SPOIL ตอนพิเศษ ในฐานะแม่
กานดาเป็นแม่ที่แย่ ถึงลูกชายหล่อนไม่พูดออกมา หล่อนก็รับรู้ได้โดยดี
เธอไม่มั่นใจว่าเธอเป็นคนที่แย่ถึงเพียงนี้ได้ตอนไหน ชีวิตวัยสาวเธอมีผู้คนมาให้เลือกมากมาย แต่คล้ายว่าสายตาของเธอจะมีปัญหา ถึงไปเลือกใช้ชีวิตร่วมกับคนอารมณ์ร้อนที่เป็นลูกจ้างในไร่ในสวน นอกจากเธอต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว ยังแทบไม่มีเงินเก็บเพราะผู้ชายคนนั้นเอาเงินของเธอลงขวดเหล้าไปหมด
เธอคิดมาตลอดว่าเขาจะเปลี่ยนเมื่อมีลูกเหมือนคำรักที่เขาเคยกระซิบพรอดให้ฟัง แต่คล้ายว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด มันเลวร้ายกว่าเดิมเสียอีก
.
.
.
กานดาเอาแต่รำพันกับตัวเองว่าหล่อนพลาดไปตอนไหน เพราะเหตุใดหล่อนจึงไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ส่งมาจากลูกชาย สัญญาณขอ
ความช่วยเหลือของหนึ่ง...เหตุใดเธอจึงไม่รับรู้มัน เหตุใดเธอจึงปล่อยให้ลูกชายเจอเรื่องราวพรรค์นี้อยู่คนเดียว เพราะเธอกำลังพยายามสร้างตัวใหม่หรือ เพราะเธอกำลังวุ่นวายกับการงานอย่างงั้นหรือ เพราะเธอไม่มีเวลาให้ลูกอย่างงั้นหรือ
คำถามต่างๆ ถาโถมเข้าหาหล่อนอย่างไม่จบไม่สิ้น กลบฝังร่างเธอไว้ภายใต้ความเจ็บปวดและน้ำตาจากหัวใจที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีตอนที่ได้ยินข่าวครานั้น
.
.
.
“หนึ่ง” เสียงขานชื่อลูกคนเดียวของเธอเบาไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ลูกรักของหล่อนกำลังคุยกับ ‘เฮียป้อง’ ของอีกฝ่าย ตอนแรกก็ยิ้มหัวเราะให้กันดี แต่พอได้ยินเสียงของกานดา กลับกลายเป็นว่าสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาสีหน้าลำบากใจอย่างปิดไม่มิด
กานดาไม่มั่นใจว่าเธอยิ้มหรือเปล่า แต่ในอกวูบโหวงเหลือเกิน
แม้ไม่ได้ต่อต้าน แต่เรื่องแบบนี้เองก็ไม่ได้ง่ายที่จะทำใจยอมรับสักหน่อย
.
.
.
ครั้งแรก
นานพอดูเหมือนกันที่เราจูบกัน จนผมเริ่มสะดุ้งยามเฮียไล้มือเย็นๆ ของตัวเองไปโดนหัวไหล่ของผมที่โผล่พ้นเสื้อกล้าม รู้สึกจั๊กจี้ระคนมวนในท้องอย่างบอกไม่ถูก
เฮียผละออก ส่วนผมกดจูบลงไปใหม่เพราะรู้สึกว่านี่ยังไม่เพียงพอ มันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเกิดขึ้นจากใครก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกที มือของผมก็ปะป่ายอยู่บนหลังของเฮีย ส่วนหลังของผมแนบไปกับผ้าปูที่นอนเสียแล้ว
ผมสัมผัสได้ถึงความมวนในช่องท้อง รู้สึกคล้ายจะ ‘รู้สึก’ อะไรขึ้นมาที่ตำแหน่งกึ่งกลางร่างกายเสียอย่างนั้น
.
.
.
