#Re2love •6
“ชัยโย ชัยโย ชัยโย”
พุฒิเผลอขำตอนที่สักขีพยานในงานต่างพากันชูแก้วร้องชัยโยเพื่อเป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาว ก่อนหน้านี้พุฒิเข้างานพร้อมกับมนชัย หลังจากไปแสดงความยินดีกับบ่าวสาวและทักทายเพื่อนเก่าและรุ่นน้องที่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน กว่าจะครบก็โน่นพอดีถึงพิธีการสำคัญของงานมงคล
หลังจากมนชัยปลีกตัวคุยกับเพื่อนเก่า พุฒิเลยได้โอกาสแวบมาหาอะไรแถวซุ้มอาหาร งานแบบค็อกเทลปาร์ตี้นี่ของกินมักไม่ค่อยอยู่ท้องนัก แต่รสชาติมันก็ไม่เลว เขาเลยวนเวียนไปแถวซุ้มของกินจนนึกเกรงใจพนักงานประจำซุ้ม และเพราะมัวแต่ห่วงกินเลยไม่รับรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่นานแล้ว
“ผมว่าคานาเป้ทูน่าครีมชีทผักขมก็อร่อยไม่แพ้มินิแซนวิชทูน่าที่พี่จิ้มอยู่เลยนะ”
นั่นสิ!
พุฒิคิดตามเสียงกระซิบข้างหูก่อนจะเอื้อมมือไปคีบเมนูกินอาหารที่กินได้คำเดียวอย่างคานาเป้ทูน่าซึ่งตกแต่งด้านหน้าอย่างสวยงามใส่จาน พอดีกับที่เสียงหัวเราะของใครสักคนดังขึ้นในระยะประชิด
หือ?
นั่นแหละพุฒิถึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงใครสักคนกระซิบใกล้ๆ ใบหู เขาเลยหันขวับทันได้เห็นร่างคุ้นตาในชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้ม เจ้าของใบหน้าคมคายยิ้มกว้างรอท่าด้วยท่าทีขี้เล่นเป็นเอกลักษณ์
“อ้าวกาย?”
“ครับ”
“มาได้ไง?”
“พี่เจอผมทีไรถามแบบนี้ตลอดเลยนะครับ” เด็กหนุ่มยิ้มล้อ
“ก็เราเจอกันโดยบังเอิญหลายรอบนี่หว่า”
“ไม่ใช่ความบังเอิญ”
“หือ?”
“ผมว่าเป็นพรหมลิขิต”
หนุ่มขี้เล่นพูดยิ้มๆ แต่เล่นเอาคนฟังใจกระตุก และรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าตัวเองกำลังถูกเกี้ยวเหมือนสาวๆ ยังไงยังงั้น สงสัยว่าจะเขียนนิยายจนเพ้อเจ้อซะแล้วเรา พุฒิส่ายหัวแรงๆ
“ว่าแต่เรามางานนี้ได้ไงเนี่ย”
กายนึกขันเมื่อคนตรงหน้าเปลี่ยนเรื่องเฉย
“พี่มนไม่ได้บอกอะไรหรือครับ”
“บอกอะไรวะ”
พุฒิเกาหัวแกรกๆ
แต่เอ๊ะ! จำได้ว่าตอนนั่งรถมากับมันเหมือนได้ยินหมอนั่นบอกว่ามีเด็กที่รับจ้างสอนพิเศษในสตูดิโอเป็นญาติกับไอ้สิทเจ้าบ่าวงานนี้
หรือว่า?
“ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่สิทครับ”
นั่นไง!
