แมว หมา ดอกไม้ และพี่ชายข้างบ้าน
บทที่ 10 And then it’s spring
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ชายหนุ่มทอดสายตาจากมุมหนึ่งของสวนสาธารณะ ไปหยุดอยู่กับต้นแห้ง ๆ สีน้ำตาลเข้มที่ยืนหยัดอยู่ริมถนน
สภาพมันคงผุพังในอีกไม่นาน แต่ครั้งหนึ่งกิ่งก้านนั้นก็เคยมีใบสีเขียวสด เนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่สมัยก่อน ทุกครั้งที่มาแถวนี้จะเห็นมันยืนต้นทักทายอยู่ริมทางเสมอ ในคืนรอยต่อของปีครั้งสุดท้ายที่เขาได้อยู่กับวสันต์ก็ยังเคยเห็นมันแผ่กิ่งก้านอยู่ตรงนั้น รับฟังคำสัญญาซึ่งเขาเคยเอ่ยว่าจะรออยู่จนเช้าก็ได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะมาผิดนัดจนเลยช่วงนับถอยหลังเข้าปีใหม่ไปหลายชั่วโมง ยังพูดติดตลกอยู่ว่าให้รอจนเจ็ดโมงเช้าก็ได้ กี่ปีก็จะรอ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าปีนั้นจะเป็นปีสุดท้ายของวสันต์
วสุเองก็คล้ายจะมองไปยังตำแหน่งเดียวกัน สีหน้าเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหงอยลงนิดหน่อยพอให้จับสังเกตได้
“เป็นอะไรไปหรือ?”
“เอ๋?” วสุยืดตัวขึ้น มองกลับมาที่เอกภพตาแป๋ว “ผมหรือครับ”
“ใช่สิ” ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ พยักหน้ายืนยันกับเจ้าตัว คิดในใจว่าหรือเขาคิดผิดที่พามานั่งเล่นแถวนี้ “ทำหน้าจ๋อยเชียว”
เด็กหนุ่มขยับตัวหยุกหยิก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาแผ่วเบา “...อะไรบางอย่างแถวนี้..ทำให้ผม..คิดถึง...”
เขาไม่รู้ตัวเองรอฟังอะไรอยู่ กระนั้นก็ถามออกไปแล้ว “คิดถึงอะไรหรือ?”
“..คิดถึงหลายอย่าง...” พูดแค่นั้นแล้วเงียบไปนาน กว่าจะอ้าปากอีกรอบ “...แต่ทั้งหมดนั้น คล้ายว่าจบลงที่พี่เอกอยู่เรื่อย...”
แม้คำตอบจะอ้อมแอ้ม แต่ถ้อยคำกลับตรงไปตรงมา เอกภพถึงกับชะงักไปวูบหนึ่ง เสียงหัวใจเต้นหนัก ๆ อยู่ในอกชัดเจนจนหนวกหู
“พี่ก็นั่งอยู่นี่ไง?”
“นั่นสิครับ” วสุยิ้มแหย แก้มขาวแต้มสีชมพูจนคนมองนึกอยากกดจมูกลงไปสักที “...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกอย่างกับ..”
เด็กหนุ่มเงียบไปอีก จะเอ่ยต่อก็ตะขิดตะขวงใจ เขารู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในฤดูแล้งมาเนิ่นนาน เฝ้ารอคอยให้ฝนตก แล้วพอได้กลิ่นฝนอีกครั้ง หัวใจพลันเต้นระรัวด้วยความปีติ เมื่อฝนตกแล้วก็ยังอยากให้ตกอีก เมื่อได้อยู่ใกล้แล้วก็ยังอยากอยู่ใกล้อีก เป็นเรื่องเข้าใจยากเหลือเกิน จะอธิบายกับอีกฝ่ายอย่างไรดีไม่ให้ดูเหมือนเป็นคนบ้า
“พูดค้างไว้แล้วก็เงียบ” เอกภพเปรย โคลงศีรษะพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู “ร้ายจริง ๆ เจ้าเด็กคนนี้”
“อ๊ะ รอฟังอยู่หรอกหรือครับ?”
“ใช่สิ” ชายหนุ่มหัวเราะกับท่าทางเป๋อ ๆ ของอีกฝ่าย พึมพำต่ออย่างแฝงความหมาย “รออยู่ตลอดนั่นละ”
“พี่คิมบอกว่ารอจนแก่เลย” วสุอุบอิบ
“เอ๊ะ?”
