❀ Moon's Embrace : บทที่ 22 ... ครบ ❀
อาทิตย์ลอยคว้างกลางผืนนภาอันปลอดโปร่ง สายลมหนาวยามแรกแห่งต้นฤดูเหมันต์โบกพัดใบไม้ไม้สีส้มแดงให้เกลือกกลิ้งไปตามพื้นอย่างมิอาจต้านทาน
ช่วงสามวันมานี้ แม้พวกบ่าวไพร่จะต่างพากันกวาดลานด้านหน้าทั้งเช้าเย็นแล้ว ใบไม้แห้งกรังก็ยังคงร่วงโรยลงมาจากต้นไม่หยุดหย่อน ขณะที่ลมอากาศก็เริ่มหนาวสะพัดจนผิวแห้งกร้าน
อู่ลี่จินเป็นเพียงไม่กี่คนที่ยอมยื่นมือลงไปในน้ำที่เย็นเยียบ พลางใช้ไม้ตบเสื้อจากด้านใน เพราะที่นี่เป็นเมืองหู่ และเขาก็เป็นเพียงแค่หมอหลวงชั้นต้น ต่อให้เข้ามาทำงานในตำหนักเฮ่ยเซ่อแล้ว ก็ยังเป็นได้แค่หมอระดับล่างจึงไร้บ่าวไพร่ดูแล้ว ทั้งที่ปกติแล้วการซักเสื้อพวกนี้ควรจะเป็นงานของสตรีน่าจะเหมาะกว่า
แต่กระนั้นกลับเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะภายในตะกร้ากลับซ่อนบางอย่างไว้อย่างมิดชิด
ดวงตาคู่สวยแอบชำเลืองมองสิ่งนั้นเล็กน้อย หลังจากที่ตกลงกันจนรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดต่อ หมอหนุ่มก็มานั่งรออยู่ที่ริมแม่น้ำด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนพัก
บริเวณใต้ต้นหูกวางด้านหลังของเขาซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย เวลานี้ได้บดบังเรือนร่างสูงโปร่งของใครบางคนได้อย่างมิดชิด
หมอคนงามแอบพยักหน้าเล็กน้อย กิริยานั้นราวกับเป็นสัญญาณให้คนที่ปิดบังตนเองอยู่ด้านหลังค่อยๆ เอื้อมมือออกมาคว้าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในตะกร้าออกไป
อู่ลี่จินทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็น สักพักหนึ่งพอมั่นใจว่ากล่องเจ้าปัญหาที่ซ่อนอยู่ในตะกร้าถูกนำออกไปแล้ว มือเรียวก็ออกแรงบิดเสื้อให้น้ำไหลออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโยนมันใส่ตะกร้าดังเดิม แล้วลุกขึ้นหอบกลับเรือนพัก
ช่วงเวลาผ่านไปไม่นานนัก เพียงแค่ข้ามวันอีกครั้ง พอเสื้อตัวนั้นแห้งสนิทแล้ว ลี่จินก็ไม่รอช้าที่จะต้องนำไปคืนเจ้าของ ทว่าเพียงหยิบจากตะกร้าออกมาพับให้เรียบร้อยได้แค่ทบเดียว ที่ข้างเตียงก็ยุบฮวบลงไป
เสี้ยวหน้างามหันไปเล็กน้อย เห็นฉินกวนเจ๋อกำลังชะเง้อคอมองมาที่ผ้าหอบนั้นอย่างใคร่รู้
“เจ้าชอบใส่เสื้อสีเกาลัดนี่ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่เคยเจ้าใส่มันเลยสักครั้ง”
ลี่จินไม่ตอบคำถาม ทำเพียงแค่อมยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เห็นหมอตัวเล็กนอนซมอยู่บนเตียงมากว่าหลาย ในที่สุดวันที่เจ้าตัวกลับมาเดินเอ้อระเหย และสอดรู้ได้อย่างเดิมก็มาถึง ทว่าเรื่องนี้อีกฝ่ายควรจะอยู่ห่างไว้ย่อมดีกว่า
“เจ้าหายดีแล้วงั้นหรือ”
“แฮร่...ก็ยังมีเจ็บๆ หลังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณเจ้ากับเต๋อหวนที่ช่วยดูแลข้า”
กวนเจ๋อยิ้มแห้ง พลางยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อเขิน ลี่จินส่ายหน้าน้อยๆ มองคนตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดู
“เห็นเจ้ากลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว ข้าก็คลายกังวล”
