ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ
ขอคำติบ้างนะครับ ชมอย่างเดียว เดี๋ยวเหลิง อิ อิ
บทที่ 7 “การต่อรอง”
เจ็ดโมงเช้า อนุภาพออกจากลิฟท์เดินออกมาด้านหน้าของคอนโดที่พัก ทักทาย รปภ.อย่างคุ้นเคยและยื่นกล่องขนมให้
“อร่อยนะพี่สิงห์ เพื่อนเอามาฝากจากเมืองนอก” สิงห์ยิ้มกว้าง กล่าวขอบคุณ
อนุภาพใจดีกับพนักงานทุกคนที่คอนโด เขาสนิทกับ รปภ. พนักงานต้อนรับ แม่บ้าน แม้กระทั่งผู้จัดการ อัธยาศัยใจคอที่เป็นกันเองของอนุภาพทำให้ทุกๆ คนรักเขา
“หล่อหน้าตาดี แล้วจิตใจยังดีงาม ใครเห็นใครก็รัก” ป้าน้อมแม่บ้านประจำตึกชื่มชม ‘คุณนุของป้า’
อนุภาพเคยช่วยพาป้าน้อมส่งโรงพยาบาลและจัดการเรื่องการรักษาพยาบาลให้อย่างเรียบร้อย ตลอดจนไปเยี่ยมที่บ้านเมื่อป้าน้อมพักฟื้นจากอุบัตเหตุหกล้มในห้องซักผ้าของคอนโด
อนุภาพเดินผ่านลานจอดรถตรงไปประตูรั้วเพื่อเรียกแท๊กซี่แต่ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นอธิคมก้าวลงจากรถสปอร์ตบีเอ็มดับบลิวคันสวย...คันที่เกือบชนกับรถของอาทิตย์
“อรุณสวัสดิ์ครับ เชิญขึ้นราชรถได้เลยครับ” เขาเดินเข้ามาใกล้
ผู้กองหนุ่มอยู่ในชุดตำรวจครึ่งท่อน กางเกงสีกากีพอดีตัว เผยให้เห็นต้นขาแข็งแรง เขาใส่เสื้อกล้ามสีขาว ขลิบปลายแขนสีแดงเลือดหมู เสื้อสอดเข้าในกางเกง เผยให้เห็นแผ่นอกกว้างเต็มไปด้วยมัดกล้าม
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมพักอยู่ที่นี่” อนุภาพขมวดคิ้ว สงสัย
“เอาเป็นว่าผมฉลาดก็แล้วกัน” เขายักคิ้ว ยิ้มกว้าง “ผมเป็นตำรวจนะครับ ตามจับโจรยังง่ายกว่าสืบดูว่าคุณอยู่ที่ไหน”
“ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล”
“อ้าว เปล่านะ ผมรักษาสัจจะที่ว่าจะรับคุณไปทำงานตอนเช้า จำได้ไม๊ครับที่เราตกลงกัน” นายตำรวจหนุ่มทำหน้าจริงจัง
“แต่คุณแกล้งผมนี่นา” อธิคมพูด เอียงศรีษะเหลือบตาขึ้นข้างบน ทำท่าเหมือนนึกถึงอะไรสักอย่าง “ผมสืบดูก็เลยรู้ว่าคุณหลอกผมเรื่องที่อยู่”
“ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าพักอยู่ที่ไหน นี่มันสิทธิส่วนบุคคล” อนุภาพปากแข็ง
“อ๋อเหรอ ผมนึกว่าคุณจะตอบว่า คืนนั้นฝนมันตกพรำๆ เลยจำตึกคอนโดตัวเองไม่ได้” อธิคมลอยหน้าลอยตา
อนุภาพเชิดหน้า จ้องตาอธิคมไม่หวาดหวั่น “ผมกล้าทำก็กล้ารับว่ามันเป็นแค่กลลวงไม่ให้คนรู้จักบ้าน”
“กลลวงนี้ใช้กับผมคนเดียวหรือกับอาตี๋เบ็นซ์ดำด้วยครับ” อธิคมขยิบตา อมยิ้ม
อนุภาพขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจึงขยับตัวจะเดินไปที่ประตูทางออก
“อ๊ะ อ๊ะ ขึ้นรถสิครับ ผมไปส่ง บอกแล้วไงว่าตอนที่รถยังไม่เสร็จนี่ ผมรับผิดชอบชีวิตคุณเอง คุณเป็นคนท้าผมเองนะ ผมรับคำท้าแล้ว หรือคุณไม่รักษาคำพูด” อธิคมท้วง “นี่หล่ะน๊าคนเรา...อยากจะพูดยังไงก็พูดได้...เสียชีพอย่าเสียสัตย์” ผู้กองหนุ่มยังส่งเสียงลอยตามมา
อนุภาพชะงัก รู้ตัวว่าเขายั่ว ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับไปที่คนช่างทวง
“ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกผิดเพราะคำพูดคุณนะครับ แต่เพราะว่าขี้เกียจเรียกแท็กซี่และต้องการประหยัดเงิน” อนุภาพตัดปัญหา
ชายหนุ่มคิดว่า ก็ยังดีกว่ายืนขาแข็งเรียกแท็กซี่ในซอยตอนเช้าเช่นนี้--แฟ้มเอกสารขนาดใหญ่ กระเป๋าคอมพิวเตอร์ที่กำลังห้อยอยู่บนบ่า รวมถึงเป้ใส่ชุดกีฬาที่เย็นนี้ต้องไปยิม และจากประสบการณ์ เขารู้ดีว่าต้องใช้เวลาร่วมยี่สิบนาทีถึงจะมีแท็กซี่ผ่านมาสักคัน
ชายหนุ่มบอกตัวเอง...ให้อธิคมชดใช้ความผิดก็ดีเหมือนกัน เขาขับรถชนท้าย อีกทั้งอู่ที่เขา ‘บังคับ’ ให้เอารถเข้าซ่อมก็ทำงานไม่คืบหน้า ไม่มีรถใช้ ทำให้ลำบากเดินทาง ไปไหนมาไหนไม่สะดวก พอไม่มีรถอาทิตย์ก็เซ้าซี้จะมาส่งให้ได้ และที่สำคัญ เขาต้องยกประเด็น ‘ไม่รักษาสัจจะ’ ไปแปรเปลี่ยนเป็นประเด็น ‘เสียชีพอย่าเสียสัตย์’ เอามายั่วเย้าจนได้สิน่า
“แล้วตอนเย็นจะให้ไปรับกลับบ้านด้วยไม๊ครับ” อธิคมทำลายความเงียบขณะติดไฟแดงที่สี่แยกเอกมัย
“ตอนเย็นไม่ได้อยู่ในข้อตกลงครับ” อนุภาพประท้วง
“เออจริงสินะ...แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นบริการเสริม”
“เวลาเลิกงานผมไม่แน่นอน”
“เหรอครับ” อธิคมทำท่าเข้าใจ แต่เมื่อรถเคลื่อนที่ไปอีกหนึ่งไฟแดงเขาประชดเสียงเรียบ
“ตอนเลิกงานเป็นหน้าที่ของอาตี๋เบ็นซ์ดำ” หน้าอธิคมนิ่งเหมือนไม่ได้ประชด แต่อนุภาพรู้ว่าเขากำลังยั่วเย้า
...นี่เป็นบุคลิกของเขาอีกอย่างหนึ่งหรือยังไงกันนะ... อนุภาพปิดประสาทหูของตัวเอง บอกตัวเองว่าไม่ฟังอะไรจากผู้กองหนุ่มช่างยั่วคนนี้อีกแล้ว