“เปล่าครับ”
ปากปฏิเสธ แต่สีหน้าไม่เนียนเลย จ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เยาว์ก็ยอมแพ้จนได้ เปลี่ยนเป็นก้มหน้างุดแล้วเหลือบตาขึ้นมอง พึมพำไปด้วย “ขอโทษครับ” จากนั้นรีบช่วยแก้ต่าง “แต่ผมก็ว่ายังไม่แก่นะครับ”
“อา..งั้นหรือ”
“เราอายุห่างกันแค่ยี่สิบปีเอง”
เอกภพยกมือขึ้นนวดขมับ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สุดท้ายจึงหลับหูหลับตาเออออตามเด็กจนได้ “นั่นสินะ..แค่ยี่สิบปีเท่านั้นเอง”
ยังไม่ได้ทันพูดอะไรต่อ ปลายนิ้วมือก็รู้สึกอุ่นขึ้นมา ก้มลงมองเห็นว่าเป็นมือของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาแตะแผ่วเบาแล้วถอยออกไปเล็กน้อย ค้างอยู่เช่นนั้นอึดใจ ท่าทางเหมือนลังเลกับการกระทำของตัวเอง เหลียวไปยังใบหน้าเจ้าของมือนั้น ผิวเนียนฉาบไปด้วยสีส้มจาง ๆ ของแสงอาทิตย์เย็นย่ำ นัยน์ตาคู่ตรงหน้ามีทั้งประกายสดใสของวัยเยาว์ และแววหม่นเศร้าเกินอายุแฝงอยู่
“...ผะ...ผม...จับมือ..ได้ไหมครับ?”
จับมืออย่างนั้นหรือ?
“...แต่...ถ้าไม่..”
เขาไม่ได้ตอบ ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ไม่เห็นต้องขอเลย ไวเท่าความรู้สึก เขาเองเป็นฝ่ายคว้ามือเด็กหนุ่มมากุมเอาไว้เสียเอง
วสุนั่งนิ่งงัน สีหน้าประหลาดใจ สีแดงระเรื่อบนพวงแก้ม ไม่รู้ว่าจากแสงหรือเป็นที่สีผิวเจ้าตัว มองเขาประคองมือตัวเองไว้ด้วยสองมือตน ทะนุถนอมราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า แนบริมฝีปากลงแผ่วเบาที่หลังมือ เคล้าเคลียด้วยปลายจมูกอย่างแสนรัก
ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มสด ไร้บทสนทนาใดอีก มีเพียงเสียงกิ่งไม้เสียดสี และชิงช้าที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ เมื่อต้องลม กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนสักอย่างโชยอ่อน ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้น คล้ายกับพวกเขาพากันย้อนกลับสู่ความทรงจำเก่า ในยามเย็นที่กลิ่นดอกไม้ย้อมอณูอากาศให้หวานละมุนเฉกเช่นวันวาน จูบอ่อนโยนจากที่หลังมือค่อยเคลื่อนขึ้นมายังใบหน้า ซับไออุ่นจากข้างแก้มที่ประคองไว้ในมือ ดีเหลือเกินที่มีเลือดเนื้อและร่างกายซึ่งยังมีลมหายใจ..
เขาแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากเด็กหนุ่มเนิ่นนาน รู้สึกถึงหยดน้ำอุ่น ๆ ที่ไหลลงอาบแก้มตัวเองเชื่องช้า
ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มหมดสิ้นความคลางแคลงทั้งปวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม สิบห้าปีซึ่งเฝ้ารอคอยอย่างสิ้นหวัง ยาวนานจนไม่เคยคิดว่าจะทนอยู่ได้ บัดนี้ทั้งหมดนั้นราวกับเป็นเพียงชั่วพริบตา เมื่อวงแขนเด็กหนุ่มคล้องรอบเอวเขา เบียดซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดเคยคุ้น ลมหายใจร้อนรินรดบนแผ่นอก กอดเกี่ยวแนบแน่นเนิ่นนาน ให้ร่างกายเอ่ยแทนคำสัตย์ว่าพวกเขาจะไม่พรากจากกันอีก
เขารู้..แบบเดียวกับที่วสุก็รู้เช่นกัน...
หัวใจที่เคยหายไป กลับคืนสู่เจ้าของแล้ว..
ทางกลับนั้นผ่านทางเข้าซอยบ้านครอบครัวของคิมหันต์ หลังเดียวกับที่วสันต์ก็เคยอยู่ เมื่อใกล้ถึงปากซอยนั้น วสุจ้องออกไปนอกกระจกรถตาไม่กระพริบ เอกภพเห็นเข้าแล้วจึงชะลอความเร็วลง
“คุ้นหรือ?”
“..คุ้นครับ” วสุพึมพำ ก่อนจะแก้คำพูดตัวเองเสียใหม่ “ไม่สิ...ไม่ใช่แค่คุ้น..แต่ผมจำได้..”
เอกภพเปิดไฟเลี้ยวแล้วพารถเข้าข้างทาง ชะลอลงอีกจนเกือบเป็นจอด “อยากไปหาไหม?”
เด็กหนุ่มเม้มปาก เหลือบมองเขา จากนั้นมองออกไปนอกกระจกรถอีกครั้งอย่างชั่งใจ ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าน้อย ๆ
“ทำไมล่ะ?”
“...รู้สึกเหมือน..” วสุกุมมือตัวเองไว้บนตัก ก้มหน้าก้มตาพูดกับฝ่ามือ “...ไม่มีหน้าจะไปเจอ...ยังไงก็ไม่รู้ครับ..เลยยังไม่อยาก...”
