จู่ๆเขาก็หยุดมือที่กำลังกอบกำดินร่วนเนื้อละเอียดนั้นเสียแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองนั่งเหม่ออยู่แบบนั้น โรเรเนสกำลังคิดว่าลางสังหรณ์ของเขาน่าจะถูก อีกไม่นานเขาต้องเตรียมตัวต่อการมาถึงของบุรุษที่เขาเลี่ยงการพบเจอมานาน
มีคืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อนเขาตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือนมีใครกำลังจ้องมอง แต่เมื่อมองสำรวจแลออกเสียงเรียกไปทั่วก็ไม่พบจริงๆว่าจะมีผู้ใดอยู่ร่วมห้องกับเขา กระนั้นก็เถิดเขาก็ยังมั่นใจว่าฟารันนั้นมาหาเขาที่ห้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรดลใจทำให้เขาคิดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกได้แบบนั้นจริง หลังจากนั้นเมื่อล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลันหลับฝันไปถึงความทรงจำบางอย่างที่เขาลืมเลือนไปแล้ว กับการมาเยือนของเด็กน้อยที่เฝ้ามองเขาวันแล้ววันเล่าพลางซบแก้มใสลงบนต้นขาหินอ่อนอันเย็นเฉียบของเทวรูป
แล้วเมื่อตื่นเขาก็คิดขึ้นได้ว่าควรจะสะสางความสัมพันธ์คาราคาซังนี้ซะ มันควรจะเรียบง่ายและจบสิ้นไปเสียมิให้เหลือเยื่อใยแห่งความหวังใดๆที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่ามันยังมีอยู่ ก็จนเมื่อเช้าวานนี้เขาก็เดินเข้าไปหาลากลอซและพูดไปอย่างเรียบง่ายว่าเขาต้องการพูดคุยกับองค์ราห์โอถึงเรื่องทุกอย่างในอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่ระหว่างพวกเขามันควรจะเป็นไป แม้จะผิดธรรมเนียมไปเสียหน่อยที่จะเรียกให้กษัตริย์มาหาแทนที่ข้าราชการในระดับเขาจะต้องเป็นคนไปเข้าเฝ้าเอง แต่แน่นอนว่าสำหรับความรู้สึกที่เขามีต่ออีก่ายทำให้มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น จึงได้ฝากบอกไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าอยากจะมาคุยหรือไม่ก็ได้
เขาไม่อาจล่วงรู้ได้หรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทิ้งเวลาเป็นวันกว่าจะหาโอกาสมาพบเขาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นและได้แต่ทำงานไปเรื่อยๆจนความรู้สึกว่าตนกำลังจะได้พบคนๆนั้นมันเกิดขึ้น
องค์ราห์โอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยากคุยด้วย แน่นอนว่าเขารู้สึกดีใจที่โอกาสจะปรับความเข้าใจนั้นมาถึงแล้วแต่ความกังวลกับคำตอบที่จะได้รับกลับมานั้นยังวนเวียน ความกระวนกระวายนั้นสุมอกมาตั้งแต่เมื่อวานท่ามกลางความวุ่นวายของภาระ ยามนี้เขาก็กำลังสาวเท้าอย่างหนักแน่นเดินตรงไปยังโถงทางเดินที่เชื่อมไปยังสวนและพยายามอย่างที่สุดที่จะระงับสติอารมณ์ของตนไว้เมื่อยามก้าวเข้าไปในเรือนกระจกนั้น แล้วยิ่งต้องข่มความรู้สึกมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเดินย่างเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังวางกล้าต้นน้อยลงดิน
โรเรเนสนั่งอยู่เช่นนั้นกับชุดฝ้ายสีหม่นและผ้ากันเปื้อนเนื้อเดียวกัน ผมสีม่วงอ่อนของเขาถักเป็นเปียหลวมๆยาวไปถึงกลางหลังต้นคอสีขาวเนียนนั้นมองดูจากด้านหลังไม่อาจเห็นรอยแผลเป็นจากคมดาบได้แต่เมื่อเอนเอียงเมียงมองไปซ้ายทีขวาทียามทำงานก็เห็นได้บ้างกับซีกหน้าที่ผุดผาดและบางส่วนของรอยแผลที่ยังชัดเจนอยู่
“ลากลอสบอกว่าเจ้าอยากคุยกับข้า”
มือเรียวผละออกจากงานที่ทำ เขาไม่แสดงอาการแปลกใจใดๆกับการมาเยือนและไม่แม้จะหันไปมอง
“ใช่แล้ว”
ฟารันกัดปากตัวเองแน่นเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้พร้อมทั้งเรียกขึ้นด้วยสุ้มเสียงเจือเศร้า
“โรเรเนส ข้า...”
