ตอนที่ 9
โรงเรียน เวลา 07.23 น. ก่อนเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ
“ไงเชี่ยฟืน”
“...”
“ไอ้สิกไม่มาด้วยเหรอ”
ผมเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับไอ้ทีนด้วยอาการเหมือนคนขาดสติ สิ่งที่ผมเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อมองไปที่ที่นั่งของตัวเองนั่นก็คือไอ้สิก ไอ้เชี่ยทีนเพิ่งเห็นว่าสิกมันมาถึงก่อนแล้วจึงสงบปากสงบคำแล้วเดินหนีไป
สิกมันกำลังหลับ ศีรษะของมันหันออกไปนอกหน้าต่าง
ผมค่อยๆ นั่งลงข้างๆ มัน ที่นั่งของผมทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของมันเต็มๆ เป็นครั้งแรกที่ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำตอนที่มองเพื่อนตัวเองแบบนี้ ใบหน้าขาวผ่องของมันกระทบกับแสงแดด คิ้วเข้มและริมฝีปากอมชมพูของมันคือสีสันที่ทำให้ใบหน้าของมันดูดีมีมิติ
ผมไม่กล้าที่จะรบกวนเวลานอนของมัน ที่จริงผมไม่รู้จะพูดอะไรกับมันด้วยซ้ำ คำสุดท้ายที่มันพูดกับผมคือมันอยากให้ผมปล่อยมันไปสักพัก ผมจะทำตามที่มันปรารถนา
ไม่แน่ผมอาจจะมีเวลาได้ทบทวนตัวเองและนึกออกสักทีว่าผมควรจะทำเช่นไรต่อไป
“เชี่ยฟืน ฟื้นจากอาการเป็นลมแล้วเหรอจ๊ะ” ไอ้ตังเดินเสียงดังเข้ามาในห้อง ผมพยายามทำไม้ทำมือบอกให้มันหยุดพูดเพราะกลัวเชี่ยสิกมันตื่น “เจ้าบ่าวอย่างพี่ดินไปไหนซะแล้วล่ะ”
เชี่ยตัง พ่องตายยยยยยยยย
“ถามหาทำไม เมื่อกี้มึงก็เห็นว่าพี่เขาเฝ้าอยู่หน้าประตูโรงเรียนอยู่” ไอ้อ๊อฟส่ายหน้าใส่ไอ้ตัง
“พวกมึงเงียบๆ หน่อย เชี่ยสิกหลับอยู่” ผมพูดกับเพื่อนสองคนที่เดินอ้อมมานั่งที่โต๊ะด้านหน้าของโต๊ะผม
“มันหลับเหรอวะ” ไอ้อ๊อฟนั่งลงและจ้องหน้ามัน
“มันตอแหลอยู่หรือเปล่า” ไอ้ตังเอ่ยถามและก็จ้องหน้ามันอีกคน
“กูว่ามันหลับจริง” ผมสรุปในที่สุด “มันอาจจะไม่ค่อยได้นอน มึงอย่าไปกวนมันเลย”
“มันไปนอนบ้านมึงนี่เมื่อคืน ไม่ค่อยได้นอนงั้นก็แปลว่าพวกมึงทำอะไรกันอยู่อ่ะดิ”
“เชี่ยอ๊อฟ บ้าเหรอ!”
“อ้าว กูพูดไปตามเนื้อผ้า”
“เชี่ยฟืนนี่เนื้อหอมเนอะ วันก่อนก็เห็นสตาร์เดินเข้ามาคุยด้วย เมื่อวานก็ถูกพี่ดินคนดังอุ้ม เมื่อคืนแม่งก็นอนกกกับเพื่อนหน้าหล่อของตัวเองทั้งคืน”
นั่นปากมึงเหรอสัดตัง!
