ตอนที่ 12 อีกครั้ง
เอกรงค์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากระจ่างพลางคิดทบทวนสิ่งที่ศุกลเพิ่งเล่าให้ฟัง สายลมพัดมาแผ่วๆ คล้ายกับจะพาเอาเมฆหมอกในใจให้ลอยไป อยากจะอภัยให้แต่ยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่อีกนิดเดียว เขาดึงขาขึ้นจากน้ำพร้อมกับยันตัวเตรียมจะลุกยืน แต่เพราะกระดานไม้เปียกชื้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำทำให้ไถลล้มลงนั่งในท่าเดิมอีกครั้ง
“โอ๊ย!”
เอกรงค์ก้มหลังจนหน้าแทบชิดขาพลางใช้มือคลำบริเวณสะโพกที่เจ็บจนจุก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ กระดูกกระเดี้ยวก็ใช่ว่าจะดี กำลังจะพยายามลุกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ศุกลมีสีหน้าตกอกตกใจไม่น้อย แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจากใจไร้ซึ่งการเสแสร้งจนเอกรงค์เกือบจะเผลอยื่นมือออกไปจับ แต่ก็สามารถข่มใจไว้ได้ทัน
“ผมไม่เป็นไร” ตอบสั้นๆ พร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นยืนเองทั้งที่จุกไม่หาย
“แน่ใจนะครับ เมื่อกี้โมล้มเสียงดังมากเลย”
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ” กุมารแพทย์หนุ่มยังปากแข็งทั้งที่ยังยืดตัวได้ไม่เต็มความสูงซ้ำตอนนี้ยังต้องใช้มือประคองเอวตัวเองไว้ด้วยซ้ำ
“เอาอย่างนี้ ถ้าโมไม่อยากให้ผมช่วย ผมไปตามน้องๆ โมให้ไหม”
“ไม่ต้อง!” เอกรงค์รีบหันไปคว้าแขนห้ามเมื่อเห็นคนอายุน้อยกว่าทำท่าจะร้องเรียกคนบนบ้านจริงๆ
“จริงนะ”
“เออ!” คุณหมอว่า ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติในน้ำเสียงของคนตรงหน้า ทั้งที่แน่ใจว่าเมื่อกี้ตวาดใส่แต่ทำไมกลับยิ้มระรื่นได้ “มีอะไร”
“เปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรแล้วยิ้มทำไม”
เพราะอีกฝ่ายเริ่มขึ้นเสียงดุจริงจัง… แต่ก็แค่ในระดับของคุณหมอเด็กเท่านั้น ศุกลจึงยอมรับออกไปตรงๆ “ก็…” พูดเพียงเท่านั้นพลางตวัดสายตาลงมองแขนตัวเอง
เอกรงค์มองตามแล้วเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าจับแขนแกร่งไว้แน่นมากแค่ไหน มันไม่ใช่แค่การคว้าเพราะตอนนี้เขาเผลอคล้องรอบท่อนแขนเปลือยนั้นไว้เพื่อช่วยพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ แววตาอ่อนโอนกับรอยยิ้มบนเรียวปากที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันกับไออุ่นที่สัมผัสทำให้หัวใจที่เคยสงบนิ่งเต้นแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ยังไม่ยกโทษให้” อารามตกใจทำให้เอกรงค์สะบัดมือออกรวดเร็วและขืนตัวออกห่างโดยลืมไปว่าพื้นมันลื่นและตัวเองยังไม่หายเจ็บหลัง
“ผมก็ยังไม่ได้คิด… ฮ...เฮ้ยยย!” ศุกลร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนอายุมากกว่าโงนเงนทำท่าจะล้ม ชายหนุ่มรีบขยับเข้าไปช่วยแต่อีกฝ่ายก็ผวาหนี จนในที่สุดเอกรงค์ก็หงายหลังตกลงน้ำไปจนได้
ร่างของกุมารแพทย์นุ่มกระทบกับผิวน้ำจนละอองน้ำแตกฉานซ่านเซ็นเป็นวงกว้าง เพียงไม่นานก็ทะลึ่งตัวขึ้นพร้อมกับใช้มือลูบหน้าลูบตาตัวเอง
“โม!”
“ไอ้บ้า!” เอกรงค์วักน้ำใส่คนที่ลอยคออยู่ตรงหน้า “กระโดดตามลงมาทำไม ไม่ต้องมาช่วยเลยผมว่ายน้ำแข็ง”
“ไม่ได้ช่วยแต่ตามมาเอาของที่โมเอาไปต่างหาก”
“อะไร!”
