ช่วงนี้ผมรู้สึกเอื่อยเฉื่อยมากจริงๆ จากในตอนแรกที่โทรชวนเก่งกล้ามันไปเที่ยวด้วย แต่ปรากฏว่ามันไม่ว่าง ต้องเตรียมเรื่องจะย้ายอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาท้ายๆ ที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่มันก็ยังไม่มีเวลามาหาผมเลย ผมเลยได้แต่รอ หวังว่าจะมีโอกาสได้เที่ยวละเลี้ยงอำลามันสักครั้ง เลยส่งข้อความไปชวน ว่าจะเลี้ยงส่งมัน
แต่สิ่งที่มันตอบกลับมาสิ กลายเป็นไฟท์บินที่มันได้จองเอาไว้ และบอกว่าให้ผมไปส่ง เก่งกล้าไม่ได้พูดเรื่องที่ผมอยากจะเลี้ยงส่งมันเลยด้วยซ้ำ มันห่างๆ หายๆ ไป และช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบอีกด้วย ผมจึงได้แต่อยู่หน้าหนังสือทั้งวัน โดยที่ตอนกลางคืนนั้นเอาแต่หลับฝันถึงมัน ฝันว่าเรารักกันดีแค่ไหน
‘กูรักมึงคิน กูรักมึง’
คำบอกรักในฝันที่มาพร้อมกับรูปภาพสเก็ตซ์ที่ถูกจัดใส่กรอบรูปอย่างสวยงาม รูปที่มันวาดให้ผมนั่นแหละ แต่นี่มันในฝัน เพราะในความจริงแล้วมันยังไม่ยอมเอาให้ผมดูเลยสักนิด ทั้งๆ ที่มันใกล้จะไปแล้วแท้ๆ
ผมไปสอบอย่างคนไม่มีกำลังใจอะไรเลย เพราะรู้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่ไอ้กล้าจะบินไปอเมริกาแล้ว สอบเสร็จก็ต้องไปส่งมัน แต่โชคยังดีหน่อยที่ช่วงเย็นๆ แม่มันจะพาไปกินข้าวด้วยกัน มื้อสุดท้ายก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานแสนนาน ใจนึงผมก็ไม่อยากไปเลยเพราะรู้สึกแย่กับการที่จะไม่ได้เจอมันอีก เรียกว่ายังทำใจไม่ได้ก็ได้
แต่อีกใจนึงก็บอกกับตัวเองว่าต้องไป เพราะถ้าไม่ไปผมอาจเสียใจไปตลอดชีวิต ผมตั้งใจแล้วว่าจะบอกความรู้สึกกับมัน บอกไปว่าผมรู้สึกดีกับมันมากแค่ไหน อย่างน้อยๆ ก็ให้มันได้รับรู้ แค่รับรู้ก็ยังดี
หลังจากที่สอบเสร็จเพื่อนๆ ก็พากันแยกย้าย มีหลายคนที่เข้ามาบอกลาไอ้กล้า ทำหน้าเศร้ากันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง ที่รู้สึกเศร้าใจไม่แพ้กัน แค่คิดก็ใจหายแล้ว วันนี้เก่งกล้ามันจะไปแล้วจริงๆ และผมคงไม่มีปัญญาไปรั้งหรือห้ามอะไรได้ แม้ใจจริงอยากจะให้มันอยู่ต่อมากแค่ไหนก็ตาม
“ไปไอ้คิน ไปกินข้าวกัน แล้วไปส่งกูที่สนามบินด้วย”
เก่งกล้าที่เดินเข้ามาหาพูดขึ้น มันหันไปโบกมือลาเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเดินนำผมออกจากห้องไป ระดับมันทำข้อสอบได้สบายๆ อยู่แล้ว ส่วนผมเนี่ยสิ ถึงแม้จะได้รับการติวมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ทำแค่พอถูๆ ไถๆ ไปได้ ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย ที่ผ่านๆ มาก็ได้ไอ้เพื่อนคนนี้แหละที่คอยช่วยเตือนสติผมให้ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด
“ใจหายเนอะ เผลอแป๊บเดียวมึงก็จะไปแล้ว”
ผมพูดขึ้นขณะที่เราสองคนกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดิน ไอ้กล้ามันก็ยิ้มน้อยๆ แววตามันดูเศร้าๆ อย่างเห็นได้ชัด
“มึงอย่าพูดดิ กูยิ่งไม่อยากไปอยู่”
พอได้ยินแบบนี้ผมก็ต้องรีบพูดกระตุ้นมันเข้าไปมากกว่าเดิม เพราะผมเองก็อยากให้มันอยู่ต่อเหมือนกัน
“ก็ไม่ต้องไปดิ”
“ตลกแล้วไอ้คิน จะไปคืนนี้อยู่แล้วนะ”
“แต่ก็ยังไม่ได้ไปนี่ มึงเปลี่ยนใจยังทันนะ”
ผมบอกด้วยท่าทีที่จริงจังขึ้น เร่งฝีเท้าเพื่อเดินไปดักหน้ามันแล้วก็ถามต่ออีก
“มึงไม่ไปไม่ได้เหรอวะ”
“...”
