รักเกิดในแผนกขนส่ง....ภาค โยธิน-บัวลอย ตอน เลือนลาง
ฝนตกลงมาปรอย ๆ และเหมือนจะเริ่มเทหนักลงมาในอีกไม่ช้า
โยธินเปิดประตูรถและเข้าไปนั่งเรียบร้อย แวะเข้ามาหาพี่อ้นตอนเย็น เพราะเอายอดสุดท้ายของเดือนนี้มาส่ง
ที่จริงโทรมาบอกก็ได้ หรือไม่ก็แค่แฟ็กซ์มาบอก แต่วันนี้รู้สึกว่าว่างจริง ๆ ก็เลยขับรถมาออฟฟิศตอนเย็น
มันเบื่อ ๆ เหงา ๆ เศร้า ๆ พิกล พักนี้ ชีวิตมีแต่เรื่อง เรื่องเดิม ๆ เรื่องที่ไม่ว่ากี่ปีก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวแบบนี้มาตลอด
เรื่องที่ถึงแม้จะผ่านมานานแค่ไหน ก็ยังตัดใจให้ลืมไม่ได้ซักที
เปิดเพลงคลอเบา ๆ และมองสายฝนที่เริ่มโหมกระหน่ำขึ้นเรื่อย ๆ
ตกหนักแล้วแบบนี้ มิน่าล่ะช่วงกลางวันถึงรู้สึกร้อน ๆ
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดอะไรไปคนเดียว แล้วสายตาของโยธินก็เริ่มมองไปที่ข้างทาง
เสื้อพนักงานแบบนี้ คนโรงงานเดียวกันนี่หว่า ทำไมไม่เอาร่มมา ฝนตกขนาดนี้ แม่งเปียกเละเลยไม่ใช่หรือไงวะ
ชะลอรถให้ช้าลง และโยธินก็เปิดกระจกเรียกคนที่กำลังเดินกดอกตัวเปียกอยู่ที่ข้างทาง
“ไปด้วยกันป่ะครับ เปียกหมดแล้ว ขึ้นมาก่อนก็ได้”
ไม่ทันมอง ไม่ทันเห็น ไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และเมื่อคนที่เดินกอดอกเปียกปอนไปทั้งตัวหันมา โยธินก็ถึงกับชะงักค้าง
ไอ้เด็กแบ๊ว แผนกขนส่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่นี่หว่า
อ่า...........แล้ว......จะเอายังไงต่อไปดี
“สัด มึงเยาะเย้ยกูเหรอ ไอ้ตุ๊ด”
เหี้ยเหอะ กูไปเยาะเย้ยตอนไหนมิทราบวะ คนอุตส่าห์หวังดียังเสือกมาด่าซะได้ เดี๋ยวแม่งเบิ้ลรถใส่ให้น้ำโคลนกระเด็นใส่เลยนี่ไอ้เด็กเวร
“ใครไปเย้ยมึง ไอ้หน้าแบ๊ว จะขึ้นมาก็เร็ว ๆ เข้าอย่ามาลีลาฝนแม่งเทขนาดนี้ พี่ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำครับน้อง ถึงไม่ใช่น้องพี่ก็เรียกให้ขึ้นมาอยู่แล้ว ไม่มาคิดเล็กคิดน้อยอย่างมึงหรอกสัด”
เฮ้ยนี่แม่งด่ากูเหรอ มึงด่ากูเหรอวะ มึงเอาเลยมั้ยล่ะ มึงต่อยกับกูเลยดีกว่าพูดแบบนี้
“แล้วไม่ต้องวิ่งมาใส่ด้วยนะโว้ย ไอ้เรื่องต่อยกะน้องอ่ะพี่ขอเก็บไว้ก่อน เปียกขนาดนี้ยังจะทำซ่า ถ้าอยากจะมีเรื่องด้วยขนาดนั้น ก็ขึ้นมาเลยเร็ว ๆ ไม่ต้องลีลา”
ได้ มึงบอกเองนะ ว่าให้กูขึ้นรถมึง เปียกซะขนาดนี้ รถมึงเละแน่ อย่ามาโทษกูแล้วกัน เดี๋ยวมึงรู้แน่ เดี๋ยวมึงรู้
ยอมขึ้นมาบนรถของโยธิน และจัดการสะบัดหัวให้น้ำที่เส้นผมกระจายไปโดนเจ้าของรถ และโยธินก็หันมามองหน้าของคนที่ทำตัวเป็นเด็กไม่มีมารยาท
