เริ่มเรื่องใหม่แล้วจ้า
ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ตัดจบเรื่องก่อนแบนี้ เป็นเพราะไม่มีใจจะเขียนแล้ว
การเขียนนิยายมันก็ขึ้นอยู่อารมณ์และที่สำคัญอีกอย่างคือคอมเม้นต์
คอมเมนต์น้อยก็เหมือนบั่นทอนกำลังใจ ทำให้รู้สึกว่า ฉันเขียนไม่ดีเหรอ ไม่สนุกหรือไง
พอคิดขึ้นมาก็พาลโทษตัวเองว่า ทำได้ไม่ดีเท่าไร อารมณ์อยากลองของใหม่ก็ตามมา
ขอโทษด้วยแต่มันทำใจยากที่เสนอผลงานต่อ ดังนั้นจึงหันกลับมาหาตอนเดียวจบเหมือนเดิมคะ
หวังว่าทุกคนคงชอบ ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ
เรื่องสั้นที่ 32 ไฟกลางฝน
ณดลเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิดมีแสงสว่างแลบปร้าดส่งเสียงดังครืนเบาๆส่งสัญญาณถึงการมาของลมฝนใหญ่
น่ากลัวว่าคงต้องเปียกแน่ๆ เขาหันมามองคนที่ก้มหน้าก้มตาพยายามซ่อมมอเตอร์ไซด์เอาเป็นเอาตาย
ด้วยแสงไฟอันน้อยนิดจากมือถือ
“เป็นไงบ้าง พอไหวไหม”
“ไม่ไหว มองไรไม่เห็นเลย” สุริเยนเพื่อนร่วมชมรมส่ายหน้า เขาลุกขึ้นปัดเศษหญ้าออกจากหัวเข่า
ณดลหันไปมองทุ่งข้าวรอบๆตัวอย่างสิ้นหวัง
พวกเขามาจัดกิจกรรมของชมรมนักปั่นจักรยานเสือภูเขาที่หมู่บ้านของเพื่อนสมาชิกคนหนึ่ง
แน่นอนล่ะคนเยอะเรื่องก็แยะกับข้าวและเครื่องดื่มที่เตรียมมาไม่พอ
เขาที่ถือกระเป๋าเงินรวมของสมาชิก็เป็นหน้าที่ต้องไปซื้อเหล้าเบียร์ของกิน
ส่วนสุริเยนเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่เมาเลยอาสาขับมอเตอร์ไซด์ของผู้ใหญ่บ้านมาส่ง แล้วมันดันมาตายตรงนี้สิ
“ทำไงดี” กลางทุ่งอย่างนี้เขาไม่เห็นที่หลบฝนเลย
“ไปเถอะ อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์” สุริเยนลากรถไปตามทางในความมืด ณดลหิ้วถุงใส่ของเต็มสองมือตามไปติดๆ
ในใจคิดว่า รู้งี้ไม่ตามใจทุกคนก็ดี ต้องมาลำบากลำบนย่ำขี้โคลนกลางดึกแถมฝนไล่หลังมาแล้วด้วย
ลมเย็นๆพัดใส่หลังเขาสุดแรงจนขาแทบขวิด ไม่ทันไรฝนก็เทโครมลงมา
“เว่ยยยย...”
“วิ่งเร็ว ข้างหน้ามีที่หลบอยู่” สุริเยนตะโกนบอก เขาดันไอ้มอเตอร์ไซด์เก่าๆวิ่งนำลิ่วๆ
มีกอไผ่ใหญ่อยู่ข้างหน้าพอให้หลบฝนได้ชั่วคราว ณดลวิ่งหิ้วของพะรุงพะรังมา
ใต้ร่มใบไผ่กันฝนได้ไม่ดีนัก จอดมอเตอร์ไซด์คันเดียวก็ไม่มีเหลือแล้ว
เปรี้ยง!!!!!
“เหวอ!!” ณดลเข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น เขาว่าหลบใต้ต้นไม้ก็ใช่ว่าปลอดภัยอาจโดนฟ้าผ่าได้
“ทำไงดี จะไปหลบที่ไหน??”
