คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 25
งานปลายฤดูหนาว
---------
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดอย่างเอิกเกริก แต่ถึงอย่างนั้นคนรอบข้างก็ดูออก
ตรัสและรติสนิทสนมกันมากขึ้นทุกที ดูได้จากพวกเขาเข้าใกล้กันอย่างเป็นธรรมชาติ ดูแลกันและกันโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้มาก เรื่องของอีกฝ่ายกลายเป็นเรื่องสำคัญและให้ความสำคัญอยู่เสมอ
“งานฤดูหนาว?” รติร้องถามทันทีที่ตรัสนำเรื่องเทศกาลสำคัญของฤดูกาลนี้มาบอกเล่าที่โต๊ะอาหาร
โต๊ะอาหารซึ่งประกอบด้วย อมราและตรัสซึ่งเกิดและเติบโตที่นี่ กับสามพี่น้องผู้มาจากที่อื่น การที่ตรัสพูดขึ้นมาย่อมไม่ได้มีเป้าหมายที่อมรา หนำซ้ำรุจีและระพีก็ยังเด็กเกินกว่าจะมีอำนาจตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ ที่สำคัญ...เรื่องเที่ยวคือความชอบของใคร เรื่องนี้ต่างหากที่ควรพิจารณา
“ต้องเรียกว่างานปลายฤดูหนาว เราจะจุดเทียนเพื่ออธิษฐานให้ฤดูใบไม้ผลิอุดมสมบูรณ์” รติรับฟังอย่างสงบ แต่ดวงตาวาววับ ตรัสตักผัดผักมาใส่จานของคนที่กำลังตั้งใจฟังเขาเล่า
“พวกเราจะวางเทียนตามทางเดินบ้าง ไปวางที่ลานน้ำพุบ้าง วันสุดท้ายของงาน จะเปิดน้ำพุเพื่อเป็นสัญญานว่าฤดูหนาวจะสิ้นสุดแล้ว”
มิน่าเล่า ตอนเช้า เวลาไปเปิดร้านถึงเห็นเทียนไขวางรายล้อมอยู่รอบน้ำพุตั้งมากมาย พอตกสายค่อยมีเจ้าหน้าที่ของเมืองมาเก็บออกไป แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีอีก
เรื่องเทียนไขหายคาใจ แต่คำพูดของตรัสทำให้คาใจเพิ่ม
“เปิดน้ำพุ? หมายถึงที่ตลอดฤดูหนาว ที่น้ำพุไม่มีน้ำพุเป็นเพราะปิดไว้หรือ”
ตรัสยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“บางปีอากาศหนาวมาก น้ำกลายเป็นน้ำแข็งก็ไม่ต้องปิด แต่บางปีอากาศไม่หนาวมากนัก ถ้าไม่ปิดเอาไว้จะไม่หยุด น้ำบางส่วนจะกลายเป็นน้ำแข็ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับท่อ จึงต้องใช้วิธีปิดระบบท่อส่งน้ำแทน ส่วนน้ำในบ่อ พอไม่มีน้ำพุออกมาแล้ว ก็เลยกลายเป็นน้ำแข็งอย่างที่เจ้าเห็น”
“อย่างนี้นี่เอง ข้าก็นึกว่าน้ำพุหยุดเพราะอากาศหนาวเสียอีก แล้วงานที่ว่า...จะมีถึงเมื่อไรล่ะ”
“พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย เป็นวันเปิดน้ำพุ อยากไปไหม”
“อยากขอรับ!” คนตอบไม่ใช่รติ แต่เป็นเด็กชายตัวน้อยวัย 5 ปี ทั้งโต๊ะหันมองระพีแล้วพากันหัวเราะร่วน
รติหันไปหาน้องชาย แล้วสำทับ “จะไปเที่ยวก็ต้องอ่านหนังสือก่อน จึงจะไปเที่ยวได้ เข้าใจไหมระพี”
“เข้าใจขอรับ! ระพีจะตั้งใจอ่านอย่างดี!” รติยิ้ม ขยี้เส้นผมของน้องชายอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมองคนข้างกาย แล้วค้อมศีรษะให้น้อยๆราวกับขอบคุณ
ตรัสชะงักไปเล็กน้อย คิดเอาเองว่ารติน่าจะพอดูออกว่าเขาตั้งใจชวนอีกฝ่ายไปงานเทศกาลด้วยกัน มิใช่ชวนเพราะน้องสาวน้องชายเป็นหลัก แต่เมื่อรติหันกลับไปตักกับข้าวให้ระพีแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเหลือบตามองจานข้าวของรติ แล้วเป็นฝ่ายตักเนื้อสัตว์ตากแห้งมาวางไว้ให้ โดยไม่พูดอะไร