“ถ้าตอบว่าหัวใจจะโกรธไหม”
คนฟังหน้าแดงจนถึงหู เขาใช้มือตีน้ำกระจายใส่หน้าศุกลแล้วถีบตัวหนี แต่อีกฝ่ายก็ยังว่ายน้ำตามมาอย่างไม่ลดละ
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมล้อเล่น” ศุกลบอก “ผมตามลงมาเอาผ้า ก็โมดึงผ้าขาวม้าของผมหลุดติดมือลงมาด้วย แล้วจะให้ผมเดินแก้ผ้าโทงๆ ขึ้นบ้านไปยังไงล่ะครับ”
“หืม?” เอกรงค์นึกออกในที่สุดว่าตัวเองพยายามไขว่คว้าอะไรสักอย่างตอนกำลังจะตก เขาเหลียวมองทางหางตาเห็นผ้าผืนที่ว่าลอยผลุบๆ โผล่ๆ และกำลังลอยไกลออกไป จึงว่ายตามไปเก็บคืนเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ “เอ้านี่” เขาหันมาเพื่อส่งผ้าขาวม้าคืนโดยไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ว่ายน้ำตามมาจนประชิดตัว ใบหน้าของเขาจึงเกือบจะปะทะกับแผงอกแกร่งที่เปลือยเปล่า ถึงจะมืดจนมองแทบไม่เห็นอะไร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิกายกับเสียงหัวใจที่คุ้นเคย จึงต้องตะโกนเสียงดังเพื่อซ่อนความความรู้สึกอยากจะใจอ่อนนั้นให้มิด
“ถอยไป!”
“ขอบคุณครับ” ศุกลกล่าวพร้อมกับยิ้มให้คนที่ลอยคอหนีไปปีนบันไดขึ้นจากน้ำแล้วเดินขึ้นบ้านไป ได้ยินเสียงโวยวายของน้องสาวคนเล็กบ่นดังมาแว่วๆ
“พี่โม! ไปทำอะไรมาถึงได้เปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ แล้วยังเดินย่ำไปทั่วอีก รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมาถูพื้นให้สะอาดเลยนะ”
“อย่าบ่นนักเลยน่ายัยขิม แกเป็นน้องก็ทำไปสิ!”
ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องซึ่งเดาว่าคงจะเกิดจากการที่เอกรงค์สะบัดศีรษะทำน้ำกระเด็นใส่น้องสาว
ศุกลอดยิ้มขำตามไม่ได้ ในฐานะลูกคนเดียวจึงรู้สึกอิจฉาหน่อยๆ ที่ตัวเองไม่มีพี่น้องให้ทะเลาะหรือเป็นห่วงเป็นใยบ้าง ตาคมเหลือบมองดูท้องฟ้าที่ดวงจันทร์ส่องสว่าง นึกถึงแก้มขาวที่เปลี่ยนสีของคนที่เพิ่งเดินขึ้นบ้านไปแล้วก็อดหัวใจพองโตไม่ได้ ประกอบกับการที่อีกฝ่ายยอมเดินลงจากบ้านเพื่อมาหานั่นหมายความว่าเขายังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม
...ต้องมีสิ หรือถ้ามันจะไม่มีเขานี่แหละที่จะเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง...
...
ที่โต๊ะอาหาร วันนี้สมาชิกของบ้านอยู่กันครบ ภาพพ่อกับแม่ที่ยังหยอกล้อกันเหมือนสมัยหนุ่มสาวสร้างความหมั่นไส้ให้ลูกๆ และภาพของพี่น้องที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องง่ายๆ ว่าใครจะได้ไก่ทอดชิ้นที่ใหญ่ที่สุดไปทั้งที่มีพอสำหรับทุกคน ทำให้ผู้ซึ่งจากบ้านไปทำงานในเมืองหลวงเพียงลำพังรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เอกรงค์ยิ้มกับตัวเองท่ามกลางบรรยากาศแสนคิดถึง แต่เมื่อช้อนคันหนึ่งยื่นมาวางชะอมชุบไข่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าคำโตให้ในจานก็ต้องหุบยิ้ม เขากวาดสายตามองตามมือนั่นไปแล้วก็ได้เห็นเจ้าของมือนั่งอมยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ พลันคิ้วเข้มก็ตวัดฉับเข้าหากัน เกือบลืมไปเลยว่ามีหมอนี่อยู่ด้วย
“เห็นน้องขิมบอกว่าโมชอบ” ศุกลบอก
เอกรงค์ย่นปาก จะทักตั้งแต่ตอนอยู่ที่ท่าน้ำแล้วว่าถือวิสาสะอะไรมาเรียกชื่อเขาห้วนๆ แต่จะพูดตอนนี้คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ จะสงสัยและเขาคงต้องตอบคำถามยาวเหยียดเลยทีเดียวจึงยอมปล่อยเลยตามเลย เอื้อมมือตักน้ำพริกกะปิราดชิ้นชะอมก่อนจะตักใส่ปากเคี้ยวหยับๆ