ผมอยากจะกดจูบหนักๆ ใส่อีกฝ่ายให้พูดอะไรไม่ได้อีกเลย แต่ปล่อยให้เฮียพูดไปท่าจะน่ารักดี หูของเฮียปกป้องเริ่มแดง อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาปิดปาก คาดว่าน่าจะอายมากจริงๆ แต่ผมน่ะ ทั้งดีใจที่เฮียอยากสัมผัสผม เลิกอายที่รับรู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองคนเดียว และเสี้ยวหนึ่งก็ดีใจที่ในที่สุดอีกฝ่ายก็เสียฟอร์มเสียที
ผมเอื้อมแขนไปกอดเฮียไว้หลวมๆ ซบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย เสียงหัวใจเฮียเต้นดังมาถึงนี่ให้ผมได้ยินเลยด้วยซ้ำ
“เฮียป้อง” ผมก้มลงจุมพิตไหปลาร้าของอีกคนเบา
เจ้าของชื่อครางฮึ่มในลำคอ “หนึ่ง... ไม่เอาน่า” เอื้อมมือพยายามผละผมออกอย่างไม่จริงจัง แต่สิ่งที่ผมทำมีเพียงกดจูบลงฝ่ามือ “พรุ่งนี้ว่าจะให้ตื่นเช้า...”
ผมอยากจะบอกเฮียไปว่า ‘ช่างแม่งเถอะน่า’ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น เพียงพรมจูบลงบนหัวไหล่แกร่งและต้นแขนของอีกฝ่าย พอเงยหน้ามองอีกทีก็เห็นประกายวาววับในสายตาอีกคนแบบที่ไม่เห็นบ่อยนัก เล่นเอาก้อนเนื้อในอกสั่นไหวเสียจนแทบลืมทุกสิ่ง เฮียป้องเป็นฝ่ายจับใบหน้าของผมบ้าง จากนั้นก็ก้มลงมาแนบริมฝีปาก ร้อนแรงกว่าสิ่งใดๆ ที่เราเคยทำ
ผมรู้ในตอนนั้นเองว่าพรุ่งนี้เฮียคงไม่มีโอกาสบ่นเรื่องผมตื่นสายในเช้าวันพรุ่งนี้ เพราะผมจะทำให้เฮียตื่นสายไปพร้อมๆ กันเนี่ยแหละ
.
.
.
คนขี้หึง VS คนขี้หวง
บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่นัก อย่างน้อยๆ ผมก็เข้าใจมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่คนขี้หึง แต่ดูเหมือนผมในตอนนี้จะไม่เป็นแบบนั้นเท่าไหร่
หนึ่งนั่งอยู่กับหลานรหัสของมัน หัวเราะคิกคักไปพลางขณะที่หลานรหัสมันกำลังประกอบโมเดล หน้าที่ที่ผมไม่สามารถช่วยได้ ก็ใช่สิ ผมมันขาดทักษะด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์โดยสิ้นเชิง จะให้มาจัดวางส่วนประกอบตามแปลนที่หนึ่งสร้างไว้ก็คงทำไม่ได้หรอก ที่ทำได้ก็แค่การใช้คัตเตอร์กับกรรไกรโง่ๆ อยู่ตรงนี้เท่านั้น
“เฮีย พรุ่งนี้ไปคลีนิกกี่โมงนะ” เหมือนเจ้าตัวรู้ตัวว่าผมไม่พอใจ หนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมาถามผมที่กำลังตัดกระดาษให้เงียบๆ
“เจ็ดโมงครึ่ง” ผมตอบไปตามจริง
“เฮียไปนอนไหม” ผมนิ่งงัน ไม่ทันที่จะพูดอะไรออกมาหนึ่งก็อธิบายเสร็จสรรพ “เดี๋ยวหนึ่งให้ไอ้เค้กช่วยเอง”
“ได้นะพี่ ผมอยู่ได้อีกยาวๆ” หลานรหัสชื่อขนมหวานมันก็ดูจะเห็นดีเห็นงามด้วยเหลือเกินกับการให้ผมไปนอน
ผมรู้น่าว่านี่มันงี่เง่า ไม่สมเป็นผมเลยสักนิดแต่จะทำอย่างไรได้ เห็นทีผมต้องยอมรับจริงๆ แล้วตำแหน่งคนช่วยงานหนึ่งเนี่ย...ไม่อยากจะยกให้ใครเลย
.
.
.