“อย่าเข้ามา”
“.............”
“อภัยข้าด้วยหากต้องสนทนากับท่านอย่างไม่สมเกียรติ แต่ถ้าเราอยากจะพูดคุยกันอย่างจริงจังโปรดจงอยู่ในจุดที่ท่านยืนนั้นเถิด”
เขาหยุดยืนตามคำห้ามก่อนจะพยายามอีกครั้งแล้วเป็นฝ่ายเริ่มพูด
“ข้าขอโทษ”
“.............”
“ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพราะความเขลาของข้า เป็นความผิดของข้า ข้าขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ข้าทำลงไป ขอโทษสำหรับความไม่เชื่อใจ การเอาแต่ใจและทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าได้พลาดไป ข้า...”
ผู้ที่นั่งหันหลังยังนิ่งไม่มีเสียงตอบและคาดไม่ได้ว่ากำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรอยู่
“ให้โอกาสข้าเถอะ อภัยให้ข้าด้วย”
หน้าสวยหลุบตาลงต่ำ เขาทิ้งช่วงไปปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารออยู่พักหนึ่ง
“ท่านจะบอกว่าท่านเชื่อแล้วว่าข้าเป็นเทพ?”
องค์ราห์โอนิ่งงันไป คำพูดและคำเตือนของท่านหมอฝุดขึ้นในกระแสสำนึกของเขา
“ข้าบอกได้เพียงแค่ทั้งหมดที่ข้าทำได้นี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าและดีที่สุดสำหรับท่านหมอ”
“ท่านส่งเขาไปอยู่ที่อื่น!” เด็กหนุ่มกล่าเสียงเครือเขาเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อยพอให้เห็นหางตาที่รื้นน้ำนั้น
“ถ้าท่านคิดว่าเพียงการไว้ชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและปราณีที่สุดท่านก็เข้าใจผิดแล้ว เหตุผลเดียวที่ข้ายังอยู่นั่นคือต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ท่านหมอนั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการที่สุด...ไม่ใช่การดูแลจากท่านหรือคำขอโทษของท่าน”
“มันมีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่อาจล่วงรู้และเข้าใจได้ โรเรเนสตอนนี้ข้าตาสว่างแล้วสัญญาว่าข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ข้าบอกได้แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้สิ่งที่เป็นอยู่มันคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ”
“นั่นก็ตามแต่ท่านจะตัดสินใจเถอะ ข้าก็เป็นแค่คนสวนไม่ใช่หรือ”
“ยกโทษให้ข้าเถอะนะ ขอให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีกซักครั้งเถอะ”
เทพหนุ่มเกศม่วงเงียบไปอีกครั้ง คราวนี้ทิ้งช่วงนานกว่าเดิมจนฟารันเกือบจะเอ่ยปากถามซ้ำอีกรอบแต่แล้วก็ชะงักไปเพราะผู้ถูกถามลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินห่างออกไป ท่ามกลางหมู่มวลพรรณพืชที่ค่อยๆเริ่มแตกยอดอ่อนบ้างเป็นพุ่มบ้างเป็นต้น
“ราห์โอข้าจะดูแลสวนของท่านให้ดีที่สุด”
เขากล่าวขณะก้าวย่างข้ามสะพานเล็กๆที่สร้างอยู่เหนือลำธารประดิษฐ์นั้นไปอีกฝั่ง
“ในยามนี้มีไม้ดอกหลายพันธุ์ในสวนแห่งนี้กำลังค่อยๆเบ่งบานตามใจปรารถนาของท่านและข้าจะพยายามกับอีกมากมายในนี้ที่ยังไม่ยอมออกดอก”
เขาเดินเลี้ยวเข้าไปยังใต้ต้นไม้ขนาดกลางๆต้นหนึ่งก่อนจะหันกลับมาทว่าก็ยังมิอาจมองเห็นกันและกันได้ด้วยแมกไม้ที่แผ่กิ่งนั้นบดบังหน้างามและคราบน้ำตายาดใสนั้นอยู่
“เว้นเสียแต่ต้นอนาไลต้นนี้ ที่จะบานเพียงสามปีครั้งในช่วงฤดูเหมันต์เท่านั้นและช่วงเวลานั้นไปผ่านพ้นไปแล้วต่อให้พยายามแค่ไหนหรือเรียกร้องมากเพียงใดนางก็ไม่อาจผลิบานดอกงามใดๆให้ได้ยลโฉม ทุกสิ่งทุกอย่างมีช่วงเวลาเหมาะสมของมันแล้วเมื่อมันได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืนได้”
เสียงธารน้ำนั้นไหลรินแม้นจะแผ่นเบาแต่ก็ยังฟังชัดท่ามกลางเสียงซ่าของน้ำตกกระจกที่ครอบอยู่รอบด้าน ริมฝีปากระเรือนั้นเรียบสนิทสีของมันเด่นชัดอยู่ระหว่างสีเขียวๆของใบไม้ นั่นคือทั้งหมดที่ฟารันจะมองเห็นได้ เขาไม่อาจรับรู้ความรู้สึกใดๆผ่านสีหน้าของอีกฝ่ายทำได้แต่เพียงจ้องมองริมฝีปากงามนั้นและเฝ้ารอให้มันขยับเอื้อนเอ่ยออกมา
