ตอนที่ 7
ลองทายกันเล่นๆ ดูครับว่าสิ่งที่เด็กม.ปลายเกลียดที่สุดคืออะไร
การบ้าน (อืม อันนี้ก็เกลียดนะ)
วิชายากๆ (แน่นอนครับ มันเป็นของตายอยู่แล้ว)
อกหัก (ใครๆ ก็เกลียดทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครชอบหรอก)
หลายคนอาจจะมีคำตอบแตกต่างจากตัวอย่างข้างต้น แต่วันนี้ผมอยากจะบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เด็กม.ปลายอย่างผมเกลียดที่สุด ไม่ใช่ตัวอย่างที่ผมกล่าวออกไปครับ แต่เป็น...
วันที่มีเรียนรด. นอกจากอาทิตย์นี้ผมจะเริ่มเรียนพิเศษแล้ว ผมยังต้องเริ่มเรียนรด.อีกต่างหาก จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากเรียนเลยสักนิด (ผมรักชาตินะครับ แต่ผมเหนื่อยอ่ะ T_T) แต่พ่อผมบอกให้เรียนๆ ไปเถอะ จะได้สบายทีหลัง ผมก็เลยจำใจต้องเรียนอย่างช่วยไม่ได้
คนในกลุ่มของผมเรียนกันหมดเลยครับ เพื่อนในห้องบางคนก็ไม่เรียนเพราะตั้งใจจะสอบเข้าแพทย์อะไรก็ว่ากันไป ส่วนสตาร์นั้นไม่เรียนเพราะสุขภาพร่างกายของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าผมจะตัดใจจากเขา แต่เขาก็ยังดูน่ารักน่าทะนุถนอมสำหรับผมเสมอ
โป๊ก! “โอ๊ย!” ผมคลำหัวป้อย คนที่เขกหัวผมก็คือไอ้สิก เราสองคนกำลังอยู่บนรถบัสที่กำลังพาเด็กนักเรียนโรงเรียนผมไปเรียนรด.แต่เช้า “มึงเขกหัวกูทำไมเนี่ย” แม่งมาเขกได้ตรงจังหวะเหลือเกิน
“เขกเพื่อเรียกสติ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
“เจ็บเหรอวะ”
“เออดิ”
“อ่ะ กูให้มึงเขกหัวกูคืน” ไอ้สิกก้มหัวลงมา ผมดันหัวมันออกไปโดยไม่ทันอะไร
ผมกับมันตัดผมหัวสั้นเกรียนเรียบร้อย แม้จะเกรียนแค่ข้างๆ ศีรษะก็ตาม แต่ก็ถือว่าเรียบร้อยมากอยู่เพื่อเทียบกับผมตอนเปิดเทอมใหม่ๆ วันนี้เราสองคนแต่งตัวมาเรียบร้อยชนิดที่ว่าครูฝึกไม่สามารถหาข้ออ้างในการลงโทษได้
“เมื่อวานไม่เห็นมึงพูดถึงสตาร์เลย” ไอ้สิกพึมพำ เมี่อวานคือวันจันทร์ ผมกับมันมาเรียนตามปกติ และผมก็ไม่ได้พูดถึงสตาร์อย่างที่มันพูด จริงๆ แล้วเมื่อวานสตาร์ยุ่งมากครับ เขาเรียนหนักมากจนไม่มีเวลาเช็กโทรศัพท์ด้วยซ้ำ ผมก็เลยไม่ได้คุยกับเขาเรื่องไอ้สิก พอไม่ได้คุยด้วย มันก็เลยทำให้ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องของเขา
ไม่แปลกที่ไอ้สิกมันจะตั้งข้อสังเกตได้
แต่มันแปลกที่ผมไม่รู้สึกตัวเลย
“กูไม่ได้เขียนโน้ตการ์ดให้มึงด้วย มึงไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ”
“แหม ไอ้สัด จะให้วันๆ จริงจังแต่กับเรื่องความรักมันก็ไม่ใช่ป่ะวะ เราต้องสนใจอนาคตด้วย” ผมเฉไฉ อนาคตผมจะเป็นยังไงผมยังไม่ได้คิดเลยเหอะ
“อย่างมึงสนใจอนาคตด้วยเหรอวะ แม้กระทั่งการบ้านเลขที่ผิดยังขี้เกียจแก้เลย”
“หุบปากได้มั้ยครับเพื่อน”
“มึงไม่ได้ชอบสตาร์แล้วแน่ๆ”
“...”