พุฒิทำหน้าอ๋อทันที
“ไม่นึกด้วยซ้ำว่าเฮียสิทจะแต่งงาน” ฝ่ายนั้นพูดขำๆ “เห็นรักๆ เลิกๆ กันอยู่ตั้งนานกว่าจะลงเอยกันได้”
“อื้อ ได้ยินว่าคู่นี้เลิกรากันไปหลายรอบกว่าจะกลับมาคบกันใหม่แล้วแต่งงาน”
“ต้องรักกันมากแค่ไหนนะ..ถึงทำให้กลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้”
เสียงพึมพำจากอีกฝ่ายทำให้พุฒิชะงักไปเล็กน้อย ยิ่งมองไปยังแววตาคู่นั้นที่เหม่อมองไปยังบ่าวสาวด้วยแววตาหม่นลงเล็กน้อย ชั่ววินาทีนั้นพุฒิอดนึกถึงป้อง เด็กเสิร์ฟที่ร้านที่มีเคยแสดงแววตาแบบนี้เช่นกัน
“พูดอย่างกับว่าเราเคยมีอดีตอย่างนั้นแหละ”
ฝ่ายนั้นหันมามองแล้วทำหน้ายิ้ม
“ใครๆ ก็มีอดีตกันทั้งนั้นแหละครับพี่ อยู่ที่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการทำใจและก้าวเดินต่อไปได้”
พุฒิตาโตก่อนจะยกนิ้วโป้งยอดเยี่ยมให้อีกฝ่าย พอดีกับที่ฝ่ายนั้นก้าวเข้ามาในระยะประชิดแล้วชะโงกดูของกินในมือเขา
“พี่นี่กินเก่งเหมือนกันนะครับเนี่ย”
พุฒิทำจมูกย่นเหมือนลูกชาย กิริยาเผลอตัวนั่นทำให้อีกฝ่ายมองเพลิน
“ก็มันมีแต่ของน่ากินทั้งนั้นที่หว่า”
กายยิ้มอ่อนนึกเอ็นดูคนตรงหน้าบอกไม่ถูก ท่าทางที่อีกฝ่ายยืนล้วงกระเป๋ามองเขายิ้มๆ ทำให้พุฒินึกเก้อกระดาก เขาเลยยื่นจานในมือไปตรงหน้าเด็กหนุ่มแก้เก้อ
“กินด้วยกันมั้ยล่ะ?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เอาหรอกครับ..ผมกลัวพี่ไม่อิ่ม”
“ฮื่อ”
พุฒิทำเสียงขึ้นจมูก
“ไม่กินด้วยกันจริงเหรอ” พุฒิยิ้มเชิญชวน “อร่อยนะ”
กายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดเศษอาหารที่มุมปากให้คนสูงวัยที่กินไม่ระวัง จังหวะนั้นทำเอาพ่อลูกหนึ่งสะดุ้งโหยงทำหน้าตื่นเพราะคาดไม่ถึงว่าจะถูกปฏิบัติราวกับว่าเขาเป็นสาวน้อยเช่นนี้
“อาหารเลอะขอบปากครับ”
“เอ่อ”
พุฒิยิ้มแหยแล้วเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสบางเบานั่นอย่างนุ่มนวล
“อย่าหนีสิครับ ผมยังเช็ดออกไม่หมดเลย”
เขาส่ายหน้าหวือ
“พี่ว่าพี่ไปห้องน้ำดีกว่า”
กายยอมละมือออก พุฒิเลยรีบวางจานในมือก่อนจะผละออกไปห้องน้ำ ท่าทางเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ตื่นกลัวนั่นทำให้เด็กหนุ่มเผลอขำอย่างเอ็นดู
.
.
“ฟู่ว!”
