Embrasse-moi the Series
Mon Fiancé
Chapter 3 พระจันทร์สีน้ำเงิน
คืนนี้ฟ้าครึ้ม แต่พระจันทร์ส่องสว่างเต็มดวงพระจันทร์สีเหลืองอ่อนดวงโตเล็ดลอดผ่านหมู่เมฆออกมาฉายฉานท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิท แสงสีทองสุกสกาวทำให้ท้องฟ้าคืนนี้สว่างไสว จันทร์ทรงกลดดวงโตประดับตกแต่งท้องฟ้าในยามราตรีให้งดงามชวนมอง
แต่พระจันทร์ก็โดนบดบัง…
น่าเสียดายที่ในบางขณะความงามของดวงจันทร์ถูกเมฆฝนปิดทับ ทำให้เห็นเพียงเงาของโคมรัตติกาลที่อิงแอบอยู่ด้านหลังม่านเมฆสีเทาขมุกขมัว
ตรีเพชรยืนมองท้องฟ้าอยู่นาน เขาเดินทอดน่องอยู่ในสวนหน้าบ้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าในคืนเมฆบัง ขายาวเดินวนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คืนนี้คุณเพชรนอนไม่หลับ
อากาศชื้นพัดโดนผิวหน้าทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าอีกไม่นานฝนกำลังจะตก ลมอ่อนๆหอบเอากลิ่นหอมของดอกแก้วลอยติดมาด้วย คล้ายเป็นของขวัญปลอบใจที่สายลมหิ้วติดไม้ติดมือมาฝากตรีเพชร ชายหนุ่มทอดถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวไล้ลูบริมฝีปากตัวเองอย่างเผลอไผล แม้ริมฝีปากจะเหยียดยิ้มแต่แววตาของเขากลับหม่นหมองไม่สดใส
ต่อให้ข่มตาเท่าไร ก็ยังไม่หลับ เพราะภาพของเด็กบางคนยังวกวนอยู่ในหัว
ตอนนี้ฝนโปรยลงมาแล้ว…
เม็ดฝนโปรยลงมาเหมือนน้ำตาของเด็กคนนั้น
“คนที่ควรร้องไห้เป็นฉันมากกว่านะไอ้เตี้ย” ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเอง เขาแหงนหน้ามองพระจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินเข้าบ้านไป
บางครั้งบทเพลงกล่อมให้เราหลับฝันดีบางครั้งบทเพลงทำให้เราคิดถึงใครบางคน (จนนอนไม่หลับ)
บางครั้งคนบางคนทำให้เราคิดถึงเพลงบางเพลง
เพลง Blue Moon ของ เอลวิส เพรสลีย์ จากเครื่องเสียงในห้องนอนไม่ได้กล่อมให้เขารู้สึกง่วงงุน ตรงกันข้าม เพลงนี้กลับทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์
Blue moon, you saw me standing alone
Without a dream in my heart
Without a love of my own
ดวงจันทร์สีน้ำเงิน…เธอเห็นฉันยืนเดียวดาย
หัวใจไร้ฝันไร้จุดหมาย
ข้างกายไร้รักไร้คู่เคียงตรีเพชรพลิกตัวในท่าที่นอนสบาย พยายามข่มตาให้หลับแต่เขากลับคิดถึงแต่ใครคนนั้น
เมื่อช่วงค่ำ เด็กคนนั้นยังอยู่ตรงนี้...