“ข้าสามารถยกโทษให้ท่านได้แต่ข้าไม่สามารถจะรู้สึกดีกับท่านได้ สิ่งที่ข้าต้องการบอกแก่ท่านก็คือข้าอยากให้ท่านเลิกคิดเสียทีว่าทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ช่วงเวลาผลิบานของอนาไลได้ผ่านไปแล้วท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรือขอขมาใดๆแก่ข้า หากต้องการให้ข้ายกโทษให้ข้าก็ทำให้ได้แต่หากท่านต้องการความรู้สึกที่ข้าเคยมีให้นั่นคงเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมันเมื่อมันหมดไปแล้วก็เท่านั้นมันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจฝืนได้ หัวใจก็เช่นกัน”
“จะให้ข้าทำเช่นไร....ความทรมาณที่ข้ามีนี้ยังไม่พอจะชดใช้กระนั้นรึหากเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้มากกว่านี้ข้าก็ยอมเพียงแค่บอกมาว่าทำอย่างไรเราถึงจะกลับมาดีกันได้อีก”
“ข้าไม่รู้หรอก นี่มันเหนือเกินไปกว่าที่สิ่งใดในจักรวาลจะทำได้ ความคิดนั้นอาจพอจะจัดการได้จะขอให้ข้าคิดให้อภัยท่านั้นย่อมทำได้ แต่ความรู้สึกของคนนั้นไม่อาจจัดการได้ข้าจึงไม่สามารถรู้สึกดีกับท่านเหมือนเช่นที่ผ่านมาได้และข้าก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับในเรื่องของจิตใจนี้”
เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเดินหายไปหลังลำต้นครานี้ก็ไม่อาจมองเห็นได้แม้ปลายเส้นผมเหลือเพียงเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนเป็นต้นอนาไลนั่นเองที่เป็นคนพูด
“ข้าเป็นเทพอยู่มาหลายพันปียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบังคับจิตใจคนได้อย่างไร การที่ท่านขอให้ข้ากลับไปรู้สึกกับท่านดั่งเช่นแต่เก่าก่อนนั้นข้าก็จนปัญญาเพราะแม้นใจข้าเองข้าก็สั่งมันไม่ได้”
“......โรเรเนส”
“ข้าเป็นเทพข้ายังทำไม่ได้แต่ถ้าท่านคิดว่าราห์โอทำได้ก็ทำ ข้าก็ขอให้ท่านเริ่มจากจิตใจของท่านก่อน....ทำให้มันไม่รู้สึกอะไรเช่นที่ข้าไม่รู้สึกแล้วกับท่าน”
บาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจความเจ็บหน่วงนั้นหนักแน่นจนเขาพูดไม่ออก ฟารันนิ่งงันไร้สุ้มเสียงความรู้สึกนั้นถาโถมท่วมท้นขึ้นมาจนจุกแลพลันก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างตีบตันอยู่ในลำคอ เขากัดฟันแน่นเหมือนพยายามให้ทั้งหมดที่รื้นขึ้นในใจนั้นกลับย้อนลงไป เขาค่อยๆหายใจลึกๆก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มันสั่น
ตาเศร้าคู่งามค่อยๆเคลื่อนออกจากเงาไม้เขามองลอดใบไม้หนาทึบนั้นออกไปเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆใบหน้าหล่อคมสันนั้นดูทรมาณจนยากจะปิดมิด ตาคมนั้นหลุบลงมองต่ำจนปอยผมสีเข้มนั้นหล่นลงมาปรกหน้าในบางส่วน
นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดแต่เขาต้องทำ
โรเรเนสเดินออกมาจากแมกไม้นั่นแล้วค่อยๆย่างเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟารันมองร่างนั้นด้วยอารมณ์หลายอย่างทั้งโหยหาทั้งเจ็บปวด แววตาอ่อนโยนที่มองมาท้นไปด้วยความเศร้าและคำถาม ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรแก่กันจนกระทั่งเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดนิ่งในระยะที่ห่างกันพอตัวแต่ก็ใกล้มากพอที่จะเห็นสีหน้าของทั้งสองฝ่ายได้
“ข้าอาจมองหน้าท่านได้หลังจากนี้ แต่เราก็เพียงแค่ทำงานร่วมกันได้อยู่ร่วมชายคากันได้ เพียงเท่านี้ที่ข้าต้องการในความสัมพันธ์ของเราขอข้าเป็นเพียงแค่คนๆหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นี่เถอะ”
ฟารันขบริมฝีปากแน่นเขาจ้องลึกลงไปในตาเศร้าคู่นั้นก่อนจะต้องเบือนหนีด้วยทนไม่ได้
“ท่านกลับไปเสียเถิดเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“เจ้ารู้อะไรไหม”
“...........”