คนผิดแต่อาหารไม่ผิด แล้วอาหารฝีมือแม่กับขิมก็อร่อยถูกปากมากๆ เสียด้วย ขนาดพ่อที่กินข้าวกับอาจารย์สุชาติมาแล้วยังอดไม่ไหวต้องขอกินอีกรอบ
“พวกพี่สองคนรู้จักกันได้ยังไงคะ”
เอกรงค์แทบสำลักข้าวเมื่อจู่ๆ น้องสาวคนเล็กก็เอ่ยขึ้นมากลางวง “ก็คือ… เอ่อ… พอดีเขาเป็นครูสอนศิลปะของเจ้านอฟลูกไอ้โป้น่ะ พี่เลยต้องไปรับไปส่งมันบ่อยๆ”
“อ้อ” เมขลากระตุกมุมปากอมยิ้มน้อยๆ ด้วยพอจะเข้าใจว่าพี่ชายตนคงต้องมีเรื่องอะไรปิดบังไว้มากกว่านั้นเพราะลูกชายคุณหมอปรเมษฐ์ก็โตเป็นหนุ่มแล้วไม่มีความจำเป็นต้องไปดูแลถึงขนาดนั้นสักหน่อย
“แต่ติ๊นบอกพ่อว่ารู้จักกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ” คุณดำรงค์ละจากลูกชายหันไปถามแขกของบ้าน “ใช่ไหมติ๊น”
“เคยเจอกันตอนผมไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแล้วหมอโมเขาไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อสามปีที่แล้วน่ะครับ”
เอกรงค์หันไปส่งสายตา หวังให้คนเล่าหยุด แต่กลับกลายเป็นว่าศุกลเล่าหมดแบบไม่กั๊ก
“ได้คุยกันสั้นๆ แต่ก็รู้สึกถูกคอกันดี แล้วก็บังเอิญกลับมาเจอกันอีกที่ไทย เพราะเขาเป็นหมอที่ดูแลลูกศิษย์ผมอยู่แล้วตอนหลังก็พาลูกชายเพื่อนมาเรียนด้วย เราก็เลยได้รู้จักกันมากขึ้น” จิตรกรหนุ่มเล่าไปยิ้มไป “โลกเรานี่มันกลมดีจังเลยนะครับ”
“แต่พ่อว่าบางทีมันอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะ”
“พรหมเพริมลิขิตอะไรพ่อ ผมว่าพี่โมนี่แหละลิขิต” สบโอกาสวงพาทย์ก็รีบเข้ามาร่วมวงราวกับกลัวว่าจะพลาดโอกาสแซวพี่ชายคนโตของบ้าน “ดูสิ ติ๊นมันทั้งสูงขาวตี๋แถมยังอายุน้อยกว่า แฟนคนก่อนๆ ของพี่โมก็มาแนวๆ นี้ทั้งนั้นนี่”
“ไม่นะพี่พาทย์” ประติมาว่า “ผมว่าคนที่คบด้วยเมื่อปีกลายนั่นหล่อกว่า นิสัยก็ดีแถมยังเป็นนักกีฬาเสียด้วย น่าเสียดายที่เลิกกัน ผมเลยไม่มีเพื่อนเตะบอลด้วยเลย”
“ก็ดีแล้วไงจะได้ไม่มีใครมาหล่อแข่งกับพวกเรา” พี่ชายคนรองเสริม
“พวกแก!” เอกรงค์หันไปแยกเขี้ยวใส่แต่น้องๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นึกถึงหนุ่มนักกีฬาทีมชาติคนนั้นแล้วยังเสียดายอยู่หน่อยๆ แต่ในเมื่อไม่ใช่จะยื้อกันต่อไปก็คงไม่ไหว
“แต่ขิมชอบคนก่อนหน้ามากกว่านะคะ” เมขลาว่า “ที่เป็นลูกครึ่งเกาหลีน่ะ สปอร์ตใจดี โซล แถมยังทำอาหารเก่ง โอปป้าในฝันของสาวๆ เลยนะ เวลายิ้มตาเป็นสระอิ คนอะไรน่ารัก”
“ไอ้ผักน่ะเหรอ” วงพาทย์ถาม
“เขาชื่อปาร์ค” เอกรงค์แก้ไปโดยอัตโนมัติ
“แต่คนที่คบนานสุดนี่ต้องคนที่เป็นหมอ” ประติมาว่า “ตั้งสามปีเนอะ ตอนนั้นผมนึกว่าพี่จะจบกับคนนี้เสียอีก”
“ก็ใครใช้ให้แอบไปมีคนอื่นล่ะ” เอกรงค์ตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปากเจ็บวันนั้นยังจำไม่ลืม “เลิกพูดเรื่องเก่าๆ เถอะ”
“แล้วเมื่อไหร่แกจะพาคนใหม่มาแนะนำให้พ่อกับคนอื่นๆ รู้จักล่ะ” คุณดำรงค์ถามลูกชาย
“ตอนนี้ผมโสด”
“อ้าว เห็นเจ้าพาทย์บอกว่าที่แกเบี้ยวไม่กลับบ้านครั้งก่อนเพราะมีนัดกับแฟนไม่ใช่เหรอ”
“เลิกกันแล้วครับ”