“เนื้อหอมนะเนี่ย” ไอ้ตังเอามือมาบีบแก้มผมจนแก้มผมแดง
“เชี่ยยย ปล่อยยยยยย”
“แม่งก็ก้างๆ ธรรมดาๆ นะ แต่ฮอตในหมู่คนหน้าตาดีได้ไงวะ”
“ไอ้สัดตัง ปล่อยกู” ผมไม่สนใจแล้วครับว่าผมจะเสียงดังหรือไม่ ตอนนี้เห็นความปลอดภัยของแก้มตัวเองสำคัญเป็นที่หนึ่ง
“มีทั้งคนสวยเข้ามา คนหล่อก็เข้ามา ตกลงมึงชอบแบบไหนกันแน่วะฟืน”
“รุกหรือรับครับ” ไอ้อ๊อฟทำท่ายื่นไมค์มาถาม
รุกหรือรับพ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
“กูไม่ทำเหี้ยอะไรทั้งนั้นอ่ะ” ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่ผมมองหน้าไอ้สิกอย่างเคยชินเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่มันหลับครับ เพราะงั้นผมก็เลยต้องช่วยตัวเองแบบนี้ไง
“มันได้กับใครเดี๋ยวมึงก็จะรู้เอง เดาไม่ยากหรอก” ไอ้ตังงึมงำๆ กับไอ้อ๊อฟโดยที่ไม่สนใจผมสักนิดเลย
เพื่อนเหี้ยเอ๊ย มึงนะมึง...
จู่ๆ เพื่อนที่คุยกันทั้งห้องก็เงียบเสียงลง คนที่ทำให้เงียบเสียงก็คือคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนเมื่อตะกี้ คนๆ นี้ยิ่งใหญ่ว่าสตาร์คนสวยเยอะครับ เพราะเขาคือพี่ดิน
เพื่อนผมทุกคนแม่งกลัวจนหัวหด ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ สายตาของพวกมันมองไปที่พี่ดินที่ไม่ยี่หระกับใครก็ตามที่กำลังมองเขา ร่างสูงของพี่ดินเดินเข้ามาหาผม มองดูเพื่อนกลุ่มผมทุกคนที่สุมหัวกันอยู่และก็มองดูไอ้สิกที่กำลังหลับ
ผมกลืนน้ำลาย ไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอาขนมมาฝาก” พี่ดินโยนถุงขนมมาให้ผมและก็เดินหนีไปเลย
ไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังอ้าปากค้างมองผม ผมถอนหายใจดังพรืด ไอ้สิกที่ผมคิดว่านอนหลับอยู่ลุกขึ้นมายืนจากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง ตามหลังพี่ดินไป
“ไปไหนวะสิก” ไอ้ตังร้องถาม
“ไม่ไปเข้าแถวกันหรือไง!” สิกร้องบอก ก่อนที่จะเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รอเพื่อนแม้แต่คนเดียว
สิกมันผิดปกติครับ ผมรู้
จริงๆ แล้วมันผิดปกติตั้งแต่ที่มันยังไม่มองหน้าผมสักวินาทีแล้วล่ะ
หลังเลิกแถว
พวกเราใช้เวลาห้านาทีก่อนเข้าห้องเรียนแวบไปหาอะไรกินก่อน ผมกับไอ้สิกยืนอยู่ข้างหลังเพื่อนอีกสองคนที่พากันแย่งกันซื้อขนม ไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังไม่ได้สังเกตเลยว่าผมกับสิกไม่ได้คุยกันเลย เราสองคนยืนอยู่ข้างกันก็จริงครับ แต่ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่มีใครชวนใครคุยก่อนทั้งนั้น
ผมอึดอัดนะ แต่นี่เป็นสิ่งที่เพื่อนผมมันขอ ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ ครับ ถึงแม้ว่ามีบางครั้งที่อยากจะกระชากคอเสื้อมันและก็ร้องใส่มันซะให้รู้แล้วรู้รอดก็ตาม
ผมกับสิกไม่เคยโกรธกันในลักษณะนี้เลย
“ฟืน” สตาร์เดินสวยมาแต่ไกลพร้อมกับแฟนคลับห้องหนึ่งของเขามากมาย เขาเดินแหกกลุ่มออกมาจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม สตาร์แอบมองไอ้สิกเล็กน้อยก่อนจะพูดกับผม “ช่วงนี้ไม่ค่อยตอบไลน์เลย”
“หึ” ผมได้ยินเสียงในลำคอของไอ้สิกดังแบบนี้
ผมกดความสงสัยเอาไว้ในใจก่อนที่จะพูดกับสตาร์ “โทษทีนะ ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะ”
“ที่เรียนพิเศษจะเปิดคอร์สแล้วเนอะ”
“ประมาณนั้นแหละ”
“หวังว่าจะเจอกันบ้าง”
“อื้ม”
“สิกเป็นไร ทำไมไม่พูดอะไรเลย” สตาร์หันไปถาม
“ไม่มีอะไร เครียดๆ นิดหน่อย” สิกตอบ
“เหรอวะ”
แฟนคลับสตาร์หันมาร้องเรียก สตาร์จึงโบกมือลาพวกผมและก็เดินกลับห้องคิงของเขาไป ผมมองไปที่ใบหน้าไอ้สิกด้วยสายตาหาเรื่องเล็กๆ
“มึงส่งเสียงแบบนั้นแปลว่าอะไร”
“...”