รถจอดหน้าอาคารเอ็คโค่ แอดเวอร์ไทซิ่ง ลานจอดรถเล็กๆ หน้าบริษัทมีรถจอดอยู่สี่คัน--เบนซ์สีทองของตฤณ กระบะขับเคลื่อนสี่ล้อของอธิป รถของอาทิตย์ และอีกคันอนุภาพไม่รู้จัก เหลือที่ว่างอีกแปดช่อง ต้นไม้เขียวชอุ่มแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ทางเดินทอดสู่บันใดเล็กๆ หน้าอาคารทรงสมัยใหม่มีสไตล์ตกแต่งด้วยหินปูนสีเทาอ่อน ด้านข้างตกแต่งเป็นน้ำพุเล็กๆ สามบ่อ ภายนอกของอาคารสำนักงานบริษัทดูเด่นสะดุดตาผู้ผ่านไปมาในซอย
“อาตี๋เบนซ์ดำก็มาแล้ว” อธิคมไม่วายล้อ
อนุภาพนึกถึงผลของการ ‘ทำบุญ’ ตามคำแนะนำของสมบัติแล้วถอนใจ...ถ้ารู้ว่าจะต้องไปจ๊ะเอ๋กับอธิคมตรงทางแยกในซอยเข้าบ้าน เมื่อวานนี้เขาก็อยากเลือกที่จะไม่ ’ทำบุญ’ เสียดีกว่า
...อาทิตย์จะว่าอย่างไรหากรู้ว่าเขาได้ฉายาใหม่ว่า ‘อาตี๋เบ็นซ์ดำ’…
อนุภาพกล่าวขอบคุณตามมารยาท สะพายกระเป๋าคอมพิวเตอร์และแฟ้มกระเป๋างานลงจากรถ ก่อนปิดประตูชายหนุ่มเห็นใบหน้านิ่งเฉยของนายตำรวจหนุ่มจอมประชด
...นี่เขาแกล้งทำหน้านิ่งๆ เพื่อยั่วเย้ารึเปล่านะ หรือว่าเขาฉุน หรือว่าหึง บ้าจริง คิดอะไรอย่างนั้น...อนุภาพนึกแล้วจึงอดประชดไม่ได้ก่อนปิดประตูรถ
“อย่าเผลอขับรถไปชนท้ายใครอีกนะครับ สงสารเค้า”
อนุภาพหันหลังเดินตรงขึ้นบันไดสำนักงาน
ชายหนุ่มไม่เห็นว่าอธิคมอมยิ้มทันที...เมื่อสักครู่เขาแกล้งทำหน้านิ่ง ผู้กองหนุ่มมองตามจนอนุภาพเดินผ่านประตูกระจกบานใหญ่ ก่อนที่จะเคลื่อนรถออกไป เปิดเพลง นิ้วเคาะพวงมาลัยอย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ยิ้มไปตลอดทาง
ร้อยตำรวเอกอธิคมรู้แล้วว่า อนุภาพเองก็ไม่ได้รังเกียจเขาเท่าไรนัก!
..............................
อนุภาพเดินผ่านพนักงานต้อนรับ อาทิตย์กำลังยืนคุยกับอาริษา ชายหนุ่มหันหน้ามายิ้มอ่อนๆ ให้อนุภาพ หน้าตาไม่สดใสขัดกับภาพปรกติที่มักจะยิ้มทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มกว้างตาหยี
ผ่านโต๊ะอธิปกับพจนีย์ทั้งสองทักทายพร้อมยิ้มทะเล้นเหมือนล้อเลียนอะไรซักอย่าง ส่วนสมบัตินั้นชายหนุ่มมองเห็นอยู่ไกลๆ จึงโบกมือทักทาย
อนุภาพวางของบนโต๊ะทำงาน ดึงคอมพิวเตอร์ออกจากกระเป๋าจัดวางให้เข้าที่ สมบัติเดินอมยิ้มเข้ามาให้ห้อง แกล้งกระแอมดังๆ
“ใคร” สมบัติเปิดฉากถาม
“ใคร อะไร หมายความว่าไงเหรอครับ” อนุภาพตอบ พลางเสียบเมาส์ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ยังไม่เงยหน้าขึ้น
“อย่ามาทำไก๋ ใครมาส่ง บอกมาซะดีๆ เขาอยากรู้กัน”
ชายหนุ่มหยุดจัดของบนโต๊ะให้เข้าที่ ยืดตัวตรง เงยหน้าขึ้นมา “อ๋อ มิน่าล่ะ ตอนเดินเข้ามาทำหน้ากันแปลกๆ”