รถจอดสนิทแล้วที่ข้างทาง ชายหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายซึ่งก้มอยู่พักหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะเบือนสายตามองลึกเข้าไปในซอยนั้น สีหน้าอาลัยอาวรณ์ขัดกับคำพูดว่าไม่อยากเจอ
“หรือจะลองขับรถวนสักรอบไหม ไม่ต้องลงไปก็ได้” เขาลองเสนอ “ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว”
“..แต่ผม”
“กลัวหรือ?”
“...เปล่—” อ้าปากจะเถียง ทว่าสุดท้ายก็ชะงักเอง จากนั้นพยักหน้าช้า ๆ “อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ครับ”
เอกภพโคลงศีรษะ คลี่รอยยิ้มอ่อนใจ เด็กคนนี้อ่านง่ายเหลือเกิน ทั้งพูดจาตรงไปตรงมา และสีหน้าท่าทางซึ่งบอกความรู้สึกอย่างซื่อ ๆ
“อย่ากลัวเลย” เขาเอื้อมมือไปวางไว้บนศีรษะเด็กหนุ่ม ยีเบา ๆ อย่ารักใคร่ “พี่อยู่ด้วยทั้งคน เห็นสีหน้าก็รู้ว่าอยากไป ถ้ากลับทั้งอย่างนี้จะคาใจหรือเปล่า เราแค่ขับรถผ่านก็ได้ ไม่ต้องลงจอด อย่างนี้โอเคไหม?”
อีกฝ่ายดูใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ปั้นยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้แล้วพยักหน้าหงึกหงัก
จึงกลายเป็นตามข้อตกลงดังกล่าว แค่ผ่านไปดูเฉย ๆ ไม่ต้องลงจากรถ ได้เห็นทางเข้า เห็นรั้ว เห็นตัวบ้าน หรือหากโชคดีอาจได้เห็นผู้อยู่อาศัย จะนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านหรือเปล่า ตรงโต๊ะเก้าอี้หินอ่อนด้านหน้าที่เคยวางอยู่ ตอนนี้ไม่รู้จะยังตั้งอยู่ตำแหน่งเดิมหรือไม่
เด็กหนุ่มชะเง้อมองไปข้างนอกกระจกรถ ภาพที่เห็นนั้นคุ้นตา แม้จะต่างจากที่จำได้ในความฝันอยู่บ้าง บ้านบางหลังเปลี่ยนไป ต้นไม้บางต้นไม่อยู่แล้ว และบางต้นขึ้นมาใหม่ สีสันใต้แสงไฟยามพลบค่ำ ผสานกับทิวทัศน์ในอดีตอันเป็นฉากหลัง ร้านขายของชำ บ้านเรือน ร้านก๋วยเตี๋ยว ถัดไปอีกไม่กี่หลังจะเป็นรั้วที่เคยลากเปิดปิดจนชิน ยังจำสัมผัสนั้นจากในฝันได้อยู่เลย เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่ารั้วนั้นมีสีต่างออกไป แต่รูปทรงยังเหมือนกับที่เขาเคยรู้จัก
เด็กหนุ่มยกมือกุมออก บอกตัวเองให้หายใจเข้าออกช้า ๆ เพ่งสายตามองออกไปกลางแสงไฟจากบ้านเรือนและเสาไฟริมถนน หลังรั้วนั้น โต๊ะเก้าอี้ชุดเดิมยังอยู่ เก่าลงมากแต่ก็ยังอยู่ ต้นไม้ที่เขา..ที่วสันต์เป็นคนปลูก ประตู หน้าต่าง และ...
เอี๊ยด!“มีอะไรหรือครับ!?”
“ลูกหมา”
เอกภพถอนหายใจเฮือก แม้จะขับมาไม่เร็ว แต่เบรกกะทันหันเพราะโดนลูกหมาวิ่งตัดหน้าเช่นนี้ก็ตกใจไม่น้อย เจ้าตัวต้นเหตุยืนงงอยู่กลางถนน สายจูงซึ่งคล้องกับคอลากยาวไปบนพื้น จากด้านข้างมีหญิงสูงวัยผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามาอุ้มเจ้าลูกหมาขนทองขึ้นมา ท่าทางแตกตื่นเสียยิ่งกว่าหมาน้อยที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ชายหนุ่มกำลังจะลงจากรถไปดู แต่เมื่อหญิงผู้นั้นมายืนอยู่กลางแสงไฟจากด้านหน้ารถ จึงได้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน
ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเดือนเพ็ญ ผู้เป็นแม่ของคิมหันต์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นแม่ของวสันต์ด้วยนั่นเอง ไม่นึกว่าจะได้พบกันจัง ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อได้รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร สายตาเขาก็เหลือบไปยังเด็กหนุ่มข้างกายโดยอัตโนมัติ
วสุอ้าปากค้าง นัยน์ตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวรู้แน่นอนว่าเธอเป็นใครโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องแนะนำ ได้ยินกระทั่งเสียงกระซิบดังหวิวออกจากริมฝีปากเด็กหนุ่ม
“...มะ..ม้า...”