“มึงรู้เหรอว่าทำไมกูตอบไลน์สตาร์ช้า”
ไอ้สิกเลิกคิ้ว ก่อนจะพูดเบาๆ กับผม “ก็มึงมัวแต่สับรางอยู่ไง ทั้งพี่ดินและก็สตาร์”
“ไอ้เชี่ย เลิกพูดแบบนี้กับกูสักทีได้มั้ยวะ!” เสียงผมดังมากพอที่จะทำให้เด็กมัธยมที่อยู่แถวนั้นหันมามองผมกันหมดได้ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ผมโมโหไอ้สิกมากจนรู้สึกอยากจะชกหน้ามันเหลือเกิน
คำกล่าวเชือดเฉือนของมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“กูพูดตามที่กูเห็น”
“มึงเป็นอะไรกูถามหน่อย ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ”
“...”
“มึงชอบที่จะโกรธกับกูเหรอวะ ทำไมมึงทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้วะไอ้สัด!” เสียงของผมเริ่มดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ใครหลายคนมองมาแล้วก็กระซิบกัน โดยเฉพาะไอ้ตังกับไอ้อ๊อฟ
“กูไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล”
“เหอะ ที่มึงทำกับกูอยู่โคตรจะมีเหตุผลเลยงั้นสิ”
“กูมีเหตุผล!”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ!”
“บอกไปเลย บอกไปเลย” ผมได้ยินเสียงไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังพูดแว่วๆ คล้ายกับเชียร์มวย ผมจึงหันไปมองพวกมัน ไอ้สองคนนั้นสะดุ้งก่อนที่จะหันหลังกลับไปซื้อขนมที่สหกรณ์ต่อ
ไอ้สิกเดินหนีผม ผมต้องย่างสามขุมเข้าไปคว้าตัวมันให้มันหันมาหาผม
“พูดมา กูไม่อยากทะเลาะกับมึงแล้ว”
“มึงไม่อยากรู้หรอก”
“กูไม่อยากรู้กูจะถามเหรอ!”
“กู...กู...”
“บอกไปเลย บอกไปเลย” เสียงไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังยังคงลอยมาอย่างต่อเนื่อง
“โน้ตการ์ดที่หล่นในห้องกูเมื่อคืนมึงเขียนใช่มั้ย” เสียงของผมสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ไอ้สิกถึงกับชะงักจากนั้นมันก็หลุบสายตาลงต่ำ
“กูโง่นะเว้ยเพื่อน กูไม่อยากเดาเอง เพราะถ้าเดากูก็อาจจะเดาผิด”
“...”
“มึงบอกกูมาเถอะ”
ร่างสูงไอ้สิกทำในสิ่งที่มันถนัดนั่นก็คือการเดินหนีผม ผมรู้สึกอยากจะบ้าตายเสียให้ได้จึงได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองอยู่นั่น
คาบที่ 2 วิชาเลข เวลา 09.30 น.
