:: Chapter 9th ... ตัวช่วยของพลัฎฐ์ ::
หลังจากกลับมาจากส่งอาทิตย์และน้องพีเข้าเรียน ตะวันก็ดูเหมือนจะพกแต่กายหยาบกลับร้าน ส่วนสตินั้นหลุดออกจากร่างไปแล้ว ... เพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่พลัฎฐ์พูด ... แถมพูดออกมาหน้าตาเฉยอีกต่างหาก
‘มีเบอร์พี่คนเดียวก็พอ ของตัวเล็กไม่ต้องให้มีหรอก... พี่หวง’
พี่หวง หวง หวง หวงใคร? หวงอะไร? หวงตัวเขางั้นเหรอ?
อีกแล้ว! เอาอีกแล้ว! พลัฎฐ์ทำแบบนี้กับเขาอีกแล้ว!
ตะวันยอมรับว่าใจตัวเองแทบไม่เป็นสุข วันนี้เลยขลุกอยู่ในครัวแทบจะตลอดเช้า โชคดีที่ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ มีนากับน้ำตาลที่ดูแลหน้าร้านอยู่ เลยพอจะรับมือไหว ตะวันที่กลัวว่าตัวเองจะไปรับออเดอร์ลูกค้าผิดๆ ถูกๆ เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยตัดสินใจไปทำขนมเพิ่มในครัวแทน
และยังไม่ทันจะเที่ยงดี ตะวันก็ต้องมีเหตุให้ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อีกรอบเมื่อน้ำตาลเข้ามาบอกว่า
‘พี่ตะวันคะ คุณพลัฎฐ์มาค่ะพี่ บอกว่าจะมาทานข้าวกลางวันด้วย’
ตะวันยืนตะลึง ปรับสภาพอารมณ์อยู่พักใหญ่ เขาแอบไม่เข้าใจว่าพลัฎฐ์ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร คำพูดเมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว แล้วยังจะการลงมาหาเขาตอนนี้อีก มันยิ่งทำให้ตะวันสับสน
เมื่อก่อนที่พลัฎฐ์ลงมาทานกลางวันด้วย ตะวันพยายามคิดว่านั่นเป็นเพราะเขาอยากลงมาเจอกับน้องพี ซึ่งพลัฎฐ์ก็อ้างแบบนี้ทุกวัน แต่วันนี้น้องพีไปเรียนหนังสือแล้ว เด็กชายไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่ทำไมพลัฎฐ์ถึงยังลงมาตามปกติอยู่อีก
“ตัวเล็ก...” ทันทีที่เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ เห็นร่างเล็กปรากฎในกรอบสายตา พลัฎฐ์ก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มแย้มอ่อนโยนส่งให้ ทำราวกับว่าไม่ได้เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
“ทำไมพี่ถึงลงมาได้ล่ะครับ งานไม่เยอะเหรอ?”
ตะวันตัดสินใจถาม เพราะอยากรู้คำตอบ เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้ไม่ต้องสับสนไปมากกว่านี้ เพราะการที่พลัฎฐ์ลงมาแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวหิวจริงๆ หรืออาจจะไม่ได้งานยุ่งมากเท่าที่ตะวันคิดไปเองก็ได้
“นิดหน่อยครับ แต่อยากเจอตัวเล็ก เลยตัดสินใจลงมากินข้าวที่นี่เลยดีกว่า”
น้ำเสียงอบอุ่นพูดเรื่อยๆ ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่ประโยคเมื่อกี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิด
“ตะวันคิดว่าตั้งแต่วันนี้ไปพี่พลัฎฐ์คงไม่ลงมาแล้ว เพระน้องพีไม่อยู่ น้อง...” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รอให้ตะวันพูดจบประโยค พลัฎฐ์พูดสวนออกมาเสียก่อน
“ที่ลงมาทุกวันนี้ก็อยากเจอทั้งน้องพี ทั้งตัวเล็กนั่นแหละ ถึงลูกจะไม่อยู่ แต่พี่ก็ยังอยากเจอตัวเล็กอยู่ดี”
คนถูกบอกว่าอยากเจอรู้สึกเหมือนความร้อนในร่างกายวิ่งแล่นขึ้นมาบนใบหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกนอกอก เขาไม่เคยแน่ใจกับท่าทีของพลัฎฐ์ ซึ่งจนถึงตอนนี้ตะวันก็ยังไม่แน่ใจว่าพลัฎฐ์รู้สึกยังไงกับตัวเองกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้ตะวันหวั่นไหวมาก เขาไม่เคยถูกใครแสดงความรู้สึกใส่ซึ่งหน้าด้วยท่าทีนิ่งๆ แบบนี้
และก่อนที่จะถูกจู่โจมมากไปกว่านี้ ตะวันก็ผุดลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยตะกุกตะกัก เหมือนคนมีพิรุธ
“ตะ.. ตะวัน ต้องไปอบขนมในครัวต่อน่ะครับ พอดียังทำไม่เสร็จ ถ้าพี่พลัฎฐ์อยากทานอะไรสั่งเลยนะครับ เดี๋ยวตะวันให้เมษยกออกมาเสิร์ฟให้”
พลัฎฐ์เลิกคิ้วนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ว่าง คนโตตัวก็ลุกขึ้นยืนบ้าง พลางเอ่ยหน้าตาเฉย
“งั้นพี่กลับออฟิศเลยดีกว่า เดี๋ยวค่อยให้เลขาฯ ลงมาซื้อ”
ตะวันเองพอได้ยินพลัฎฐ์พูดแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ก็ไหนว่าพี่จะลงมาทานข้าว?”
