วันที่สิบห้า
ใกล้วันที่จะชิงธงเข้ามาทุกทีแล้วล่ะครับ พวกสโมต้องเตรียมงานกันอย่างหนัก จัดสรรแสตนด์ให้เพียงพอต่อน้องเป็นพัน ๆ คน
ผมเองก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อยเลย ยิ่งได้ยินเสียงน้องร้องเพลงทุกวัน ๆ ยิ่งทำให้ตื่นเต้น ไม่รู้ว่าน้องจะทำได้เท่าไหร่เหมือนกัน กับเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยไม่มีพี่
มะรืนนี้ก็จะได้รู้กันแล้ว วันนี้จะมีการซ้อมรวมที่สนามเล็กโดยมีหลีดหนึ่งคนไปสั่งกลางสนาม ผมอยากไปดูใกล้ ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้ ได้แต่ดูอยู่ห่าง ๆ ต่อไป
ทางวิศวกรรมศาสตร์ก็เห็นว่าพยายามอย่างหนักเหมือนกัน แต่การจะเรียกรวมซ้อมพร้อมกันทุกสาขาของพวกนั้นมันยากพอ ๆ กันกับให้มดเมินน้ำตาลนั่นล่ะครับ
ช่วงนี้พวกผมเลยไม่ค่อยเจอคนของทางวิศวะสักเท่าไหร่ ซึ่งเป็นการดี เรื่องปวดหัวน้อยลงไป ใช้ได้ สบายสมองขึ้นเยอะล่ะครับ
นับตั้งแต่วันที่ผม น้องเกด และน้องกิต (ที่มาจากไหนไม่รู้) ลงน้องนอกรอบเพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้นอีกครั้ง การซ้อมชิงธงของน้องก็ดุเดือดมากขึ้นมาตลอดสัปดาห์ ซึ่งนับว่าคุ้มค่ากับการลองเสี่ยงทำไปนะครับ
วันก่อนแอบไปลายเกียร์ดูน้องคณะวิศวกรรมศาสตร์ซ้อมชิงธงกัน ถือว่าใช้ได้เลยล่ะครับ อันนี้ผมต้องยอมรับว่าดูพร้อมมากกว่าปีก่อนค่อนข้างเยอะ เฮดของปีหนึ่งใช้ได้เลย
“มะรืนนี้แล้วนะ หนาว”ประธานคณะเทคนิคการแพทย์พูดขึ้น ก่อนจะมานั่งลงตรงข้ามผมที่เอ้อระเหย ชมนกชมไม้อยู่ “เอาไง จะให้ธงน้อง หรือไม่ให้ดี”
“ตามดุลพินิจของนายเลย โอ้ต”ผมบอกกับเพื่อนตามความคิดของผม “ถ้าน้องสมควรที่จะได้ก็ให้ ถ้าไม่สมควรที่จะได้ก็ไม่ให้”
“แล้วนายจะไม่ลำบากเวลาที่จะดำเนินการวินัยของนายต่อเหรอ”โอ้ตถามต่อทันทีด้วยความเป็นห่วง “ถ้ารู้ก่อนนายจะทำงานง่ายขึ้นไม่ใช่เรอะ”
“มันก็ใช่ แต่เราต้องยึดที่ตัวน้องเป็นหลัก ถ้าน้องทำดีแล้วเราไม่ให้เขา มันก็น่าเกลียดและน้องคงเสียความรู้สึก แต่ถ้าเขาทำไม่ดีแล้วเราให้เขา ต่อไปเขาก็จะทำส่ง ๆ ไม่พยายามเหมือนก่อนหน้า”ผมอธิบายช้า ๆ ยอมที่จะยุ่งยากขึ้นมาอีกนิด เพื่อให้น้องโตขึ้นอีกหน่อยล่ะครับ ถ้ากำหนดไปเลนสิ่งที่ทำมามันก็เป็นละครตลกฉากใหญ่ไป เสียเวลาเปล่าอย่างแท้จริง
“โอเค นายว่ายังไง กูก็เอาตามนั้น”คุณประธานคณะพยักหน้ารับโดยดี แล้วยิ้มเย็น ๆ ดวงตาประกายวิบวับ “แต่ไม่ให้ง่าย ๆ หรอกนะ ธงน่ะ”
“ถ้าให้ง่าย ๆ แล้วมันจะมีค่าเหรอ?”ผมยิ้มมุมปากให้กับเพื่อนที่นั่งตรงข้าม ซึ่งได้รับคำตอบมาเป็นการยักคิ้วข้างเดียวอย่างรู้กัน