“ยังไม่ได้เลิกเสียหน่อย” ศุกลโพล่งขึ้นหลังจากนั่งเงียบมานาน ในใจรู้สึกปวดหน่วงๆ อย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมานั่งฟังเรื่องราวของคนในอดีตของคุณหมอเนื้อหอม เขาเหลือบมองคนนั่งข้างๆ ที่ถือช้อนค้างในอากาศทำหน้าบอกบุญไม่รับในขณะที่คนอื่นๆ เงียบกริบแล้วจึงพูดต่อ “เห็นว่าแค่เข้าใจผิดกันนี่ครับ… ยังไม่ได้เลิกสักหน่อย”
“นั่นสินะ จะเลิกได้ยังไงในเมื่อยังไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับวางช้อนลง พาให้พี่น้องแอบสบตาเงียบๆ อย่างรู้กันก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบคืนดีกันได้แล้ว ทะเลาะกันนานๆ มันไม่ดีนะลูก”
“จริงด้วยครับ” ศุกลพยักหน้าเห็นด้วย
“พ่อ!” เอกรงค์แทบจะอกแตกตายแล้วตอนนี้ จริงอยู่ว่าเขานึกขอบคุณครอบครัวมาตลอดที่เข้าใจในทุกๆ เรื่องตั้งแต่วิชาที่ชอบไปจนกระทั่งรสนิยมทางเพศ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขาหันไปหาแม่และก็ดูเหมือนแม่จะเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือในแววตาแม่จึงใช้ศอกสะกิดพ่อเบาๆ
“พ่อ”
“จ๊ะแม่”
“เรื่องนั้นให้ลูกมันคิดเองเถอะ แม่ว่าโมก็คงมีเหตุผลแล้วก็คิดดีแล้วล่ะ”
ลูกชายคนโตถอนหายใจอย่างโล่งอกตั้งใจฟังแม่พูดต่อ
“แต่แม่ว่าหนักนิดเบาหน่อย ถ้าอีกฝ่ายเขายอมรับผิด เราอภัยให้ได้ก็ยอมๆ กันไปเถอะลูก อายุก็ปูนนี้แล้วใช่ว่าจะหาใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนสมัยหนุ่มๆ นะ”
ทั้งโต๊ะพากันหัวเราะครืนกับคำลงท้ายของแม่ เอกรงค์เหลียวมองคนนั่งข้างๆ ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้แล้วก็สะบัดหน้ากลับมากินข้าวต่อเงียบๆ ...
เมื่อถึงเวลาเข้านอน เอกรงค์หนีเข้าห้องมาก่อนเพราะทนเห็นภาพแขกไม่ได้รับเชิญตีซี้ครอบครัวไม่ได้ ไหนจะไปช่วยน้องสาวคนเล็กล้างจาน ปากก็พร่ำคุยเรื่องวิธีการซ่อมสีบนผนังโบสถ์กับราวกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปฯ มาเอง แถมยังนั่งฟังเจ้าพาทย์กับเจ้าปั้นโม้เรื่องงานของแต่ละคนอย่างไม่รู้จักเบื่อ ที่สำคัญคือเพิ่งรู้จากขิมว่าเมนูชะอมชุบไข่ทอดหมอนั่นก็แอบมาด้อมๆ มองๆ ช่วยแม่ทำด้วย มิน่าล่ะถึงได้นำเสนอจัง ดูท่าแล้วศุกลจะเข้ากับทุกคนในบ้านได้ดีกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างเขาเสียอีก
กุมารแพทย์หนุ่มนั่งกอดอกทำหน้ายักษ์ใส่คนที่เปิดประตูเดินยิ้มแฉ่งเข้ามายืนตรงหน้า ยังไม่ได้เอ่ยปากไล่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวผมไปนอนข้างนอก” ไม่พูดเปล่า ศุกลก็หอบหมอนกับผ้าห่มขึ้นมาเตรียมจะเดินออกไป
“คุณจะไปนอนตรงไหน”
“ที่ตั่งหน้าทีวีไง” จิตรกรหนุ่มตีหน้าเศร้า
“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมโดนพ่อกับแม่ว่าโทษฐานดูแลแขกไม่ดี ปล่อยให้ออกไปนอนตากยุง”
“คุณไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมบอกว่ามานอนดูบอลจนเผลอหลับไปก็ได้”
“น่าเชื่อตายละ เมื่อเย็นคุณเพิ่งจะบอกกับพวกน้องๆ ผมว่าไม่ค่อยเล่นกีฬาแถมยังไม่ดูทีวีอีกไม่ใช่เหรอ”
ศุกลนึกแปลกใจระคนดีใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายยังสนใจเรื่องของเขาอยู่บ้าง “แล้วจะให้ทำยังไง อยู่แบบนี้โมก็นอนไม่หลับใช่ไหมล่ะ”
“เดี๋ยวผมไปนอนกับไอ้พาทย์เอง”
“ไม่ได้หรอก โมเป็นเจ้าของห้องนะ ผมไปเอง”
“แต่คุณเป็นแขก” เอกรงค์ตัดบทพร้อมกับลุกจากเตียงเดินไปที่ประตู กำลังจะดึงเปิดออกมือใหญ่ก็เอื้อมข้ามไหล่มาดันให้ปิดตามเดิม