รถกูเปียกก็ถือว่าหนักแล้ว นี่มึงยังสะบัดหัวให้น้ำมาเปียกกูด้วยเหรอวะ ไอ้เด็กเหี้ยนี่
“สะใจป่ะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ทำแค่นี้แล้วสะใจมากหรือไง ปัญญาอ่อน”
โดนด่า และคนที่ถูกหาว่าปัญญาอ่อนก็หันมาจ้องหน้าของโยธินตรงๆ
จ้องอย่างเอาเรื่อง จ้องแบบอยากมีเรื่อง และโยธินก็แค่ปรายตามองหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจกับการขับรถที่ต้องใช้สมาธิสูงกว่าปกติ เพราะสายฝนที่สาดเทลงมามันทำให้ยากแก่การมองเห็น
“อย่าเพิ่งต่อยพี่ตอนนี้ครับน้อง เดี๋ยวพี่เหยียบเบรกไม่ทัน มันจะได้ตายหมู่ ศพไม่สวยขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”
เออ ก็จริงอย่างที่ไอ้หน้าตุ๊ดมันพูด
ก็ได้ เพราะฉะนั้นกูจะยอมถอยให้มึงครึ่งก้าวก็ได้
ฮัทนั่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่แอร์ที่เปิดจนเกือบสุดก็ทำให้ร่างกายเริ่มแสดงปฏิกิริยาบางอย่างออกมา
“ฮัดชิ่ว ฮะ ฮัดชิ่วววว”
ยกมือขึ้นปิดปากและก็จามไปสองครั้ง
มาแล้วไงอาการไม่พึงประสงค์ที่มาพร้อมกับฝน งานเข้าแล้วไงกู พรุ่งนี้ลากันหลายคนด้วย กูต้องสแปร์แทนถ้าเป็นหวัดขึ้นมา คงหยุดไม่ได้
“ก็หรี่แอร์สิวะ นั่งหนาวอยู่ทำไม หน้าตาก็ฉลาดไม่น่าโง่”
เหรอ ไอ้สัดกูจะรู้มั้ยล่ะ กูนึกว่ามึงเร่งแอร์แกล้งกูซะอีก กูถึงไม่พูด แล้วกูจะรู้มั้ยว่ามึงไม่ได้แกล้ง
เอื้อมมือไปปรับแอร์ให้โดนตัวเองน้อยลง และฮัทก็เริ่มกอดอกด้วยความหนาว แม้ว่าจะปรับแอร์แล้ว
“มีผ้าขนหนูอยู่เบาะหลัง หยิบถึงป่าวล่ะ เสื้อเชิตที่แขวนไว้เอามาเปลี่ยนไปก่อนก็ได้ ขืนนั่งหนาวแบบนี้คงตายห่าก่อนถึงบ้าน”
กูบอกหรือยังว่าจะให้มึงไปส่งที่บ้าน แล้วกูบอกซักคำหรือยังว่าจะเอาเสื้อมึงมาเปลี่ยน
“โห่ ทำเป็นเชิด ทำเป็นลีลาท่ามาก หนาวตายห่าไปเลยเหอะงั้น ไม่ได้ง้อเลยจะบอกให้”
เหรออออออออออ ไม่ได้ง้อกูเลยเหรอ งั้นกูจัดให้ตามคำขอเลยแล้วกันนะครับ
ไม่มีคำว่าเกรงใจ และฮัทก็เอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่เบาะหลังรถมาถือเอาไว้ ขยี้แรง ๆ ที่เส้นผมของตัวเองเพื่อให้แห้ง และเอื้อมมือหยิบเสื้อเชิตที่แขวนไว้ที่เบาะหลังมาวางไว้ที่ตัก
จัดการถอดเสื้อตัวที่ใส่ออก และวางเสื้อเปียก ๆ ทิ้งไว้อย่างนั้นและใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำที่ร่างกายท่อนบน ก่อนจะสวมเสื้อเชิตที่อีกฝ่ายอนุญาตให้ใส่ได้
ติดกระดุมทีละเม็ด และเริ่มขยับร่างกายไปมาเมื่อเห็นว่าเสื้อตัวที่ใส่ตัวใหญ่จนเกินไปจนต้องพับแขนเสื้อขึ้น