เดือนเพ็ญหรี่ตามองป้ายทะเบียน เห็นชัด ๆ แวบหนึ่งก็จำได้ว่ารถคันนี้เป็นของเขา จึงได้เดินอ้อมมายังฝั่งที่นั่งคนขับหลังจากเขาจอดรถไว้ริมทางเรียบร้อย พร้อมกับที่เขาเปิดประตูออกไปพอดี ก่อนลงจากรถยังหันไปกระซิบบอกกับเด็กหนุ่ม ว่าหากลำบากใจ จะนั่งรออยู่ในรถก็ได้ แต่วสุไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“ตาเอก..”
“สวัสดีครับคุณน้า” เอกภพยกมือไหว้
เธอยกมือรับไหว้เงอะงะด้วยยังอุ้มเจ้าลูกหมาไว้กับตัว เขามองชัด ๆ จึงแน่ใจว่าเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ อายุน่าจะราวสามสี่เดือนได้แล้ว มันตะกุยเบา ๆ อยู่สองสามครั้ง เดือนเพ็ญจึงปล่อยให้ทั้งสี่ขาของเจ้าขนทองวางลงบนพื้น กุมสายจูงไว้มั่นในมือ เห็นแล้วพอเดาเหตุการณ์ได้ว่าเมื่อครู่คงเผลอปล่อยหลุดมาจากอีกฝั่งถนน แต่ที่ไม่เห็นเคยรู้คือบ้านนี้เลี้ยงหมาด้วยหรือ? ทั้งที่เขาจำได้แม่นยำว่าสุชัยผู้เป็นเจ้าบ้านนั้นไม่ชอบให้เลี้ยง ตั้งแต่เมื่อก่อนทั้งคิมหันต์และวสันต์ก็เคยได้รับการปฏิเสธมาแล้ว
“มาทำอะไรแถวนี้น่ะลูก”
“พอดีมีธุระแถวนี้ครับ แล้วเกิดคิดถึงเลยขับรถเล่นผ่านมา”
คำว่า ‘คิดถึง’ ของเขา คล้ายว่าจะดึงแววตาเศร้าสร้อยของเธอให้ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ในใจคงตีความไปถึงลูกชายผู้ล่วงลับไปเมื่อสิบห้าปีก่อนอย่างไม่อาจเลี่ยง
“คุณน้าเลี้ยงโกลเด้นด้วยหรือครับ” เขาเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ผมไม่เคยรู้เลย”
“อ้อ” เธอยิ้มอ่อนโยน “เจ้าหนูนี่เพิ่งได้มาใหม่จ้ะ จู่ ๆ ป๊าแกก็บอกว่าอยากลองเลี้ยงขึ้นมา พอโทรคุยกับเจ้าคีม รายนั้นก็รีบยุใหญ่ เพิ่งไปรับมาเมื่อวานนี้เอง”
“พันธุ์โปรดของเขาเลยนี่ครับ”
สีหน้าเธอสว่างขึ้นมาบ้างเมื่อเอ่ยถึงลูกชายคนเล็ก “นั่นสิ ตี๋เล็กยังแง้ว ๆ จะให้ชื่อดุ๊กดิ๊กที่สาม ต้องเตือนแล้วเตือนอีกว่าเดี๋ยวเรียกแล้วหมางงกันพอดีว่าตัวไหนเป็นตัวไหน กว่าจะยอมเปลี่ยน บอกงั้นตามใจป๊าแล้วกัน..พ่อลูกคู่นี้นี่น้า...พอเริ่มดีกันแล้วก็หงุงหงิงอะไรกันไม่รู้..”
เอกภพยืนพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ทันได้ต่อบทสนทนา กลับได้ยินเสียงเธอร้องทักขึ้นก่อน พร้อมกับพยักพเยิดไปด้านหลังของเขา
“อ้าว แล้วนั่น...?”
ชายหนุ่มหันกลับไป เพื่อจะพบว่าวสุลงมายืนอยู่นอกรถแล้ว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นเดินตามมายืนอยู่ข้าง ๆ กัน ขณะที่เดือนเพ็ญเอียงคอมองท่าทางเหล่านั้นด้วยสีหน้างุนงง..แต่ก็เป็นความงุนงงที่แปลกประหลาด เธออ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วกลับเงียบไป รอให้เขาเป็นฝ่ายแนะนำขึ้น หลังจากวสุยกมือไหว้เธออย่างนอบน้อม
“เด็กคนนี้ชื่อวสุครับ”
เธอจับจ้องเด็กหนุ่มไม่วางตา เหมือนจะนึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ กว่าจะตอบรับออกมาได้สั้น ๆ
“....จ้ะ..”
“เป็นน้องชายข้างบ้านที่สนิทกันน่ะครับ”
ทั้งสองคนเอาแต่ยืนมองกันเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาสักคำ จนเหมือนมีแต่เอกภพที่พูดอยู่คนเดียวกับดินฟ้าอากาศ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงเล่าต่อด้วยเสียงนุ่มนวล ทุกพยางค์เอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“อายุใกล้สิบห้าปีแล้ว เป็นเด็กดี เรียบร้อย แล้วก็หัวอ่อน..”