“เฮ้อ...คราวนี้ข้าจะไม่เอาอีกแล้ว อยู่ที่นี่ลำบากยากเย็นนัก จะหวังดีมากไปก็ไม่ได้ จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้อีกเช่นกัน มันเหมือนกับว่าข้าขยับไปทางไหนก็ผิดไปหมด ตอนนี้ข้าขอเป็นฉินกวนเจ๋อหมอปลายแถว อยู่อย่างเงียบๆ สงบๆ ดีกว่า”
อีกฝ่ายพูดตัดพ้ออย่างน่าสงสาร แต่ที่นี่ก็เป็นจริงดังที่หมอตรงหน้าพูด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ล้วนกระทำไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือหรือไม่ สุดท้ายปลายทางกลับถูกใครบางกำหนดไว้แล้วเสมอว่าผิดหรือถูก ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนตรงหน้า แต่หากใครจะรู้เล่าว่าเวลานี้คนที่กำลังก้าวเท้าเข้าสู่วังวนนั้นแทน กลับเป็นเขาเสียเอง
“เจ้าอยู่อย่างสงบแน่ ถ้าเจ้าสงบปากไว้ด้วย” เขาแกล้งพูดแหย่ก่อนจะพับผ้าไว้บนตัก กวนเจ๋อทิ้งมุมปากลงอย่างหน่ายๆ แต่พักเดียวดวงตากลมโตก็เลื่อนมาให้ความสนใจกับผ้าสีเกาลัดนั่นอีกครั้ง
“แล้วเจ้าจะหอบผ้านั้นไปไหนน่ะ”
หมอคนงามลุกขึ้นอย่างไม่สนใจ มีเพียงริมฝีบางที่อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนประตูไม้ออกไป
กวนเจ๋อดีดตัวลุกออกจากเตียง ยกมือเกาศีรษะด้วยความมึนงง
“คุยด้วยก็ไม่ยอมตอบ...” หมอตัวเล็กเดินไปเกาะขอบประตู สายตาชำเลืองมองตามแผ่นหลังบางของคนเป็นเพื่อนที่กำลังก้าวขาลงจากจวน คาดเดาไปต่างๆ นานา
“หรือว่า ผ้านั่นของใต้เท้าซุนหรือเปล่านะ”
♦♦♦♦
“เป็นอย่างไรบ้าง”
ดวงตาคู่สวยเงยสบกับบุรุษร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หลังจากที่นำเสื้อมาคืน เจ้าของจวนก็เอ่ยปากสั่งให้บ่าวไพร่มาเชิญเขาเข้าไปด้านใน ซึ่งดูเหมือนไป่หานจะตั้งตารอเขาอยู่นานแล้ว องครักษ์หนุ่มเอ่ย
“ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”
คำตอบเพียงสั้นๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่อย่างไรก็อยากทราบความให้กระจ่างกว่านี้
“อย่างไรบ้าง”
ไป่หานหลุบสายตาลง เขายกชาหอมขึ้นมาจรดริมฝีปากแก้คอแห้ง ที่จริงแล้วกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้คนตรงได้ภายในสามวันเป็นอะไรที่ยากยิ่ง แต่โชคดีนักที่เขาพอจะรู้จักพ่อค้าที่ขายอินทผาลัมอยู่บ้าง เลยสามารถแอบสับเปลี่ยนกันได้
องครักษ์หนุ่มลุกขึ้น กายสูงใหญ่เดินหายไปที่ฉากกั้นด้านหลัง พอกลับออกมาก็ถือกล่องไม้สีน้ำตาลขนาดสองศอกออกมาด้วย
เขาวางมันลงบนโต๊ะ ค่อยๆ ดันมันไปหาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อินทผาลัมในกล่องนี้ เป็นอินทผาลัมที่คนของข้าหามา” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“แล้วอันเก่าเล่า”
“นำไปฝังดินที่ป่าตะวันตกแล้ว”
พอได้รับคำตอบไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเปล่งเสียงใดไม่ออก แต่จะกล่าวว่าโล่งอกก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะในใจกลับปรากฏความกังวลขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ถ้าล้มเหลวขึ้นมาเล่า จะทำอย่างไรต่อ