ไอ้ตุ๊ดแม่งเป็นคนตัวสูง เห็นมันตัวผอม ๆ ไม่นึกว่าที่จริงจะตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ก็เอาวะใส่ไปก่อน เป็นปอดบวมตายห่าขึ้นมามันจะไม่คุ้ม
“บ้านอยู่ไหนวะ เดี๋ยวแวะไปส่งก็ได้”
แวะไปส่งก็ได้ แปลว่าได้ ก็ดีที่ไปส่งได้ กูแม่งไม่เกรงใจหรอก แม่งอุตส่าห์เปิดโอกาสให้ขนาดนี้ เป็นใคร ใครจะไม่รับ
บอกทางเรียบร้อย และโยธินก็หันมามองหน้าของคนที่บอกพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น
แม่ง.........ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่ได้คิดอะไรกับมันเลยนะ สารภาพจากใจจริง ๆ
แต่พอมองมันถอดเสื้อต่อหน้าและก็ได้เห็นผิวขาว ๆ ของมันแค่นั้นแหละ ใจแม่งเกิดสั่นขึ้นมาทันทีเลย
ผิวที่แขนก็เห็นว่าไม่ได้ขาว คงจะเพราะเจอแดดเจอลมเลยทำให้เป็นแบบนั้น แต่พอถอดเสื้อมาแค่นั้นแหละแม่งอย่างขาวแถมกล้ามเนื้อที่มีเล็กน้อยพองามนั่นอีกที่ทำให้ต้องเผลอมอง
ไม่ได้ชื่นชอบหรืออยากนึกจะชื่นชมร่างกายผู้ชายด้วยกัน แต่เห็นแบบนี้แล้ว อยู่ดีๆ ก็เกิดเป็นบ้าไปเผลอมองเข้าจนได้
เป็นอะไรมากป่าววะโย
ถามตัวเองและส่ายหัวกับความคิดประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้น
“ส่ายหัวทำไมวะ ไปไม่ได้ก็ไปไม่ได้สิ ใครง้อ จอดศาลาหน้ากูไปของกูเองก็ได้”
พูดหรือยังว่าไม่ไป ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะไม่ไปส่ง ชิงพูดซะก่อนแล้ว เป็นอะไรมากป่ะวะ
“ที่ส่ายหน้านี่เพราะว่าเบื่อฝนตกรถติด ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปส่ง บ้านอยู่แถวนั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวมีนัดตอนสองทุ่มจะไปกินข้าวกับลูกค้าแถวนั้นพอดี แต่ไปแวะที่คอนโดก่อนได้ป่าวล่ะ
จะไปเอาเอกสารให้เขาเซ็นต์เลย แล้วเดี๋ยวยังไงก็ต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว เดี๋ยวพาไปส่งก็ได้ ว่าไง”
เหี้ยปัญหาเยอะว่ะ เดี๋ยวกูลงแม่งข้างทางตอนนี้เลย
“แต่คงไม่กล้าไปหรอก น้องกลัวโดนพี่ฆ่าหมกศพล่ะสิ หึ หึ หึ”
ไอ้ตุ๊ด กวนตีนแล้วมึง อย่างมึงเหรอจะฆ่าหมกศพกู กูนี่แหละจะฆ่ามึงซะก่อน กวนตีนชิบหายเลยว่ะ คนแบบนี้ก็มีด้วย
“ไปก็ไปดิ กลัวที่ไหน อย่ามาแกล้งเนียนขอให้กูอัดตูดก็แล้วกัน แม่งไม่เอาด้วยคนหรอกวะ ใช่มั้ยตุ๊ด”
ตุ๊ดพ่องดิ
เจอมาเยอะแล้ว พูดแบบนี้แหละ เสร็จกูทุกราย เพียงแต่ที่ผ่าน ๆ มาคนที่เสร็จทุกรายไม่ได้เป็นผู้ชายก็แค่นั้น
หรือแม่งจะลองเอาซักทีดีวะ ปากอย่างนี้มันน่า........