“...งะ..งั้นหรือจ๊ะ” เธอเอียงคอ มองวสุราวกับเป็นคนที่เคยรู้จักคุ้นเคยแต่นึกไม่ออก
“..เขาเพิ่งเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับผมเมื่อก่อน เข้าชมรมศิลปะ ชอบโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เจ้าดุ๊กดิ๊กที่บ้านผมก็ดูชอบเขามาก แล้วก็คุยกันถูกคอกับคีมด้วย”
“..ป้าคุ้นหน้าหนูเหลือเกิน..เราเคยเจอกันมาก่อนไหม..?”
เธอขยับเข้าไปใกล้เด็กหนุ่ม ไม่รู้ว่ายังฟังเขาอยู่หรือเปล่า แต่เอกภพก็ยังพูดต่อ
“...อยู่กับคีมแล้วอย่างกับเป็นพี่น้องแท้ ๆ...เหมือนตี๋เล็กกับตี๋ใหญ่..”
เดือนเพ็ญชะงักไป ยกมือขึ้นปิดปาก จากนั้นป้ายหลังมือตรงหางตาตัวเอง ไม่มีใครทันเห็นว่าที่ติดหลังมือของเธอนั้นใช่น้ำตาหรือเปล่า
“หนูชื่ออะไรนะลูก..วสุใช่ไหม?”
เจ้าของชื่อพยักหน้าช้า ๆ
“ชื่อเล่นล่ะ มีหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ”
“เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันฮึ? พ่อแม่ล่ะ อยู่แถวนี้ด้วยหรือเปล่า”
“พ่อกับแม่เลิกกันนานแล้วครับ แม่แต่งงานใหม่ ไปอยู่ต่างประเทศหลายปีแล้ว ส่วนพ่อตั้งแต่เลิกกับแม่..ก็ไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย...อันที่จริงผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว”
“แล้วตอนนี้อยู่กับใครกัน”
“ก่อนหน้านี้อยู่กับลุงที่กรุงเทพฯ แต่เพิ่งย้ายมาอยู่กับป้า แล้วก็ลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนครับ” เด็กหนุ่มเหลือบมองไปยังเอกภพ “ที่บ้านหลังข้าง ๆ พี่เอก”
เดือนเพ็ญพยักหน้า ทำสายตาครุ่นคิด “หรือเราจะเคยเจอกัน...”
“..ผมก็...คิด...ว่า...” เด็กหนุ่มกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอ บอกตัวเองว่าถึงจะถูกมองว่าเป็นคนประหลาดอย่างไร ก็ต้องพูดออกไปให้ได้ “..เราอาจเคยเจอกัน..”
“..งั้นหรือ?”
“...ที่ไหนสักแห่ง...นานมาแล้ว...อาจจะนานมากแล้ว..”
เธอเลิกคิ้ว ครุ่นคิดกับคำพูดของเด็กหนุ่ม วางสายตาไว้กับเขานิ่งงัน ขณะที่อีกฝ่ายก้มหน้ามองพื้น กระซิบถามออกมาเสียงแผ่วหวิว
“...จะยังจำได้หรือเปล่า...ถ้าเกิดว่าเขาไม่เหมือนเดิม..ถ้าผมไม่เหมือนเดิม....”
นัยน์ตาของเธอวาววับด้วยหยดน้ำ แต่คิ้วยังขมวดมุ่นด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดนัก รู้เพียงแต่มันชวนให้สะกิดใจขึ้นมา ในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ คงต้องโทษสมองของเธอที่อาจเลอะเลือนลงตามวัย หรือไม่ก็เป็นเรื่องจริงที่ยากจะเชื่อ
“...สบายดีใช่ไหมครับ.....ม้า...”
ได้ยินเช่นนั้น เดือนเพ็ญยกมือขึ้นกุมอก เกือบจะทรุดลงไปกับพื้นหากเอกภพไม่พยุงแขนเธอไว้ก่อน ขาอ่อนแรงจนยืนไม่อยู่ไปอีกพักหนึ่ง ทำนบน้ำตาพังทลายลงเพียงแค่คำพูดประหลาดจากปากเด็กชายแปลกหน้าเพียงประโยคเดียว หยดน้ำไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจควบคุม
“...วสันต์...”