อนุภาพไม่นึกว่าจะมีใครหลายคน “สอดรู้สอดเห็น” กันตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้เกิดจะมีคนมาทำงานเช้าตรู่กันหลายคน
“นี่สงสัยคงเกาะหน้าต่างแอบดูกันเป็นแถวๆ สิ...ใช่ไม๊เจ๊”
“เปล่า อาทิตย์เห็นก่อน พอไอเห็นพ่อตะวันตายกลายเป็นตะวันคว่ำ เลยรีบถลาเข้าไปจะปลอบใจ ยัยพจน์กับอธิปรีบเข้ามาช่วย แล้วยัยจอยก็เลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป” สมบัติเล่าเป็นฉากๆ
“บ้าเหรอ ถ่ายรูปด้วยเหรอ บ้ากันไปใหญ่แล้ว” อนุภาพขึ้นเสียง
สมบัติหัวเราะ บอกว่าล้อเล่น แล้วคะยั้นคะยอจะเอาความจริง
อนุภาพอ้ำอึ้ง “เพื่อนมาส่ง” ในที่สุดเขาพึมพำเบาๆ
“เพื่อนคนไหน พี่รู้จักไม๊” สมบัติยังไม่ยอมเลิกรา
“ก็เพื่อนรุ่นน้อง พี่ไม่รู้จักหรอก”
“เพื่อนหรือพี่น้องท้องติดหลัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สมบัติล้อทะลึ่ง หัวเราะชอบใจ
“บ้าน่าเจ๊…สัปดน” อนุภาพส่ายหน้า อดหัวเราะกับสมมุติฐานของสมบัติไม่ได้
อาทิตย์เดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องที่เปิดอยู่ เขาเคาะประตูเบาๆ หน้ายังเรียบเฉย
สมบัติรีบเดินออกไป แต่ไม่วายล้อ “ไปล่ะ ไม่อยากเป็น กอ ขอ คอ”
“คุณตฤณเชิญไปพบครับ” อาทิตย์แจ้งข่าว ตามองไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของอนุภาพ
“ขอบใจนะอาทิตย์” อนุภาพยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงหยิบงานออกมาจากแฟ้ม
“คุณตฤณบอกว่าตอนนี้เลยครับ” อาทิตย์ยังพูดอยู่กับเก้าอี้
“ว้า แต่เช้าเลยเหรอ” อนุภาพบ่น “อยากคุยทำไมไม่โทรมา” อนุภาพลุกจากเก้าอี้เซ็งๆ
เวลาตฤณต้องการพบอนุภาพเรื่องงาน เขาไม่เคยโทรมาเชิญให้ไปพบ เขามักจะบอกให้คนมาตาม และทุกครั้งจะบอกว่าต้องการพบทันที
อนุภาพเดินผ่านอาทิตย์ที่ยังยืนนิ่งที่ประตู เขายิ้มให้ชายหนุ่ม อาทิตย์มองอย่างตัดพ้อ อนุภาพแกล้งทำไม่เห็นแล้วเดินไปตามทางเดินหน้าห้อง อาทิตย์เดินตาม ‘ตาละห้อย’ อย่างที่สมบัติเคยล้อ เพียงแต่ว่าอนุภาพมองไม่เห็นจากข้างหลัง
“เมื่อเช้ารถติดไหมครับพี่นุ” เสียงชายหนุ่มดังตามมา
อนุภาพหันหน้ากลับไปตอบโดยยังไม่หยุดเดิน “ก็ติดเหมือนกัน อาทิตย์ล่ะ” เขาถาม
“ติดครับ” ชายหนุ่มตอบเบาๆ แล้วหยุดยืนนิ่ง “แต่ถึงติดก็ไม่เป็นไร ได้นั่งในรถสบายๆ แอร์เย็นๆ”
อนุภาพนึก...อาทิตย์หัดประชดเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่...