“มึงชอบใครอยู่”
ไอ้เชี่ยนี่ คำพูดของมันทำเอาผมถึงกับอึกอัก
“เดี๋ยว” ผมรีบพูด “อาทิตย์ที่แล้วกูยังชอบสตาร์อยู่เลย พอมาถึงอาทิตย์นี้จะให้กูเปลี่ยนคนชอบเหรอวะ บ้าป่ะ”
“ก็มึงไม่ใส่ใจเลย”
“กูใส่ใจ”
“...”
“พวกกูคุยไลน์กันอยู่”
“โอเค กูไม่เสือกก็ได้” ไอ้สิกหันหน้าหนี “กูควรปล่อยให้พวกมึงสองคนเป็นไปตามธรรมชาติได้แล้ว กูไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่งอีกแล้ว”
ผมเข้าใจมันนะครับ ณ เวลานี้ผมกับสตาร์ดูเหมือนจะคุยกันได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับแต่ก่อน (ถึงแม้ว่าเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของไอ้เชี่ยสิกก็ตามที) เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เอ่ยปากพูดอะไรต่อ นี่อาจจะเป็นอวสานของโน้ตการ์ดที่มันส่งให้ผมก็ได้ ว่าแต่ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายอย่างประหลาดล่ะครับ
ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าผมชอบไอ้สิกในมุมที่มันเขียนโน้ตกระจุ๋มกระจิ๋ม เพราะปกติมันไม่ใช่คนนิสัยละเอียดอ่อนแบบนี้ ผมเป็นเพื่อนมันมานานผมย่อมรู้ดี
“ไอ้พวกโน้ตการ์ดที่มึงเขียนอ่ะตลกดีนะ” ผมพูดอย่างจริงใจ “ถ้ามึงเลิกเขียนให้กู กูคงรู้สึกแปลกๆ”
“บ้า ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะเลิกเขียน”
“จริงดิ” คำพูดของมันทำผมใจชื้นขึ้น
“จะทำอะไรต้องทำเป็นกระบวนการ เริ่มแล้วต้องทำไปเรื่อยๆ มึงลืมคำพูดกูแล้วเหรอ”
“อะไรของมึง”
“มันเป็นวิถีของคนคูลๆ เว้ย”
ไม่ได้ช่วยให้ผมมีความเข้าใจขึ้นมาสักนิด
“กูยังจะเขียนโน้ตให้มึงต่อไปเพื่อน กูเองก็ชินแล้วว่ะ”
มันทำให้ผมยิ้มออก ถ้าการเขียนโน้ตการ์ดให้ผมคือความเคยชินของมัน การได้อ่านโน้ตการ์ดของมันคือความเคยชินของผมเหมือนกัน สิ่งที่มันเขียนไม่ได้แค่สอนให้ผมจีบสตาร์แต่กลับสอนให้ผมเป็นตัวของตัวเอง เพิ่มความมั่นอกมั่นใจ และก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่าการถอนหายใจบ่อยเป็นสิ่งที่ไม่ดี
คิดแล้วก็ขำดีนะครับ
“กูเอามาใบหนึ่ง” ไอ้สิกหยิบโน้ตการ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คว้าปากกาที่เสียบอยู่ใกล้ๆ กันขึ้นมาเขียน “อย่าแอบมองนะ”
“ไม่ได้แอบ” ผมแอบมองเต็มๆ เลยแหละครับ
โน้ตการ์ดใบที่ 7
ขอให้วันนี้เป็นวันดีๆ ของมึง : ) สนามฝึก
“ช้า ยังช้าอีก!”