พลัฎฐ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินหน้าเขย่าหัวใจตะวันแบบไม่รามือง่ายๆ
“อาหารท้องที่จะมาทานน่ะเหตุผลรองครับตัวเล็ก ส่วนอาหารตาที่จะมาดูน่ะเป็นเหตุผลหลัก ในเมื่ออาหารตาไม่ว่างให้พี่มอง พี่ก็เลยคิดว่ากลับดีกว่า นอกเสียจากว่าอาหารตาจะเปลี่ยนใจยอมนั่งทานข้าวกลางวันกับพี่ด้วย แบบนั้นน่ะ... พี่ค่อยอยู่ทานข้าวที่นี่ต่อ”
ตะวันอ้าปาก แล้วหุบ แล้วอ้าใหม่ เหมือนต้องการจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักอย่าง สุดท้ายเจ้าของใบหน้าหวานก็เม้มริมฝีปากสีสดแน่น พลางเสมองไปทางอื่นเหมือนคนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะสื่อ ทั้งที่ผิวแก้มของสองข้างที่ขึ้นสีแดงก่ำลามลงมายันคอ ได้แสดงออกหมดแล้วว่าตะวันเข้าใจในสิ่งที่พลัฎฐ์พูดถึงเป็นอย่างดี
“หึๆ งั้นพี่ไปนะครับตัวเล็ก แล้วเดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ เราจะได้ไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียนกัน”
ตะวันพยักหน้าแกนๆ จะปฎิเสธก็ไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ได้เอารถมาเนื่องจากเมื่อเช้าติดรถของคนข้างบ้านที่เสนอตัวไปส่งอาทิตย์ที่โรงเรียนและมาส่งเขาที่ร้าน ดังนั้นตะวันจึงไม่มีทางเลือกมากนักถ้าอยากไปรับอาทิตย์หลังเลิกเรียนให้ตรงเวลา และพอตอบให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้ว ตะวันก้มหน้าหลบสายตาคมที่ตอนนี้จ้องมองเขาแบบที่ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด
มาถึงขนาดนี้แล้ว ตะวันก็ไม่รู้จะปฏิเสธสิ่งที่ตาเห็นยังไง ในเมื่อมองในแง่ไหนก็รู้ว่าพลัฎฐ์กำลังส่งสัญญาณว่ากำลัง ‘จีบ’ เขาอย่างออกนอกหน้า แม้จะเป็นการออกนอกหน้าที่ดูนิ่งๆ ก็เถอะ และที่ร้ายไปกว่านั้น ตะวันเองก็ไม่รู้จะปฏิเสธหัวใจตัวเองยังไงด้วย ว่าหวั่นไหวกับสิ่งที่พลัฎฐ์มอบให้ จนตอนนี้เขาแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ให้ตาย!
.
.
.
“ปะป๊า น้องพีห่มผ้านุ่มๆ แย้ว ปะป๊าเยือกนิทานเสร็จยื้อยังคับ?”
เจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้ถูกผ้าห่มหนาคลุมอยู่เหนืออกพูดถามเสียงใสไม่เหมือนคนง่วงนอนสักนิด ให้คนเป็นพ่อรู้ดีว่าวันนี้นิทานเรื่องเดียวต้องเอาไม่อยู่แน่ๆ ท่าทางวันนี้น้องพีน่าจะหลับยากพอสมควรเพราะเมื่อเย็นไม่ได้เล่นกับอาทิตย์เพื่อนคนสนิทที่โดนพี่ชายทำโทษเนื่องจากทำการบ้านเสร็จช้า เพราะเอาแต่แอบดูทีวี
ตะวันจึงสั่งห้ามไม่ให้อาทิตย์ออกไปที่บ้านข้างๆ เพื่อเล่นกับน้องพีตามกิจวัตรปกติเหมือนทุกวัน ถึงแม้จะทำการบ้านเสร็จภายหลังก็ตาม น้องพีจึงได้แต่เล่นวาดรูปและระบายสีแบบที่ไม่ได้ออกแรงอะไรมากแบบที่เด็กๆ เล่นกันปกติ ดังนั้นวันนี้น้องพีจึงมีแรงเหลือเฟือ น่าจะนอนฟังนิทานได้อีกพักใหญ่เลยกว่าจะง่วง
“ได้แล้วครับ” พลัฎฐ์เดินผละออกมาจากชั้นวางหนังสือนิทาน ตรงมายังเตียงของลูกชาย ก่อนที่จะแทรกตัวนอนตะแคงข้างหันไปทางเด็กชายพีรยถ์ พลางใช้ศอกยันไว้บนที่นอนเพื่อทรงตัว และเพื่อจะได้เห็นหน้าเด็กชายที่กำลังนอนมองเขาตาแป๋วด้วย
“เยื่องอะไยคับที่ ปะป๊าหยิบมา” เจ้าหนูน้อยว่าพลางขยับตัวเข้าหาคนเป็นพ่อด้วยความเคยชิน
“เรื่องแฮนเซลกับเกรเทลครับ ผจญภัยบ้านขนมปัง เรื่องที่น้องพีชอบไง”
เด็กน้อยยิ้มร่า พลางซุกซบอกอุ่นๆ ของพลัฎฐ์ด้วยความชอบใจ “อ่านเยยๆ น้องพีตั้งใจฟังคับ”
พลัฎฐ์ยิ้มก่อนจะวาดวงแขน ขยับลูกน้อยเข้าใกล้ พลางโอบเด็กชายไว้หลวมๆ ก่อนจะเริ่มเล่านิทานด้วยเสียงนุ่มทุ้มให้ลูกชายฟัง
“One upon a time, in a faraway forest, there lived a poor woodcutter, his wife and their two young children. The boy’s name was Hansel and the girl was called Gretel … กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าที่ไกลออกไปมีคนตัดไม้ที่ยากจนอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกน้อยอีกสองคน เด็กชายมีชื่อว่าฮันเซล ส่วนเด็กหญิงถูกเรียกว่าเกรเทล...”
พลัฎฐ์เล่าไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงขึ้นลงตามโทนของเรื่อง แต่ไม่มีวี่แววว่าน้องพีจะง่วงเลยสักนิด หนำซ้ำยังตื่นเต้นกับเนื้อเรื่อง จนเผลร้องวู้ ว้าว ออกมาเป็นระยะๆ อีกต่างหาก จวบจนกระทั่งพลัฎฐ์เล่าถึงประโยคสุดท้าย เด็กชายพีรยสถ์ก็ยังไม่ได้หลับตาลงแต่อย่างใด
“Finally, they managed to find their way back home and gave all the jewels to their mother and father. Thanks to the clever children, the woodcutter and his family were never poor or hungry ever again! ... ในที่สุดฮันเซลกับเกรเทลก็หาทางกลับบ้านได้ และพวกเขาก็นำอัญมณีทั้งหมดไปมอบให้กับแม่และพ่อ ซึ่งต้องขอบคุณความฉลาดของเด็กทั้งสอง ที่ทำให้คนตัดไม้และครอบครัวไม่ต้องพบเจอกับความยากจนและหิวโหยอีกต่อไป”
พลัฎฐ์ปิดนิทานเล่มนั้นลง โดยที่น้องพีเองก็ยังคงตั้งตารอที่จะได้ฟังนิทานเรื่องต่อไป
“ไง ยังไม่ง่วงอีกเหรอลูก” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ พลางลูบศรีษะเล็กด้วยความเอ็นดู
“น้องพียังไม่ง่วง น้องพีหยักฟังนิทานอีกคับปะป๊า” พลัฎฐ์ยิ้มขำ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ เลยตัดสินใจที่จะลองเลียบๆ เคียงๆ เพื่อที่จะดูปฏิกริยาของลูกชายไปในตัว
“อืม.. ไว้เดี๋ยวปะป๊าจะเล่าเรื่องพินอคคิโอให้ฟัง แต่ตอนนี้ปะป๊ามีเรื่องจะถามน้องพีสักหน่อย น้องพีจะตอบปะป๊าได้ไหมนะ?”