ธงของคณะเทคนิคการแพทย์ไม่ใช่ธงที่ออกกันง่าย ๆ และการรักษาเอาไว้นั้นก็ยากยิ่งกว่าการเอาไปด้วย ทำให้เกือบทุกปีเด็กปีหนึ่งนั้นจะไม่ได้ธง ไม่เหมือนกับธงของมหาวิทยาลัยที่ยังไงก็ต้องออกไปให้กับน้อง ๆ ทุกคน
ตอนรุ่นผม ได้ธงคณะมาในมารอบแรก แล้วรอบสองก็โดยริบคืน เพราะทำได้ไม่ดีเท่ารอบแรก ทำเอาหงอยกันไปทั้งชั้นปีเป็นวัน ๆ เลยล่ะครับ
คงต้องมาดูกันว่าปีนี้ น้องจะสามารถเอาธงของคณะไปได้ไหม
วันนี้น้อง ๆ ก็ยังตั้งใจซ้อมอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมในทุกคณะวิชา เสียงร้องดังกระหึ่มมาให้ผมได้ยินถึงหน้าแลป ทำให้อดที่จะหวังไม่ได้ว่าธงจะได้ออกไปอย่างภาคภูมิ
น้องคงจะทำได้ดีนะครับ ถึงแม้ว่าพี่ ๆ จะไม่ได้อยู่ดู แต่ก็ยังเป็นกำลังใจให้จากที่ไกล ๆ เสมอ... คงได้แต่ฝากกำลังใจไปกับสายลมที่พัดมายามเย็นแบบนี้ไป
วันนี้เป็นวันที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้มีการชิงธงแล้ว ผมกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ และน้อง ๆ นัดกันไปดูในตอนเย็น โดยจะรีบไปจองที่นั่งตรงข้ามแสตนด์ที่คณะของเราอยู่
วันทั้งวันแทบไม่เป็นอันเรียนกันทั้งหมดนี่ล่ะครับ มันตื่นเต้น แล้วก็ลุ้น ยิ่งน้องปีสองคงจะยิ่งลุ้น เพราะธงนั้น ถ้าน้องปีหนึ่งได้ไป เท่ากับว่าน้องจะได้พี่ปีสองคืนด้วย (แต่ก็ยังไม่ได้รุ่นอยู่ดี เข็มเลือดยังคงนอนกองอยู่ในห้องผมต่อไป)
วันนี้ผมเลิกเรียนค่อนข้างเย็น แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นมา ระหว่างที่เดินทอดน่องอย่างสบาย ๆ ไปสนามใหญ่ของมหาลัยกับเพื่อนในชั้นปี อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ที่ไม่อยากจะได้ยินในช่วงนี้ก็ดังขึ้นมา
“ฮัลโหล”โอ้ตโทรมาหาผมทำไมตอนนี้ มันควรจะเตรียมตัวอยู่ใต้อัศจรรย์ไม่ใช่เหรอ? หรือว่ามีปัญหาอะไร “โทรมามีอะไร โอ้ต”
“หนาว... วันนี้ไปนั่งตัดสินแทนกูหน่อย”เสียงที่ดังรอดสายโทรศัพท์มาดูเซียว ๆ พิกล เกิดอะไรขึ้นกับมันหว่า “กูท้องเสีย... โทรไปบอกทางสโมแล้ว มึงไปแทนกูหน่อยนะ”
“... ไปกินไรมาท้องเสียวะ”ถึงว่า วันนี้ไม่เห็นมันในห้องเรียนเลย ก็นึกว่าสโมเรียกประธานทุกคนเข้ามาจัดเตรียมงานตั้งแต่เช้าซะอีก
“พอดีเมื่อวานไปกินบุพเฟ่อาหารอีสาน... โซ้ยส้มตำมากไปหน่อย”เป็นเหตุผลที่ผมฟังแล้วชักอยากจะเอามันไปกดส้วมยังไงพิกล... “โอ้ย มันมาอีกแล้ว ยังไงก็ฝากด้วยนะมึง”
“...”ตู้ด ตู้ด โอ้ตตัดสายผมไปแล้ว ให้ตายเหอะ อยู่ ๆ ก็มาโยนหน้าที่ให้เฉยเลย ทีนี้คนรับเคราะห์อย่างผมจะทำยังไงกันวะครับ “ปัน... วันนี้นายเอาสูทคณะมาใช่ไหม”
ผมหันไปถามเพื่อนที่อยู่ข้างหลังด้วยเสียงเรียบ ๆ เหมือนเห็นแวบ ๆ ว่ามันเอาสูทมาด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าสูทอะไรเหมือนกัน