พุฒิพ่นลมหายใจแรงๆ ตอนที่มายืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ เขาล้างหน้าบ้วนปากอยู่หลายรอบ ในใจก็นึกบ่นตัวเองที่ทำเด๋อด๋าน่าอายให้คนอื่นเห็น ปลายนิ้วเรียวยาวล้วงเขาไปในกางเกงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนบางมาซับใบหน้า ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็สำรวจใบหน้าที่ปรากฏในกระจก ก่อนจะชะงักกึกเมื่อลูบผ้าเช็ดหน้าไปบริเวณมุมปากที่ใครบางคนทิ้งสัมผัสเอาไว้
พุฒิสาบานได้ว่าเขาเห็นแววตาของเด็กหนุ่มที่รู้จักกันด้วยความบังเอิญซึ่งวันนี้มองเขาแปลกไป ต่อให้หาเหตุผลร้อยแปดมาหักล้างก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกิริยาอาการประหลาดที่กายแสดงต่อเขาได้ แววตาคมกล้าที่เจือไปด้วยความอ่อนหวานบ่งบอกชัดว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ เขาซึ่งเคยผ่านชีวิตคู่มาแล้ว ซ้ำยังเคยมีอดีตกับหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้าน ทำไมจะมองไม่ออกว่าทั้งแววตาและการกระทำของกายมันหมายความว่าอย่างไร
พุฒิถอนหายใจแรงๆ แวบหนึ่งเขานึกถึงแววตาของใครบางคนซ้อนทับกับแววตาของกาย แววตาคู่คมที่เคยจับจ้องกันอย่างอ่อนหวานในอดีต แต่บัดนี้กลับว่างเปล่าจนน่าใจหาย ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆ เมื่อรู้สึกว่าตนเองชักจะคิดอะไรเพ้อเจ้อไปไกล
พุฒิสำรวจตัวเองเสร็จแล้วก็ก่อนจะกลับมาร่วมงานอีกสักพักจนเห็นว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว พอกินอิ่มท้องหนังตาก็ชักจะปิด ชายหนุ่มหาววอดๆ อยู่หลายครั้ง ตั้งแต่มีลูกเล็กเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาสังสรรค์กับเพื่อนบ่อยนักหรอก เพราะต้องดูแลลูกจนกว่าเจ้าหมูจะเข้านอนซ้ำเขายังต้องเข้านอนแต่หัววันไปพร้อมกับลูกชาย ดังนั้นพุฒิเลยกลายเป็นเด็กอนามัยในสายตาของเพื่อนๆไปแล้ว ต่างจากไอ้มนที่ลูกมันโตและดูแลตัวเองได้แล้วในระดับหนึ่ง มันถึงออกมาพบปะกับเพื่อนฝูงได้บ่อยขึ้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังติดลมบนคุยกับเพื่อนๆ ที่มางานวันนี้อย่างออกรสออกชาติและดูไม่มีท่าทีว่าจะกลับสักที พุฒิเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือสลับกับมองใบหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนแล้วถอนใจ
หรือว่าจะนั่งแท็กซี่กลับเองดี?
เพราะขามามนชัยไปรับถึงที่บ้าน ขากลับคงต้องรอเจ้าของรถ แต่นี่ก็ดึกมากแล้วครันจะให้มันซึ่งบ้านอยู่คนละทางไปส่งก็เกรงใจลูกเมียมันที่คอยอยู่ ยิ่งตอนนี้มันกำลังติดพันคุยกับเพื่อนและดูท่าว่าคงยังไม่กลับง่ายๆ เขาถอนใจเพราะนึกเป็นห่วงเจ้าหมูที่ป่านนี้คงหลับอุตุไปแล้ว ถึงจะวางใจว่ามารดาและส้มจะดูแลลูกเขาเป็นอย่างดี แต่พ่อลูกหนึ่งที่ไม่เคยไปไหนมาไหนตอนกลางคืนนานๆ ก็อดห่วงลูกน้อยไม่ได้
“กูกลับก่อนนะ”
พอเดินไปบอกเพื่อนสนิทมันก็รีบลุกขึ้นทันที
“เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่เป็นไรมึงอยู่ต่อเถอะ กูกลับแท็กซี่ได้”
“ได้ไง มึงมากับกู ยังไงกูต้องไปส่ง”
พุฒิยิ้มขันมองเพื่อนสนิทที่ขันอาสาทั้งๆ ที่ใบหน้ามันเสียดายไม่น้อยที่ต้องละออกจากวงสนทนาที่กำลังสนุกได้ที่
“กูกลับเองได้น่า”
มนชัยทำหน้ายุ่งยากใจ เพราะนึกห่วงเพื่อนตรงหน้า
“เดี๋ยวผมไปส่งพี่พุฒิให้ก็ได้ครับพี่มน”
พุฒิเหลือบตาไปมองคนขันอาสาอย่างประหลาดใจ ต่างจากไอ้มนที่ยิ้มแฉ่งเหมือนหาทางออกให้ตัวเองได้
“เยี่ยม”
มนชัยตบบ่ากายอย่างถูกใจ “ยังไงฝากส่งเพื่อนพี่ทีนะกาย”
“ได้ครับ”
กายรับคำหนักหนาก่อนจะเดินนำเขาไป สุดท้ายพุฒิได้แต้อ้าปากค้างเมื่อเพื่อนรุนหลังให้ก้าวตามคนอาสาไปติดๆ
“แต่ว่า..”