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีที่เขาจะปริปากพูดออกไป จึงได้เก็บประโยคนั้นไว้ในใจเงียบๆ
“ลี่จิน…”
ได้ยินเสียงเอ่ยเรียก อู่ลี่จินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลบสายตามานาน ถึงได้ยอมเงยใบหน้าขึ้น เห็นดวงตาสีเข้มกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างกังวล
“อย่างไร...เจ้าต้องถวายมันให้ท่านอ๋องเสวยใช่หรือไม่”
ลี่จินพยักใบหน้ารับฝืนๆ ไป่หานถอนหายใจแผ่วเบา
“เช่นนั้น เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะทูลท่านอ๋องเองว่าข้าเป็นคนให้เจ้าถวาย”
“ข้าให้ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”
หมอหนุ่มรีบตอบทันที ถึงจะซาบซึ้งที่คนตรงหน้าคิดจะช่วยเหลือเขา แต่แค่นี้ก็มากเกินกว่าเขาจะตอบแทนได้หมดแล้ว ลี่จินกล่าวต่ออีกว่า
“ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ท่านแค่ช่วยทูลท่านอ๋องก็เพียงพอแล้ว ข้ามิอาจลากท่านมาข้องเกี่ยวได้มากกว่านี้”
พอได้รับคำปฏิเสธ ทำเอาองครักษ์หนุ่มถึงกับชะงักไป เขามองลึกลงไปดวงตาคู่สวย ถึงมันจะเต็มไปด้วยความกังวลอยู่หลายส่วนนัก แต่น่าแปลกที่เขาปฏิเสธคำพูดของหมอหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด
ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ดวงตาเรียวหลุบลงมองใบหน้าคมสันของบุรุษแกร่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถ้อยคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านสัญญากับข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านจะไม่ลังเล...”
ไม่มีคำตอบจากองครักษ์หนุ่ม มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวอย่างกังวล ถึงจะมั่นใจว่าเรื่องที่เขากับลี่จินลอบทำกันอยู่นี้ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และมันจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี แต่หากไม่เป็นอย่างที่คิดขึ้นมา เขากลับไม่แน่ใจตนเองว่าจะชักกระบี่ข้างกายขึ้นมาเพื่อทำใครกันแน่
คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้
♦♦♦♦♦
วันที่สี่เดือนสิบ ยามซื่อ
เช้านี้พระอารมณ์ของอ๋องเมืองหู่นั่นไม่แตกต่างอะไรจากสายลมแรกของฤดูคิมหันต์
หลังจากที่รุ่ยเหรินกล่าวรายงานที่ได้รับมาจากทางค่ายบูรพา รอยสรวลอ่อนๆ ก็ยอมประทับบนพระพักตร์คมเข้ม
นานแล้วที่ไม่ได้ยินข่าวดีจากทางค่ายบูรพา ดูเหมือนว่ากองกำลังจะสามารถขับไล่ชนเผ่าฮวงที่มาตั้งค่ายอยู่ที่ต้นน้ำออกไปได้สำเร็จ เรื่องนี้ต้องขอบคุณในหลายๆ ส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะ ‘ต้านไถ’ ทหารหนุ่มที่ซุนไป่หานคัดเองกับมือเพื่อให้รักษาการณ์ระหว่างที่เจ้าตัวไปทำภารกิจอื่นให้กับเขา
แม้ว่าในตอนนี้ศึกจะเริ่มยืดเยื้อ และมีทหารบาดเจ็บอยู่จำนวนมาก ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูคิมหันต์แล้วคงมีทหารล้มป่วยอีกไม่น้อย หยวนจิวหรงจึงเตรียมการ หาทางแก้ไขไว้แล้วล่วงหน้า ว่าอาจจะส่งหมอจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้อ่อนแอแล้วพานให้ชัยชนะหลุดลอยหายไปอย่างรวดเร็ว