ความรู้สึกลึกซึ้ง คำพูดใดก็ล้วนไม่จำเป็น
---------
งานเทศกาลเทียนฤดูหนาว แม้อากาศจะหนาวแต่ผู้คนคึกคัก ที่ลานน้ำพุกลางเมืองมีเทียนรูปร่างแปลกตาวางรายล้อม แสงไฟจากเปลวเทียนให้ความสว่างไสวระยิบระยับ
ลมหนาวพัดผ่านมาวูบหนึ่ง เทียนดับไปหลายส่วนเกิดเป็นเสียงผิดหวังออกมาจากเหล่าผู้คน แต่อึดใจต่อมาคนเหล่านั้นก็พากันช่วยจุดเทียนขึ้นใหม่ โดยไม่ได้ใส่ใจว่าเทียนที่ดับเป็นของใคร ล้วนทำด้วยหวังให้ค่ำคืนของเทียนฤดูหนาวสวยสว่างและสมบูรณ์ที่สุด
“พออธิษฐานแล้ว ก็ค่อยวางเทียนลง ตรงไหนก็ได้” เพราะอมราขอพักผ่อนที่เรือน ตรัสจึงคนท้องถิ่นเพียงคนเดียวที่มากับสามพี่น้อง วิธีการในการร่วมงานเทศกาล เขาจึงต้องเป็นคนสอน
สามพี่น้องทำตามพากันหลับตาขอพร
“ขอให้ท่านย่า พี่ตรัส พี่รติ พี่รุจีมีความสุข ขอให้ทุกคนในอหัสกรมีความสุข” เด็กชายตัวน้อยขอพรเสียงดังฟังชัด ทำเอาคนพากันมองแล้วหัวเราะคิกคัก
รติลืมตาขึ้นข้างหนึ่งมองน้องชายด้วยความเอ็นดู มองเลยไปยังรุจีที่ยังหลับตาทำปากขมุบขมิบขอพรอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วพอหันกลับไปมองอีกฝั่งหนึ่งของตนก็พบตรัสกำลังหลับตาขอพร เขาจึงกลับมาทำสมาธิหลับตาขอพรอย่างเงียบๆในใจตนเองบ้าง
ขอพรเสร็จเรียบร้อย เทียนสี่เล่มก็ถูกวางลงตรงหน้าน้ำพุ ทว่าจู่ๆ เทียนของรติกลับล้มไปพิงเทียนของตรัส
เจ้าของเทียนที่ล้มไปเป็นภาระให้เทียนข้างๆถึงกับอ้าปากค้าง หันมองเจ้าของเทียนที่ตนแพะพิง แล้วหัวเราะแหะๆ
“ข้า...ข้าวางไม่ดีน่ะ...”
ไม่ได้หมายถึงลางร้ายว่ารติจะเป็นกาฝากแต่อย่างใดหรอกนะ
ตรัสหัวเราะเบา หันมองเทียนของตนที่เป็นหลักพิงให้เทียนของรติแล้วก็พบว่าเปลวเทียนของพวกเขาหลอมเป็นเปลวเดียว จึงทำให้สว่างกว่าเดิมเท่าตัว
“แต่ก็เป็นเรื่องดี ไฟสว่างกว่าเดิมอีก”
รติหันกลับไปมอง แล้วทำตาโตวาว
“จริงด้วย!”
เป็นอันว่า เปลวเทียนที่รวมเป็นหนึ่งและสว่างขึ้นกว่าเดิมทำให้มองข้ามเรื่องเทียนล้มใดๆ
หลังจากวางเทียนแล้ว ทั้งสี่พากันเดินชมตลาดเทศกาลซึ่งจะจัดเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น มีทั้งพ่อค้าแม่ขายที่ยึดอาชีพขายของอยู่แล้ว และพ่อค้าแม่ค้ามือสมัครเล่นที่นำของแปลกๆมาวางขายเฉพาะในงานเทศกาล
รุจีได้ผ้าเช็ดหน้าปักลายประหลาดสวยสดงดงามมาหนึ่งผืนจากแม่ค้าผู้หนึ่งที่ยืนยันว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นฝีมืออมนุษย์สาวนอกเมือง ส่วนระพีได้ของเล่นไม้ชิ้นหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ล้วนจ่ายด้วยเงินของตรัส
“ข้าสมควรจ่ายทั้งผ้าเช็ดหน้าและของเล่น” รติแย้ง หน้าบูดเพราะควักเงินไม่ทันถึงสองครั้งถ้วน
“เจ้าไม่สมควร”
“แต่ข้ามีเงินที่ท่านแบ่งไว้ให้คราวก่อน”
“นั่นเป็นเงินในส่วนของเจ้า”
“น้องสองคนก็...”