ในอ้อมกอดของเขา
เมื่อนึกย้อนไป รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นประดับใบหน้า“มึงจะไม่คืนให้กูใช่ไหม จูบน่ะ” แววตาของเด็กคนนั้นแสดงความโกรธ ไม่พอใจ
“มันคืนได้ที่ไหนล่ะไอ้เด็กไง่” ตรีเพชรพูดออกไปอย่างใจคิด
เขาก็อยากคืนให้เด็กแว่นนั่นอยู่หรอก ใครจะไปอยากได้
จูบแรกของไอ้เตี้ยนี่งั้นเหรอ เขาคนหนึ่งแหละที่ไม่ต้องการ
“งั้นกูทวงคืนเอง”
สิ้นคำพูดของนาวา ตรีเพชรรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ไอ้เด็กบ้านี่กำลังทำอะไร ไม่อายชาวบ้านชาวช่องเขาหรือไงไอ้เตี้ย ชายหนุ่มคิดในใจก่อนที่ดวงตาเรียวรีคู่นั้นจะพริ้มหลับลง เขาคงดื่มด่ำกับรสจูบนั้นไปอีกนานหากไม่ได้สัมผัสกับหยาดน้ำตาของเด็กขี้เมาเอาเสียก่อน
“เฮ้ย…เป็นไร” ตรีเพชรตกใจ วางตัวไม่ถูก “ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ อย่าร้องสิไอ้เตี้ย”
“ทำสิ ไม่ทำได้ไง มึงจะฆ่ากูใช่ไหม” นาวาปาดน้ำตาอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตายังจับจ้องมาทางตรีเพชรอย่างเอาเรื่อง
“ฆ่า? นายเอาสมองส่วนไหนคิดวะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยเหอะ”
“โว้ยไอ้นี่” นาวาใช้กำปั้นชกไหล่ตรีเพชรอย่างแรง ชายหนุ่มร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บ คนตัวโตได้แต่ยกมือขึ้นตั้งกาดกันไม้กันมือของเด็กหนุ่มที่โถมเข้ามาทำร้ายเขา เด็กนี่มือหนักเป็นบ้า
“ก็มึงอยากจะให้กูตายจริงๆนิ” นาวายังคงยืนยันคำเดิม
“ไอ้เตี้ย นายขาดแคลเซียมแล้วยังขาดสามัญสำนึกอีกนะ” ตรีเพชรรวบแขนของนาวาเอาไว้ “ดูปากฉันให้ดีๆ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรนายเลย”
“แล้วที่กูหายใจไม่ออกมันหมายความว่าไง!” นาวาที่อยู่ภายใต้พันธนาการของตรีเพชรถามกลับอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้เขาเมาจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว
“หายใจไม่ออก?” ตรีเพชรถามเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่นาวาต้องการจะบอก
“ช่ายยย หายใจไม่ออก มึงต้องการให้กูขาดอากาศหายใจแน่ๆ ไอ้ตี๋ชั่วช้า กูเพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าโลกนี้มียมบาลหน้าจืดแบบมึงอยู่ด้วย”
ตรีเพชรถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ “หายใจไม่ออกแล้วคิดว่าฉันตั้งใจจะฆ่านายเนี่ยนะ? เหตุผลเด็กชิบ”
“ช๊ายยยย เมื่อกี้ก็ทีนึงละ ไหนจะที่หอสมุดอีก มึงตั้งใจช่ายม๊าย” นาวาเริ่มพูดป้อแป้
“จูบไม่เป็นก็บอกเหอะ คนหายใจไม่ถูกก็คือคนที่จูบไม่เป็น ไอ้เด็กบื้อ วันหลังหัดจูบให้มันถูกวิธีซะก่อนนะ ก่อนจะปรักปรำใครเค้า นายทำแบบนี้มันจะยิ่งกลายเป็นการประจานตัวเอง อยู่มาจนปานนี้แล้วเพิ่งจะเคยมีจูบแรก โด่ว อ่อน” มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่หายใจไม่เป็น ใครที่ไหนเขากลั้นหายใจเวลาจูบกันบ้าง ไอ้เด็กนี่ท่าจะบ้า ทำแบบนั้นจะไปจูบนานๆได้ยังไงกัน… ตรีเพชรคิด