“เออ ไมวะ”มันถามกลับมาอย่างงง ๆ ไม่ต้องงง เดี๋ยวจะแถลงไขให้แล้ว
“โอ้ตไม่สบาย ผมเลยต้องไปตัดสินแทน”เพื่อนทุกคนหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว น้องปีสองที่เดินผ่านมาได้ยินก็หันมากับเขาด้วย “ยืมสูทหน่อย”
“... เดี๋ยวไปเอาให้”พูดจบมันก็คว้าเอาจักรยานของมหาลัยขึ้นขี่ สงสัยมันคงเอาไว้ในแลปล่ะมั้ง “เดี๋ยวเอาไปให้หลังแสตนด์นะเว้ย”
“เออ”ผมตอบรับ พร้อมกับถอนหายใจหนัก ๆ แล้วหันไปขึ้นคร่อมจักรยานบ้าง “แบบนี้ผมควรจะจัดหนักเลยไหมเนี่ย... เฮ้อ”
“ควร!!”เสียงตอบกลับที่ไม่คิดว่าจะมีดังขึ้นพร้อมกัน เท่าที่จับน้ำเสียงได้ ท่าทางจะหลายคนที่พูดออกมาด้วย “จัดหนักเลย ลมหนาว เอาเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”ผมยังไปยิ้มบางเบาให้กับเพื่อน ๆ และพี่ ๆ น้อง ๆ แห่งเทคนิคการแพทย์ที่อยู่แถวนั้น “ผมไม่อ่อนข้อให้กับพวกเขาหรอกครับ”
เตรียมรับศึกหนักหน่อยนะ ปีหนึ่ง
สงสัยจะทำบุญกันมาน้อยไปเยอะเลยนะครับ เด็ก ๆ หึหึ
ผมรับเอาเสื้อสูทจากปันปันมาสวม ตัวมันใหญ่กว่าผมนิดหน่อย แต่ใส่แล้วก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ก็ยังดีกว่าที่จะต้องกลับไปเอาที่หอล่ะครับ
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องที่กันเอาไว้ให้ประธานนักศึกษาของแต่ละคณะวิชาได้นั่งพักผ่อน รอเวลาเริ่มงานชิงธงอย่างเงียบ ๆ
“อ่าว หนาว มาได้ยังไงกันน่ะ หืม”คนคุ้นเคยที่สุดในที่แห่งนี้ของผมเอ่ยทัก พร้อมกับตบเบาะข้าง ๆ เชิงให้ผมไปนั่งตรงนั้น แน่นอนว่าผมก็ต้องเดินไปนั่งโดยดีล่ะครับ
“โอ้ตไม่สบายน่ะครับ พี่ทิว ผมเลยมาแทน”ผมทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ พี่ทิว แต่สายตายังมองรอบ ๆ อยู่เหมือนเดิม “มากันเกือบจะครบแล้วนิครับ”
“ก็นะ น้องปีหนึ่งเริ่มขึ้นแสตนด์กันเยอะแล้ว จะได้เริ่มงานไว ๆ”พี่ทิววางหนังสือในมือลงบนตัก แล้วหันมาหาผมยิ้ม ๆ “จะได้เลิกงานไม่มืดมาก หนาวเถอะ คิดว่าธงของMT จะออกไหม?”
“ไม่แน่ครับ”ผมตอบพี่ทิวไปเบา ๆ มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ “ถ้าเขาทำดี สมควรได้ ผมก็ให้ แต่ถ้าไม่ ทำแย่ เสียชื่อคณะ ผมก็ไม่ให้”
“ตอนแรกที่เป็นโอ้ต พี่คิดว่าน้องปีหนึ่งของMT ยังมีโอกาสได้ธงนะ แต่พอเปลี่ยนเป็นหนาวมาแทน เปอร์เซ็นมันดูติดลบไปเลย”พี่ทิวพูดติดตลก ทำเอาประธานคณะอื่นที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ขำไปด้วย
“จะอะไรขนาดนั้น พี่ทิว ลมหนาวคงไม่โหดขนาดนั้นหรอก”แคมป์ ประธานคณะมนุษย์ศาสตร์พูดขึ้นขำ ๆ ผมยิ้มรับไว้ก่อนครับ แคมป์พูดถูก ผมใจดีนะ...