ผมเรียนด้วยอารมณ์หงุดหงิด จดสิ่งที่ครูสอนลงในสมุดอย่างกับหุ่นยนต์ ตลอดคาบหนึ่งไอ้สิกก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับผม ผมหน้าตาบูดบึ้งตลอดเวลาจนไอ้อ๊อฟกับไอ้ตังไม่กล้าที่จะกวนใจอะไรผมทั้งนั้น ผมจึงกลายเป็นมนุษย์เงียบที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาจนเพื่อนหวั่นเกรง
ผมแอบมองเห็นโน้ตการ์ดของไอ้สิกวางเรียงกันเป็นตั้งๆ รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะเขียนด่ามันซะเหลือเกิน ผมกำหมัดแน่นหลายครั้งแล้วเพื่อที่จะควบคุมตัวเอง แต่ทว่าตอนนี้ผมคงควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วล่ะ
มือของผมดึงโน้ตการ์ดของไอ้สิกมา จากนั้นก็เขียนอะไรบางอย่างลงไปอย่างกราดเกรี้ยว
กูจะไม่ถามอะไรแล้ว เพราะงั้นมึงกับกูควรคืนดีกัน! ผมเขียนเสร็จผมก็เอามันไปวางไว้ตรงหน้าไอ้สิกที่หน้านิ่งมองคุณครูอยู่ ผมต้องถองสีข้างมันสองสามครั้งจนมันยอมที่จะก้มดูสิ่งที่ผมเขียน
แอบสังเกตสีหน้ามันจากด้านข้าง ผมเห็นหางคิ้วของมันกระตุกเล็กน้อย จากนั้นมันก็มองไปที่กระดานตามเดิม
พ่องตาย
ผมไม่ยอมแพ้ ยื่นมือไปหยิบกระดาษมาเขียนอีกรอบ
กูจะบ้าตายเพราะมึงแล้วนะ อีกรอบ
อย่าเป็นงี้ดิวะ และก็อีกรอบ
กูยอมมึงทุกอย่างแล้ว ใบสุดท้ายที่ผมเขียนถึงกับทำผมคอตก...สีหน้าไอ้สิกจะเป็นอย่างไรผมก็ไม่อาจรับรู้ได้ จนในที่สุดโน้ตการ์ดจากมือมันก็ถูกเลื่อนส่งผ่านมา ปรากฏเข้าสู่สายตาของผมพอดิบพอดี
โน้ตการ์ดใบที่ 9
กูชอบมึง ผมถลึงตามองสิ่งที่อยู่ในสายตาของผมอย่างไม่อยากจะเชื่อ เสียงถอนหายใจของไอ้สิกดังขึ้นเป็นลำดับต่อมา ผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองมัน เพราะสิ่งที่มันเขียนเป็นคำตอบของทุกอย่างที่ผมสงสัยทั้งหมด โน้ตการ์ดอีกอันถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง
กูขอโทษ มือของผมสั่น ใจของผมก็สั่น เป็นความจริงที่ผมเพิ่งจะรับรู้ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมก็แอบคิดไปเองไม่น้อยว่าไอ้สิกมันรู้สึกอย่างนี้กับผม พอได้รับคำยืนยันจากตัวของมันเองมันก็ทำให้ผมไปไม่ถูกเหมือนกัน
หัวใจของผมเต้นแรงไปหมด ความรู้สึกวูบวาบแล่นผ่านลำตัวของผมจนผมต้องเกร็งมันไว้เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงอาการผิดปกติของผม
ให้ตาย
ผมเองก็ชอบมัน
ใช่ ผมเองก็ชอบมัน
มันอาจจะเกิดจากเสี้ยวเล็กๆ ที่อยู่ในใจของผมและก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างที่ผมไม่รู้ตัว การที่มันบอกว่ามันจะช่วยเหลือผมเรื่องสตาร์กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผมต้องรับฟังหัวใจตัวเองที่ปิดกั้นและข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
มันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ผมไม่กล้าที่จะยอมให้มันเติบโตในใจผม
แต่มันก็เติบโตด้วยตัวของมันเอง
ภาพความทรงจำระหว่างผมกับมันหลายๆ ภาพได้เรียงรายเข้ามาในหัวผมทีละภาพ ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและก็ความสุข ผมมีไอ้สิกอยู่เคียงข้างมานานจนผมไม่สามารถนึกถึงวันที่ผมไม่มีมันได้ หลายสิ่งหลายอย่างที่มันทำให้ผมสามารถตอบแทนคำพูดของมันได้ว่าสิ่งที่มันพูดคือเรื่องจริงล้วนๆ ไม่มีเฟคผสม
และสิ่งที่ผมทำกับมันก็มีหลายครั้งที่บ่งบอกได้ว่าเพื่อนกันเขาไม่ทำแบบนั้น ผมเคยโกรธมัน เคยงอนมัน เคยน้อยใจมัน เราสองคนเคยไม่คุยกันเพราะเรื่องเล็กๆ ขี้ประติ๋วอย่างการไม่รอกลับบ้านพร้อมกันด้วยนะครับ
ยิ่งคิดทบทวนก็ยิ่งรู้สึกอยากตีอกชกหัวตัวเอง นี่ผมคิดว่าผมชอบสตาร์ได้ไงวะ หรือผมเคยชินกับการที่มีไอ้สิกอยู่เคียงข้างจนผมลืมนึกถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อมันไปเลย
ผมขาดมันไม่ได้
ผมนึกภาพวันที่ไม่มีมันไม่ออก
เรียกว่าผมชอบมันได้หรือยังครับ...