ช้าอะไรล่ะครับครูฝึก นี่ผมก็วิ่งเร็วที่สุดในชีวิตแล้ว
“ใครรู้ตัวว่าช้าทิ้งตัวลงไป กลิ้งกลับเข้ามาในแถว ถ้าไม่เปื้อนโคลนก็หมุนตัวกลับไปกลิ้งใหม่!”
เพื่อป้องกันการถูกลงโทษทั้งสิ้นทั้งปวง ผมจึงตัดสินใจกลิ้งไปกับโคลนตม ให้ตัวเองได้เปื้อนเต็มตัวเพื่อให้สาแก่ใจครูฝึก ตอนที่ผมกลิ้งคลุกโคลนตมอยู่นั้น ผมเริ่มรู้สึกว่าหัวผมหมุนติ้วๆ
เราฝึกกันกลางแดดมานานหลายชั่วโมงแล้ว และผมยังไม่ได้พักเลยครับ ผมกลืนน้ำลายอดทนขณะที่กลิ้งตัวอยู่ รู้สึกร่างกายอ่อนเพลียแปลกๆ คล้ายกับเหนื่อยสะสมมาตั้งแต่เช้า
ท่าไม่ดีเลยแฮะ
ผมกลิ้งเข้ามาในแถวเสร็จก็ลุกขึ้นยืน ตัวผมโงนเงนไปมา ใกล้จะล้มลงทุกเมื่อ ไอ้สิกที่ยืนอยู่หมู่เดียวกันกับผมมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“เชี่ยฟืน”
“...”
“เชี่ยฟืน”
“...”
“ไอ้เชี่ยฟืน”
เสียงของไอ้สิกเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล และหลังจากนั้นโลกของผมก็หมุน
“หัวหน้ากองร้อย ไปดูนักศึกษาวิชาทหารหมู่เจ็ดซิ เป็นลมไปหนึ่งแล้ว!” ครูฝึกร้องลั่น
เสียงครูฝึกคือสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้
เหี้ย
นี่มันไม่ใช่วันที่ดีเลยว่ะ
“ดินรบกวนไปหยิบแอมโมเนียมาหน่อยได้มั้ย”
“อื้ม”
ผมลืมตาขึ้นมาน้อยๆ รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวบตัวผมเย็นขึ้นทันตาเห็น คนที่กำลังกุลีกุจอดูแลผมอยู่คือนักศึกษาวิชาทหารหญิงจากโรงเรียนอื่น วันนี้เธอคงทำหน้าที่เป็นพยาบาล ที่แห่งนี้คงหนีไม่พ้นอาคารพยาบาลสำหรับพวกรด.ที่เป็นลมหรือไม่ก็บาดเจ็บนั่นแหละครับ
เฮ้อ น่าอายฉิบหาย
“น้องตัวร้อนด้วยนี่”
“หน้ามันซีดมาก” พี่ดินกลับมาพร้อมแอมโมเนีย เขายื่นสิ่งนั้นให้พี่ผู้หญิงหลังจากนั้นก็คอยยืนมองผม
“ดินไปเถอะ เดี๋ยวน้องเราดูเอง”
“มันเป็นน้องโรงเรียนเราอ่ะ”
“เป็นถึงหัวหน้ากองร้อยยังจะมาอยู่ที่นี่อีก เดี๋ยวครูฝึกก็ด่าหรอก”
พี่ดินดูลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะบอกว่า “งั้นฝากดูมันด้วยนะ”
“ห่วงน้องโรงเรียนแบบนี้ทุกคนป่ะเนี่ย”
“ทุกคนนั่นแหละ”
พี่ดินจากไปแล้ว เหลือเพียงแต่ผมกับพี่รด.ผู้หญิงคนนั้น ผมอ่อนเพลียเกินกว่าจะมองเห็นว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเพื่อนผมมาเห็นผมตอนนี้ก็คงจะล้อเลียนผมและก็อิจฉาผมแน่