ใจดีกว่าพี่ตังโอนิดนึง
คนเขาสอนกันมา จะให้ต่างกันมากก็คงใช่ที่ใช่ไหมครับ ต้องเข้าทำนองเดียวกันหน่อยล่ะ
“นายยังไม่รู้อะไร แคมป์”พี่ทิวยิ้มแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหัวผมโยกเบา ๆ “ลมหนาวนี่เด็กเทรนของตังโอเลยนะ”
“เห... ทิ้งทายาทรุ่นใหญ่ไว้ด้วยเลยเหรอเนี่ย”พี่ตังโอนี่เป็นคนที่ประวัติศาสตร์จารึกจริง ๆ นะครับ วินัยตัวเล็ก ใจใหญ่ กล้าลงทุกคณะเมื่อน้องทำผิดจริง เรียกได้ว่าเป็นคนคุมเลยก็ว่าได้ (ตอนผมโดนเทรนนี่น้ำตาแทบไหล หนักจริงครับ ไม่ใช่แค่เทรนกิริยา การแสดงออก แต่เทรนไปถึงจิตสำนึกและหัวใจ ให้เป็นวินัยที่สมบูรณ์) “น่าดูเหมือนกันแหะ ปีนี้”
“ไม่หรอกครับ ผมทำไม่ได้เท่ากับพี่ตั้งโอหรอก”ตอบไปยิ้ม ๆ ใช่ ผมทำไม่ได้เท่าพี่เขาหรอก แค่คณะตัวเองกับคณะวิศวะรวมกันยังแทบเอาไม่อยู่เลย
ทุกคนพูดคุย แลกเปลี่ยนกันอย่างเฮฮา เท่าที่แชร์กันมาส่วนใหญ่ก็คงจะให้ธงน้องกันไปนะครับ แต่มันก็ไม่ใช่กง การอะไรที่ผมจะเข้าไปยุ่ง แม้ว่าจะแอบไม่เห็นด้วยที่ตัดสินก่อนดูผลงานจริง
“ได้เวลาแล้วนะครับ”สตาฟงานคนหนึ่ง เดินเข้ามาบอกกับพวกเราที่รอกันอยู่ข้างในครับ คนเชิญธงของแต่ละคณะก็มากันครบแล้ว เลยได้เวลาเรียงแถวเดินเปิดตัวกันไปกลางสนามที่มีโต๊ะและเก้าอี้จัดเตรียมเอาไว้ให้
ผมเดินไปอย่างนิ่ง ๆ ข้างพี่ทิว ไม่รู้ว่าเป็นโชคดี หรือว่าอำนาจมืดเหมือนกันที่คณะเทคนิคการแพทย์ และคณะแพทย์นั้นได้นั่งอยุ่คู่กันตรงกลางของโต๊ะยาวตัวนี้
ผมกวาดมองบนแสตนด์ที่เต็มไปด้วยน้อง ๆ นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งของทุกคณะวิชา ทุกคนแต่งกายอย่างเรียบร้อยในชุดพิธีการ นั่งกันอย่างเป็นระเบียบ ช่องไฟตรงเป๊ะ ดูยิ่งใหญ่มากเลยครับ
คณะเทคนิคการแพทย์ของผมก็นั่งกันเป็นระเบียบครับ แต่ช่องไฟยังไม่เป๊ะเท่ากับคณะแพทย์ที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ยังดีกว่าบางคณะที่ช่องไฟแทบไม่เห็นล่ะนะครับ
ใช้เวลาพักหนึ่งหลีดของมหาวิทยาลัยจึงออกมากันครบ กระจายตัวเป็นระเบียบกันเต็มสนาม แสดงถึงเวลาที่มาถึงแล้วครับ
เมเจอร์หลีดให้สัญญาณเพลงแรก โดยจะให้สามครั้งติดต่อกัน และเมื่อยกแขนกางเป็นตัววีทั้งสองข้างรอบสุดท้าย เสียงเพลงจะต้องถูกร้องขึ้น
ผมมองจ้องบนแสตนด์ในจุดที่คณะเทคนิคการแพทย์อยู่นิ่ง อืม... ก็ลุกขึ้นพร้อมกันดีนะครับ ถือว่าในเพลงแรก การลุกยืน และท่ายืนนี้ผ่าน
เมเจอร์ให้สัญญาณครบแล้ว เสียงเพลงก็ร้องกระหึ่มขึ้น แต่ยังไม่ทันถึงท่อนก็โดนเก็บเรียบร้อยโรงเรียนหลีด เพราะร้องไม่พร้อมกัน
ต่อไป... โอกาสครั้งที่สองในรอบแรก
ถ้าเราจ้องไปบนแสตนด์ ซูมไปที่ของน้อง ๆ ดี ๆ เราจะเห็นน้องบางคนเม้มปากเข้ามากันอย่างเคร่งเครียดครับ เป็นปฏิกิริยาปกติของทุกคน เมื่ออยู่ในภาวะกดดัน
มีโอกาสแค่สี่ครั้งต่อหนึ่งเพลง โดยแบ่งเป็นสองรอบ รอบละสองครั้งน่ะครับ ตามแพลน แต่ถ้าเมเจอร์ใจดี อาจจะมีครั้งที่ห้าแถมให้ แต่ไม่มีครั้งที่หกแน่นอน