ไอ้สิกส่งโน้ตการ์ดแผ่นสุดท้ายมาให้ผมที่ทำให้ผมรู้สึกใจแตกสลาย
เพราะงั้นถ้ากูหงุดหงิดที่มีคนมาชอบมึงก็ปล่อยกูไปสักพักเถอะ
อย่ามาเซ้าซี้กูอีกเลย กูขอโทษ...ที่กูไม่เคยคิดทบทวนเรื่องหัวใจของกูเลย
พักกลางวัน
“ฟืนเป็นอะไร ทำไมมึงไม่พูดเลย” สตาร์ลอบสังเกตสีหน้าผมระหว่างที่ผมกับเขานั่งข้างกันในม้านั่งที่หน้าตึกห้องคิง
ยิ่งผมมองเขาผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ทำไมผมมันโง่ๆๆ แบบนี้นะ
“เป็นอะไรไป”
“ขอโทษนะ” ผมพูดกับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง
ขอโทษที่คิดว่าผมชอบสตาร์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่...
“มีอะไรผิดปกติเหรอ”
“เรื่องที่กูบอกว่าจะช่วยมึงเรื่องไอ้สิกน่ะ คือว่า...”
“อย่าคิดมากเลย” สตาร์ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ผม “จริงๆ แล้วเรื่องนี้กูควรทำด้วยตัวเอง ไม่ควรรบกวนมึง”
“แต่ว่า...”
“กูมาคิดดูแล้วนะ บางทีกูอาจจะลองพุ่งชนสิกดูสักตั้ง แอบชอบแบบเงียบๆ แบบนี้ต่อไปคงจะไม่ประสบผลสำเร็จหรอกจริงมั้ย”
สตาร์ชอบไอ้สิกมากจริงๆ ด้วย ผมมองเขาด้วยสายตาเหน็ดเหนื่อยหัวใจ
“ขอบคุณมากนะที่คอยรับฟังตลอดเลย” สตาร์ยิ้มให้ผมจนตาหยี
“อืม”
“เป็นกำลังใจให้กูด้วยละกัน”
“...”
“คนนี้กูชอบมากจริงๆ”
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจของผมถูกแช่แข็งเอาไว้ คำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจของสตาร์ทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอและก็แพ้ไปหมด สตาร์ชอบเพื่อนผมมาก ในขณะที่ผมนั้นเพิ่งจะมารู้ตัวก็ตอนที่มันพยายามที่จะเหินห่างกับผมและผมก็รับไม่ได้
ทำไมมันต่างกันอย่างนี้วะ
“ขอโทษนะเว่ย” ผมยังคงกล่าวคำขอโทษกับสตาร์ต่อไป
“ไม่เป็นไร” สตาร์มองผม “บอกแล้วไง เป็นกำลังใจให้กูก็พอ”
ผมไม่คิดว่าเด็กอายุ 17 อย่างผมจะต้องมีเรื่องให้คิดในหัวมากมายขนาดนี้ ผมมาเรียนพิเศษที่สยามด้วยสภาพซังกะตาย ทั้งๆ ที่เป็นวันเปิดคอร์สวันแรกแต่ผมกลับไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไรทั้งสิ้น
ผมชอบสิก สิกชอบผม แต่สตาร์ชอบไอ้สิก และผมเคยให้คำสัญญาว่าผมนั้นจะช่วยเหลือเขา
ตอนนี้ผมงงไปหมดแล้วครับ ถ้าผมเปิดอกคุยกับไอ้สิกตรงๆ เรื่องความรู้สึกของผมเอง สตาร์ก็จะเจ็บปวด เขาเป็นคนนิสัยดีที่สุดคนหนึ่งและผมไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของเขาด้วยการหักหลังเขา ปากบอกว่าจะช่วยเรื่องมันแต่สุดท้ายก็เผลอใจไปชอบมันซะเองเนี่ยนะ สตาร์จะคิดกับผมยังไงวะ
“โว้ยยยยยยยยยยยยย!” ผมร้องออกมาราวกับต้องการระบายอารมณ์
“เชี่ย” เสียงสบถของไอ้สิกนี่หว่า ผมหันหลังกลับไปมองดูเห็นมันกำลังเดินตามผมอยู่ “จู่ๆ ก็ร้อง เป็นบ้าเหรอ”
“อ้าว มาแล้วเหรอ” ผมเรียนกับมันทุกคอร์สครับ ปกติจะมาด้วยกันแต่วันนี้แยกกันมา
“เออ”
แน่นอนว่าบรรยากาศรอบตัวพวกเราต้องมีความกระอักกระอ่วน ผมนั้นมีสีหน้าหม่นหมองลงไปหนักมากจนไอ้สิกถึงกับผิดสังเกต
“มึงโอเคป่ะวะ”
“...”