“แม้นช่วงเวลาของการผลิดอกนั้นผ่านไปแล้วและแม้ไม่ว่าจะต้องรอนานเท่าใด แต่ซักวันหนึ่งอนาไลก็จะต้องผลิดดอกของมันมาอีกครั้ง และข้าก็ยินดีที่จะรอ”
“อย่ารอเลยเพราะถึงแม้จะมีฤดูกาลเป็นตัวกำหนดแต่อนาไลต้นนี้อยู่ผิดที่ผิดทางไม่มีอะไรการันตรีได้ว่ามันจะออกดอกได้ มันมาไกลเหลือเกินจากบ้านเกิดของมันมาสู่ดินที่มันไม่รู้จักสภาพที่มันไม่คุ้นเคยข้าไม่อาจรับประกันได้เลยว่าอีกสามปีหลังจากนี้หรือนานไปกว่านั้นมันจะออกดอกหรือไม่.....ท่านกลับไปเถิดกลับไปใช้ชีวิตของท่านส่วนอนาไลต้นนี้มันก็อยู่ได้อยู่แล้วถึงแม้ไม่มีท่านมีแค่ลำธารสายนี้ให้น้ำมันก็เพียงพอแล้ว”
ฟารันเลื่อนสายตามามองคนตรงหน้า ใบหน้างามนั้นเรียบเฉยแม้จะดูออกว่ามีคราบน้ำตาแต่ก็ชัดเจนในคำพูดของเขานั่นแล้วว่ามันจบเพียงเท่านี้
“ข้าไม่อาจจะล้างความรู้สึกที่มีต่อเจ้าได้แม้นที่ผ่านมาข้าจะทำตัวเช่นนั้น” เจ้าของตาคมนั้นเอ่ยขึ้น “และข้าก็ไม่อาจห้ามให้ตัวเองล้มเลิกความตั้งใจได้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้”
แล้วเขาก็เดินจากมาตามคำขอ หันหลังกลับออกไปจนสิ้นเสียงและไร้เงาของเขานั่นแหละ ตาหวานเศร้านั้นถึงยอมปล่อยน้ำตาออกมา
--------------- ----------------- ------------------
[/color][/b]
อีกวันหนึ่งของแดดจ้าที่ร้อนระอุ ฟารันกำลังสะสางงานอยู่ในห้องทรงงานร่วมกับลากลอสพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเอกสารมากมายจนเกือบไม่ได้สนใจกองจดหมายที่เพิ่งมาใหม่เลย หากไม่เพราะลากลอสสังเกตุเห็นลายมือที่คุ้นคาประทับอยู่บนซองจดหมายฉบับหนึ่งนั่นแหละ พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าอะไรกำลังจะมาถึง
“ให้ข้าอ่านให้ไหม” ลากลอสถามพลางชูจดหมายฉบับนั้นขึ้น
“อ่านแล้วสรุปให้ข้าฟังก็พอ เนื้อหาจริงๆคงมีอยู่ไม่กี่บรรทัดนอกนั้นก็คงแค่เรื่องไร้สาระของเจ้านั่นอีกตามเคย”
คนสนิทค่อยๆฉีกจดหมายออกอ่าน ในนั้นมีจำนวนแผ่นกระดาษอยู่4-5แผ่นแต่เขาก็แค่กวาดตาไปมามากกว่าที่จะอ่านโดยละเอียดเพราะเป็นเช่นที่ราห์โอกล่าวว่าบุคคลผู้นี้มีน้ำมากกว่าเนื้อในใจความจดหมาย ซึ่งอันที่จริงนั่นก็เป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว จนกระทั่งได้พบกับข้อความทิ้งท้ายที่เป็นใจความจริงๆของทั้งหมดเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา
“สรุปได้ว่าเขามาถึงแล้ว”
“อะไรนะ” ราห์โอวางปากกาขนนกลงแล้วหันไปมองอย่างอึ้งๆ