“ผมก็ไม่ยอมให้โม ‘ไป’ เหมือนกัน” คนอายุน้อยกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยิ่งได้ฟังเรื่องคนรักคนก่อนๆ ของเอกรงค์ก็ยิ่งทำให้หัวใจร้อนรุ่ม คงจะอดทนรอให้อีกฝ่ายใจอ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะเขาต้องการเป็นคนปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่อดีตที่ผ่านเลยไป
“รู้ไหมว่าผมต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะหาโมเจอ แต่พอเจอแล้วกลับทำอะไรไม่ได้เลยเพราะ ‘เขา’ ผมอดทนอยู่เป็นปีเพื่อรอให้โมเลิกกับผู้ชายคนนั้น จนในที่สุดโมก็โสด ผมจะไม่ปล่อยโมไปเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอีกแล้ว”
“แต่คุณจับไว้ทีเดียวสองคนไม่ได้หรอกนะ” เอกรงค์กระซิบเสียงแผ่วทว่าหนักแน่น
“โมบอกว่าโมเห็นกับตา ได้ยินกับหูใช่ไหม” ศุกลถาม “ถ้าอย่างนั้นโมได้ยินหรือเปล่าว่าผมปฏิเสธไนท์ว่ายังไง”
“มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เรายังคงรู้สึกในตอนนี้ เป็นความรู้สึกที่มาจากหัวใจ แต่วันนี้หัวใจของเรา เราให้คนอื่นไปแล้ว เราทำผิดต่อเขาไม่ได้ ขอโทษนะไนท์”เอกรงค์พยักหน้า ใช่แล้ว เขาใจแข็งพอจะยืนฟังจนจบและนี่คือสาเหตุที่ทำให้ตัดใจจากศุกลไม่ขาดสักที… แต่ถ้าตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังวนเวียนอยู่รอบตัวอีกฝ่ายเช่นนี้ สักวันเรื่องแบบนี้ก็คงเกิดขึ้นอีก
“ตอนนี้หัวใจของผมอยู่ที่โมนะ” ศุกลขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเผื่อคนฟังจะได้ยินไม่ชัด “จริงๆ นะเชื่อผมเถอะ ให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ”
คนฟังไม่ได้ขยับหนี มือที่กำเป็นหมัดแน่นค่อยๆ คลายออก ไม่ได้รู้สึกพ่ายแพ้หรือชนะ แต่เขาไม่ต้องการให้มันจบลงแบบนี้ จบในแบบที่รู้ว่าจะต้องเสียใจภายหลัง เขาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า “รู้ไหมว่าผมโกรธเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ผมจูบกับไนท์”
“นั่นแค่ 50%” เอกรงค์ว่า “ส่วนอีก 950% ที่เหลือ เป็นเพราะคุณไม่ชัดเจนต่างหาก”
ศุกลอึ้งไปเล็กน้อย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกระทำของตนเองจะดูเป็นความไม่ชัดเจนในสายตาคู่นี้ ทั้งที่ตัดใจจากรัตติเขตมาได้ตั้งนานแล้วและมั่นใจว่าความรู้สึกที่มีในตอนนี้คือความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งคิดมาตลอดว่าเอกรงค์เป็นผู้ใหญ่พอ แต่ลืมนึกไปว่านั่นคือความคิดของตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว ลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน โชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกถามว่าทำไมจึงจูบกับรัตติเขต เพราะเขาเองก็ตอบไม่ได้ จะด้วยความเผลอไผลหรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันทำให้คนที่เขารักจริงๆ ต้องเสียใจ คิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดก็ยิ่งแล่นขึ้นกลางใจอยากจะกล่าวคำขอโทษสักร้อยสักพันครั้ง “ผม…”
“ถึงผมจะโตมาในครอบครัวที่ยอมรับในตัวผม แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทุกคนไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้อยากให้คุณไปป่าวประกาศกับใครๆ ว่าเป็นอะไรกับผม แต่ผมแค่อยากได้ ‘สิ่งยืนยัน’ ว่าเรารักกันใช่ไหม ไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่าผมตามคุณอยู่ฝ่ายเดียว”