เธอกระซิบชื่อลูกชายคนโตที่จากไปเมื่อราวสิบห้าปีก่อนออกมาด้วยน้ำเสียงปริ่มว่าจะขาดใจ ทั้งที่ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงอันเป็นรูปธรรมใด ๆ กับเด็กผู้ชายตรงหน้าสักนิด
เด็กหนุ่มไหล่สั่นเทิ้ม เขาอยากร้องบอกวสันต์ที่อาจยังคงอยู่ในรูปของความทรงจำในตัวเขา บอกให้รู้ว่าเธอยังจำเขาได้ สายใยอันมองไม่เห็นซึ่งเชื่อมโยงพวกเขาอยู่ยังไม่ได้หมดสิ้นลงแค่เพียงความตายมาพราก
“...ผมคิดว่า...เขาอยาก..ขอโทษ”
เขาสะอื้นออกมาจนเนื้อตัวสั่นระริก ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเธอ จากนั้นก้มลงกราบแทบเท้า
“...ขอโทษ..ครับ...”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบเจ้าบ้านมายืนอยู่ข้างกายภรรยาตนเองแล้ว นัยน์ตาแดง ๆ ก้มลงมองมาที่เขา ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร หรือได้ยินพวกเขาสามคนคุยกันตั้งแต่ตอนไหน แต่จากท่าทางเท่าที่สังเกต บางทีอาจฟังอยู่ตั้งแต่แรกจากด้านหลังรั้วนั้น
ชายผู้มักทำหน้าตาเคร่งขรึมที่จำได้จากในความฝัน บัดนี้แก่ชราลงมาก แต่ก็ยังคงเค้าเดิมให้เชื่อมโยงว่าเป็นคนเดียวกันได้ง่ายดาย แล้วยิ่งเขาเคยเห็นอีกฝ่ายมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านของเอกภพก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ยังนึกความฝันของตัวเองไม่ค่อยออก พบกันอีกหนจึงจำได้ทันที
หากแต่เมื่อเจอตัวจริงใกล้ชิดขนาดนี้ ทั้งร่างก็กลับยิ่งสั่นเทิ้มหนักกว่าเก่า แววตาและน้ำเสียงอย่างที่เคยเป็นบนชั้นดาดฟ้ายังสะท้อนชัดเจนในหัว แม้ตอนนี้ไม่เหลือท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้นอีกแล้ว แต่วสุกลับยังไม่สามารถประคับประคองตัวเองให้พูดอะไรออกมาเป็นเรื่องเป็นราว จึงได้แต่เอ่ยคำขอขมากระท่อนกระแท่น จากนั้นก้มลงกราบแทบเท้าชายแก่ที่เป็นพ่อของวสันต์อีกคน โดยไม่ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปอย่างอื่น
วสุก้มหน้า คู้ตัวอยู่ท่าเดิมอยู่อึดใจ ก่อนจะมีมือคู่หนึ่งประคองให้ลุกขึ้นมา จากนั้นดึงทั้งร่างเขาเข้าไปกอด เป็นคนที่เขาไม่คาดคิดที่สุด จากทั้งสามคนที่ยืนอยู่กับเขาตรงนั้น
“วสุใช่ไหม....”
เด็กหนุ่มผงกศีรษะ
“ไม่ว่าจะเป็นใคร..ก็ใช้ชีวิตของตัวเองเถอะ”
สุชัยเอ่ยเสียงสั่นเครือจนแปลกหู วสุระลึกได้ตอนนั้น ว่าที่กอดเขาอยู่ไม่ใช่ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้เกรี้ยวกราดคนเดิมอีกแล้ว แต่เป็นชายแก่ซึ่งสูญเสียลูกชายคนโตผู้เป็นที่รัก จากความผิดพลาดอันไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีก เหลือเพียงความรู้สึกผิดที่กัดกร่อนจิตใจให้ผุพังลงช้า ๆ มาตลอดระยะเวลาสิบห้าปี คนที่มีชีวิตอยู่ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน ไม่มีทางด้อยไปกว่าความทรมานของเขาจากความฝันไม่รู้จบตลอดชีวิตมานี้อย่างแน่นอน
สุดท้ายแล้ว เรื่องราวที่เกิดก็พรากเอาประกายสดใสในแววตาของผู้คนในเหตุการณ์นั้นไป เหลือเพียงร่องรอยแห้งผากในเศษซากของความทรงจำที่ตกค้าง
“...ไอ้ตี๋....ป๊าขอโทษ...ถ้าแกจะได้ยิน...”
น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ราวกับได้ปลดเปลื้องความผิดบาปในใจออกไปในคราวเดียวกัน
วสุกอดตอบชายแก่ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาร้องไห้จนตัวเบาโหวง เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องอีกแล้ว..
“...ผมได้ยิน...เขาก็ได้ยิน...เขาไม่โกรธป๊า....เขาอยากขอโทษ...ผมขอโทษ....”
บนถนนเส้นเล็ก ๆ หน้าบ้าน ผู้คนที่มองมาเห็นเข้าอาจแปลกใจ ว่าพวกเขามายืนกอดกันกลมอะไรอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจจริงจังนัก มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ พวกเขาที่มีชีวิตกับความสูญเสียและฝันร้ายมาเนิ่นนาน
..ราวกับได้ตัดโซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งให้จมจ่อมกับความโศกเศร้าและมืดมนของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แค่เพียงได้ให้อภัยและได้รับการให้อภัย ง่ายดายเหลือเกิน แต่กลับเป็นถ้อยคำที่ต้องใช้เวลาถึงสิบห้าปี กว่าจะได้ฟังและได้เอ่ยมันออกมา..