“จดหมายนี้ถูกส่งมาจากนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เช่นนี้เขาก็คงมาถึงในวังนี้แล้วตอนนี้” กษัตริย์หนุ่มเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ทำอะไรปุบปับตามใจแบบนี้ทุกทีสินะเจ้านั่นน่ะ”
“ก็ควรที่เขาจะมาอยู่หรอกก็ท่านเล่นส่งอาจารย์ของเขาไปนอกประเทศเสียนี่ เขารู้เรื่องทั้งหมดรึยังละ”
“ถ้าจะรู้ก็คงรู้จากเจ้าที่แอบบอกเขาไปนั่นแหละ”
“จะทรงไปรับเขาไหมฝ่าบาท”
“เจ้าก็ไปรับสิสนิทกันดีไม่ใช่หรอ”
“ไม่ล่ะ น่ากลัวจะตาย”
“ถ้างั้นก็ช่างมัน ถ้ามันอยากเจอข้าเดี๋ยวก็มาหาข้าเองแหละ เอาจดหมายอื่นส่งมาให้ข้าที”
ราห์โอลงมืออ่านจดหมายฉบับอื่นและสะสางงานต่อไป เขาไม่ได้พูดถึงเจ้าของจดหมายฉบับแรกอีกแม้จะยังรำคาญใจเกี่ยวกับเรื่องที่รับรู้ไปเมื่อครู่ก็ตาม คงมีแต่ลากลอสที่เหมือนจะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
----------- -------------- -------------------
[/color][/b]
เป็นอีกวันในสวนกระจกที่หนุ่มเกศม่วงนั้นต้องทำงาน ด้วยพืชพันธุ์ในส่วนอื่นนั้นยังพอให้คนอื่นดูแลได้เพราะเป็นไม้ในเขตร้อนเว้นแต่ในสวนนี้ที่เป็นไม้เขตหนาวจึงต้องรับการดูแลเป็นพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญระดับองค์เทพกันเลยทีเดียวอย่างเช่นเขาเพื่อจะให้พวกมันผลิดอกออกผลกันได้บ้าง
โรเรเนสได้ขอให้มีเรือนหลังเล็กอีกหลังสร้างเป็นกระท่อมอยู่ในสวนแห่งนี้เพื่อเพาะกล้าอ่อนของเมล็ดพันธุ์ต่างถิ่น ในขณะที่เขากำลังตั้งอกตั้งใจหอบเจ้าต้นไม้น้อยๆนั้นออกมาลงดินที่ขุดเตรียมไว้เสียงบานประตูก็ดังขึ้น ตอนแรกนั้นเขาแอบตกใจอยู่เหมือนกันเพราะสวนแห่งนี้มีเพียงคนที่ฟารันอนาญาติเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ฉะนั้นวูบแรกเขาก็คิดไปว่าฟารันจะมาหา แต่เมื่อเงยหน้ามามองก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ยิ้มละไมเข้ามา
บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวพอดีตัวคล้ายคลึงกับชุดประจำตำแหน่งที่โรเรเนสได้ แต่ต่างกันตรงเนื้อผ้าของชายผู้นี้ดูเหมือนเป็นผ้าฝ้ายที่ใส่สบายกว่ามาก หน้าตานั้นหล่อเหลาจมูกโด่งสันเป็นตาคมคู่นั้นทอประกายอันอ่อนโยนส่งมาที่เขา เรือนผมนั้นเป็นสีดำขลับแต่ดูเรียบร้อยดูดีด้วยเส้นผมละเอียดเล็ก แต่ลักษณะเด่นอีกอย่างที่น่าจะทำให้ชายคนนี้ดูใจดีเป็นพิเศษก็คงเป็นแว่นตาใสกรอบบางที่เขาสวมใส่อยู่
“ท่านคงเป็นโรเรเนสใช่ไหม?” รอยยิ้มอบอุ่นนั้นดูดีเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นคนแปลกหน้าเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกไว้ใจได้เพราะท่าทางที่สุภาพของเขา
“ใช่ ยินดีที่ได้รู้จักท่านคือ...”