“ไปกับไอ้กายน่ะดีแล้ว แท็กซี่สมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหนล่ะ ยิ่งดึกขนาดนี้แล้วด้วย ไปกับไอ้กายนั่นแหละรับรองมึงปลอดภัยหายห่วง กูก็จะได้หมดห่วงด้วย เอาน่าไอ้พุฒิ เพราะถ้ามึงไม่ไปกับไอ้กาย มึงก็ต้องให้กูขับไปส่งเอง”
พุฒิถอนหายใจอย่างยอมจำนนในที่สุด
“โอเคๆ”
สุดท้ายพุฒิก็ตกกระไดพลอนโจนตามเด็กหนุ่มนั่นมาถึงลานจอดรถ
“รอผมอยู่นี่ก่อนนะครับ”
“อื้ม”
เด็กหนุ่มทำท่าจะผละออกไปแต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ก่อน
“ว่าแต่พี่ซ้อนมอ’ไซค์ ได้ใช่มั้ยครับ? พอดีผมขับมอ’ไซค์มา”
พุฒิพยักหน้าหงึกๆ เมื่อนึกถึงฟีโน่ที่ตัวเองขับรถไปจูบตูดเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน พุฒิรอไม่กี่อึดใจไม่รถคนหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตกใจ
“โห!”
ชายหนุ่มอุทานออกมาเมื่อเห็นรถคาวาซากิเฉดสีเขียวคือมีสีดำสลับกับสีเขียวคันใหญ่แบบรถแข่งไม่ใช่ฟีโน่คันน้อยที่เคยเห็น พุฒิกระพริบตาปริบๆ จ้องมองรถสีเงาวับคันดังกล่าวก่อนจะมองเรื่อยไปยังคนขับที่ไม่รู้ว่าไปเปลี่ยนเสื้อสูทเป็นเสื้อหนังแจ็กเก็ตสีดำตอนไหน
“หมวกกันน็อคครับพี่”
พุฒิรับมาสวมก่อนจะเก้ๆ กังๆ หาท่าทางในการปีนขึ้นรถคันสูงใหญ่ขนาดนั้นได้
“ขึ้นได้มั้ยพี่”
“อื้อ”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของเตรียมจอดรถแล้วผละลงมาประคองเขาขึ้นนั่ง พุฒิเลยรีบตะกายขึ้นอย่างว่องไวท่าทางแบบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของรถที่มองเขาจากกระจกรถด้านข้าง
“ขำอะไรฟะ!”