“น้อยๆ หน่อยเห้อะ หน้าตัวเองนี่แมนนักนิ แบ๊วเอ้ยยยย ด่าคนอื่นไม่ดูหนังหน้าตัวเองเลยเนอะ”
อะไร หน้ากูเป็นไง หน้ากูไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย หน้ากูก็เป็นแบบนี้
“แบ๊วบ้าบอคอแตกอะไร แบ๊วตรงไหน ไม่มีอ่ะ อย่ามามั่ว”
มั่วเหี้ยไร มึงจะดูหน้าตัวเองตอนนี้เลยมั้ย
แม่ง..............น่ารักเป็นบ้า......... แล้วยังท่าทางการพูดจาที่ดูกุ๊งกิ๊งง๊องแง๊งแบบไม่รู้ตัวของมึงนี่อีกนะ กูบอกได้เลย ถ้ากูเป็นตุ๊ดนะ
มึงเสร็จกูแน่ ยังไงกูก็ไม่ปล่อยให้รอดไปได้หรอกเหอะวะสัด
“โอยยยยยยยยย แมนตาย หน้าแม่งแมนจะตายห่า แมนเหลือเกิน เอออออออ เชื่อ หน้าแมนมาก แบ๊วเอ้ยยย”
พูดออกไปอย่างที่ใจคิด และฮัทก็เริ่มนึกโมโหอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกนิด
หน้ามึงตุ๊ดกว่ากูอีก ยังมาเสือกบอกว่าหน้ากูแบ๊วอยู่ได้
แม่ง..........จนกูจะเชื่ออยู่แล้วว่าหน้ากูแบ๊วจริง..... หรือว่าแม่งจะจริงอย่างที่มันว่าวะ
เริ่มเชื่อขึ้นมานิด ๆ และฮัทก็พยายามหันไปมองหน้าของตัวเองที่กระจกข้าง
ก็ไม่นี่หว่า ดูยังไงว่าแบ๊ววะ
ตากูแค่โตเฉย ๆ เคยได้ยินคนพูดกันมาแบบนั้น แต่ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าแบ๊วซักคน เพิ่งมีไอ้ตุ๊ดนี่แหละคนแรกที่บอก
“แบ๊วไง ชัดยัง น้องแบ๊ว”
แบ๊วเหี้ยไร
“ตุ๊ดเอ้ย หน้ามึงก็ตุ๊ดเหมือนกันล่ะวะ”
ด่ากัน เถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระ แล้วอยู่ดี ๆ โยธินก็เกิดขำขึ้นมา ขำตัวเองก็ขำ ขำไอ้คนที่ติดรถมาด้วยก็ขำ
นี่กูกับมันเป็นห่าอะไรวะ ถึงได้ด่ากันด้วยเรื่องปัญญาอ่อนขนาดนี้ ทำไปทำเพื่ออะไรวะ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าจะทำไปเพื่ออะไร
“ขำเหี้ยไรนักหนาวะตุ๊ด”
ก็ไม่ได้ขำอะไรนี่หว่า แค่ขำมึงแหละไอ้น้อง
“จะไม่ให้ขำได้ไง ไอ้หน้าแบ๊ว มึงมันหน้าแบ๊ว ไอ้แบ๊วเอ้ย แบ๊วจริงด้วยวะ หน้าแม่งโคตรแบ๊ว”
ไม่ยอมเลิก ยังคงต่อปากต่อคำกันไม่ยอมเลิก และฮัทก็ด่าสวนกลับคนที่ไม่ยอมเลิกเหมือนกัน
“ตุ๊ด ไอ้ตุ๊ด ไอ้หน้าตุ๊ด มึงแม่งตุ๊ดเหอะวะ สัด”
เออ แล้วไงล่ะ แล้วไง ตุ๊ดแล้วไงล่ะ
“ปัญญาอ่อนเหอะ.........หน้าตุ๊ดก็ยังดีกว่าหน้าแบ๊วแล้วกัน ไอ้แบ๊วเอ้ย มึงอ่ะหน้าแบ๊ว ว่ะ สาดดดดดดดด”
เหี้ย แม่งไม่ยอมเลิกใช่มั้ย ไม่ยอมเลิกกูก็ไม่เลิกเหมือนกันแหละวะ
ต่างคนต่างไม่ยอม ด่ากันด้วยเรื่องไร้สาระไม่ยอมหยุด
ด่ากันไปเรื่อยๆ และเป็นการด่ากันที่ทำให้โยธินรู้สึกตลกจนขำออกมาหลายครั้ง
ไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน
ที่แน่ ๆ ไม่ได้รู้สึกแย่ แต่รู้สึกดีมาก ๆ .............โดยที่ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน....ว่าทำไมถึงเป็นไปได้ขนาดนี้
ไม่รู้เหตุผลจริง ๆ ว่าทำไมอยู่กับไอ้หน้าแบ๊วที่พูดจาโง่ ๆ แบบนี้ใส่ แล้วทำให้รู้สึกดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++