“ทางโน้นมีขนำพอให้หลบได้ มาเถอะ” สุริเยนคว้าข้อมือเขาลากให้เดินบนคันนาไปที่ขนำหลังเล็ก
สภาพไม่ต่างจากเพิงหมาแหงนเท่าไร แต่ตอนนี้ไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรทั้งนั้น
ณดลเข้าไปหลบใต้แผงหญ้าคามีผนังพอบังแรงลมแค่ด้านเดียว พื้นแคร่ก็มีจำกัด
ถุงพลาสติกเปียกๆวางไว้มุมหนึ่ง เขาสองคนนั่งเบียดในมุมที่อับลม แล้วเช็ดตัวให้แห้งที่สุด
“แย่ที่สุดเลย” ณดลว่า
“ไม่นึกว่าฝนจะตกนะ”
“ถ้าตกทั้งคืนล่ะจะทำไง”
“คง....มีใครมาตามหาอยู่มั่ง” สุริเยนคิดในแง่ดี
“พวกนั้นน่ะเหรอ” ณดลนึกถึงพวกเพื่อนๆที่กำลังก๊งได้ที่
“เอ่อ....คงไม่สินะ”
“อย่าไปหวังเลย”
ทั้งคู่นั่งมองฝนกระหน่ำลมแรงพัดมาแต่ล่ะทีหนาวจับใจ
“นายทำอะไร?” ณดลเบี่ยงตัวหลบศอกอีกฝ่าย
“เสื้อเปียก มันหนาว”
“อย่างนี้ไม่หนาวกว่าเหรอ”
“ก็ยังดีกว่าใส่เสื้อเปียกๆแหละ...เจอลมแรงอย่างนี้เดี๋ยวก็ปอดบวมหรอก”
“ก็จริง....” เขาเห็นด้วยเลยถอดเสื้อออกด้วยคน เสื้อชื้นอยู่บ้างแต่ก็พอให้เช็ดเนื้อเช็ดตัว
เอาชายเสื้อสอดใต้คานไม้ไผ่ผึ่งลมเป็นผนังบังฝนได้บ้าง ณดลถอดรองเท้าเอาขากางเกงเช็ดง่ามเท้าให้แห้ง
“นี่ ถามหน่อยเถอะ” สุริเยนว่า
“เราอยู่ชมรมเดียวกันมาจะเป็นปีแล้ว นายจำชื่อฉันได้หรือเปล่า หื้อ?? เห็นเรียกนายเป็นอยู่คำเดียว”
ณดลนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเหล่มองคนนั่งข้างๆ ดวงตาเขาส่องประกายในความมืดเหมือนดวงดาว
มองเห็นใบหน้าไม่ชัดแต่ก็จำได้ว่า ผมสั้นสีตาลหัวตั้งๆเป็นหนามทุเรียน ตาคม รูปหล่อ สาวๆชอบเม้าท์ถึงบ่อยๆ
“โทษที...ฉันจำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง นายชื่ออะไรนะ”
“สุริเยน ชื่อเล่น ลีโอ”
“เหรอ ฉันชื่อ....”
“ไอน้ำ” อีกฝ่ายดักคอไว้ก่อน ณดลมองตาปริบๆเลย “นายเป็นคนเก็บเงินของชมรมเรา ใครมั่งจะไม่รู้จัก”
“เหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะแฮะๆ รู้สึกผิดยังไงไม่รู้
เขานั่งกอดเข่าพยายามทำให้ตัวอุ่นรอบกายมีแต่เสียงฝนและลมเย็นๆเป็นเพื่อน ไม่มีเรื่องจะคุยเลย “หนาวนะ”
“เขยิบมาสิ นั่งเบียดๆหน่อย มันจะอุ่นกว่า” วงแขนแข็งแรงโอบไหล่ให้เขยิบมาอีกนิดแล้ววางแขนอยู่อย่างนั้นเลย
ณดลนั่งตัวแข็งนิดๆเขาไม่ค่อยได้ใกล้คนแปลกหน้าเท่าไร รู้สึกอึดอัดแต่ไออุ่นที่สัมผัสกายนี้ช่วยได้เยอะทีเดียว
เขาไม่กล้าเงยหน้ามองตรงๆเลยเหลือบมองด้วยหางตา เห็นแค่ปลายคางกับปากได้รูป
“ขอบคุณนะ”
“หา?” อีกฝ่ายเอนหูมาใกล้
“ขอบคุณ”
“อ้อ....”สุริเยนพยักหน้ารับรู้ “ขี้เกรงใจจังนะ”
“ก็.....เราแทบไม่รู้จักกันนี่นา” พูดงี้ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไรแฮะ ณดลเพิ่งคิดได้ว่าอยู่ชมรมเดียวกันก็น่าจะถือเป็นเพื่อนกันได้สิ
“เหรอ....อยู่ชมรมเดียวกันมาก็นานแล้วนะ นายจำไม่ได้หรือว่าใครช่วยทำโปสเตอร์แปะบอร์ดกับนายมาตลอดทั้งเทอม หื้อ??”