“ก็ทำไมไม่ให้ผมช่วยตั้งแต่แรกล่ะครับ”
“ไม่ต้องเลยๆ”
“ครับๆ ว่าแต่พี่จับดีๆ นะ ผมจะพาซิ่งแล้ว”
“เปลี่ยนใจนั่งแท็กซี่กลับตอนนี้ยังไงมั้ยเนี่ย”
กายขำก๊ากกับคำตอบอีกฝ่ายทันที เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวไปด้านหลัง
“กอดเอวผมก็ได้นะพี่”
พุฒิแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายก่อนจะส่ายหน้าหวือราวกับปฏิเสธ แต่ไม่นานพอรถออกตัว พ่อลูกหนึ่งก็จำใจขยับเข้าไปชิดหลังอีกฝ่ายแล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปจับเอวอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ และพอถึงจังหวะติดไฟแดงคนขับก็หันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วเหมือนจะยิ้ม ท่าทางแบบนั้นทำเอาคนสูงวัยกว่านึกเก้อเขิน
พุฒิคงต้องมองเจ้าเด็กนี่ใหม่ซะแล้ว คิดดูว่านักศึกษาฐานะธรรมดาที่ไหนกันมีรถมอ’ไซค์คันละเป็นแสนขับกัน แต่มันกลับมาสอบพิเศษวาดรูปราคาหลักพันย้องแย้งสิ้นดี แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ เขาเองก็ไม่อยากรู้เรื่องคนอื่นมากนักหรอก แค่ปัญหาตัวเองที่เผชิญอยู่นี่ก็จัดการยากอยู่แล้ว
ถนนยามค่ำคืนแทบจะไม่รถด้วยซ้ำทำให้ไม่นานเครื่องยนต์สองล้อนั่นพาพุฒิลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่บ้านสี
ขาวหลังน้อยของตัวเอง
“ขอบคุณที่มาส่งพี่นะกาย”
พุฒิเอ่ยขอบคุณตอนที่ปีนลงจากรถได้แล้วถอดหมวกกันน็อคคืน
“ผมเต็มใจครับ”
ไอ้เด็กนี่!
พูดเฉยๆ ก็พอมั้งไม่ต้องทำหน้ายิ้มหวานชวนขนลุกขนาดนั้นก็ได้
“ไม่กลับล่ะ?”
“รอให้พี่เข้าบ้านก่อน”
พุฒิโบกมือปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรถึงบ้านพี่แล้ว เรานั่นแหละกลับได้แล้ว ขับรถดึกๆ มันอันตราย”
“ผมชินแล้วพี่ อีกอย่างผมยี่สิบแล้วครับ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก”
“พี่ก็สามสิบเก้าแล้วไม่ต้องห่วงหรอก”
พุฒิย้อนกลับพร้อมทำเสียงล้อเลียนคนตรงหน้า กายถึงกับยิ้มขำก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนว่าขอยอมแพ้
“ฝันดีนะพี่”
“อื้ม”
“ฝันถึงผมบ้างนะ”
พุฒิอ้าปากค้างได้แต่มองตามหลังคาวาซากิค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อย ชามหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะหันกลับมากุญแจบ้าน
แต่เดี๋ยวนี้! ทำไมค้นในกระเป๋าแล้วถึงหากุญแจบ้านไม่เจอ
อย่าบอกนะว่า! พุฒิหวนคิดถึงของดังกล่าวที่ลืมไว้หัวเตียง ชัดเลยทีนี้ พ่อลูกหนึ่งทึ้งศีรษะตัวเองก่อนจะมองรั้วบ้านตาละห้อย สงสัยว่าคงต้องปีนเข้าบ้าน จะให้โทรปลุกคนในบ้านมาเปิดประตูให้ก็ยังไงอยู่เพราะนี่เป็นความสัพเพร่าของตัวเองที่ดันลืมซะเอง ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาก่อนจะตัดสินใจจับรั้วเหล็กแล้วปีนขึ้น พุฒิพยายามจนเหงื่อตกแต่ก็ไม่สามารถปีนได้สักที