“ตัวข้านี้เป็นหมอมาใหม่จะและเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอชัคบา หลังจากนี้ข้าคงจะได้มาเป็นหมอหลวงของที่นี่โปรดเรียกข้าว่าหมอโฮอย่างที่คนอื่นเขาเรียกกันเถิด”
รูปร่างน่าตาดูดีสมส่วน ค่อนข้างน่าทึ่งว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งหมอหลวงอันเป็นตำแหน่งสำคัญของผู้ทรงปัญญาจะเป็นคนที่ดูเด็กขนาดนี้ จะว่าไปบุรุษผู้นี้น่าจะแกกว่าอายุ(กายมนุษย์)ของโรเรเนสเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
“หมอโฮ” เด็กหนุ่มเรียกตามอย่างไม่ขัดเขินเขายิ้มตอบให้อย่างน่ารักและพอใจที่จะจ้องมองเข้าไปในแววตาลึกอุ่นสีฟ้าใสที่อยู่หลังกรอบแว่นนั้นไม่ได้
“ข้าจำเป็นต้องสานต่องานของท่านอาจารย์ สำหรับการสร้างความคุ้นเคยนี้พวกเราจะเดินคุยกันไปได้ไหม” หน้างามพยักหน้าตอบน้อยๆก่อนจะย่างก้าวไปพร้อมกับอีกคน
“งานของหมอหลวงตามปรกติแล้วจะต้องดูแลแต่เพียงสมาชิกของราชวงศ์เท่านั้น หากแต่ท่านอาจารย์ได้รวมท่านไว้ในรายชื่อคนไข้ของเขาด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับตัวท่านเท่าที่ข้าทราบก็เพียงแค่ท่านเป็นชายความจำเสื่อมจากโอเรนเดลเท่านั้น นอกนั้นข้าก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรอีก อาจารย์เพียงแต่บอกข้าว่าหากข้าได้ตรวจร่างกายของท่านก็จะได้รู้ในสิ่งเดียวกับที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ ในจุดนี้ขอข้าถามท่านหน่อยได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วท่านเป็นใครและป่วยเป็นอะไร”
“นั่นสิข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าป่วยเป็นอะไร แต่ถ้าถามคนแถวนี้นอกจากเขาจะตอบกันว่าข้าความจำเสื่อมยังจะพูดอีกว่าข้านั้นสติฟั่นเฟือนเพราะหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ”
คราวนี้หมอหนุ่มหยุดชะงักแลมองมายังคู่สนทนาอย่างสงสัยเจือสงสารเล็กน้อย
“เป็นจริงอย่างที่ท่านอาจารย์บอกจริงๆด้วย”
“อะไรหรือ”
“ว่าเจ้านั้นเคยโดนรังแกใช่หรือไม่” หมอหนุ่มจ้องมองด้วยแววตาอ่อนโยนจนผู้ถูกมองรู้สึกประหลาด โรเรเนสหลุบตาลงต่ำเขารู้สึกว่าหมอคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้ยเคยอย่างประหลาดและพาลให้นึกถึงคนบางคนที่เคยมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้เช่นกัน ต่างกันตรงที่ท่านหมอคนใหม่ดูใจดีกว่ากันมากมายยิ่งนัก
“ไม่หรอก เรื่องมันผ่านไปแล้วและตอนนี้ข้าสบายดีไม่ได้ป่วยไข้อะไร ถ้าไม่นับเรื่องความทรงจำของข้าตัวข้านี้ก็สุขสบายดี”
“เช่นนั้นหรอกรึ แต่สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเลยนะ ให้ข้าตรวจหน่อยได้ไหม” โดยเจ้าตัวยังไม่อนุญาติหมอหนุ่มก็จับข้อมืออีกฝายมาวัดชีพจร การสัมผัสตัวอย่างกระทันหันนั้นทำให้เด็กหนุ่มตกใจอยู่เหมือนกันแต่พอเห็นท่าที่จริงจังของหมอก็รู้สึกคลายใจเพราะเข้าใจได้ว่าฝ่ายนั้นคงแค่ทำตามหน้าที่ของตนเองจริงๆ