“ฮื่อๆๆ พี่จอม” นาวาหันไปสนใจคนอื่นเป็นครั้งแรกหลังจากแสดงหนังสดให้สักขีพยานนั่งมองกันตาปริบๆ นัยน์ตาห้าคู่จ้องมองนาวาและตรีเพชรอย่างตกตะลึง “ไอ้เพื่อนพี่มันไม่ยอมรับว่ามันทำร้ายวาอ่ะ ต่อยมันให้หน่อยดิ ฮื่อๆ มันมัดผมไว้ผมต่อยมันไม่
ได้”
“อะ…เอ่อ” จอมทัพพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา เขาคิดว่าคงทำอะไรนาวาไม่ได้แล้วเพราะเมาจนพูดจาไม่รู้เรื่องขนาดนี้ ทางทีดีแก้ที่ตรีเพชรดีกว่า “ไอ้เพชรมึงก็รับๆไปดิว่ามึงทำร้ายน้องมัน เห็นไหมมันร้องตาบวมหมดแล้ว”
“แต่กูไม่ได้ทำ มึงก็เห็น” ตรีเพชรประท้วง
“ฮื่อๆ” นาวาเริ่มร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ
“เอาน่าไอ้เพชร น้องกูร้องอยู่นะ”
“ไอ้จอมกู…” ตรีเพชรกำลังจะเถียงจอมทัพแต่นาวากลับแผดเสียงจนคนรอบข้างเริ่มหันมามอง “เออๆ แม่ง กูยอมรับก็ได้”
เสียงร้องของนาวาเงียบหายไปแทบจะทันทีที่ตรีเพชรเอ่ยยอมรับ “หึ ไม่พอ!” นาวาได้คืบเอาศอก
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องสนใจ” ตรีเพชรพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ฮื่อๆ” นาวาจงร้องไหออกมาอีกรอบ เรียกความสนใจจากรอบข้างได้ดีทีเดียว
“เออๆ ไม่พอก็ไม่พอ จะให้ทำไรวะ” ตรีเพชรพูดเอ่ยขึ้นอย่างเลี่ยงเสียไม่ได้
“ยอมรับมา ว่าแกจูบก่อน” นาวาพูดหน้าตาย
“ฉันไม่ได้จู…”
“เพชร กูขอ” จอมทัพคุยกับเพื่อน พลางตบบ่าให้กำลังใจ
เพราะสนิทกับนาวามากกว่ารุ่นน้องคนอื่นๆ จอมทัพจึงรู้จักนิสัยเมาเหล้าของนาวาดี เด็กคนนี้หากไม่เมาแล้วร้องไห้ก็จะเมาแล้วมือไม้อยู่ไม่นิ่ง เกาะคนโน้นทีคนนี้ที คงเพราะเมาจึงทำในสิ่งที่ถ้ามีสติดีก็คงไม่ทำ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา นาวาเป็นเด็กร่าเริงยิ้มง่าย แม้ชีวิตของหนุ่มน้อยจะไม่ราบเรียบเหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันนัก แต่นาวาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาสักหยดให้กับเรื่องเหล่านี้ เพราะเมาคงจะร้องได้เต็มที่ เพราะเมาคงจะอยากเกาะแกะออดอ้อนใครบ้าง นาวาไม่มีพี่น้องที่ไหน มีแค่แม่ที่อยู่ต่างจังหวัด เด็กหนุ่มคงอยากให้ใครสักคนเอาใจเขาบ้าง
“เออๆ ฉันจูบนายก่อนก็ได้ พอใจยัง” ตรีเพชรสีหน้าเหยเก
“ยัง” นาวายิ้มระรื่น แก้มแดงเพราะฤทธิ์เบียร์สุกปลั่งด้วยความดีใจ
“จะเอาอะไรอีกกกกก” คุณเพชรลากเสียงยาวเหนื่อยใจ
“ขอโทษด้วยสิ” นาวากอดอกวางภูมิ
“มันจะมากไปแล้วนะ”
“หะ หะ ฮื่อ”
“เออๆ เชี่ย ขอโทษก็ได้”
“ไม่อาวววว” นาวายังคงไม่พึงพอใจกับคำขอโทษของชายหนุ่ม “พูดเพราะๆดิวะ มีหางเสียงด้วย”