นี่นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่สามารถยึดต้นน้ำซึ่งเป็นเสมือนท่อลำเลียงกำลังพลสำคัญได้ แม้เพลานี้จะยังไม่สามารถเข้าไปสำรวจเหมืองทองตามที่ใจนึกก็ตาม ทว่าเพราะจุดยุทธศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนไป ทำให้เมืองหู่เริ่มได้เปรียบเผ่าฮวงมากขึ้น
เรื่องดีๆ วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น พอยิ่งได้ฟังคนสนิทหนุ่มกล่าวรายงานเรื่องการเจรจาการซื้อขายจากพ่อค้าต่างเมืองอีก ก็ยิ่งอารมณ์ดีนัก มีพ่อค้าเฒ่าแก่จำนวนไม่น้อยที่สนใจติดต่อซื้อขายเกลือ ปะการังหายาก และของทะเลจากเมืองหู่ และเปลี่ยนขนสัตว์ ไม้เครื่องเทศ และรวมไปถึง เหล็ก และดินปืนด้วย
พ่อค้าจำนวนไม่น้อยส่งของบรรณาการมาถวายเขา ซึ่งจางรุ่ยเหรินเป็นคนรับหน้าดูแลทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น การเจรจาวันนี้คลื่นลมเลยสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กระทั่งประชุมช่วงเช้าผ่านไปใกล้จวนจะเข้ายามอู่ ในห้องทรงกิจเหลือเพียงแค่บุรุษคนสนิทสองคนที่เขาของให้อยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกัน ระหว่างนั้นชาหอมกรุ่นถูกรินลงถ้วย หยวนจิวหรงละเมียดจิมได้สักพักก็เงยใบหน้าขึ้น เหลือบสายตาคมกริบไปยังองครักษ์ในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนสีน้ำตาล
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีของอยากถวายข้า...”
พออ๋องหนุ่มตรัสถามขึ้นมา ซุนไป่หานที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ขานตอบเสียงเรียบ
“มิใช่กระหม่อม แต่เป็นหมออู่ พ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินกระนั้นคิ้วคมเข้มก็เลิกขึ้นอย่างฉงน พลางนึกใบหน้าหมดจดของหมอแซ่อู่ไปด้วย เขาจำได้ว่าในบรรดาหมออาสาทั้งสามที่ส่งมาจากเมืองหลวง หมออู่เป็นหมอที่เขาแทบจะไม่ได้เรียกตัวเข้ามาพูดคุยเลย
“หมออู่งั้นหรือ สิ่งใดกัน”
“ผลอินทผาลัมพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนจิวหรงพยักใบหน้า ถึงภายในแววตาจะมีความแปลกใจเจืออยู่เล็กๆ ว่าเหตุใดหมออู่ถึงได้ล่วงรู้ได้ว่าเขาชอบผลไม้บำรุงชนิดนี้ แต่ก็ไม่มีคิดติดใจอะไรนัก เพราะในใต้หล้านี้มีคนส่งของมาเอาอกเอาใจเขามากมาย ถ้าหนึ่งในนั้นจะมีผลอินทผาลัมจากคนแปลกหน้าด้วยแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
“ให้เขาเข้ามา”
องครักษ์หนุ่มรับคำ ก่อนหันไปสั่งกับบ่าวไพร่ที่อยู่ด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ เพียงไม่ช้าประตูห้องทรงงานก็ถูกเลื่อนออก หมอร่างบางในชุดสีเขียวครามท่าทางดูสง่างามค่อยเยื้องเท้าเข้ามาในห้อง พลางประสานมือคำนับโค้งศีรษะอย่างงดงาม
“คารวะท่านอ๋อง ขอบพระทัยยิ่งนัก ที่ให้กระหม่อมได้มีโอกาสเข้าเฝ้า”
“อย่ามากพิธีไป ก่อนหน้านั้นที่ข้าล้มป่วยก็ต้องขอบใจเจ้าเช่นกัน ที่ดูแลข้า”
หยวนจิวหรงไม่ถือสา ที่เขาอยากทราบมากที่สุดตอนนี้ก็คือเหตุใดหมอรูปงามตรงหน้าถึงต้องการถวายอินทผาลัมให้กับเขากันแน่ คงไม่ใช่เพราะอยากเอาพระทัยเขาเพียงอย่างเดียวหรอกนะ
“เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”
ลี่จินค่อยๆ ทำตามรับสั่ง ขณะที่ดวงตาคมดุค่อยๆ กวาดมองหมอรูปงามอย่างพิจารณา
ใบหน้าเกลี้ยงหวานสวยเหมือนดวงเดือน ผิวพรรณขาวใสแลดูบอบบางดุจกลีบบัว จมูกเป็นสันตรงไม่บิดเบี้ยว ปากรูปกระจับบางเฉียบเช่นปีกวิหค โหงวเฮ้งภายนอกทำนายได้เยี่ยงคนอ่อนแอขี้โรคไม่สมชายนัก ทว่าโครงคิ้วกับดวงตาเรียวยาวสวยงามนั้นช่างปัดข้อด้อยทุกอย่างทิ้งไปเสียหมด
ทั้งเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น แต่ขณะเดียวกันกับดูสง่างาม น่าค้นหา หยวนจิวหรงประเมินหมอรูปงามตรงหน้าในใจอย่างตรงไปตรงมา
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีโอกาสได้เห็นหน้าเจ้าชัดๆ เจ้าคือหมอแซ่อู่...อู่ลี่จินใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” ลี่จินขานรับ แต่กระนั้นน้ำเสียงก็มิได้ฟังดูก้าวร้าวแต่อย่างใด
กิริยานั้นทำเอาหยวนจิวหรงยกมือขึ้นเท้าคางลงกับโต๊ะ ดวงตาคมกริบเหยียดมองคนตรงหน้าอย่างหยันเชิงถาม อย่างสนใจ
“เจ้ารู้ใจข้าได้อย่างไร ว่าข้าชอบอินทผาลัม มีใครบอกเจ้างั้นหรือ”
คำตรัสถามง่ายๆ ทำเอาหมอหนุ่มใจเต้นระรัวขึ้นมาด้วยความประหม่า ลี่จินกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่กระนั้นก็มิอาจปฏิเสธสายตาคาดคั้นอันแสนอึดอัดของอ๋องหนุ่มได้ ทว่าพอกำลังจะขยับปากตอบอ้อมๆ หยวนจิวหรงกลับชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ให้ข้าเดา ไป่หานเป็นคนบอกเจ้าใช่หรือไม่”
เหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ไม่ทันไร คำถามใหม่ก็พุ่งตรงเข้ามากระจุกอยู่ที่ลำคอแทน อู่ลี่จินเหมือนคนที่ลืมเสียงตนเองไปแล้ว จะกล่าวเท็จคงไม่ใช่เรื่องดี ท่าทีอึกอักเช่นนั้นทำให้ซุนไป่หานเป็นคนเปิดปากออกมารับแทน
“ท่านอ๋องทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” พอคนข้างกายเอ่ยตอบ เสียงหัวเราะดัง ‘หึ’ เบาๆ ในลำคอก็ลอดออกมา
“ข้าแค่คาดเดา คิดว่าพวกเจ้าทั้งสองคนน่าจะสนิทชิดเชื้อกันจริงหรือไม่”
ดวงตาคมกริบดูร้ายกาจตวัดกลับมามององครักษ์หนุ่มที่ยืนนิ่งงันเป็นท่อนไม่ แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาชัดเจนนัก ทว่าทุกครั้งที่ซุนไป่หานมีเรื่องที่ปิดบังไว้องครักษ์หนุ่มมักเลือกที่จะไม่สบสายตาเขาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ทั้งที่จริงแล้วเขาก็แค่คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนนำเรื่องของหมออู่มาทูลเขาเอง
หึช่างเถิด...ไม่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่กงการใดที่เขาต้องรู้ ขอเพียงจากนี้มีสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ เขาก็จะเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ
“ช่างเถิด ยกมันเข้ามาถวายข้าซะ”
จิวหรงกล่าวอย่างตัดบท อู่ลี่จินถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะหันสายตาไปหาบ่าวไพร่หน้าประตูเพื่อส่งสัญญาณ
ไม่ช้า...นางกำนัลก็เปิดประตูเข้ามา บนถาดทองเหลืองเต็มไปด้วยผลอินทผาลัมรียาวสีน้ำตาลแห้งๆ กองโต