“เอ่อ.....” มีแต่เสียงหัวเราะแห้งๆ
“นายนี่มันความจำสั้นจริงๆ” สุริเยนขี้หัวกลมทุยแรงๆ
“โอ้ยๆ...เปล่านะ ฉันไม่ได้ความจำสั้นซะหน่อย” เขาปัดมือบนหัวออก “ฉันว่า ฉันเจอนายไม่กี่ครั้งเองนะ”
“เห้อะ” สุริเยนสบถ น้ำเสียงน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไร
“โกรธเหรอ”
“โกรธได้ไง เราไม่ใช่เพื่อนกันนี่”
“อย่าว่างั้นสิ” ณดลเสียงอ่อยลงจนหายไปกับเสียงฝนกระหน่ำ เขานั่งเงียบด้วยความเกรงใจ
แต่บางอย่างทำให้เขาทนอยู่เฉยๆไม่ได้ “นี่....ลีโอ ฉันมีไรจะบอก”
“อะไร”
“ถ้าบอกแล้วอย่าโกรธนะ”
“ก็อะไรล่ะ” น้ำเสียงขุ่นขึ้นไปอีก
“นายเอาแขนลงได้เปล่า.....ขนรักแร้นายมันเกลี่ยหลังฉัน จักกะจี้ไปหมดแล้ว”
“หา??อะไร....ขนฉันไม่ได้ยาวสักหน่อย” สุริเยนยกแขนขึ้นลองเอามือสาวความยาวดู
“ยาวสิ ยังกะแปรงขัดพื้นงั้นล่ะ”
“พูดไปนั่น มันไม่ได้ยาวขนาดนั้น”
“ยาว...”
“ไม่ยาว...มันขนาดปกติแค่นี้เอง” เขาชูแขนโชว์จักกะแร้ให้ดู
ณดลเอามือจับหาเส้นที่ยาวที่สุด “เฮ่ย...อย่าบิดสิ มันเสียวนะเว้ย”
“บ่นจริง ....นี่...เห็นไหมขนนายมันยาวเป็นนิ้วเลย”
“ก็ปกตินี่”
“ปกติมันต้องของฉันต่างหาก” ณดลชูรักแร้ให้ดู “ยาวสุดแค่ 2-3 ซ.ม เอง”
สุริเยนเอามือลูบดู เนื้อนิ่มราบเรียบแทบไม่มีอะไร “นี่เหรอปกติ เขาเรียกโกร๋นแล้ว”
“ไม่ได้โกร๋น”
“โกร๋นสิ จับแทบไม่ได้อะไรเลย คงเส้นเล็กแล้วมีเป็นหย่อมๆแห๋ง”
“ปากเรอะนั้น ใครเขาจะมีเป็นหย่อมๆ เอามือถือมานี่” ณดลแย่งเอามือถือของสุริเยนมาถ่ายรักแร้ตัวเอง
แสงแฟล๊กสว่างแว่บใต้หลังคาหญ้าแห้งๆวูบหนึ่ง “เอ้า...ดูซะ”
...............................................
..........................