“ผมขอโทษ” ศุกลบอก “แต่อย่างที่คุณรู้แล้วว่าผมเคยอกหักจากไนท์ ผมใช้เวลานานมากในการตั้งตัว ผมตัดใจได้ ไม่ได้หมายถึงผมจะสามารถลบเรื่องราวเกี่ยวกับเขาออกจากความทรงจำได้ แต่ผมอยากบอกโมว่าไนท์เป็นแค่อดีตที่ผมจะไม่กลับไปหาอีกแล้ว ตอนนี้ผมรักโมคนเดียวจริงๆ นะ”
“โอเค” เอกรงค์ตอบ เขาไม่ได้ใจอ่อนกับคำว่ารักที่คนตรงหน้ายอมบอกกับเขาเป็นครั้งแรก แต่เขาเลือกแล้วว่าจะให้โอกาสและจะไม่เสียใจทีหลัง
“อะไรคือโอเค”
“ก็ตามนั้นแหละ”
“ตกลงโมหายโกรธผมแล้วใช่ไหม”
“หายโกรธ แต่ยังไม่ยกโทษให้”
“หมายความว่าไง” ศุกลเลิกคิ้ว
“ก็เอาเป็นว่าไว้ติ๊นชัดเจนมากกว่านี้เมื่อไร ค่อยว่ากันก็แล้วกัน” พูดจบกุมารแพทยหนุ่มก็เตรียมจะเดินกลับไปขึ้นเตียง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ
ศุกลขยับตัวขวางพร้อมทั้งยกแขนสองข้างขึ้นคร่อมไว้ในขณะที่เอกรงค์กวาดตามองคนที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มตรงหน้า
“มีอะไรอีก”
“ผมก็อยากได้สิ่งยืนยันว่าเราคืนดีกันแล้ว” อันที่จริงแค่การที่อีกฝ่ายยอมเรียกชื่อเขาเหมือนเดิมนั่นก็ถือว่าชัดเจนแล้ว แต่เขาก็แค่อยากจะได้การยืนยันอีกนิดก็เท่านั้น
“ต้องการอะไร”
จิตรกรหนุ่มตอบคำถามด้วยการลดมือลงแล้วสอดเข้ารอบเอวสอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขัดขืนจึงค่อยๆ รั้งตัวมากอดแนบอก “ขอโทษนะครับ”
เอกรงค์เองก็ตอบรับด้วยการซุกหน้ากับอกกว้างแล้วหลับตาลง เสียงหัวใจที่ดังอยู่ใกล้หูราวกับพยายามบอก ‘รัก’ ซ้ำๆ ให้เขาฟัง
…และเขาจะเชื่อแบบนั้นได้จริงๆ ใช่ไหม
....
“ติ๊นจะกลับกรุงเทพวันนี้หรือเปล่า” ดำรงค์ถามขึ้นหลังจากทุกคนรับประทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย
“ครับ” ศุกลตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับพร้อมเจ้าโมมันเลยก็แล้วกัน” ผู้เป็นเจ้าบ้านกล่าวพลางหันมาหาลูกชายที่หิ้วกระเป๋าออกมาจากห้องพอดี “โม พ่อฝากติ๊นกลับกรุงเทพด้วยคนนะ”
เอกรงค์เหลือบมองคนอายุน้อยกว่าที่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที อดถามไม่ได้ “ขามาคุณมายังไง”
“ผมกระโดดขึ้นรถมากับอาจารย์สุชาติครับ” จิตรกรหนุ่มตอบซื่อๆ
“ถ้าอย่างนั้นมาทางไหนก็ไปทางนั้น”
“ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าอาจารย์สุชาติจะต้องอยู่ทำงานต่ออีกหลายวัน แต่ผมต้องกลับวันนี้นี่นา ขอติดรถไปด้วยนะครับ บ้านผมก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาลที่โมทำงานไปแค่สองแยกไฟแดงเอง” ศุกลพยายามใส่ลูกอ้อนแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะใจอ่อนจึงยื่นข้อเสนอใหม่ “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมออกค่าน้ำมันแล้วขับให้ด้วยโมจะได้นั่งสบายๆ ไงดีไหม”
เอกรงค์ทำจมูกย่น ไม่ได้อยากจะใจดำแต่ยังไม่อยากกลับไปเหยียบ Light & Shade เพราะกลัวจะเจอใครบางคนเข้า แต่เพราะทนแววตาเว้าวอนกับสายตากดดันจากคนในครอบครัวไม่ไหวจึงตอบตกลง “ผมขับเองแต่จ่ายค่าน้ำมันด้วย”
ศุกลรีบยกมือไหว้คุณดำรงค์และภรรยา รวมถึงไม่ลืมส่งยิ้มให้น้องสาวคนสุดท้องของบ้านก่อนจะคว้ากระเป๋าของตนแล้วเดินตามหลังกุมารแพทย์หนุ่มลงจากบ้านไป...