ตรีเพชรข่มอารมณ์โมโหเอาไว้ “ขอโทษ….” ชายหนุ่มกัดฟันพูดด้วยความไม่เต็มใจ “…ครับ”
“ไม่อาวววว ยังไม่พอ” นาวาว่า
“เยอะไปละนะ” ตรีเพชรพูดกับนาวา ความอดทนของเขาขาดสะบั้นลงตรงนั้น ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนของตัวเองที่ทำตัวเงียบ
เป็นแบคกราวไปแล้ว “กูกลับละ”
“เดี๋ยว” นาวาคว้ามือของตรีเพชรเอาไว้ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น “พูดขอโทษแล้วลูบหัววาก่อน… เหมือนที่พ่อทำ… ทำเหมือนคนนั้น คนที่ทิ้งแม่ไป ทำให้หน่อยได้ไหม… ปลอบผมหน่อย” นาวาพูดขึ้น คำสุดท้ายของเขาแผ่วเบาราวถูกกลืนหายไปในลำคอ หยาดน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดจากนาวาแต่อย่างใด เด็กน้อยก้มหน้าเช็ดน้ำตาไม่อยากให้ใครเห็นความพ่ายแพ้อ่อนแอ ลูกผู้ชาย…ต้องไม่ร้องไห้สินะ
วันที่แม่กับพ่อเลิกกัน วันนั้นเขาจำได้แค่ว่าพ่อลูบหัวเขาแล้วเอ่ยคำขอโทษ
ตรีเพชรนิ่งงัน…
จิตใจของชายหนุ่มหล่นวูบ
เศร้า… เขารู้สึกได้เพียงแค่นั้น
“ขอโทษครับ…” คุณเพชรลูบหัวนาวาอย่างแผ่วเบา
ทำไมเขาต้องรู้สึกสงสารเด็กคนนั้นด้วย ทำไมถึงรู้สึกอึดอัดใจที่เห็นน้ำตาของคนตรงหน้า ทำไมเขาถึงปกป้องน้ำตาของเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้ ทำไมเขาถึงอยากดูแล…
Blue moon, you knew just what I was there for
You heard me saying a prayer for
Someone I really could care for
ดวงจันทร์สีบลู…เธอรู้ฉันอยู่เพื่ออะไร
ยินคำวอนขอของฉันไหม
หวังแค่เพียงใครให้ดูแล กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาจากแก้วกาแฟดำตรงหน้าแต่ตรีเพชรยังนั่งเหม่อไม่สนใจกลิ่นกาแฟ ชายหนุ่มไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว ตอนนี้สมองเขากำลังฉายภาพเหตุการณ์ตอนถูกเด็กคนหนึ่งออดอ้อนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ…
เช้านี้คุณเพชรตื่นเร็วผิดปกติ สาวใช้ทุกคนต่างแปลกใจกับพฤติกรรมแปลกๆของคุณหนูผู้เอาแต่ใจ น้อยครั้งที่ตีเพชรจะตื่นเช้ามานั่งรอทานอาหารที่โต๊ะทานข้าว หรือคุณหนูท่าจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูสินั่น ยิ้มอะไรของเขาแต่เช้านะ แต่อย่าได้ถามออกไปเชียว ดีไม่ดีอาจโดนสายตาพิฆาตเล่นงานเอาได้
เมื่อคืนตรีเพชรพลิกตัวหนีนาวาทั้งคืน
เด็กคนนั้นตามเขามาถึงในห้องนอน ตามมาถึงบนเตียง ตามเข้ามาในความทรงจำ
ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไปไหน… ไอ้เด็กดื้อ
“ดูท่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก” เสียงหวานดึงตรีเพชรให้ออกจากภวังค์ “ตื่นเช้าก็เป็นนิ”
“อ้าวเจ้ กลับมาจากเชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ตรีเพชรถามพี่สาว