“ได้สิคับ น้องพีตอบได้น้องพีเก่ง ปะป๊าจะถามอะไยหยอ?” เด็กน้อยถามประสาซื่อ ไม่ได้รู้เท่าทันผู้ใหญ่อย่างคนเป็นพ่อเลยสักนิด
“น้องพีครับ หนูชอบพี่ตะวันไหมครับ?” พลัฎฐ์เริ่มเปิดประเด็นด้วยคำถามง่ายๆ ที่เขาก็รู้คำตอบดี
“ชอบคับ น้องพีชอบพี่ตะวัน พี่ตะวันน่ายัก ใจดีด้วย ทำขนมเก๊าะอะหย่อย” เด็กชายตอบเสียงใส เขาชอบพี่ตะวันมาก ชอบคุณอาทิตย์ด้วย ชอบทั้งสองคนเลย
“ปะป๊าก็ชอบพี่ตะวันนะ” น้องพีน้องตาโต พอได้ยินปะป๊าบอกแบบนั้น เด็กน้อยดูตื่นเต้นมาก โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าชอบในความหมายของพ่อนั้น แตกต่างจากความหมายของตัวเอง “แล้วถ้าสมมติว่าปะป๊าพาน้องพีไปอยู่ใกล้ๆ พี่ตะวันทุกวัน เช้าก็เจอพี่ตะวัน เย็นก็เจอพี่ตะวัน ดึกแล้วก็ยังเจอพี่ตะวันอีก น้องพีจะโอเคไหมครับ?”
เด็กชายตัวน้อยยังไม่มีคำตอบอื่นใดให้คนเป็นพ่อ เพราะกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ตามประสาเด็กสามขวบกว่าอยู่
.. ถ้าได้เจอพี่ตะวันทุกวัน ก็จะได้กินของอร่อยๆ มีคนคอยกอด คอยดูแล แถมตัวพี่ตะวันน่ะยังหอมมากๆ อีก ที่สำคัญเจอพี่ตะวันที่ไหน น้องพีก็จะได้เจอคุณอาทิตย์ด้วย ... โอ้โห แบบนี้มันดีมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ
จากที่เอียงคอ ขมวดคิ้ว คิดนั่นนี่อยู่พักหนึ่ง เด็กน้อยก็ตาโต พลางหันมามองพลัฎฐ์ด้วยสายตาดีอกดีใจ
“น้องพีโอเคคับปะป๊า น้องพีชอบเจอพี่ตะวัน เพราะถ้าเจอพี่ตะวัน ก็ได้เจอคุณอาทิตย์ด้วย แถมพี่ตะวันยังใจดี มีของอะหย่อยๆ เยอะแยะให้กิน เอาๆ เจอพี่ตะวันบ่อยๆ น้องพีชอบ”
พลัฎฐ์ยิ้มกว้างพลางก้มลงไปฟัดเด็กน้อยที่ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างมันเขี้ยวเพราะเอ็นดูในคำตอบ ก่อนจะวางแผนการเล็กๆ เมื่อเห็นว่า ‘ตัวช่วย’ ของเขามีประโยชน์มากแค่ไหนในแผนการนี้
“ถ้าน้องพีอยากอยู่กับพี่ตะวันและคุณอาทิตย์นานๆ น้องพีต้องช่วยปะป๊านะครับ” พลัฎฐ์อ้อนลูก และแน่นอนว่ามีหรือที่เด็กชายพีรยสถ์จะปฏิเสธคำขอของพ่อผู้เป็นที่รักได้
“น้องพีช่วย ปะป๊าจะให้น้องพีทำอะไยคับ” เด็กน้อยถาม ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นคำขอของปะป๊าแล้ว น้องพีจะได้อยู่กับพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์นานๆ ด้วย
“ถ้างั้นพรุ่งนี้หลังกลับมาจากโรงเรียน น้องพีทำแบบนี้นะ...”