....
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ศุกลเกาะหน้าต่างรถคาดิลแลคคุยกับคนขับเพราะยังไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปง่ายๆ ถึงจะบอกว่าคืนดีกันแล้วแต่ตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่าที่นั่งรถมาด้วยกัน เอกรงค์ก็ยังดูปั้นปึ่ง ชวนคุยอะไรก็เป็นลักษณะของการถามคำตอบคำ “ถึงคอนโดแล้วโทรหาผมด้วยนะ”
“รู้แล้ว” เอกรงค์รับคำก็พอดีกับเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง
“ติ๊น”
ทั้งสองหันไปมองตามเสียงเรียก และเห็นชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเดินออกมาจากประตูบ้าน
“ไนท์” เจ้าของบ้านกล่าวเสียงแผ่วเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่อีก
“กลับมาแล้วเหรอ เห็นดลบอกว่าติ๊นไปทำงานที่ต่างจังหวัดจะกลับวันนี้เราเลยมาดักรอ” รัตติเขตรีบเดินเข้ามาหา
“ผมกลับก่อนนะ” เอกรงค์กดกระจกรถขึ้นและเข้าเกียร์เตรียมจะถอยออก ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้ป่านนี้เขาคงกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว
ศุกลมองคนตรงหน้าก่อนจะหันมองรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปแล้วตัดสินใจวิ่งตาม เขาตบลงบนกระจกบอกให้เอกรงค์หยุดรถและส่งสัญญาณให้ปลดล็อกประตู “รอก่อนครับ อย่าเพิ่งไป”
กุมารแพทย์หนุ่มสะดุ้งเฮือก ทันทีที่ศุกลเปิดประตูรถได้ก็คว้ามือของเขาแล้วดึงลงจากรถ พาเดินไปหาชายหนุ่มผิวเข้มที่ยืนรออยู่
“ไนท์” ศุกลเรียก “ไนท์ถามเราใช่ไหมว่าคนที่เรารักเป็นใคร… นี่ไงเขาอยู่นี่ เรากำลังคบกันอยู่” หลังจากที่ฟังเอกรงค์พูดว่าเขาไม่ชัดเจน เขาก็นอนคิดทบทวนอยู่ทั้งคืนว่าจะทำอย่างไรถึงเรียกความเชื่อใจคืนมาได้ แก้วที่ร้าวย่อมไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าเราประคองไว้ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง แก้วใบนั้นก็ยังคงใส่น้ำต่อไปได้อีกนาน และศุกลก็เลือกวิธีนี้
เอกรงค์อึ้งไปเล็กน้อย หันมองศุกลสลับกับรัตติเขตที่หน้าซีดไปถนัด
“และนี่ก็คือเหตุผลที่เราคบกับไนท์ไม่ได้ เราทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับไนท์ เรายังคงความเป็นเพื่อนที่ดีนับตั้งแต่วันนั้น แต่จากนี้ไปเราคงไปไหนมาไหนกับไนท์แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วถ้าหากไนท์ยังไม่เลิกคิดกับเราแบบนั้น หรือถ้าจำเป็นเราบอกไนท์ไว้เลยว่าเราคงพาเขาไปด้วยหรือไม่เราก็คงจะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เพราะเราไม่อยากทำให้เขาเสียใจอีกแล้ว”
เมื่อศุกลพูดจบเอกรงค์ก็พบว่าตัวเองกำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เพราะฝ่ามือที่กุมไว้แน่นทำให้เขาอุ่นใจและไม่รู้สึกหวั่นไหวที่จะมองกลับไป
“บอกกันแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว คิดอยู่แล้วเชียวว่าถ้าไม่เพราะตอนนั้นเราขอไว้ ติ๊นก็คงเลี่ยงที่จะไม่เจอเราอีกแล้ว ก็เราทำให้เจ็บนี่นะ” รัตติเขตว่า “ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ”
“ด...เดี๋ยว ไนท์มีธุระอะไรถึงมารอเราที่นี่” ศุกลถาม
“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะ” อดีตเพื่อนสนิทตอบเรียบๆ ใจจริงเขาอยากมาขอโทษเรื่องรูปนั่น แต่ตอนนี้พูดไม่ออกแล้ว
“เดี๋ยวก่อนครับ” เอกรงค์เรียก “คุณไม่มีแต่ผมมี”
“อะไรหรือครับ”
“เรื่องจูบวันนั้นผมจะให้แล้วไปเพราะถือว่าคุณยังไม่รู้แต่ตอนนี้คุณรู้แล้วเพราะฉะนั้นถ้าคุณทำแบบนั้นอีกละก็...”
