคนที่บ้านเกิด หลิงเอ๋อร์พี่คิดถึงเจ้ายิ่ง ชุดที่เจ้าตัดเย็บให้พี่แม้นจะซีดไปบ้างก็มิยอมทิ้งและยังคงอบอุ่นอยู่เสมอ นี่เป็นเมืองสุดท้ายแล้ว ทิวทัศน์นั้นช่างงดงามยิ่ง เดินทางกลับครานี้พี่คงได้ซื้อของฝากกลับไปให้เจ้าด้วย ป่านนิ้กระต่ายน้อยของพี่จะโตขึ้นมางดงาเพียงใด ได้แต่หวังว่าจะมิมีผู้ใดข้องเกี่ยว พี่คิดถึงเจ้ายิ่งนัก คิดถึงทุกลมหายใจ
ปึก
ร้อน
ให้ตายเถอะ
คิดถูกแล้วที่นำกลับมาอ่านที่เรือน แง้ ผมรู้สึกร้อนที่หน้าจนจะร้องไห้อยู่แล้วสมุดบันทึกในช่วงหนึ่งปีนั้นมิมีหน้าไหนที่ไม่เขียนถึงผม อันนี้แค่ยกบางส่วนในบันทึกนั้น อ่า เรียกว่าเป็นหนังสือสักเล่มดีกว่า เพราะมันหนามาก เห็นได้ชัดว่าพี่เว่ยพยายามที่เขียนให้ได้ทุกวัน อาจจะมีบางวันที่ไม่ได้เขียนแต่ก็ชดเชยด้วยวันต่อมา อาจจะเขียนไม่ยาวนักแต่ก็ทุกตัวอักษร ทุกหน้านั้นเต็มไปด้วยเรื่องราว และการเดินทางของพี่เว่ย บางหน้ากระดาษนั้นดูท่าจะเขียนตอนอยู่ในทะเลหน้ากระดาษก็ดูจะพองๆ
เฮ้อ
แล้วอย่างนี้จะโกรธได้นานรึ
.
.
วันต่อมาองครักษ์เงาก็นำหีบขนาดกลางถึงสองหีบมาให้ผม โดยแจ้งว่าเป็นของที่ท่านอ๋องให้นำมาให้เมื่อเปิดดูก็มีข้าวของแปลกตามากมาย ผมอมยิ้มกับความทุ่มเท อ่า งั้นจะใจดีให้สักหน่อยล่ะกัน หลังจากให้พ่อบ้านนำไปเก็บผมก็ออกจากเรือนแล้วตรงไปยังห้องครัว สองปี มิรู้ว่าร่างสูงจะลืมรสมือเขารึยัง
ใช้เวลาอยู่ร่วมครึ่งชั่วยาม กับข้าวสี่อย่างและของหวานอีกหนึ่งอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หมูทอดราดซอส แกงจืดไข่ม้วน ไก่นึ่งซีอิ้ว ปลาเนื้ออ่อนผัดขึ้นฉ่าย ส่วนของหวานเป็นฟักทองเชื่อมจัดแจงใส่ตะกล้า หอบหิ้วไปขึ้นรถม้าที่รอท่าอยู่หน้าจวน ตรงไปยังจวนของชินอ๋องที่หลังจากลับมาร่างสูงก็ย้ายกลับมายังจวนของตน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อมาถึงก็แจ้งให้คนขับรถม้าว่าให้รอสักครู่แล้วลงจากรถม้าพร้อมกับตะกล้าอาหารไปเคาะที่ประตูจวน
แอ๊ด
“คุณชายไป๋”
“ท่านอ๋องอยู่รึไม่ขอรับ”
“อยู่ขอรับเชิญคุณชายไป๋เข้ามาในจวนก่อนขอรับ บ่าวจะไปแจ้งท่านอ๋อง”
“มิเป็นไรขอรับ รบกวนช่วยนำอาหารในนี้ขึ้นโต๊ะตอนเที่ยงให้กับท่านอ๋องด้วยนะขอรับไม่ต้องบอกนะครับว่าเป็นข้าที่นำมาให้” เงยหน้าบอกพ่อบ้านพร้อมกับรอยยิ้มกว้างซึ่งพ่อบ้านก็ให้คำยืนยันพร้อมกับรับปากว่าจะขึ้นโต๊ะอาหารแน่นอน ผมถึงลากลับทันที
.
.
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ให้บ่าวยกสำรับมาเลยรึไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ขานรับโดยไม่ละสายตาจากม้วนราชสาส์น ไม่นานจมูกก็ได้กลิ่นหอมของอาหารพร้อมกับประตูห้องถูกเปิดออก กงกงนำบ่าวยกอาหารเข้ามาหน้าตาอาหารนั้นเพียงแค่เหลือบตามองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร
“อาหารนี่ หลิงเอ๋อร์มาที่จวนรึ”
“เอ่อ ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่คุณชายไป๋มิให้บอกว่าคุณชายมาพ่ะย่ะค่ะ” รอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งยามถูกร่างเล็กโกรธนั้นถูกเรียกกลับมาอีกครา ราชสาส์นจากองค์ฮ่องเต้ถูกโยนไปไว้ด้านข้างทันที รีบจับตะเกียบคีบอาหารเลิศรสที่เขาไม่ได้ลิ้มลองมาสองปีกว่าๆ ใช่ตั้งแต่กลับมาข้ายังมิเคยได้ลิ้มลองอาหารฝีมือกระต่ายน้อยสักครั้ง ขนมที่ร้านน้ำชานะรึ จะนับเป็นอะไรได้ก็กระต่ายน้อยมิดได้ทำให้เขาด้วยตัวเองการได้รับอาหารมื้อนี้ถือว่าได้รับการให้อภัยในส่วนหนึ่ง
กระต่ายน้อยของข้านั้นช่างใจดียิ่ง
**************************************
คลานมาอัพ งานยังไม่เสร็จเลยเด้อออออออออออออ
พนักงานตัวอย่าง5555 ถ้ามีคำผิดรึอะไรก็ขออภัยด้วยนะคะ
เบลอหนักมา เกลียดการขิงของพี่เว่ยจริงค่ะ เน้นจริงๆว่า
กระต่ายของข้า กระต่ายของข้า กระต่ายของข้า
อยากจะลักเอามาเลี้ยงเองเสียจริง
อ่านแล้วเป็นยังไงอย่าลืมบอกเราด้วยเน้อ
ถ้าผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยนะคะ
รัก