ที่จริงมันคงจะล้อเลียนเรื่องที่ผมเป็นลมตั้งแต่วันแรกที่เปิดภาคเรียนรด.มากกว่า
ผมปล่อยให้พี่เขาดูแลผมไปสักพักจนผมหลับลงอีกครั้ง เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีกลิ่นข้าวมันไก่หอมฉุยก็โชยเข้ามาในจมูกของผมแล้ว และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตื่นขึ้นมา
คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียงไม่ใช่พี่รด.ผู้หญิงแล้ว แต่เป็นไอ้สิก
“เชี่ย แอบมาอู้นะมึง” ไอ้สิกยิ้มเบาๆ “ลุกขึ้นมาแดกข้าวก่อน”
“มึง...มาได้ไง” ผมพูดช้าๆ
“เขาพักแดกข้าวไง”
“อ๋อเหรอ”
“กลัวมึงไม่ได้แดกข้าว เลยซื้อมาให้”
“ขอบใจนะ”
ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง รู้สึกหัวยังมึนๆ อยู่เลยครับ
“หน้ามึงซีดมากเลยว่ะ” ไอ้สิกเอื้อมมือมาแตะหน้าผากของผม “เชี่ย ตัวก็ร้อนด้วย”
มือของสิกเย็นกว่าร่างกายของผม ผมรู้สึกดีที่มือของมันมาแตะหน้าผากผมแม้เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม ตัวของผมคงร้อนจริงๆ นั่นแหละ
“มึงกลับได้นะเว้ยถ้ามึงไม่ไหว ที่นี่เขาไม่มีหมอ เดี๋ยวกูไปบอกครูฝึกให้”
แม่งหาญกล้ามากๆ ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครอยากไปพูดกับครูฝึกตรงๆ หรอกครับ ส่วนใหญ่ก็จะไปพูดกับพี่ดิน และก็ให้พี่ดินไปพูดกับครูฝึกอีกทีหนึ่ง
ผมพ่นลมดังพรืด “โดนล้อตายห่า”
“มึงยังจะห่วงเรื่องนี้อยู่อีกเหรอวะ” ไอ้สิกส่ายหน้าเบาๆ “เพื่อนเราบางคนนั่งอยู่เฉยๆ ยังโดนล้อเลย”
“จริงของมึง”
“แดกข้าวๆ”
ไอ้สิกยื่นจานข้าวมาให้ ผมรับมาและก็ตักใส่ปากช้าๆ ท่าทางของผมเหมือนคนไร้ซึ่งพลังงานมากจริงๆ เพราะอ่อนเพลียไปหมด
“มึงกลับบ้านเหอะว่ะ” สิกยังคงยืนกรานคำเดิม
“กูนอนอยู่นี่ไม่ได้เหรอวะ”
“ทำไม”
“ไม่รู้ กูแค่อยากอยู่นี่”
“ไอ้บ้า กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ” สายตาไอ้สิกคล้ายกับเอือมระอากับผม แต่ก็ยังเป็นห่วงผมอยู่ “สัญญากับกูดิ๊ว่ามึงจะดีขึ้น”
“เออ แค่แดกพาราแล้วนอน เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“อืม”
“...”
“เรียนเสร็จกูจะมาหา”
“...”