เมเจอร์สั่งครั้งที่สอง... รอบนี้ร้องได้จบท่อนไปอย่างหวาดเสียวเหมือนกันนะครับ แต่ที่ยากคือตอนเริ่มท่อนต่อไป เพราะมักจะไม่ขึ้นมาพร้อมกัน... นั่นไง ยังไม่ทันขาดคำ โดนเก็บอีกตามเคย
หมดโอกาสในรอบที่ 1 สำหรับเพลงแรกแล้วครับ เปลี่ยนเมเจอร์ ในระหว่างเปลี่ยนน้องจะต้องนั่งลงอย่างเป็นระเบียน ซึ่งในอันนี้ก็รอดไปได้ด้วยดี
เมเจอร์ที่สั่งในแต่ละเพลงจะมีการเปลี่ยนตัวไปเรื่อย ๆ หกเพลง หกคนครับ แต่ละเพลงก็จะมีท่าทางที่สั่งแตกต่างกันไป เป็นเอกลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นเพลงนั้น ๆ
ไม่ใช่แค่เพลงหกเพลงของมหาวิทยาลัยนะครับ แต่เป็นทุกเพลงที่หลีดต้องสั่งจะต้องมีท่าของเพลงนั้น ๆ เคยมีตอนงานกีฬาระหว่างมหาลัย (เทคนิคการแพทย์สัมพันธ์) ผมเห็นรุ่นพี่สั่งด้วยท่าแอ่นหลังจนแทบติดดิน แอบขำอยู่กับเพื่อนในกลุ่มตั้งหลายตลบแน่ะครับ
เพลงที่สองก็ยังไม่ได้จนจบ โดนเก็บอย่างไวด้วย... และในเพลงอื่น ๆ จนถึงเพลงที่หกก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ... ส่วนใหญ่ในรอบแรกก็ถูกเก็บไม่เหลือซากแบบนี้ล่ะครับ
พวกผมเข้าไปพูดคุยกันในอัศจรรย์ เพื่อช่วยกันตัดสิน และหลีดกลับเข้ามาข้างใต้อัศจรรย์หลังจากที่พวกเราเดินเข้ามากันหมดแล้ว
“ผมว่ายังไม่ดีพอจะให้ธงมหาวิทยาลัยนะครับ”ไวท์ประธานคณะกายภาพพูดเปิดขึ้น ตัวผมเองก็เห็นด้วย ความพร้อมเพรียงและความตั้งใจมันยังดูไม่มากพอที่จะให้
“งั้นเรามาโหวตกันนะครับว่า เราจะให้ธงมหาวิทยาลัยกับน้อง ๆ ตั้งแต่รอบแรกเลยไหม”เอิ้นมองทุกคนรอบ ๆ แล้วยิ้มบาง ๆ “ใครให้ธงน้อง กรุณายกมือขึ้นครับ”
ไม่มีใครยกแม้แต่คนเดียว มติเป็นเอกฉันท์ว่าจะไม่มีการให้ธงกับน้อง ๆ ในรอบแรกนี้นะครับ
หลังจากที่ตกลงกันได้ว่าจะมอบธงให้ หรือไม่ให้แล้ว ประธานแต่ละคณะจะขึ้นไปพบน้อง ๆ บนแสตนด์ ทกคนแยกย้ายกันขึ้นไป ส่วนผมนั้น นั่งอยู่กับที่ ไม่ไปไหน ไม่ขึ้นไปครับ
รอเวลาที่จะไปประกาศผลรอบแรกต่อไป
“ไม่ขึ้นไปคุยกับน้องเหรอ หนาว”พี่คินที่เป็นคนเชิญธงของคณะแพทย์เดินเข้ามานั่งข้างผม หลังจากที่พี่แกไปทำธุระส่วนตัวมา “ไม่ต้องโหดเหมือนตังโอทุกอย่างก็ได้นี่ หนาว”
“ไม่หรอกครับพี่ ผมทำได้ไม่ถึงพี่ตังโอหรอก”ผมตอบกลับไปอย่างขำ ๆ แต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ในการเป็นวินับที่แตกต่างกันไปล่ะครับ อาจจะโวยวายเสียงดังไปเลย หรือเงียบใช้บรรยากาศกดดันก็ได้ มีให้เลือกอีกเยอะ “ผมตัดน้องกันอยู่ เลยไม่อยากให้น้องสับสนด้วยการขึ้นไปพูดคุยน่ะครับ”
“ธรรมเนียมของเทคนิคการแพทย์จริง ๆ ตัดน้องเนี่ย ทุกปี”พี่คินหัวเราะออกมาเบา ๆ ดวงตาทอดมองไปที่ประตู “ก็มีรุ่นที่ทำได้ดี และรุ่นที่แย่ หนาวคิดว่ารุ่นนี้เป็นยังไงล่ะ”
“ผมยังไม่อยากฟันหรอกครับ ถึงจะมีคำตอบในใจอยู่สักหน่อยแล้วก็เถอะ”เสียงเนือย ๆ ก็คงเป็นคำตอบอย่างนึงเหมือนกันมั้งครับ พี่แกเลยเอื้อมมือมาลูบหัวผมเล่น... ทำไมชอบมาลูบหัวผมกันจริง ไม่ใช่เด็กสักหน่อยนะครับ ผมว่าผมเป็นคนสูงนะ ไม่ได้เตี้ย หน้าตาก็ไม่ได้น่ารักด้วย (เดือนปีสามอย่างผมคงน่ารักหรอก เหอะ)