ว่าแล้วคนเป็นพ่อก็ก้มลงไปกระซิบกระซาบกับลูกชายแล้วหัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้กันอยู่สองคน เด็กน้อยพยักหน้ารับหงึกหงักกับสิ่งที่พลัฎฐ์บอกให้ทำ ซึ่งอันไหนที่พลัฎฐ์ต้องการให้น้องพีทำเป็นพิเศษ เขาก็จะเน้นๆ ย้ำๆ หลายรอบเพื่อให้ลูกจำได้ และเมื่อบอกความต้องการของตัวเองจนหมดสิ้น พลัฎฐ์ก็ถามย้ำกับคนเป็นลูกอีกครั้งให้มั่นใจว่าลูกน้อยของเขาเข้าใจในสิ่งที่บอกไปทั้งหมดดี
“น้องพีทำได้ไหมครับ ช่วยปะป๊าได้หรือเปล่า?”
ร่างเล็กๆ ผุดลุกขึ้นนั่งจนผ้าห่มที่กองอยู่บนอกในตอนแรก ร่วงลงไปกองที่เอวแทน
“ทำได้คับ น้องพีทำได้นะ” เด็กน้อยยื่นนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าคนเป็นพ่อด้วยท่าทางน่าเอ็นดู “น้องพีสัญญาว่าน้องพีทำได้” พลัฎฐ์หลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวตอบ
“ขอบคุณมากนะครับเด็กน้อยของปะป๊า น้องพีของปะป๊าน่ะ เก่งที่สุดในโลกเลย”
เด็กชายพีรยสถ์ยิ้มเขินเมื่อได้รับคำชมจากคนเป็นพ่อ ก่อนที่จะพลัฎฐ์จะนึกอีกอย่างขึ้นได้ จึงสำทับบอกย้ำกับน้องพีอีกที
“แต่เรื่องนี้เป็นความลับที่ห้ามบอกพี่ตะวัน น้องพีทำได้ไหมครับ”
“ได้คับปะป๊า น้องพีไม่บอกพี่ตะวันเยย ความยับๆ”
เจ้าหนูน้อยพูดพลางทำมือรูดซิปตรงปาก ไม่รู้ไปเอาท่าทางแบบนี้มาจากไหน สงสัยจะจากโทรทัศน์หรือไม่ก็ในพวกการ์ตูน ซึ่งดูแล้วน่ารักมากจนพลัฎฐ์อดไม่ได้ที่จะจับลูกชายที่ผุดลุกขึ้นมานั่งเมื่อครู่ นอนราบลงไปกับเตียงแล้วฟัดพุงอย่างมันเขี้ยว
“ฮ่าๆๆๆๆ ปะป๊า น้องพีจั๊กจี้พุง ปะป๊า ฮ่าๆๆๆๆ”
“น่ารักนักใช่ไหม ลูกใครหื้ม? น้องพีลูกใครนะ ทำไมน่ารักแบบนี้” ยิ่งลูกขำ พลัฎฐ์ยิ่งแกล้งถูใบหน้าลงไปที่พุงน้อยๆ ของเจ้าหนูอย่างหยอกล้อ
“น้องพียูกปะป๊าพาลัด ปะป๊าพาลัดที่หย่อที่สุดในโยกกก ฮ่าๆๆๆ”
คนเป็นพ่อหัวเราะชอบใจที่ได้ยินลูกชายเอ่ยชม สุดท้ายพลัฎฐ์ก็ยอมหยุดเล่น เพราะกลัวว่าลูกจะหายใจไม่ทัน หรือไม่ก็สนุกจนเก็บเอาไปละเมอ
“งั้นลูกชายของปะป๊าพลัฎฐ์ที่น่ารักที่สุดในโลกก็นอนได้แล้วครับ ดึกแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวตื่นไปโรงเรียนไม่ไหว อดไปเล่นกับคุณอาทิตย์แน่ๆ”
“โอ๊ะ น้องพีอยากไปเย่นกะคุณอาทิตย์”
พอพูดจบตากลมของเด็กชายตัวน้อยก็ปิดลงทันที โดยมีพลัฎฐ์คอยลูบหลังลูบไหล่ขับกล่อมให้ลูกชายนอนหลับได้ง่ายขึ้น... ซึ่งในเวลานี้ก็ดูเหมือนว่านิทานคงจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเมื่อกี้น่าจะเหนื่อยจากการออกแรงไปมากพอสมควร
เด็กน้อยค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะสัมผัสที่เคยชิน และอ้อมกอดที่อบอุ่นของคนเป็นพ่อ จนลมหายใจของน้องพีเริ่มที่จะสม่ำเสมอ พร้อมกับที่น้องพีหลับสนิทไปเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที
“ตัวแสบของปะป๊า ขอบคุณมากนะครับ ปะป๊ารักน้องพีที่สุดเลยรู้ไหม”
พลัฎฐ์พึมพำ นึกขอบคุณที่ลูกชายเปิดโอกาสและยอมช่วยเหลือเขาเต็มที่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม
“ฝันดีครับลูก” ริมฝีปากหยักกดลงแก้มนิ่มของลูกน้อยเบาๆ ก่อนที่จะมอง ‘ตัวช่วย’ ที่กำลังจะแปลงร่างเป็นกามเทพตัวน้อย เพื่อช่วยให้เขาสมหวังในความรักด้วยความเต็มใจ
.