“ต้องหายนะเว้ย”
“รู้แล้วล่ะน่า”
ไอ้สิกยื่นมือมาขยี้หัวผม สักพักหนึ่งมันก็หันไปมองใครบางคนที่เดินมายังข้างเตียงของผมพอดี คนๆ นั้นคือพี่ดิน
“พี่ ขอบคุณมากครับที่พาผมมา” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่อย่างซึ้งใจ
“หน้าตายังดูไม่ดีเลย มึงจะกลับบ้านเลยมั้ย”
ทำไมพี่ดินต้องพูดเหมือนไอ้สิกเด๊ะๆ แบบนี้ล่ะครับ
“ผมไหวพี่”
“ไหวห่าอะไร แค่กูใช้นิ้วก้อยผลักมึงก็คงล้มลงไปแล้วมั้ง”
“ผมไหว”
“แน่ใจเหรอ”
“ครับ”
พี่ดินหันไปหาไอ้สิก “มึงไปเตรียมตัวได้แล้ว เดี๋ยวเขาจะเรียกรวม”
ไอ้สิกจ้องพี่ดินเขม็งก่อนที่จะรับคำ “ครับผม”
“เดี๋ยวเรียนเสร็จกูมาดูใหม่” พี่ดินเดินจากไปในคำพูดที่คล้ายกับไอ้สิกมากจนผมรู้สึกเหมือนเดจาวู
ผมมองเห็นไอ้สิกมันหน้าบึ้งตึง ด้วยความสงสัยผมก็เลยเอ่ยถามมัน “มึงเป็นอะไร”
“มึงไม่ต้องกลัวว่ามึงเป็นลมแล้วจะโดนล้อหรอก มึงกลัวเพื่อนล้อมึงเรื่องอื่นดีกว่า”
“เรื่องอะไรวะ”
“เรื่องมึงกับพี่ดินไง”
“หา”
“ก็ท่าที่พี่เขาอุ้มมึงมาส่งนี่ อย่างกับท่าเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาว”
“เชี่ยยยยยย” ผมตกใจจนร้องเสียงดังลั่น
“คนเห็นกันทั้งกองร้อย”
“ไม่จริงงงงงง” ผมรับไม่ได้อย่างแรง! ทำไมต้องอุ้มท่านั้นวะ ทำไมวะทำไม!
“แม่ง...ขัดหูขัดตาเป็นบ้า”
ตอนเย็น
ผมได้นอนพักจนเริ่มรู้สึกดีขึ้น ตอนที่ไอ้สิกมาหาผมผมจึงพร้อมที่จะกลับบ้านแล้ว ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากตึกพยาบาลนั่นเอง พี่ดินก็เดินมาหาผมพอดี
จนถึงวินาทีนี้ไอ้สิกก็ยังไม่หายหน้าบึ้ง
“เดินได้แล้วนี่” พี่ดินท้วง
“ครับพี่”
“ถึงโรงเรียนแล้วกลับด้วยกันป่ะ จำได้ว่าบ้านมึงอยู่ใกล้กู”
คำพูดของพี่ดินทำเอาไอ้สิกหันขวับมามองที่ผม ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองต้องคิดหนักแบบนี้ล่ะครับ ทั้งๆ ที่ผมไม่ควรจะกังวลกับมันอะไรขนาดนั้น
“ผมกลับกับเพื่อนครับพี่”
“ไอ้นี่น่ะเหรอ” พี่ดินมองไอ้สิก
“ครับ”
“มันอยู่บ้านมึงหรือไง วันที่กูย้ายเข้าบ้านกูก็เห็นว่ามันอยู่กับมึง”
“คือว่า...”
“ครับ” ผมกำลังจะแก้คำพูดพี่ดิน แต่ไอ้เชี่ยสิกกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน เดี๋ยวนะไอ้สัด มันไม่ใช่แบบนั้นป่ะวะ
“งั้นเหรอ” พี่ดินเลิกคิ้วก่อนที่จะมองหน้าไอ้สิก “เลิกมองหน้ากูแบบนั้นสักที”
สิ้นเสียงของพี่ดินไอ้สิกก็หลุบสายตาลงต่ำ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ ผมพอจะรู้ว่ามันกำลังมีอารมณ์แบบไหน จึงกระตุกแขนมันให้รีบเดินไปก่อนที่มันกับพี่ดินจะเริ่มแลกมวยกัน
สองคนนี้แม่งหน้าตาดีเหมือนกันทั้งคู่ คนหน้าตาดีเหมือนกันมาอยู่ใกล้กันคงไม่ค่อยกินเส้นกันล่ะมั้งครับ อันนี้ผมคิดเอาเองนะ
“มึงท้าทายพี่ดินเขามากมึงรู้ตัวป่ะเนี่ย” ผมเตือนสติเพื่อนระหว่างที่กำลังเดินกลับไปขึ้นรถบัสกลับโรงเรียน “ถ้าพี่เขาเอามึงตายทำไง พี่เขากุมอำนาจสารวัตรนักเรียนนะเว้ย หักคะแนนความประพฤติมึงได้เลย”
“มันก็ไม่ได้เว่อร์ขนาดนั้นป่ะ”
“...”