“รอดูกันต่อไปแล้วกันนะ”ใช่... เราต้องรอดูกันต่อไป แต่ผมในรอบแรกอยู่ในใจของผมแล้ว และผมคิดว่ามันสมควรที่สุดที่จะให้เป็นแบบนั้น
ประมาณสิบนาที ประธานคณะ และผู้เชิญธงทั้งหมดก็ต้องออกไปนั่งกลางสนามอีกครั้ง โดยที่ทุกคนมีผมตัดสินในรอบรอยู่ในใจแล้ว
“เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะประกาศผลรอบแรกแล้วนะคะ”พิธีกรประจำงานพูดขึ้นใส่ไมค์เสียงดังก้อง ผมกำก้านของธงที่เลือกเป็นผลตัดสินในรอบนี้ไว้ในมือ “ขอเชิญคณะกรรมการยกธงตัดสินขึ้นได้ค่ะ”
พรึบ พรึบ
ทุกคนยกคำตัดสินของตนเองขึ้นสูง ธงมหาวิทยาลัยไม่ได้ตามผลการคุยกัน ส่วนคณะอื่น ๆ ก็...
“ขอเชิญคณะครุศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และเทคนิคการแพทย์ลงมารับธงด้วยค่ะ ยินดีด้วยนะคะ”ใช่แล้วครับ ผมให้ธงกับน้องตั้งแต่รอบแรก เพราะน้องทำได้เหนือความคาดหมายของผมมากเลยทีเดียว
น้องทะเล ประธานรุ่นของปีหนึ่งวิ่งมารับธงไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มกว้าง เขาหันมาไหว้ผมอยู่หลายรอบ แล้ววิ่งธงสะบัดขึ้นกลับไปบนแสตนด์โดยมีเสียงปรบมือลั่นจากเพื่อนในคณะ
ธงของคณะ คือความภาคภูมิใจ คือการแสดงตัวตนของคณะเรา ผมได้มอบให้กับน้องไปแล้ว เหลือแต่ว่าน้องจะสามารถรักษามันเอาไว้ได้หรือไม่เท่านั้น
“สำหรับคณะไหนที่ยังไม่ได้รับธงไป ไม่ต้องเสียใจนะคะ ยังมีโอกาสอยู่อีก 1 รอบด้วยกันค่ะ”สิ้นเสียงของพิธีกร หลีดก็ก้าวออกมาสู่สนาม สัญญาณปรบมือเป็นจังหวะให้เดินนั้นดังก้องสนามฟุตบอลแห่งนี้
กิจกรรมร่วมร้องเพลงสถาบันรอบที่สองได้เริ่มขึ้น ด้วยความที่เป็นรอบที่สอง หลีดเลยใจดีขึ้นเล็กน้อย มองข้ามจุดที่ผิดพลาดเล็ก ๆ ไปเยอะอยู่นะครับ เลยจบเพลงแรกมาได้อย่างทุลักทุเล
ด้วยปีนี้น้องไม่ค่อยจะฟังพี่อย่างพวกเรา คณะที่คอยให้จังหวะระห่างช่องไฟเพลงอย่างเทคนิคการแพทย์ของเราเลยไม่ได้ทำหน้าที่นั้น... และไม่มีใครทำแทนด้วย
ผมนั่งมองน้อง ๆ บนแสตนด์ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในอก พวกเขาลุกนึ่งได้พร้อมกับเพื่อนคณะข้าง ๆ เลยครับ แล้วก็ยังไม่มีจุดพลาดเลยด้วย
เพลงที่สองเกือบจบเพลง แต่โดนเก็บซะก่อน ก็ยังถือว่าใช้ได้อยู่นะครับ แค่ขึ้นท่อนสุดท้ายไม่พร้อมกัน (ถึงแม้ว่าเสียงเวลาร้องมันจะมีแอคโค่กันเองก็เถอะ... ปังแล้วปวดหัวดีเหมือนกันครับ)
เพลงที่สามเป็นเพลงบูมสั้น ๆ ถ้าไม่ผ่าน ผมก็ว่าน้องคงแย่มาก ๆ แล้ว
ผ่านมาครึ่งทาง น้องปีหนึ่งก็ยังทำได้ดี ดีกว่ารอบที่แล้วด้วย ผมว่าน้องอาจจะดีกว่าที่คิดเอาไว้จริง ๆ ก็ได้ ถ้าน้องมีความตั้งใจที่จะทำจริง ๆ
ผมคงจะเก็บความภาคภูมิใจนั้นไว้อีกนาน ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ในเพลงที่ห้า ตอนที่น้องนั่งลง มันเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ ทำให้คนที่อยู่ด้านหลังนั่งลงก่อนด้านหน้า
ความยินดีที่เห็นน้อง ๆ สามารถร่วมมือกันทำกิจกรรมด้วยความสามัคคีนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว แสตนด์ของเทคนิคการแพทย์เห็นได้ชัดว่าเริมระส่ำ แต่เท่าที่มองก็ไม่มีใครเป็นอะไร ฝ่ายพยาบาลกับสวัสดิการก็ยังนิ่งอยู่...