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก” รัตติเขตให้คำมั่นก่อนจะฟังจบด้วยซ้ำ “ผมไม่ชอบคนมีเจ้าของ”
“แล้วเรื่องรูปของผมที่คุณกรีดจนขาดนั่นล่ะ” เอกรงค์ถาม
“คนวาดก็อยู่นี่แล้ว อยากได้ก็ให้เขาวาดใหม่ก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินกลับไปขึ้นรถของตนแล้วขับออกไป
ถึงจะยังขัดใจเล็กน้อยที่ไม่ได้รับคำขอโทษ แต่เอกรงค์ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เมื่อปัญหาที่เป็นดั่งเมฆหมอกปกคลุมหัวใจถูกพัดออกไปเสียได้ เขาจะดึงมือที่ถูกกุมไว้กลับหากมือนั้นยิ่งบีบแน่นขึ้นจึงหันไปมองอีกคนและพบว่าศุกลกำลังมองมาที่เขาอยู่แล้วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อะไร”
“ดีใจ”
“ดีใจเรื่องอะไร”
“โมยิ้มแล้ว” ศุกลตอบ “ผมไม่ได้เห็นโมยิ้มแบบนี้มาตั้งหลายอาทิตย์แล้วนะ คิดถึงรอยยิ้มหวานๆ แบบนี้จัง” ไม่พูดเปล่ายังยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มตรงที่เป็นรอยบุ๋ม
“เวอร์ไป๊” เอกรงค์เสไปมองทางอื่นเพราะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องกำลังยิ้มอยู่อย่างที่อีกฝ่ายบอก แล้วแก้มก็ต้องแดงด้วยแน่ๆ เพราะตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าหน้ามันร้อนไปหมดยิ่งเมื่อปลายนิ้วนั้นรุกรานลงมาบนผิวเนื้อมากเท่าใดใจยิ่งเต้นแรงเลือดยิ่งสูบฉีดมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่เวอร์หรอก”
“พูดแบบนี้แสดงว่าถ้าผมไม่ยิ้มติ๊นก็ไม่ชอบผมแล้วสิ”
“ก็เลิกชอบมาตั้งนานแล้ว”
“หืมมม” คำพูดนั้นทำเอาคนฟังหันขวับกลับมาแทบไม่ทันในขณะที่คนพูดกดหน้าลงต่ำแล้วกระซิบที่ข้างหู
“เปลี่ยนเป็นรักแทน”
“เป็นบ้าอะไรจู่ๆ ก็พูดอยู่ได้” คนอายุมากกว่าบ่นแก้เขินพร้อมกับย่นคอหลบปลายจมูกที่กำลังพ่นลมร้อน นับตั้งแต่หายโกรธกันเมื่อคืนศุกลก็ขอนอนกอดเขาทั้งคืนและเอาแต่พูดคำนี้ซ้ำๆ จนเขาแทบจะเขินตายอยู่แล้ว
“กลัวโมไม่ได้ยิน”
เอกรงค์ไม่ได้ยิ้มเพราะดีใจที่ได้ฟังคำนั้น หากแต่เป็นเพราะเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าจากนี้ไปจะมีแค่เขาคนเดียวที่ได้กุมมือนี้ไว้
“ติ๊น”
“ว่าไงครับ”
“ฝันดีนะ” พูดจบก็หันไปกดปลายจมูกเข้าข้างแก้มเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะผละออกแต่ก็ยังไม่อาจหลุดจากการเกาะกุมได้
“เดี๋ยวก่อนครับ เมื่อกี้นี้มันอะไร”
“เงินทอนค่าน้ำมันรถ” เอกรงค์บอกก่อนจะรั้งมือกลับ ขึ้นรถแล้วขับออกไป ทิ้งให้คนโดนขโมยหอมได้แต่ยืนลูบแก้มตัวเองเขินๆ มองตามจนสุดสายตา
...
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
เหลือที่ต้องเขียนกันอีกคนละ 1 ตอน ฝากด้วยค่ะ