“คิดมากเรื่องกูอยู่เหรอ”
“...”
“ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวสักพักกูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม กูแค่ขอเวลา กูเป็นคนคูลๆ อยู่แล้ว”
มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย...ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองไอ้สิกด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง
“อย่าเพิ่งคุยกันเรื่องนี้เลย”
“กู...แอบคิดมากว่ะ” มันเดินมาอยู่ข้างๆ ผมและก็มองไปทางอื่น
“...”
“มึงไม่ชอบกูยังดีกว่าการที่มึงรังเกียจว่ากูชอบมึง”
“...”
“มึงอย่ารังเกียจกูได้มั้ยวะ”
ผมหลุบตาลงต่ำก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนบรรยากาศอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย มึงอย่าคิดงั้นดิ มึงเพื่อนกูนะ” ผมพยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“หึ กูก็ขอแค่นั้นแหละ”
ทำไมมันเศร้าจังวะครับ ผมพยายามไล่ความรู้สึกหน่วงจิตนี้ออกไปและหันมาโฟกัสกับบทเรียนของคอร์สใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ปกติแล้วผมจะส่องสาวกับไอ้สิกและก็พากันคุยกันอย่างออกรสว่าใครน่ารักบ้าง ใครสวยบ้าง แต่พอมาถึงวันนี้คำเหล่านั้นกลับพูดออกมาอย่างยากลำบากเหลือเกิน
“ก่อนจะเข้าไปเรียนกูขอถามอะไรมึงอย่างหนึ่ง” ไอ้สิกเปรย
“อืม ว่ามาดิ”
“มึงชอบกูป่ะวะ”
...
...
...
“มึงชอบกูบ้างหรือเปล่าวะฟืน”
จะให้ผมตอบว่าอะไรล่ะครับ ผมไม่สามารถพูดออกไปได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเองก็ชอบมันเหมือนกัน ผมพูดอย่างนั้นไม่ได้ แค่ผมนึกจะพูด ใบหน้าของสตาร์ก็ลอยไปมาเหนือหัวไอ้เชี่ยสิกในตอนนี้แล้ว
มันเป็นความผิดของผมเองตั้งแต่ต้นที่ทำให้เรื่องวุ่นวายจนถึงตอนนี้
แค่ผมลองฟังเสียงหัวใจตัวเองดูสักครั้ง เรื่องก็คงไม่บานปลายขนาดนี้
ถ้าผมไม่ได้คิดอะไรกับไอ้เชี่ยสิกเลย ทำไมผมถึงขาดมันไม่ได้...
ถ้าผมคิดกับไอ้สิกแค่เพื่อนมาโดยตลอดจริงๆ ผมจะใจสั่นกับมันทำไม...
เพราะผมไม่เคยใจสั่นกับไอ้เชี่ยตัง ไอ้เชี่ยอ๊อฟ หรือแม้กระทั่งกับไอ้เชี่ยทีน
“สตาร์เขาชอบมึง” นี่คือสิ่งที่ผมเลือกที่จะตอบมัน
“อะไรนะ” ไอ้สิกอ้าปากค้าง
“สตาร์ชอบมึง และกูเคยสัญญาว่ากูจะช่วยเขาเรื่องมึง”
“...”
“เพราะงั้นกูถึงชอบมึงไม่ได้เพื่อน”
ความลับของผมนี้...ผมจะขอเก็บเอาไว้กับตัวเอง นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
tbc*นิยายแนวมัธยมใสๆ เนอะ T______T