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? น้องปีหนึ่งเล่นตลกอะไรกับผมกันแน่
จากหน้าที่ยิ้มนิด ๆ ของผมแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย มือกำแน่นจนพี่ทิวดึงออกไปคลายออกแล้วกุมเอาไว้ พี่เขาลูบมือของผมเบา ๆ อย่างปลอบโยน
“ไม่เป็นไรนะ หนาว”เสียงที่ทอดออกมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ผมต้องสงบสติอารมณ์ให้คงที่ขึ้นมาสักหน่อย ผมไม่รู้หรอกครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนแสตนด์ แต่คำตัดสินของผมมันออกมาแล้ว
และจะไม่เปลี่ยนแปลง
เพลงที่หก ผมไม่ได้มองขึ้นไปดูเลย ไม่อยากเห็นความผิดพลาดที่น่าผิดหวังนั่นอีก ทั้งที่มันไม่น่าจะเกิด นั่งเป็นลูกคลื่นยังพอทำเนา แต่ก็ที่นั่งลงครึ่ง อีกครึ่งไม่นั่งนี่มันเกินไป...
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เมื่อจบหกเพลง คณะกรรมการทุกคนก็เข้าไปประชุมภายในห้อง ส่วนหลีดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ผลของการชิงธงมหาวิทยาลัยจะมรออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ ผ่าน ให้ธงมหาวิทยาลัยที่แสดงให้เห็นว่านักศึกษาปีที่หนึ่งทุกคนได้ก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มตัว ส่วนธงของคณะนั้นต้องดูกันต่อไปว่ามีคณะไหนให้ และไม่ให้บ้าง
“การตัดสินในรอบที่สองนี้ เป็นการตัดสินสุดท้ายนะคะ”เสียงของพิธีกรคนเดิมดังขึ้น ผมหยิบธงที่เตรียมจะยกมาไว้ในมือ รอสัญญาณ “ขอผมการตัดสินด้วยค่ะ”
พรึบ พรึบ
“ขอเชิญคณะแพทยศาสตร์ คณะกายภาพบำบัด คณะสถาปัตถ์ คณะนิติศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ และตัวแทนรับธงมาวิทยาลัย มารับธงด้วยค่ะ”ตัวแทนจากคณะต่าง ๆ วิ่งมาอย่างตื่นเต้น ดีใจ มารับธงจากมือของรุ่นพี่ของพวกเขา “และขอให้คณะเทคนิคการแพทย์นำธงมาคืนด้วยนะคะ”
สรุปแล้วก็มีคณะเทคนิคการแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์ที่ไม่ได้รับธงคณะไป พวกน้องวิศวะไม่ใช่ว่าทำได้ไม่ดีนะครับ ผมว่าทำได้ดีค่อนข้างมากด้วย แต่ไม่รู้ทำไมวิศวะมันถึงไม่ให้
น้องทะเลวิ่งเอาธงมาคืนด้วยใบหน้าเศร้า ๆ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะไหว้ผม... ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าน้องเลยครับ อาจจะดูโหดร้าย แต่ผมยังรู้สึกผิดหวัง
“ยินดีกับน้อง ๆ ทุกคนที่ได้ธงของมหาวิทยาลัยไปนะคะ ธงนี้แสดงให้เห็นว่าน้องได้เข้าลู่การเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างเต็มตัว...”พิธีกรคนนี้พูดเก่งดีเหมือนกันนะ พูดไม่หยุดเลย พล่ามได้ยาวมาก “...หลังจากนี้ก็ขอให้น้อง ๆ ทุกคนกลับไปพักผ่อน ห้ามรุ่นพี่พาน้องไปยังซุ้มนะคะ สำหรับวันนี้ขอบคุณค่ะ”
ผมเดินทอดน่องเข้ามาข้างใต้แสตนด์และยืนพิงกำแพงรอ... รอพูดคุยกับนักศึกษาปีหนึ่งคณะเทคนิคการแพทย์ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งอีกครั้งหนึ่ง
ใจของผมไม่อยากที่จะพูดคุย แต่ด้วยหน้าที่ยังไงผมก็ต้องพูดบ้าง...