“ก็มาเมื่อเห็น” พลอยลดาปัดผมยาวสลวยไปข้างหลังก่อนหันมาอธิบายกับน้องชาย “บินไฟล์ทเช้าเพิ่งมาถึงนี่แหละ” เธอนั่งลงตรงข้ามตรีเพชร
“แล้วโรงแรมที่โน่นเป็นยังไง ทำไมจู่ๆเจ้กับอาม่าถึงต้องไป แค่ดูงานต่อเติมไม่เห็นต้องไปด่วนขนาดนั้น จริงๆงานนี้ให้ใครไปก็ได้
นิ ผมไปเองก็ได้”
“ขืนให้เพชรไปเจ้ว่ามันก็ไม่ต่างกับการปล่อยแมวไปหาปลาย่างหรอก เราน่ะไปเที่ยวมากกว่าไปทำงาน” พลอยลดาจิบชากลิ่นหอม
“โถ่เจ้ก็ ก็ต้องมีบ้างอะไรบ้างสิ ให้ผมไปทำงานเฉยๆ เสร็จแล้วก็กลับงี้เหรอ ไม่เอาหรอก คนเรามันต้องมีการตักตวงความสุขใส่ตัวเองบ้าง เห็นผมเที่ยวเล่นอย่างนั้นแต่งานก็ออกมาดีทุกครั้งไม่ใช่หรือไง” ตรีเพชรเป็นคนทำงานเก่ง แม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ แต่ความสามารถในการทำงาน ความคิดความอ่านในเรื่องธุรกิจของเขากลับดีกว่าผู้บิหารบางคนในบริษัท
“ทำงานเก่ง ควงสาวก็เก่ง” พลอยลดาวางแก้วชาลง เธอพูดกับน้องชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทำงานเก่งเจ้ไม่ว่า แต่ควงสาวเก่งเจ้ไม่ชอบ เลิกทำตัวเจ้าชู้ได้แล้วนะเพชร”
“ไรเนี่ยสวดแต่เช้าเลยเหรอ” คิ้วหนาของชายหนุ่มเริ่มขมวดเข้าหากัน คนกำลังมีความสุขเรื่องเมื่อคืนอยู่ ทำไมถึงต้องเอาเรื่องเดิมๆมาพูด “เจ้เลิกพูดเรื่องการควงสาวของผมเหอะ พูดแล้วผมเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างไหม?”
“ก็ไม่” พี่สาวตอบตามความจริง
“นั่นไง ในเมื่อพูดไปก็ไม่ช่วยอะไร ก็เลิกพูดเรื่องนี้ซะ” ตรีเพชรตอบ พลางฉีกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ตาเพชร” พลอยลดาเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจ “คอยดูเถอะไปหลงรักใครเข้าแล้วจะรู้สึก”
“คร้าบบบ ผมจะรอวันนั้น หึหึ”
“คุยอะไรกันอยู่สองพี่น้อง” หญิงวัย 72 ที่ยังคงความสวยและกระฉับกระเฉงนั่งลงตรงหัวโต๊ะ เธอคนนี้เป็นคนที่ทรงอำนาจที่สุด
ในวรจักรโสภณ หญิงสูงวัยนั่งลงมองหลานทั้งสองที่เหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
“คุยเรื่องเพชรค่ะอาม่า”
“เลิกพูดเหอะน่าเจ้” ตรีเพชรหันไปหาพี่สาว แล้วยิ้มออดอ้อนหญิงสูงวัย “อาม่ากลับมาเช้ามาก เดินทางเหนื่อยไหมครับ”
ริมฝีปากบางที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงอมม่วงของอาม่าเหยียดยิ้มให้หลานชายคนโปรด “เป็นห่วงฉัน หรือต้องการจะอ้อนเอาอะไรอีกล่ะตาเพชร คราวที่แล้วขอรถ คราวนี้จะเอาอะไรอีก”
“คราวนี้จะเอาตุ๊กตาหน้ารถ หึหึ” ตรีเพชรพูด ดวงตาเรียวรีของอาม่าเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ผมล้อเล่นน่ะครับ พอดีรถใหม่ที่ได้มาล้อมันยังไม่สวย ถ้าอาม่าใจดีไม่ต้องให้ผมควักเงินตัวเองออกมาจ่ายก็คงจะดีมากกกกก”