อนุภาพเลี้ยวซ้ายตรงมุมห้อง มุ่งไปยังฝั่งซ้ายของอาคารซึ่งเป็นฝั่งห้องทำงานของตฤณและผู้บริหารคนอื่นๆ ...พี่บั๊ดเรียกว่า ‘วังหลังของฮ่องเต้’
-----------------------------
อนุภาพหยุดยืนหน้าประตูไม้โอ๊ค ถอนหายใจเบาๆ ก่อนเคาะประตู เอื้อมมือจับลูกบิด
ชายหนุ่มแปลกใจที่ประตูเปิดออกแทบทันทีทันใด ทุกครั้งเขาจะเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปทันที
ตฤณเปิดประตูแล้วทักทายด้วยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากตามแบบฉบับคนหน้าเคร่งอย่างเขา
“มีอะไรแต่เช้าครับ” อนุภาพตาม เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของตฤณ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าตฤณเปิดม่านหน้าต่างตลอดแนวให้แสงแดดเช้าอ่อนๆ สาดสองเข้ามา ห้องนี้ดูกว้างขึ้นกว่าที่เคย เกือบทุกครั้งที่เข้ามาตฤณมักจะรูดม่านหน้าต่างเปิดโคมไฟ
สมบัตินินทาว่าห้องนี้เหมือนฮ่องเต้เรียกเข้าไปพิพากษาเตรียมประหาร “ถ้าคุณตฤณพิพากษาให้โบย พี่จะไม่ว่าสักคำ” พี่บั๊ดทำท่าเหมือนทาสยั่วสวาท “แต่ต้องให้อาทิตยเฆี่ยนนะ แล้วคุณตฤณยืนคุม” แล้วสมบัติก็หัวเราะก๊าก ชายหนุ่มอดเผลอยิ้มไม่ได้
“เช้านี้ดูท่าทางสดชื่นเป็นพิเศษ” ตฤณเดินเข้ามาใกล้ หยุดยืนอยู่ข้างๆ มุมโต๊ะด้านหน้าใกล้กับเก้าอี้ที่อนุภาพนั่งอยู่ เขารู้สึกว่าตฤณดูขรึมกว่าทุกวัน ยิ่งเป็นคนเงียบขรึมอยู่แล้ว ถ้าเช้านี้พนักงานคนอื่นในบริษัทเข้ามาพบก็คงงกๆ เงิ่นๆ กันไปตามๆ กัน
“พอดีกำลังนึกถึงอะไรตลกครับ” อนุภาพตอบเสียงเรียบ ชายหนุมกำลังนึกว่าตฤณจะมาไม้ไหน
เจ้านายหน้าเข้มอ้อมไปนั่งลงที่เก้าอี้หนังสีดำตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน
“ผมรู้ว่าคุณกำลังยุ่ง แต่ผมมีงานอีกชิ้นอยากขอให้คุณทำ เอ่อ... พาโนวิว คอนโดหรูริมน้ำ มีไทมไลน์ไม่มาก” ตฤณยื่นแฟ้มให้
อนุภาพถอนหายใจ “งานเร่งอีกแล้ว concept แบบที่คุณก็รู้ว่าผมไม่ค่อยถนัด” อนุภาพประท้วง
“ผมรู้ แต่ว่ามันจำเป็น เพื่อนคุณปราการเขาฝากมา เขาไว้ใจเรา และขอร้องให้เราช่วยทำด้วย แล้วตอนนี้คุณก็รู้ว่าผมกำลัง short of staff” ตฤณอธิบายเสียงเรียบ
“You are the best นะครับ” ตฤณชมอีกแล้ว...ชมแบบบังคับ “อีกหน่อยก็ได้คนมาแทนคุณจีจี้แล้ว หลานคุณอาวิทวัสกำลังจะกลับจากอเมริกา เก่งทีเดียว” ตฤณปลอบ
“ผมจะทำงานนี้ แต่คุณสัญญาได้ไหมว่าอย่างน้อยอีกสองสามโปรเจ็คต่อไป ของานที่เป็นสโตล์ผม”
“เอาล่ะ ผมสัญญา”
ทั้งสองนั่งคุยเรื่องงานอีกชั่วครู่แล้วอนุภาพก็ขอตัวกลับไปทำงาน
“รถยังซ่อมไม่เสร็จอีกหรือ” ตฤณถามขึ้นมาขณะที่อนุภาพกำลังเอื้อมมือจับลูกบิดประตู