“นั่นไม่ใช่ส่วนของเจ้าเพียงคนเดียว รุจีและระพีเป็นคนของอหัสกร ย่อมอยู่ในความดูแลของข้า” ตรัสหันมาแย้งเรียบ เพียงเท่านั้นรติก็เงียบไม่รู้จะเถียงอย่างไร พลันคิดไปถึงบัญชีรับจ่ายที่เคยดูคราวก่อนขึ้นมา
“แต่ค่าเบ็ดเตล็ดของท่าน ไม่ควรเอามาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้”
รติจำได้ว่าอีกฝ่ายเคยใส่ชื่อพวกเขาสามพี่น้องในช่องเบ็ดเตล็ด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆรวมถึงค่าเล่าเรียนในอนาคต
ตรัสนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมองคนพูด
“เจ้าคงไม่รู้ ข้านำชื่อรุจีและระพีออกมาจากค่าเบ็ดเตล็ดแล้ว ตอนนี้ทำช่องเพิ่มเป็นค่าเล่าเรียนของพวกเขา และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและอื่นๆ ส่วนเจ้า...ข้าย้ายมาอยู่รวมกับค่าใช้จ่ายของข้า แม้เราจะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร แต่ก็ควรเก็บออมไว้ก่อน หากเจ้าอยากไปที่ใด หรืออนาคตหากเจ้าอยากเรียนอะไรเพิ่ม จะได้ใช้เงินจากส่วนนี้”
รติกะพริบตาปริบๆ การย้ายชื่อรุจีและระพีออกมาจากช่องเบ็ดเตล็ดยังไม่น่าตกใจเท่า การย้ายชื่อรติมารวมกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตรัส
ราวกับ...เป็นสามีภรรยากันจริงๆ
“ล...แล้ว...แล้วค่าเบ็ดเตล็ด?”
“ตอนนี้เป็นศูนย์ ไว้ถ้ามีค่อยใส่” ตรัสพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาเองก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน แม้ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของความคิดตนเองก็ตามที แต่ในเมื่อ ‘ใจอยากทำ’ อีกทั้งก็ไม่ผิดทำนองคลองธรรมแต่ประการใด ใยจะทำไม่ได้
ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบกาย
“เจ้าล่ะ อยากได้อะไรไหม ปีหนึ่งจะมีสักครั้ง ของบางอย่างก็หาได้เฉพาะในฤดูหนาว”
“ไม่อยาก...ที่ท่านทำให้ข้า มันมากพอแล้ว”
ไม่ใช่แค่ให้ที่พักพิง ไม่ใช่แค่ให้พื้นที่ได้อยู่ข้างกาย แต่ตรัสยังให้เกียรติและยอมรับพวกเขาสามพี่น้อง เรื่องนี้...ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของรติ
ฝ่ายสามีหันมอง รติในยามนี้ไม่ได้ระรื่นหน้าเป็นเหมือนในวันแต่งงาน พอลดอคติที่มีต่อกันลงแล้ว ตรัสถึงได้พบว่าน้อยครั้งมาก ที่รติจะยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง
นอกจากยามที่อยู่กับน้องๆแล้ว ตรัสก็อยากเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นยามที่อยู่กับเขาเช่นกัน
“รติ...ถ้าเจ้ามีเรื่องใดที่ต้องการ หรืออยากทำ หากคิดว่าข้าพอจะช่วยเจ้าได้ก็ขอให้บอก ข้ายินดี” ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องมากมายซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังความสดใสร่าเริง เพียงแต่เขาไม่อาจคาดคั้นให้เอ่ยปาก ทำได้เพียงสนับสนุนและแสดงตนว่าเขาอยู่ตรงนี้และยินดี
เราเริ่มต้นความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้า ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันพักหนึ่งอย่างคนหมางเมิน แต่เวลานี้...หาใช่เช่นนั้นไม่
ตรัสรู้ดีว่าเขาไม่ได้มองรติเป็นดังกาฝากอย่างแรกเจอ หนำซ้ำก็เป็นรติที่ช่วยเหลือเขา ช่วยเหลืออหัสกร เวลานี้หากตอบแทนความช่วยเหลือเหล่านั้น เขาก็ยินดี...ด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณ” รติรับรู้ความจริงใจของคนตรงหน้า เพียงแต่เรื่องที่เขาเก็บเอาไว้ก็หนักหนาเกินกว่าจะบอกเล่าในเวลานี้ ทำได้เพียงน้อมรับความปรารถนาดีที่มีให้ แล้วกวาดตามองรอบกายเพื่อรื่นรมย์กับช่วงเวลาที่แสนสวยงามในขณะนี้
ช่วงเวลาที่สวยงามด้วยบรรยากาศ
ช่วงเวลาที่สวยงามด้วยคนที่ยืนเคียงข้าง
เท่านี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
พาเขามาเที่ยว เทียนล้มใส่ก็ไม่ว่า แถมย้ายชื่อเขาออกจากรายจ่ายเบ็ดเตล็ดมาอยู่กับชื่อตัวเอง
ถ้าจะขนาดนี้ ก็บอกรักรติไปเถอะค่ะท่านตรัส ฮ่าฮ่า
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