รออยู่พักหนึ่ง น้องก็ลงมานั่งเรียงกันคนครบ ส่วนน้องคณะอื่นก็ทยอยกันออกไปจนบางตาแล้ว ผมยืนมองน้องที่นั่งหลบหน้าหลบตา ไม่มีใครเหลือบขึ้นมาสบตากับผมเลย
“พวกคุณทำอะไรกันครับ เล่นอะไรกัน”ผมเอ่ยด้วยเสียงที่เรียบเฉย ยิ่งตัวลีบหนักกว่าเดิม “เล่นกับความรู้สึกของผมพอหรือยังครับ”
ไร้คำตอบ... แต่มันก็ไม่ใช่คำถามที่จะมีใครตอบอยู่แล้วล่ะครับ
“พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ปากก็บอกกับพี่ในสายเทคของคุณว่าอยากมีพี่ อยากมีสายรหัส แต่สิ่งที่พวกคุณทำคืออะไร”ผมเม้มปากน้อย ๆ ในตอนนี้ผมรู้ตัวเองดีกว่าทั้งแววตาและน้ำเสียงของผมมันฉายให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน ซึ่งมันไม่ควรจะออกมาในฐานะของการเป็นวินัย “ไหนล่ะครับ ที่พวกคุณบอกว่าจะสร้างความภาคภูมิใจให้พวกผม ไหนล่ะครับสิ่งที่คุณสัญญาไว้กับพี่คุณว่าจะเอามาให้ได้
หรือว่าพวกคุณคิดว่าผมตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม ไม่อยากให้เลยไม่ให้กัน?”
เสียดแทงทั้งตัวน้องและตัวผมเอง ผมเชื่อว่าต้องมีน้องจำนวนหนึ่งแน่ที่คิดแบบนั้น คิดว่าต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ธงจะออกไปอยู่ในมือพวกเขา
“พวกคุณคิดอย่างนั้นกันใช่ไหมครับ”ผมถามย้ำอีกรอบหนึ่ง กวาดสายตามองน้อง ๆ ที่เงียบกริบตรงหน้า “ใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่ครับ / ค่ะ”น้องตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“แล้วเพราะอะไรครับ”ทำไมถึงทำแบบนี้กับผม... ประโยคหลังคงพูดไปไม่ได้ แต่ผมรู้ว่ามันแสดงออกมาทางสายตาที่ทอดมองอยู่แน่
“...”ไร้คำตอบ
“ในเมื่อพวกคุณไม่คิดจะพูดอะไร... ผมก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดกับพวกคุณแล้วเหมือนกัน”หลังจากพูดจบ ผมก็เดินออกจากตัวแสตนด์นั้น ให้น้อง ไม่สิ นักศึกษาชั้นปีทีหนึ่งเขาอยู่ด้วยกันเอง
กลับไปพักใจ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปก่อนแล้วกันนะผม...
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
มาต่อแล้วค่ะ ^^
ไม่รู้จะอินกันไหมแหะ 5555 ม.เราชิงธงแบบนี้น่ะค่ะ // เชื่อว่าใครที่อยู่ม.เดียวกับเรามาอ่านนี่... รู้เลย(ถ้าเพื่อนในคณะมาอ่านก็รู้อีก 555 ต้องแอบอุบไว้ละ)
หวังว่าจะชอบกันน้า