ตฤณก็เป็นอย่างนี้ คุยเรื่องงานจริงจัง พอเขาจะออกจากห้อง จู่ๆ ก็จะโพล่งเรื่องส่วนตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาตั้งตัวไม่ติด
“ยังครับ คงอีกสักอาทิตย์กระมัง”
“เอารถผมไปใช้ก่อนสิ” ตฤณพูดเร็วๆ
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ ผมไม่อยากรบกวน”
“ผมมีรถสองคัน ไม่รบกวนหรอก” ตฤณยืนกราน เดินตามมาที่ประตู “ตอนเช้ามาทำงานลำบาก รถผมอีกคันก็จอดทิ้งอยู่เฉยๆ เอาคันบีเอ็มของผมไปใช้”
อนุภาพแปลกใจ ทำไมใครๆ จึงห่วงเรื่องเขามาทำงานตอนเช้ากันนัก จริงอยู่ไม่มีรถใช้เขาไม่สะดวกในการเดินทางไปกลับ และไปไหนมาไหน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสจนทนไม่ได้ แล้วนี่อยู่ดีๆ ตฤณก็มาเสนอให้เอารถของเขามาใช้ เขามีรถสองคัน เบ็นซ์คันใหญ่สีทอง และบีเอ็มดับเบิลยูเอ็กซ์ไฟว์
อนุภาพอดสะดุ้งไม่ได้เมื่อตฤณเสนอ “เอาคันบีเอ็มของผมไปใช้”
...หรือเขาเห็นว่ามีคนขับบีเอ็มดับบลิวมาส่งเขาเมื่อเช้า ตฤณจงใจพูดหรือเปล่า...
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่นั่งแท๊กซี่ No big deal” ชายหนุ่มยักไหล่ เปิดประตู ก้าวเดินออกจากห้อง บางครั้งเวลาคุยกับตฤณเขาใช้ภาษาไทยปนภาษาอังกฤษอยู่บ่อย โดยเฉพาะเวลาที่ถกเถียงกัน
“Really, I meant it”
“Seriously, I mean it too.” อนุภาพยิ้มให้แล้วหันหลังกลับไปตามทางเดินกลับออฟฟิส
ตฤณยืมมองด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย เขาเห็นอนุภาพก้าวลงจากรถสปอร์ตบีเอ็มดับบลิว Z6 ที่หน้าบริษัท ชายหนุ่มยังยืนคุยอยู่กับคนที่อยู่ในรถชั่วครู่ก่อนจะปิดประตู เขามองไม่เห็นคนขับเพราะฟิล์มกรองแสดงหน้ารถที่สะท้อนกับแสงแดด
เขาใจหายบอกไม่ถูก ความรู้สึกลึกๆ ในใจเขาบอกตัวเองว่า ระยะระหว่างเขากับอนุภาพที่ห่างกันอยู่แล้วยิ่งห่างกันออกไปอีก
เขาฉุนตัวเองนักที่แอบชอบใครสักคนและคงไม่มีโอกาสที่จะเป็นเจ้าของคนๆ นั้น เขาก็คงไม่ต่างจากจากอาทิตย์ที่แอบชอบอนุภาพเหมือนกัน แต่อนุภาพก็คงไม่มีวันที่จะตอบรับความสัมพันธ์ อาทิตย์มีภาษีดีกว่าเขาที่ทำงานใกล้ชิดกันมากกว่า และเปิดเผยความรู้สึกต่ออนุภาพได้มากกว่า ส่วนเขาที่เป็นเจ้านายแล้วไปชอบลูกน้อง ดูไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ตฤณอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่ออนุภาพลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัวอย่างที่เขาเคยแอบได้ยินชายหนุ่มคุยกับสมบัติ ถึงตอนนั้นไม่ได้เป็นเจ้านายกับลูกน้องกันแล้ว เขาจะมีโอกาสที่ดีขึ้นกว่านี้หรือไม่
********************
ถามหน่อย เชื่อกันรึเปล่า่ว่าคนเลิกเ้จ้าชู้ได้จริงๆ
ทำไมไม่มีใครเชื่อว่าเลิกเจ้าชู้ได้?