.
.
"พี่ตะวันค้าบ วันนี้พี่ตะวันทำข้าวผัดคุณกุ้งให้น้องพีกินหน่อยได้ไหมคับ น้องพีหยักกิน"
วันนี้เป็นเวรของตะวันมารับเด็กๆ เพราะพลัฎฐ์โทรมาบอกว่าเขาอาจจะเลิกประชุมเย็น และหลังจากขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย เด็กน้อยตัวเล็กที่สุดในรถ ก็เอ่ยปากขอคนตัวโตที่สุดในรถ ให้คนที่ถูกอ้อนได้อมยิ้ม
"ได้สิครับน้องพี เดี๋ยวพี่ตะวันทำให้กิน แต่เดี๋ยวพี่ตะวันขอกลับไปดูความเรียบร้อยที่ร้านก่อนเนาะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับบ้านกัน น้องพีทนหิวไหวไหม"
ตะวันเอ่ยรับปากอย่างใจดี เขาเป็นคนชอบทำอาหาร และยิ่งถ้ามีคนรอกิน และขอให้เขาทำให้กินเขายิ่งรู้สึกยินดี
"ไหวคับ น้องพีรอกินพร้อมปะป๊าด้วย"
ใจของคนที่กำลังจะเคลื่อนรถออกจากโรงเรียนกระตุกวาบ สองสามวันมานี้เขาเข้าหน้าพลัฎฐ์ไม่ค่อยจะติด สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด ก็ทั้งคำพูดและการกระทำของพลัฎฐ์เมื่อวันก่อนนั่นแหละที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ แถมยังทำตัวไม่ค่อยจะถูก ยามมีเหตุให้ต้องเจอหรือใกล้ชิดกัน
"อืมม.. เห็นปะป๊าพลัฎฐ์โทรมาบอกพี่ตะวันว่ามีประชุม พี่ตะวันไม่แน่ใจว่าปะป๊าเค้าจะเลิกงานมากินข้าวกับน้องพีทันหรือป่าว" ตะวันบอกเด็กน้อยตามความเป็นจริง เพราะไม่อยากให้น้องพีหิ้วท้องรอคนเป็นพ่ออย่างไม่จำเป็น "เอางี้ดีไหมครับ ถ้าน้องพีหิว น้องพีกินพร้อมพี่ตะวันกับคุณอาทิตย์ก่อน แล้วเดี๋ยวพอปะป๊าพลัฎฐ์มา พี่ตะวันค่อยทำข้าวผัดคุณกุ้งให้ปะป๊ากินเพิ่ม ดีไหมครับ"
น้องพีนิ่งคิด แต่สุดท้ายก็บ่มงึมงำออกมาอยู่ดี
"แต่ปะป๊าจะเหงา ถ้ากินข้าวผัดคุณกุ้งคนเดียวนะคับพี่ตะวัน" เด็กน้อยหน้ามุ่ย จนตะวันที่มองผ่านกระจกมองหลังมาเห็นแล้วอดสงสารปนเอ็นดูไม่ได้ "น้องพีไม่อยากให้ปะป๊าเหงาเยย"
และโดยที่ตะวันไม่ทันจะพูดอะไร เจ้าอาทิตย์ดวงน้อยก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ราวกับรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของเพื่อนสนิทตัวเอง
"งั้นน้องพีกินข้าวผัดคุณกุ้งพร้อมคุณอาทิตย์ก็ได้ แล้วให้พี่ตะวันกินพร้อมปะป๊าพะลัด ดีไหมๆ น้องพี"
เด็กน้อยตาโต เมื่อได้ยินข้อเสนอของเด็กชายเพื่อนสนิท ข้อเสนอที่ทำเอาตะวันแทบนั่งไม่ติด
"แต่พี่ตะวันว่า..."