เฮียป้องควรทำตัวให้ฉลาดในชีวิตจริงเหมือนในตำราที่เอาแต่อ่านบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ควรรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงคนไหนเข้ามาเป็นรุ่นพี่หรือมาอ่อย
‘น้องป้องถึงบ้านหรือยังคะ? พี่ถึงบ้านแล้วนะ’
ยิ่งมองข้อความที่ส่งมายิ่งชวนให้ผมรู้สึกโมโห ความขุ่นเคืองใจวิ่งแล่นไปทั่วร่างแบบที่เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่ได้ ผมไม่ได้เกลียดเวลาเฮียป้องมีเพื่อนหรอก จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมดีใจด้วยซ้ำกับการที่เฮียทำตัวเข้าสังคมเสียบ้าง แต่บางทีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนอย่างเฮียป้องที่หน้าตาค่อนไปทางดี ฐานะดี กำลังฝึกงานในฐานะสัตวแพทย์ แถมเกรดตอนนี้ก็สอยเกียรตินิยมได้แบบไม่ต้องลุ้น ถือว่าเป็นผู้ชายที่เป็นที่ต้องการของตลาดมากๆ
ก็เพราะแบบนี้แหละ...กระทั่งหมอที่คลีนิกยังอ่อยเฮียขนาดนี้เลย ผมจะนิ่งนอนใจได้ยังไงวะ ทำไมไม่หัดรู้ตัวสักทีวะเฮียป้อง!
.
.
.
แสนรัก
“ปกป้อง ไหนมานี่สิ”
“ครับ” ผมขานรับ วางปากกาจากการตรวจเช็กข้อมูลทั้งหมดเพื่อเดินไปหาอาจารย์ที่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นเจ้าของคลีนิกในทันที ลองเรียกแบบนี้แล้ว ไม่น่าจะใช่เรื่องดีได้เลย
อาจารย์ไตรภพเดินมาหน้ากรงสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย ที่นี่เป็นคลีนิกเล็กๆ มีที่สำหรับสัตว์นอนค้างได้ไม่เกิน 2-3 วัน ถ้าเห็นอาการไม่ดี ส่วนใหญ่ก็แนะนำให้เจ้าของพาไปโรงพยาบาลสัตว์ดีกว่า
ผมเตรียมตัวจะโดนอาจารย์ว่าแล้ว แม้คิดว่ายังไม่มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องใหญ่ก็เถอะ แต่สิ่งที่อาจารย์ทำคือชี้นิ้วไปที่กรงริมซ้ายสุด
“เจ้าตัวนี้เอายังไง?”
...เป็นกรงที่มีลูกแมวสีส้มหนึ่งตัว...
.
.
.
“แล้วเฮียจะเลี้ยงจริงๆ เหรอ”
“ชั่วคราว” ผมแก้คำให้ถูกต้อง เหลือบสายตามองหนึ่งที่กำลังเล่นกับลูกแมวตัวเล็กอยู่แล้วอดเตือนไม่ได้ “อย่าบีบมันแรงล่ะ ตัวยังเล็กอยู่เลย...อย่าให้ของกินสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยนะ”
หนึ่งหันมาถอนหายใจ “ครับพ่อ” พูดคำเดิมแบบนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว
ขอโทษแล้วกันที่ขี้บ่นเหมือนพ่อ
แต่พอมองหนึ่งเล่นกับลูกแมวขนาดแทบจะเท่าฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วอดเหนื่อยใจไม่ได้ ปรามไว้หน่อยท่าจะดีเพราะแมวสีส้มที่กำลังทำท่าเคลิ้มเวลาหนึ่งลูบ ผิดวิสัยแมวทั่วไปที่มักจะไม่ยอมให้ผู้คนมาเล่นด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ถ้าเจ้าลูกแมวตัวนี้เป็นแมวจรคงไม่แปลกที่จะยอมให้หนึ่งเล่นกับมันแบบนี้
“แล้วน้องชื่ออะไรล่ะเฮีย”
ผมเลิกคิ้วอีกครั้งกับสรรพนามที่หนึ่งแทนเจ้าตัวเล็กนั่น มองกระดาษที่กรอกข้อมูลในมือแล้วพาลเหนื่อยใจกับชื่อ
“แสนรัก”
.
.
.
.