“นั่นอะไรน่ะ”
ภัทรพักตร์ร้องทัก เมื่อเห็นเขาวิ่งตึงตังเข้าบ้านพร้อมกับของบางอย่างในมือ มันเป็นห่วงรูปวงกลม มีเชือกถักเป็นตาข่าย ประดับด้วยลูกปัดและขนนกสีน้ำตาลอ่อน
“ดรีมแคชเชอร์” วสุตอบ พลางชูของในมือให้ดู ขนนกที่ห้อยประดับไว้พลิ้วไปมาตรงหน้าพวกเขา “ตาข่ายดักฝันร้าย”
“ทำเองเรอะ”
“พี่เอกช่วย” เด็กหนุ่มพึมพำ ทำหน้าครุ่นคิดอีกนิดหน่อย “อา..แต่จริง ๆ ก็เป็นพี่เอกทำเกือบหมดเลย”
ลูกพี่ลูกน้องเขาโคลงศีรษะเหนื่อยหน่าย “ที่หายเงียบไปบ้านโน้นบ่อย ๆ นี่แกไปเข้าคอร์สศิลปะและเย็บปักถักร้อยหรือไงเนี่ย”
“ก็นะ..” วสุยิ้มแห้ง ไม่รู้จะเถียงว่าอะไรเลยปล่อยค้างไว้อย่างนั้น เดินดุ่มเข้าห้องนอนตัวเอง มองหามุมเหมาะ ๆ แขวนตาข่ายดักฝันไว้ตรงหัวเตียง จ้องมองมันอยู่นานสองนาน พร้อมรอยยิ้มวาดค้างอยู่บนใบหน้า รู้ตัวอีกทีก็ถึงกับต้องเอามือตบแก้มตัวเองแปะ ๆ หันไปรื้อค้นรูปวาดในแฟ้มที่ได้มาจากบ้านของคิมหันต์
ข้างในนั้นเป็นรูปวาดเก่า ๆ ของวสันต์ที่เอกภพเคยวาดไว้ คิมหันต์ยกของเหล่านี้ให้เขาเองกับมือเมื่อได้พบกันอีกครั้ง หลังจากเจ้าตัวรู้ว่าเขาไปเจอพ่อแม่ของตัวเองที่บ้าน
“ของในแฟ้มนี้พี่ยกให้” คิมหันต์ว่า ตอนส่งมันให้เขา
“อะไรหรือครับ”
“มันเป็นของเฮียใหญ่ รูปที่พี่เอกเคยวาดไว้ให้เฮีย” ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ มองมันครู่หนึ่งแล้วก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้น “เฮียใหญ่เคยบอกไว้ว่าถ้าพี่โตอีกหน่อย เขาจะเล่าให้ฟังว่าของในนี้สำคัญกับเขายังไง แต่ตอนนี้พี่คิดว่ารู้แล้ว และคิดว่านายก็คงจะรู้ด้วยเหมือนกันถ้าได้เห็น..”
เขากลับมาเปิดมันในห้องนอน ข้างในมีตั้งแต่รูปวาดที่เป็นลายเส้นดินสอเปรอะเปื้อน รอยหมึกเลอะหยดน้ำเป็นดวง ๆ ภาพจากผงถ่าน สีน้ำ สีไม้ สีโปสเตอร์ และอีกสารพัดอย่างที่เอกภพเคยใช้วาดรูปวสันต์ลงไป ทั้งหมดเรียงกันแน่นอยู่ในแฟ้ม เห็นมันครั้งแรก เขาถึงกับร้องไห้ออกมาจนเปลือกตาบวม ไม่รู้จะทำอย่างไรกับภาพเหล่านี้ดี จึงได้เก็บมันกลับเข้าแฟ้ม แต่ตอนนี้ตัดสินใจว่าจะคืนมันให้เอกภพ
คืนนั้น เขาเข้านอนด้วยจิตใจสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นในรอบหลายปี
เด็กหนุ่มตื่นเต็มตาในเช้าวันรุ่งขึ้น รู้สึกว่าตัวเองฝันดี แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร เหลียวไปมองตาข่ายดักฝันที่นั่งทำกับเอกภพเมื่อวันก่อนก็เผลอยิ้มบางเบาออกมา รีบลุกไปกินข้าว อาบน้ำ ถือแฟ้มอันใหญ่ติดมือไปด้วย แวะเกาคางเจ้าแมวดำที่นอนอืดอยู่หน้าบ้านให้ตามไปด้วยกัน หลังทำหมันแล้วขาวออกจะเรื่อยเฉื่อยไปสักหน่อย แต่ยังชอบจะตามวสุต้อย ๆ อยู่เสมอ
เขาก้าวขาเข้าไปในอาณาเขตบ้านข้าง ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด พูดออกมาไม่ถูกเลยว่าเขารักทุกสิ่งที่นี่ขนาดไหน
ประตูรั้วและบ้านสีขาว สนามหญ้าสีเขียว มีขาตั้งวาดรูปในสวนหย่อม หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สีทอง แล้วตอนนี้ยังได้เพิ่มมาอีกตัว เป็นเจ้าลูกหมาตัวที่ไปเจออยู่กับเดือนเพ็ญคราวก่อนโน้น สุชัยบอกว่ายกให้เขา เห็นว่าอยากเลี้ยง แต่จะให้เลี้ยงไว้ที่บ้านซึ่งมาอาศัยป้าอยู่ก็เกรงใจเจ้าของ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งขอเลี้ยงแมวไปตัวหนึ่งแล้ว เอกภพจึงได้รับดูแลให้อีกตัว ตั้งชื่อตามที่สุชัยตั้งมาแต่แรกว่า ‘หมูหย็อง’ กลายเป็นหมาที่ชื่อหมู ขณะที่คิมหันต์ซึ่งมักแวบมาเยี่ยมบ่อย ๆ หลังเรียนจบ แอบตั้งชื่อให้อย่างลับ ๆ ว่า ‘ดุ๊กดิ๊กที่สาม’ รายนั้นมาทีไรก็โม้เรื่องหลานแฝดของตัวเองให้ฟังอยู่เรื่อย บอกว่าจะพาไปเยี่ยมให้ได้ แต่เวลาว่างไม่ตรงกันสักทีเลยได้แต่รอไปก่อน
“ติดไว้ตรงนี้ดีไหม?”