หยวนจิวหรงทองถาดอินทผาลัมที่ถูกวางลงบนโต๊ะชาอย่างบรรจง ไม่รอช้าก็ใช้มือหยิบผลไม้ทรงรีขึ้นมาพินิจ
“ผลอินทผาลัม ว่ากันว่ายากนักที่จะได้ลิ้มรสผลของมัน กว่าต้นจะออกผลก็ใช้เวลาห้าถึงเจ็ดปี แต่กลับมีรสหวานล้ำ สรรพคุณทางยาบำรุงก็เหลือล้น เจ้าช่างเลือกสรรนัก”
อู่ลี่จินทำเพียงค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมไม่เอ่ยคำใด เวลานี้หัวใจเขาเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาด้านนอก ขณะที่มือก็ชื้นเหงื่อ รู้สึกรอยยิ้มที่ประดับลงบนใบหน้าช่างจะหนักอึ้งลงไปทุกวินาที
ตรงกันข้ามกับหยวนจิวหรงที่ดูสนอดสนใจผลไม้สีน้ำตาลนี่เป็นพิเศษ
“วันนี้เป็นวันดีนัก ทางค่ายบูรพาก็ได้รับชัย การเจรจาการค้าจากต่างเมืองก็ราบรื่น เสด็จพ่อจะต้องดีพระทัยมากแน่ เช่นนั้นข้าจะมองข้ามเรื่องพิธีรีตรองแล้วลองชิมอินทผาลัมของเจ้าดูสักผล”
ขาดคำ ผลไม้ทรงรีในมือก็ถูกกัดเข้าไปคำแรก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาคู่สวยแอบเบิกโตขึ้นเล็กน้อย เหงื่อกาฬเริ่มเกาะชื้นตามแผ่นหลัง แม้จะมั่นใจว่าอินทผาลัมที่ซุนไป่หานเปลี่ยนมาจะไม่มีพิษ แต่ในใจลึกๆ กลับอดกังวลไม่ได้อยู่ดี
กระทั่งเฝ้ามองหยวนจิวหรงเสวยอินทผาลัมไปอีกสองสามผล จนเริ่มมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อ๋องหนุ่มจึงหันมาตรัสกับเขาอีกครั้ง
“อินทผาลัมนี่ ถึงจะฝาดลิ้นไปบ้าง แต่รสชาติหวานของมันท่วมท้นชุ่มคอนัก เจ้าเลือกได้ดีมาก”
ลี่จินค้อมศีรษะลง สักพักอ๋องหนุ่มก็หันใบหน้าไปหาคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ
“รุ่ยเหริน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตกรางวัลให้—”
รับสั่งขาดหายอย่างกะทันหัน จิวหรงสะบัดศีรษะตนเองแรงๆ เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปพักหนึ่ง คล้ายกับตนเองกำลังหน้ามืด
พักผ่อนน้อยงั้นหรือ...
“ท่านอ๋อง..”
เขาสะบัดศีรษะอีกครั้ง รุ่ยเหรินเปล่งเสียงถามด้วยความกังวลพลางรีบพุ่งตรงเข้ามาพยุง
“ข้ารู้สึกหน้ามืด”
ตรัสตอบได้แค่นั้นนั้น...เพียงพักเดียวกรอบภาพใบหน้าของจางรุ่ยเหรินที่ชัดเจนก็เริ่มดำมืดขึ้นอย่างแปลกประหลาด มือชา เท้าชา ขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มขาดหายไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่เกิดทำเอาใบหน้างดงามของหมอหนุ่มขาวซีด ริมฝีปากเย็นเยียบ หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้า
หยวนจิวหรงเหลือบสายตาที่ใกล้ปิด มองมาที่อู่ลี่จินที่สั่นสะท้าน...
“อู่...ลี่จิน...เจ้า”
คำพูดขาดหายไปพร้อมกับเรือนร่างที่ล้มลงจากโต๊ะ มีเสียงร้องตะโกนเลื่อนลั่นวุ่นวายดุจแผ่นดินถล่ม
ทว่าอู่ลี่จินกลับไม่ได้ยินไม่ได้เห็นสิ่งใดอีกแล้ว นอกจากภาพสายพระเนตรสุดท้ายของหยวนจิวหรงที่จ้องมองมาที่เขาเหมือนจะฆ่าทิ้ง...
♦♦♦♦
ง่ำๆ ตอนนี้นานหน่อยย พอดีเกิดตันๆ ในการบรรยาย แง จริงๆ เรื่องนี้ดี้วางโครงจริงจบแล้วน้าา
อีกประมาณ ตอนหน้าก็เริ่มจะตัดเข้าช่วงสุดท้ายของเรื่องแบ๊วว ><