“เฮ้ย”
พุฒิสะดุ้งโหยงเมื่อตัวเขาถูกยกขึ้นได้โดยง่าย และยิ่งตกใจไปกันใหญ่เมื่อก้มลงไปมองแล้วเห็นเพื่อนข้างบ้านหรืออดีตคนรักเก่ายกตัวเขาอยู่
“ฬะ โฬม”
“มองอะไร? ปีนข้ามไปสิครับ”
“โฬม”
“ผมหนักนะพี่”
“อ๊ะ”
เพราะไม่ทันตั้งตัวพุฒิเลยโอนเอนไปมาจนสุดท้ายโฬมเซถอยหลัง พ่อลูกหนึ่งหลับตาปี๋เมื่อคิดได้ว่าตัวเองต้องล้มกระแทกพื้นแน่นอน แต่ที่ไหนได้เบาะรอบรับร่างเขากลับเป็นร่างสูงใหญ่ที่นอนรองอยู่เบื้องล่าง
“เจ็บตรงไหนมั้ยโฬม”
ฝ่ายนั้นส่ายหน้าก่อนจะช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้น แล้วมองสำรวจไปทั่วตัวพุฒิเหมือนหาร่องรอยบาดเจ็บ
“พี่ไม่เจ็บหรอก”
“ก็แหงสิครับ เล่นล้มใส่ผมเต็มๆ ขนาดนี้”
พุฒิย่นจมูกก่อนจะรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วตัวเมื่อนึกถึงจังหวะที่เขาล้มใส่อีกฝ่ายเมื่อกี้ สัมผัสใกล้ชิดนั่นทำให้พุฒิเผลอสูดดมกลิ่นกายอีกฝ่ายเสียเต็มปอด กลิ่นครีบอาบน้ำและกลิ่นกายแบบผู้ชายนั่นทำเอาพุฒิรู้สึกว่าตัวเองมือไม้เกะกะไปหมด
“ตกลงพี่จะนอนตรงนี้?”
พุฒิทำหน้าตื่นเมื่ออีกฝ่ายเตรียมขยับเข้าบ้านตัวเอง
“พี่เข้าบ้านไม่ได้”
ฝ่ายนั้นถอนใจแรงๆ
“จะให้ผมอุ้มพี่ปืนข้ามไปอีกรอบมั้ยล่ะ?”
“แหะ” พุฒิเกาแก้มแก้เก้อ “อีกรอบก็ดี”
โฬมไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มเดินดุ่มๆ มายกลำตัวพุฒิขึ้นสูงอีกครั้ง และคราวนี้พุฒิสามารถทรงตัวได้เขาเลยปีนข้ามรั้วแล้วลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย
“ขอบคุณนะ”
พุฒิมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินเปิดประตูรั้วเข้าบ้านตัวเองไป เขายืนรออยู่อย่างนั้นก็ไม่เห็นเสียงเปิดประตูบ้านข้างๆ จนกระทั่งได้กลิ่นนิโคตินลอยมา พุฒิแอบย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นบุหรี่ที่ตัวเองไม่นึกชอบใจนัก เขาค่อยๆ ชะโงกข้ามรั้วไปจึงแผ่นหลังกว้างนั่งพิงเสาตรงสวนอังกฤษพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจเฉิบ
“ทำไมยังไม่เข้าไปในบ้านอีก?”
พุฒิตกใจเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่นั่งหันหลังให้ และไม่นานใบหน้าคมคายก็หันมามองกัน พุฒิย่นจมูกเมื่อควันจากบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากอีกฝ่ายลอยอ้อยอิ่งมาใกล้ โฬมถอนหายใจก่อนจะปล่อยมวนบุหรี่ลงพื้นแล้วดับไฟก่อนจะนำไปทิ้ง
“เดี๋ยวนี้สูบบุหรี่เหรอ?”
“อื้อ”
“เมื่อก่อนโฬมไม่สูบนี่”
“เวลาเปลี่ยน คนเราย่อมเปลี่ยนไป”
พุฒิเบ้ปาก
“เป็นแบบเดิมก็ดีแล้ว”
“ใครจะเหมือนพี่ล่ะครับ”
หือ?