"เอาคับๆ ปะป๊าจะได้ไม่เหงา พี่ตะวันจะยอใช่ไหมคับ"
ดวงตามกลมๆ ที่มองมาอย่างคาดหวังทำเอาตะวันกลืนทุกสิ่งที่ตั้งใจจะพูดลงคอ คำพูดที่เขากำลังบอกออกไปก่อนที่จะถูกน้องพีสวนมากลางปล้องก่อนหน้า
บอกตามตรงว่าเขาทำลายความหวังของเจ้าหนูตาดำๆ ไม่ลง
"ก็ได้ครับ เดี๋ยวพอถึงบ้าน น้องพีกับคุณอาทิตย์กินข้าวผัดคุณกุ้งกันก่อนได้เลย เสร็จแล้วจะได้ทำการบ้าน.. ส่วนปะป๊าพลัฎฐ์ เดี๋ยวพี่ตะวันรอกินเป็นเพื่อนเอง โอเคกันรึยังหื้ม? เจ้าตัวแสบทั้งหลาย"
และถึงแม้จะบ่น แต่ริมฝีปากบางสีสดกลับอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู แม้จะรู้สึกหนักใจนิดๆ แต่คิดอีกที แค่ทานข้าวกับพลัฎฐ์ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้ง ... ขอให้ไม่มีอะไรจริงๆ ทีเถ๊อะ
.
.
.
"นั่งรอพี่ตะวันตรงนี้นะครับเด็กๆ อยู่กับพี่มีนานะ ไม่ดื้อ ไม่ซน เดี๋ยวพี่ตะวันไปคุยกับป้าวันดีในครัวแปปนึง"
"คับ/คับ"
เด็กๆ ทั้งสองรับคำตะวันอย่างดี ตะวันเลยวางใจปล่อยให้เด็กๆ นั่งเล่นรอที่โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ โดยมีมีนาเด็กในร้านคอยดูแลให้อีกแรง
และหลังจากคล้อยหลังตะวันเดินไป เสียงงุ้งงิ้งของเด็กทั้งคู่ ก็เริ่มเปิดฉากคุยกันทันที
"น้องพี คุณอาทิตย์พูดตามที่น้องพีบอกให้พูดเลย ถูกไหมๆ"
น้องพียิ้มกว้าง ก่อนตอบ "ถูกๆ คุณอาทิตย์พูดถูกหมดเยย แบบที่ปะป๊าบอกให้พูดเปี๊ยบ! คุณอาทิตย์เก่งๆ"
น้องพีปรบมือเปาะแปะให้เพื่อนสนิท ให้เด็กชายภานวีย์ได้ยืดอกภูมิใจ
"เนี่ยยย น้องพีเก๊าะบอกให้คุณอาทิตย์พูดตามปะป๊าเยย เพราะปะป๊าบอกว่า ถ้าให้พี่ตะวันอยู่ด้วยกันนานๆ น้องพีกับคุณอาทิตย์ก็จะได้อยู่กันนานๆ ด้วย คิกคิก"
เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ความต้องการของพวกเขาไม่ซับซ้อน แค่พอปะป๊าพลัฎฐ์บอกว่าจะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น พวกเขาก็ทำ โดยไม่ได้รู้เลยว่าคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการอย่างพลัฎฐ์ที่ขอให้ลูกชายทำทุกอย่างไปนั้น ก็เพราะเขาคาดหวังที่จะได้อยู่กับตะวันนานขึ้นเช่นกัน
และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ตะวันไม่ได้ระแคะระคายใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
.
.
.