“เจ้ารู้ไหมร่างกายกับจิตใจคนเราเชื่อมถึงกันนะ ข้าบอกได้ว่าร่างกายเจ้านั้นแข็งแรงดีก็จริงแต่กระนั้นมันก็ยังบอกได้ว่าความทุกข์ที่อยู่ในใจเจ้านั้นมีมากจนจับได้แม้ดูด้วยตา” เขาปล่อยข้อมือขาวนั้นแล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“คงจะเป็นคนที่ใจร้ายน่าดูถึงข่มเหงจิตใจคนที่น่ารักเช่นเจ้าได้”
“มะ ไม่หรอกท่านอย่างกล่าวแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันเลย” เด็กหนุ่มเกิดอาการขวยขึ้นเมื่อถูกชม เขาอมยิ้มน้อยๆเหมือนจะขำขัน อีกฝ่ายนั้นก็เห็นสนุกด้วยเลยหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ
“หะๆๆ อภัยข้าเถอะ เจ้าคงรู้สึกขนลุกน่าดูล่ะสิข้าไม่ได้มีเจตนาจะเกี้ยวเจ้าหรอกนะ ข้าก็แค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น”
“ไม่หรอก ข้าแค่ไม่คิดว่าจะเจอผู้ชายด้วยกันพูดหวานใส่แบบนี้บ่อยๆ”
“บ่อยๆงั้นรึ มีชายที่ไหนเกี้ยวเจ้าบ่อยหรือไร”
คราวนี้ยิ้มละไมของหนุ่มเกศม่วงนั้นจางลงด้วยความทรงจำอันหอมหวานที่เขาเคยมีกับคนบางคนที่เคยอ่อนโยนและใจดีได้หวนขึ้นมา หมอโฮรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเศร้านั้นจึงถามต่อไป
“ข้าถามได้ไหม ว่าเขาคือคนที่รังแกเจ้างั้นหรือ”
ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ หมอหนุ่มจึงเลื่อนสายตาลงมามองที่ต้นคอขาวที่ประทับรอยจางๆของคมดาบเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปแตะแผลเป็นนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างขาวสะดุ้งน้อยๆแต่ก็ไม่ได้หนีมือ
“เขาทำกับเจ้าขนาดนี้เลยรึ”
แพขนตากระพริบช้าๆ ก่อนตาหวานเศร้านั้นจะช้อนมองสบตากับอีกฝ่าย พวกเขาจ้องมองกันอยู่ในระยะใกล้จนกระทั่งมีแขกมาเยือน
“นั่นปะไร!กะแล้วเชียว ดีนะที่ข้าไม่ได้เอาจดหมายนั่นให้ฝ่าบาททรงอ่านเอง” ลากลอสโพล่งขึ้นมาขณะสาวเท้าเข้ามาในห้อง
“ลากลอส!” หมอหนุ่มร้องขึ้นอย่างดีใจเขาผละมือจากหนุ่มตาหวานนั่นแล้วพุ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่ทันที่ก่อนจะโผเข้ากอดสหายที่ไม่เจอกันนานเสียแน่นจนลากลอสต้องร้องโวยวายออกมา
“นะ แน่นไปแล้ว ปล่อย ปล่อยอื้อ อ่อก”
ชายผู้สวมแว่นใสผละออกตามคำขอแต่ยังยิ้มอบอุ่นนุ่มละไมให้ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้แล้วพูดเสียงนุ่ม
“ลากลอสข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับเจ้า เจ้าสบายดีใช่ไหมข้าตอนที่ข้าเป็นหมออยู่ที่ชายแดนที่นั่นกันดารมาก จดหมายเจ้าไม่ค่อยจะมาถึงข้าเลยทั้งที่ข้าเขียนกลับมามากมายแล้วแท้ๆ”
ฝ่ายผู้ถูกถามไม่ได้ดูยินดีหรือรู้สึกดีใจไปด้วยกลับทำสีหน้าเหนื่อยใจและพยายามดึงมือตัวเองออกเหมือนรังเกียจ
“ข้าสบายดี เหมือนเคยๆที่เขียนไปในจดหมายนั่นแหละ ท่านคงได้อ่านบ้างถ้ามันไม่หายไปอย่างที่ท่านกล่าว”
“ในระยะเวลา 2 ปีข้าได้รับจดหมายตอบจากเจ้ามาแค่ 3 ฉบับเท่านั้นทั้งที่ข้าเขียนมาหาเจ้าประมาณ 100 กว่าฉบับได้ ที่เหลือมันคงจะสูญหายระหว่างทางจริงๆ”