พุฒิทำหน้างงต่างจากอีกฝ่ายที่กดยิ้มมุมปาก ท่าทางดูกวนโมโหไม่น้อย
“ชอบกินเด็กยังไง ก็ชอบอยู่อย่างนั้น”
“ว่าไงนะ”
พุฒิอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อนึกถึงกายที่มาส่งเขาก่อนหน้านี้ พุฒิทำหน้ามุ่ยเมื่ออีกฝ่ายมองเขาราวกับประเมินว่าเขาเป็นในสิ่งที่ฝ่ายนั้นพูดมาจริงๆ
“พี่กับกายไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย?”
ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วมอง
“แล้วไงครับ?”
“แค่อยากบอกเฉยๆ พี่ไม่อยากให้นายรับรู้อะไรผิดๆ”
โฬมยักไหล่ท่าทางไม่สนใจนัก ท่าทางดูกวนๆ นั่นทำให้พุฒินึกอยากกวนกลับบ้าง คนอะไรอุตส่าห์พูดดีด้วยยังกวนกันอยู่ได้ ยิ่งท่าทางไม่อยากพูดคุยหรือใกล้ชิดสนิทสนมนั่นยิ่งทำให้พุฒิรู้สึกขัดหูขัดตา เขากอดอกแล้วมองอีกฝ่ายยิ้มๆ ก่อนจะพูดเรื่องไม่สมควรออกไป ให้ตายเถอะ หากเขารู้ว่าคำพูดนั้นจะเข้าตัวในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สาบานว่าพุฒิจะไม่หาเรื่องให้ตัวเองเลย
“โฬมรู้มั้ยว่ามี ถึงจะมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่โฬมไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ครับ?”
“กลิ่นตัวโฬมยังหอมเหมือนเดิม”อดีตหนุ่มคนรักถึงกับทำหน้าเหวอไปชั่วขณะ ท่าทางแบบนั้นทำเอาพุฒิอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้แกล้งคน
“งั้นเหรอครับ? ผมก็ว่าพี่ยังเอวเล็กเหมือนเดิมนะ เพราะผมกอดเมื่อกี้ก็แทบจะจมเข้าไปในอ้อมกอดของผม”
เชี่ย!
พุฒิอ้าปากพะงาบๆ หน้าร้อนวูบวาบนึกถึงภาพเมื่อกี้ที่โฬมโอบเอวเขาแล้วยกขึ้นเพื่อช่วยให้ข้ามรั้ว ลืมไปเลยว่าเมื่อกี้ปล่อยให้ฝ่ายนั้นทั้งโอบและกอดเอวตัวเอง ปฏิกิริยาทางร่างกายนั่นทำให้พุฒิร้อนไปหมดคาดว่าตอนนี้ใบหน้าเขาคงกำลังแดงก่ำ
โฬมกดยิ้มมุมปากแล้วค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้จนมีเพียงรั้วไม้ที่กั้นกลางระหว่างเรา
“อ๋อ ผมลืมบอกอีกอย่างว่านอกจากผมจะจำได้ว่าพี่เอวเล็กแล้ว ผมยังจำได้ว่าพี่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่”
มากเกินไปแล้ว!