“ฮะฮะ..... ฉันว่าแล้วนายมันเส้นเล็ก สีน้ำตาลด้วย นี่.. ข้างล่างนายก็แบบนี้ใช่ไหม”
สุริเยนหัวเราะชอบใจใหญ่ ณดลหน้าบูดหนักกว่าเดิม
“พูดยังกะตัวเองดีเด่นักล่ะ ขนปุยอย่างนี้ผู้หญิงไม่ชอบหรอกจะบอกให้”
“ผู้หญิงชอบปุกปุย”
“ไม่จริงเลย” สองคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง สุริเยนฉุนขึ้นมาเอามือถือสอดเข้าในกางเกงถ่ายแช๊ะออกมา
“ทำอะไรน่ะ”
“ดูซะ...นี่ล่ะหลักฐาน ปุกปุยอย่างฉันนี่แหละ สาวๆชอบ”
“ทุเรศจริง ไม่ต้องเอามาให้ดูนะ”
“ดู!!” สุริเยนยื่นมาเกือบจะจ่อติดหน้าเลย ณดลเบือนหน้าหนี เขายันหน้าอีกฝ่ายออก
ไม่พอต้องฝากฝ่ามือตบอีกหลายแป๊ะ กลายเป็นเล่นตีกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ร่างผอมเล็กกว่าถึงกับเซหงายหลังจะตกจากแคร่ วงแขนแข็งแรงรีบคว้าเอวไว้
น้ำฝนเย็นๆกระทบลงบนใบหน้า ณดลยกตัวขึ้นมาหลบฝน หน้าเขาซุกเข้ากับซอกคออุ่นพอดี
วงแขนแข็งแรงโอบรอบตัวเขากันตก นั้นก็เหมือนพวกเขากำลังกอดกันอยู่
กลิ่นลมหายใจร้อนๆรดอยู่ข้างหู เนื้อตัวเปลือยเปล่าอุ่นในที่สัมผัสกันเท่านั้น
ที่ว่างเปล่านั้นเย็นสะท้านจนอยากให้เนื้อหนังห่มกันมากกว่านี้
ณดลขยับออกห่างเขารู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า มันร้อนเหมือนไฟได้ยังไง
ดีที่ตอนนี้มืดมองไม่เห็นสีหน้ากัน เขามองไปทางอื่นอย่างอึดอัด “ฝนยังไม่หยุดอีก....หนาวอยู่เลยนะ”
“ดื่มหน่อยไหมจะได้อุ่นขึ้น” สุริเยนค้นในถุงของร้านสะดวกซื้อ
“ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ชอบดื่ม”
“อากาศอย่างนี้มันช่วยให้อุ่นขึ้นนะ” เขายื่นขวดเหล้าไทยกลมๆให้ถือทั้งขวดเลย
ณดลมองขวดในมืออย่างชั่งใจว่าจะดื่มดีไหม สุริเยนเห็นชักช้าไม่ทันใจเลยหยิบมาเปิดขวดเสียเอง เขายกขึ้นดื่มอึกๆๆ
“เฮ่อ....ค่อยยังชั่วหน่อย” ท่าทางสบายตัวขึ้นเยอะ
ณดลเลยยกขึ้นจิบบ้าง รสขมๆบาดคอผ่านลำคอไปอย่างยากเย็นพอตกถึงกระเพาะเท่านั้นก็ร้อนวูบเลย
ไม่ชอบทั้งกลิ่นทั้งรส แต่ความร้อนแรงนั้นสุดยอดเลย เขาหันมาจะนั่งที่เดิมกลับโดนอีกคนยึดไปหมดเลย
“เขยิบเด่”
“ฝนสาดอ่ะ”
“แล้วจะให้ฉันนั่งตรงไหนล่ะ”
“มานี่สิ” สุริเยนดึงเขามานั่งตรงกลางระหว่างขา ให้เอนหลังพิงตัวเขาไว้
ตอนแรกณดลนั่งหลังตรงไม่กล้าพิงเท่าไร นานๆไปก็เมื่อยเลยเอนพิงเป็นพักๆ
“ยังหนาวอยู่ไหม”
“นิดหน่อย...” จะหนาวกว่านี้ได้ยังไงในเมื่อมีคนช่วยบังลมให้
สุริเยนนั่งตัวชิดหลังบางท่อนแขนโอบรัดรอบตัว ปลายคางวางเกยบนบ่า ลมหายใจรดซอกคอชวนให้จักกะจี้
“โทษทีนะ...ที่จำนายไม่ได้เลย”
...................................................
...................................
“ไม่เป็นไร.....ฉันจำฝ่ายเดียวก็ได้”