“กูไม่ชอบหน้าพี่มันแล้วว่ะ”
“ปกติมึงออกจะปลื้มพี่ดินไม่ใช่เหรอ มึงแทบยกเขาเป็นไอดอล”
“ไม่แล้ว กูเปลี่ยนใจ” ไอ้สิกยังคงหน้าบูดอยู่จนผมตัดสินใจที่จะไม่ทำให้มันรู้สึกดีขึ้นอีกต่อไป ผมกับมันเดินไปสมทบกับไอ้อ๊อฟและก็ไอ้ตังที่ถามไถ่ถึงอาการของผม เมื่อตอบมันว่าดีขึ้นแล้วมันก็เริ่มล้อเลียนท่าอุ้มผมของพี่ดินแทบจะในทันที เรียกได้ว่าตรงกับที่ไอ้สิกพูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
ผมด่าเพื่อนสองคนแบบด่าแล้วด่าอีก พวกแม่งก็เอาแต่หัวเราะคิกคัก ดีหน่อยที่ไอ้สิกไม่ได้ร่วมวงล้อเลียนไปกับพวกมันด้วย ไม่งั้นผมคงเหนื่อยที่จะแก้ตัวแย่
“วันนี้เป็นวันดีของมึงมั้ยวะ” ไอ้สิกรำพึงถาม ตอนที่ผมกับมันนั่งอยู่ข้างๆ กันบนรถบัส
“กูเป็นลม มึงคิดว่ามันดีมั้ยล่ะ” ผมพูดติดตลก แต่เมื่อเห็นสีหน้าไอ้สิกผมก็ต้องรีบพูดเอาใจมัน “ดีสิวะ วันนี้เพื่อนกูหาข้าวมาให้กูกินเลยนะเว้ย โรงอาหารกับตึกพยาบาลอยู่ห่างกันตั้งไกล”
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าสีหน้าไอ้สิกดีขึ้นมาก...มันบ้าอวยนี่เอง ผมจะจำไว้
“เห็นทีว่ากูคงต้องมานอนบ้านมึงบ่อยๆ แล้วล่ะ”
“เฮ้ย แม่มึงจะไม่ว่าเหรอ”
“ไม่ว่าหรอก”
“ทำไมต้องมาบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“กูไม่ไว้ใจไอ้พี่ดิน” ไอ้สิกเบ้ปาก “กูกลัวมันปีนขึ้นมาหามึงที่ห้อง บ้านมึงกับพี่เขาแม่งใกล้กันโคตรๆ อ่ะ”
“เดี๋ยวๆ”
“เออน่า ให้เพื่อนมึงอย่างกูคนนี้ดูแลมึงเถอะ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ครับ”
เพื่อนผมคนนี้มันมีความเอาแต่ใจอยู่เหมือนกันนะครับ ตั้งแต่ตอนที่บอกว่าจะช่วยผมเรื่องสตาร์แล้ว ขนาดผมบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เอา มันยังรบเร้าจะทำจนได้ และเรื่องที่มันจะไปนอนค้างที่บ้านผมเพราะพี่ดินก็ตามมาอีก
จริงๆ เล้ยยยยยย
มึงลืมไปแล้วหรือไงว่ากูกำลังพยายามระงับอาการที่กูใจเต้นกับมึงอยู่อ่ะ
มึงจะมาอยู่ใกล้กูแทบตลอด 24 ชั่วโมงแบบนี้ กูจะทำแบบนั้นได้ยังไงวะ
tbc*ตอนหน้ามีพีคคคคค
พีคแล้ว พีคอีก
เมนต์รอกันด้วยนะค้าาา ><