หลังจากกลับมาจากร้าน ตะวันก็พาเด็กชายพีรยสถ์มาอยู่ด้วยกันที่บ้านก่อน เนื่องจากพลัฎฐ์ยังประชุมไม่เสร็จ
ตะวันทำอาหารเย็นเป็นข้าวผัดกุ้งที่น้องพีอยากกินให้เด็กๆ รวมทั้งยังมีต้มจืดหมูสับใส่แครอทเพิ่มไปอีกรายการ ให้เจ้าหนูทั้งสองได้ซดน้ำคล่องๆ คอด้วย
และหลังจากทานกันอิ่มหนำแล้ว ตะวันก็เก็บวัตถุดิบที่จะเอาไว้ทำให้ตัวเองและพลัฎฐ์ใส่ตู้เย็น ก่อนจะมานั่งสอนการบ้านเด็กๆ เพื่อรอเวลาให้พลัฎฐ์กลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน
พอพูดแบบนี้แล้วรู้สึกเป็นครอบครัวยังไงไม่รู้
ตะวันหน้าแดงที่ตัวเองคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเด็กทั้งสองตรงหน้าที่กำลังทำการบ้านกันอยู่แทน
"พี่ตะวันคับ แอล โอ วี อี เยิฟ ที่แปลว่ายัก น้องพีขีดไปที่ยูปนี้ถูกไหมคับ" น้องพีเงยหน้ามาถามตะวัน ในขณะที่นิ้วยังคงจิ้มอยู่ที่หน้ากระดาษในข้อที่ตัวเองไม่แน่ใจ
"ถูกต้องครับ น้องพีเก่งมาก" ตะวันยื่นมือเรียวไปลูบศีรษะกลมๆ ของเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เสียงของน้องชายตัวน้อยจะดังขัดความคิด
"โอ๊ะ ปะป๊าพะลัดมาแล้วว" อาทิตย์มีท่าทางดีใจขึ้นมาทันตาเมื่อเจ้าหนูได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดัง
"ปะป๊ามาแย้วว" น้องพีเองก็ดีใจไม่ต่าง ให้ตะวันต้องรีบไปเปิดประตูให้คนที่เด็กชายทั้งสองรอเจอได้เข้ามา
"รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวพี่ตะวันไปเปิดประตูให้ปะป๊าพลัฎฐ์ก่อน" ตะวันเดินไปชะโงกหน้าดูตรงวีดีโออินเตอร์คอม ให้ได้เห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตา ยืนยิ้มบางๆ ให้เขาอยู่หน้าประตู
หัวใจดวงเล็กๆ ของตะวันเต้นระรัวขึ้นมาทันที ที่เห็นอีกฝ่าย นี่ขนาดเขาคิดมาว่าเขาห้ามใจตัวเองได้ดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย เมื่อได้เจอพลัฎฐ์อีกครั้ง
ตะวันเดินออกไปเปิดประตูให้คนที่รออยู่ได้เข้ามา และคำทักทายของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาต้องแก้มแดงอีกครั้ง
"ขอบคุณนะครับตัวเล็ก ได้เห็นหน้าตัวเล็กแบบนี้ .. พี่ค่อยหายเหนื่อยหน่อย"
"อะ .. เอ่อ เข้าบ้านเถอะครับพี่พลัฎฐ์ น้องพีรออยู่" ตะวันพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะยิ่งรัดเขาไว้ยิ่งกว่าเดิม
"มีแค่น้องพีที่รอเหรอครับ พี่นึกว่า..."
"อะ อาทิตย์ก็รอครับ เห็นว่าจะให้พี่ช่วยสอนการบ้านให้" ตะวันรีบรวดรัดพูดเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน แล้วเด็กๆ ทั้งสองก็พุ่งมาจู่โจมพลัฎฐ์แล้วเรียบร้อย
"ปะป๊า / ปะป๊าพะลัดดด"
เด็กทั้งสองวิ่งเข้ามาก่อนจะพุ่มมือไหว้คนที่อาวุโสที่สุดในบ้านตอนนี้ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
"สวัสดีคับปะป๊า"
"สวัสดีคับปะป๊าพะลัด"
"สวัสดีครับเด็กๆ ไหน ทำการบ้านถึงไหนกันแล้ว" พลัฎฐ์เอ่ยถามให้เด็กๆ ได้แย่งกันพูดยกใหญ่ ตะวันเห็นดังนั้นจึงเดินแยกออกมา
"ถ้างั้นผมฝากเด็กๆ หน่อยนะครับพี่พลัฎฐ์ เดี๋ยวผมไปผัดข้าวกับอุ่นต้มจืดให้ทาน"
"ได้ครับ พี่ขอบคุณตัวเล็กมากนะครับ รบกวนเลย" พลัฎฐ์เอ่ยบอกอย่างเกรงใจแต่ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่มีตะวันคอยดูแล
"ไม่เป็นไรครับ ตะวันก็ยังไม่ได้ทาน" พอว่าจบคนตัวเล็กกว่าก็เดินเข้าไปในครัว ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสองได้เอาความดีความชอบ
- อ่านต่อด้านล่าง -