วสุยืนเหม่อ นึกไปถึงว่าหลานแฝดของคิมหันต์ ตัวจริงจะเป็นอย่างไรกันนะ
“วสุ?”
“อ๊ะ! ครับ?”
เอกภพหัวเราะ จับไหล่เขาเขย่าเบา ๆ เป็นเชิงกระเซ้า “เหม่ออะไรน่ะเรา ไหนบอกอยากช่วยแต่งห้องนี้ด้วย”
“อยากครับ” เด็กหนุ่มรีบรับคำ มองไปรอบ ๆ ห้องสีขาวที่เคยถูกสั่งห้ามยุ่ง ข้างในนั้นมีรูปวาดและรูปถ่ายของวสันต์แขวนอยู่เต็มไปหมด บัดนี้เขาสามารถยืนมองแต่ละรูปได้ครั้งละนาน ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสได้เท่าที่พอใจ แล้วยังช่วยกันกับเอกภพ ติดรูปใหม่ ๆ ที่พวกเขาวาดด้วยกันเพิ่มเข้าไปอีก กลายเป็นแกลเลอรี่เล็ก ๆ ในบ้านที่มีเรื่องราว ณ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน มีกระทั่งรูปเขาเองด้วยซ้ำ ต่อให้จะบอกเอกภพว่าอย่าติดเลยก็เถอะ
“ตรงนี้จะติดรูปครอบครัวหมาแมวนี่ดีไหม”
วสุพยักหน้าหงึกหงัก มองภาพแมวดำกับหมาขนทองตัวเล็กหนึ่ง ตัวโตอีกหนึ่งนอนกลิ้งในสวนหย่อม
“หรือรูปดอกไม้อันนี้ก็สวยนะครับ” เด็กหนุ่มลังเล “หรืออันนั้นก็สวย...อืม...เลือกลำบากจัง พี่เอกวาดอะไรก็สวยไปหมดเลย”
“งั้นหรือ”
เอกภพหันมายิ้มอบอุ่น เอานิ้วที่มีสีน้ำซึ่งยังไม่แห้งป้ายลงบนแก้มวสุ สีแดงบนปลายนิ้วแต้มลงไป เจือกับสีระเรื่อบนใบหน้าเด็กหนุ่ม ยิ่งทำให้ทั้งน่าเอ็นดูและน่าขำด้วย จะขอหลงตัวเองสักหน่อยได้หรือเปล่า ว่าที่วสุพูดอาจจะจริงก็ได้ วาดอะไรก็สวยไปหมด แค่เอาสีน้ำป้ายลงบนแก้มเจ้าเด็กตาใสตรงหน้า ก็ยังรู้สึกว่าออกมาสวย
ราวกับต้องมนตร์สะกด ชายหนุ่มโน้มใบหน้าตัวเองลงไปใกล้ กลิ่นสีน้ำที่ควรมีอยู่บ้าง ถูกกลบด้วยกลิ่นสบู่จาง ๆ จากร่างเด็กหนุ่ม
“..รัก..”
เขากระซิบแผ่วเบาข้างหูอีกฝ่าย ต่อหน้ารูปวาดและผลงานทั้งหมดในห้องนี้ ที่ยืนอยู่ต่อหน้าคงเป็นชิ้นโบแดงที่สวยงามที่สุด...อีกทั้งพิเศษที่สุด เพราะเป็นความงดงามซึ่งยังมีลมหายใจ...
วสุหลับตา กระซิบตอบคำเดียวกัน ราวกับเป็นเสียงสะท้อน ทั้งจากอดีต ปัจจุบัน และจะเป็นต่อไปในอนาคต
“...รัก...”‘วสันต์’
นั่นชื่อผม...ฤดูใบไม้ผลิ บางทีอาจได้เกิดใหม่อีกครั้งในอ้อมแขนเขา...เหมือนกับต้นไม้ที่แตกใบใหม่
- AND THEN IT’S SPRING -
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v