“เพราะเวลาพี่ได้กลิ่นมัน พี่ชอบทำจมูกบานๆ แบบนี้”
พุฒิหน้าตื่นรีบยกมือปิดบังจมูกตัวเองที่กำลังทำท่าทางตรงตามที่ฝ่ายนั้นพูดทุกอย่าง
“ฉะนั้นตอนนี้พี่ควรกลับเข้าบ้านไปได้แล้ว เพราะกลิ่นบุหรี่ตรงนี้มันเหม็น เดี๋ยวจะไม่สบาย”ตายๆๆ
หัวใจเต้นแรงมาก
พุฒิเดินเหม่อลอยจับหัวใจตัวเองที่เต้นแรงมากมาหยุดยืนอยู่กลางบ้าน ชายหนุ่มสูดลมหายใจแรงๆ เหมือนพยายามระงับอาการประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น พ่อลูกหนึ่งเดินเหม่อลอยมาจนถึงห้องนอนตัวเอง เขาค่อยทำเสียงเบาเพราะเกรงจะรบกวนเจ้าหมูที่หลับสนิท พุฒิยิ้มขำเมื่อเห็นสภาพลูกนอนกลับหัวกลับหาง เสื้อนอนเลิกสูงขึ้นจนเห็นพุ่งน้อยๆ กระเพื่อมขึ้นลง ปลายเท้าที่หันไปทางหัวนอนชี้โด่ชี้เด่ชวนขำ เห็นแบบนี้พุฒิเลยขยับลูกให้นอนถูกทิศทางและกดจูบที่ฝ่าเท้านุ่มนิ่มนั้นอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะห่มผ้าห่มให้เจ้าหมูน้อยที่นอนน้ำลายยืดหลับตาพริ้ม
หลังจากอาบน้ำเสร็จพุฒิมาแอบเลิกผ้าม่านห้องตัวเองเพื่อมองตรงไปยังบ้านข้างๆ ที่มีระเบียงตรงข้ามกัน กี่วันแล้วที่เขามาแอบเลิกม่านดูเจ้าของบ้านข้างๆ เดินวนไปวนมาด้วยอิริยาบถแบบนั้น จริงๆ ไม่ถึงกับแอบดูหรอกเพียงแค่บังเอิญเห็นคนข้างบ้านแถวๆ ระเบียงห้องตรงข้ามในเช้าวันหนึ่ง และตั้งแต่นั้นมาเขาเลยเพียงแค่เลิกม่านสังเกตการณ์เท่านั้นเอง
“ฮึก”
เสียงประหลาดนั่นทำให้พุฒิละความสนใจจากบ้านข้างๆ แล้วผละไปหาเจ้าหมูที่นอนหลับแต่สีหน้ากลับมู่ทู่ ปากน้อยๆ เม้มแน่นก่อนจะปล่อยเสียงสะอื้นออกมา
“ฮือ ไก่หนู”
“พิกเล็ตลูก” พุฒิเขย่าตัวลูกที่นอนละเมอ
“ฮึก อย่าแย่งไก่ทอดหนู”
พิกเล็ตร้องไห้โฮจนพุฒิต้องเขย่าปลุก และพอลืมตาได้เจ้าหมูก่อนโผลกอดเขาและเบะปากทันที
“ฮือ พ่อจ๋า ไตตั้นแย่งไก่ทอดหนู”
โธ่ลูก!
ความเจ็บปวดของเจ้าหมูพิกเล็ตวัยสี่ขวบคือฝันว่าถูกเพื่อนแย่งไก่ทอด โธ่ ลูกเอ้ย
“ชู่ว! หนูแค่ฝันไปครับลูก”
“จริงเหรอฮะ”
“ครับ”
พุฒิประคองลูกลงนอนก่อนจะตบก้นสามสี่รอบ ไม่นานหมูน้อยก็หลับตาพริ้มหลับสนิทไปในอ้อมกอดเขาในที่สุด พุฒิจูบขมับที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของลูกทั้งๆ ที่เปิดแอร์เสียเย็นฉ่ำ สงสัยจะฝันว่าแย่งไก่ทอดกับเพื่อนรักจนน่าดำหน้าแดง ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะหลับตา
‘อ๋อ ผมลืมบอกอีกอย่างนอกจากผมจะจำได้ว่าพี่เอวเล็กแล้ว ผมยังจำได้ว่าพี่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่’
พี่ก็ลืมบอกไปว่านอกจากกลิ่นตัวโฬมที่หอมแล้ว "อ้อมกอดของโฬมก็ยังมั่นคงแข็งแรงเหมือนเดิม"เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
พุฒิอมยิ้มในความมืด
★ ☆★ ☆★ ☆
บทที่6-7มีการแก้ไขเนื้อหา โดยเพิ่มเติมเนื้อหานะคะ แต่ไม่สามารถลงเพิ่มได้เนื้อจากกระทู้ติดลิมิตตัวอักษร
ยังไงติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมนี่ได้ที่แฟนเพจหรือในเด็กดีนะคะ (8/8/61)