“เอ่อ มันไม่ได้หายไปหรอก ข้าเขียนไปแค่นั้นจริงๆ”
“อ่อ” หมอหนุ่มหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่แล้วก็กลับมายิ้มอุ่นให้อีกฝ่ายจนได้ ลากลอสไม่สนใจแต่หันไปมองอีกคนที่อยู่ห่างไปเล็กน้อย
“สวัสดีโรเรเนส เป็นอย่างไรบ้าง”
“ต้นไม้สบายดีข้าก็สบายดี” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ ลากลอสจึงพยักหน้ารับก่อนจะวกกลับมาคุยกับคนตรงหน้า
“ท่านน่าจะไปหาพี่ท่านก่อนนะแล้วถึงค่อยมาที่นี่”
“เห?ท่านหมอโฮมีพี่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยรึ” คราวนี้พ่อคนสวนหน้าสวยก็เดินเข้ามาสมทบแล้วมองหมออย่างสงสัย แต่ลากลอสกลับมีท่าทีรำคาญเสียเต็มประดา
“นี่ท่านยังไม่ได้บอกเขาอีกรึ”
“ก็กำลังจะบอกอยู่ ใช่ข้ามีพี่ชายทำงานอยู่ที่นี่เจ้านั่นบ้างานมากจนข้าคิดว่าต่อให้ข้าไปหาเขาก็คงไม่มีเวลามาสนใจข้าอยู่ดี”
ส่วนท้ายนั้นเขาหันไปตอบกับเด็กหนุ่ม โรเรเนสก็ยังกระตือรือร้นที่จะถามต่อไป
“งั้นหรอดีจังเลย เขาทำงานอะไรล่ะข้ารู้จักไหม”
“เจ้ารู้จักแน่นอน พี่ชายข้ามีนามว่า ฟารันน่ะเจ้าน่าจะเคยได้ยินนะ”
..........
...............
!!!!!!!!
รอยยิ้มน่ารักหายไปจากหน้าสวยทันทีเขาอ้าปากค้างแล้วจ้องมองหมอหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง ลากลอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิดก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม
“น่ารำคาญใช่ไหมล่ะ คิดดูสิข้าต้องทนพี่น้องเอาแต่ใจคู่นี้มาตั้งแต่เด็กเลยนะ เอาล่ะโรเรเนสบุรุษผู้นี้ก็คือองค์ชายโฮรัน พระอนุชาลำดับที่ 1 ขององค์ราห์โอ”
องค์ชายยังยิ้มอ่อนให้เด็กหนุ่มที่ยังอึ้งและทำสีหน้าอธิบายยาก
“ขออภัยที่ไม่ได้บอกก่อน หลายปีหลังข้าเป็นหมอบ้านนอกอยู่กับชาวบ้านมานาน ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าข้าเป็นใครข้าจึงติดนิสัยแนะนำแต่ชื่อไม่ระบุต่ำแหน่งแบบนี้มานานแล้ว แต่เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าหมอโฮได้แบบเดิมนะข้าชินแบบนั้นเสียมากกว่า”
“ชาวบ้านเรียกว่าหมอโฮ แต่คนในวังเรียกเขาว่าองค์ชายหมอ”
“อะ..องค์ชาย?..หมอ?” เด็กหนุ่มกล่าวตามก่อนจะเม้มปากเรียบ เขาจ้องมองใบหน้านั้นอีกครั้งก่อนจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้นัก เพราะว่าเป็นพี่น้องกันนี่เองแต่กระนั้นก็ยังต่างกันเหลือเกินกับความอบอุ่นใจดีของผู้เป็นน้อง
ยามนี้เทพหนุ่มไม่แน่ใจว่าเข้าจะรู้สึกอย่างไร ยินดีหรือหนักใจ
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่ฮักยิ่ง สบายดีไหมค่ะ หายไปนานๆอีกแล้ว ก็งานสุมเหมือนเดิมล่ะค่ะ คราวนี้นี่มรสุมชีวิตเล็กๆ และยังไม่จบไม่สิ้น แต่ก็หาเวลามาเขียนฟิคได้(ก็เพิ่งจะมีเวลามาเขียนวันนี้) ขอโทษจริงๆนะคะ ยังไม่ได้ไปwsoค่ะยังเขียนอยู่แต่งานเยอะขนาด หวังว่าปิดเทอมจะมาโดยเร็วชีวิตปลายเทอมมันดราม่ามากๆเลยค่ะ
ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