“หึหึ ฉันน่ะใจดีกับเธออยู่แล้ว” น้ำเสียงทรงอำนาจของหัวเรือใหญ่แห่งวรจักรกรุ๊ปเอ่ยขึ้น “ตุ๊กตาหน้ารถใช่ไหม รออีกหน่อย ไม่นานก็จะเจอ” หญิงชรายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนหันไปสั่งให้สาวใช้เสิร์ฟอาหารถือเป็นการปิดบทสนทนากับหลานชาย ตรีเพชรจึงได้แต่งุนงงกับคำพูดของผู้เป็นย่า แต่ไม่นานเขาก็สลัดเรื่องนี้ทิ้งไป เพราะภาพของเด็กคนนั้นลอยเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มยิ้มให้กับแก้วกาแฟ จนผู้เป็นย่าและพี่สาวต่างรู้สึกแปลกใจ
ชายหนุ่มหยุดอยู่ใต้คณะมนุษย์ศาสตร์“นี่มึงมาทำอะไรของมึงวะเนี่ย” ตรีเพชรพูดกับตัวเอง วันนี้เป็นวันศุกร์ที่เขาไม่มีเรียน แต่ชายหนุ่มก็ยังขับรถมาที่มหาวิทยาลัย
มือหนาขยี้หัวตัวเองอย่างไม่พอใจนัก ขาเรียวของเขายืนวนอยู่หน้าลิฟท์ตรงชั้น 1 ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องไปไหน ไปทำอะไร ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเขามาหยุดอยู่ตรงนี้ได้ยังไง เขารู้เพียงแต่ว่าภาพของใครบางคนกำลังรบกวนจิตใจเขาอยู่ ตรีเพชรไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไร แต่เขารู้ว่าเขาต้องพบหน้าเจ้าของภาพหลอนในหัวของเขาให้ได้
เมื่อลิฟท์เปิด
ร่างหนึ่งกำลังอุ้มหนังสือหลายเล่มก้มหนาก้มตาเดินออกมา
ตรีเพชรที่เดินวนอยู่หน้าลิฟท์ ยกมือถือขึ้นมากดเพราะหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่เขาควงอยู่ด้วยส่งข้อความมาหา
ปึก!
“เห้ย!” เสียงนั้นเรียกสายตาของตรีเพชรให้จับจ้อง
หนังสือสิบกว่าเล่มที่ร่างบางอุ้มออกมาจากห้องสมุดของคณะหล่นลงเมื่อขาของเขาสะดุดขายาวของใครบางคน
หนุ่มน้อยหลับตาปี๋เพราะคิดว่าตัวเองจะล้มลงหัวฟาดพื้น
แต่พื้นกลับไม่แข็งเหมือนซีเมนต์ เพราะมันเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม พื้น…ที่โอบเขาไว้
ทันทีที่ลืมตานาวาพบว่าตัวเองนอนทับอยู่บนร่างของอีกคน
ทันทีที่ล้มลง
ตรีเพชรรู้ว่าคราวนี้อ้อมกอดเขาปกป้องใครคนนั้นเอาไว้ได้
And then there suddenly appeared before me
The only one my arms will ever hold
I heard somebody whisper, “please adore me”
And when I looked, the moon had turned to gold
แล้วคนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้า
อ้อมแขนอ้าโอบเพียงเขาคนนั้น
ใครคนหนึ่งกระซิบบอก “โปรดรักกัน”
เมื่อมองจันทร์แสงเจ้านั้นเป็นสีทอง
Blue moon, now I’m no longer alone
Without a dream in my heart
Without a love of my own
ดวงจันทร์สีน้ำเงิน…จากนี้ฉันไม่ยืนเดียวดาย
หัวใจมีฝันมีจุดหมาย
ข้างกายมีรักมีคู่เคียง
ดวงตาสองคู่สบกันเนิ่นนานราวหลงอยู่ในความฝัน
แล้วร่างเล็กในอ้อมกอดของตรีเพชรกระซิบออกมาว่า
“ไอ้ตี๋ มึงอยากตายมากใช่ไหม?!”