“กูไม่อยากให้มึงไปเลย”
“กูตัดสินใจแล้วว่ะ”
สุดท้ายคำตอบของมันก็เหมือนเดิม มันตัดสินใจและคงไม่เปลี่ยนใจอีกแล้ว ผมคงจะรั้งอะไรมันไม่ได้ เลยได้แต่ยิ้มรับแล้วพยักหน้าอย่างยอมแพ้
“แต่กูจะพยายามกลับมาบ่อยๆ”
ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่เหมือนเป็นสัญญาใจระหว่างผมกับมัน อย่างน้อยมันก็คงอยากกลับมาเจอหน้าผมบ้าง ก็ยังดี
หลังจากพากันมากินข้าวที่ร้านอาหารร้านโปรดของแม่เก่งกล้า ก็ถึงเวลาไปส่งทุกคนที่สนามบิน แม่ผมเองก็ตามมาด้วยเหมือนกัน และก็มีเพื่อนบางคนที่ค่อนข้างสนิทกันมาส่งไอ้กล้าด้วย ทุกคนยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ผมได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่คนเดียวด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว
เมื่อไอ้กล้าจะไปอยู่แล้ว แต่ผมยังไม่ได้บอกในสิ่งที่ต้องการจะบอกกับมันเลยแม้แต่น้อย และโชคอาจเข้าข้างตรงที่จู่ๆ ไอ้กล้าก็เดินมาหาแล้วชวนผมไปห้องน้ำ มันเลยมีช่วงเวลาสั้นๆ ให้เราได้พูดคุยกันต่อ
“เออไอ้คิน กูมีอะไรจะให้มึงด้วย”
เก่งกล้าหยุดเดิน เมื่อถอดกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่แล้วล้วงอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเอสี่ ถูกปิดผนึกอย่างดีด้วยเทปกาวสีเดียวกัน มันยื่นสิ่งนั้นส่งมาตรงหน้าผม
“อะไรวะ”
“กลับไปบ้านแล้วค่อยเปิด”
“ทำไมวะ เปิดตอนนี้เลยไม่ได้หรือไง”
ผมบอกแล้วทำท่าจะลอกเทปกาวออก แต่ไอ้กล้าก็รีบห้ามเอาไว้จนผมต้องยอมหยุดการกระทำของตัวเอง ทั้งที่จริงแล้วก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร
“ไว้ค่อยเปิดทีหลังเถอะ”
มันบอกแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมจึงได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอก ขณะลองชูซองสีน้ำตาลนั่นส่องกับแสงไฟดู เผื่อจะเห็นอะไรลางๆ โผล่มาบ้าง แต่ซองมันก็ค่อนข้างหนาเลยไม่เห็นง่ายๆ อย่างที่คิด
“ทำอะไรของมึง”
จู่ๆ ประตูห้องน้ำที่ถูกเปิดออกตอนไหนก็ไม่รู้ และเสียงเรียกของเก่งกล้ามันทำให้ผมตกใจสะดุ้ง รีบเอามือลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนไอ้กล้าจะถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่ได้เซ้าซี้เอาความอะไร กลับเดินไปล้างไม้ล้างมือด้วยท่าทีสบายๆ
“เดี๋ยวกูจะไปแล้วนะ”
“อืม”
“มึง...มีอะไรอยากบอกกูอีกหรือเปล่า”
คำถามนี้เหมือนกำลังเปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรก็ได้ และในเมื่อผมตั้งใจแล้วก็ต้องทำมันให้สำเร็จ ผมพยักหน้ารับแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้มันมากขึ้น อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้เลยจริงๆ
“กอดทีดิ”
“ในห้องน้ำเนี่ยนะ”
เก่งกล้าถามกลับแล้วหัวเราะ โชคยังดีหน่อยที่ตอนนี้ไม่มีคน เพราะไม่อย่างนั้นผมคงจะยิ่งโคตรๆ อายน่าดู
“เออ เร็วๆ เดี๋ยวมีคนเข้ามาเห็น”
“อะไรของมึงเนี่ย แค่กอดกันต้องทำลับๆ ล่อๆ”
ถึงมันจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็แอบเห็นใบหน้ามันเริ่มเปลี่ยนสี หูนี่แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไหนจะท่าทางที่ยกมือขึ้นเกาต้นคออีกด้วยล่ะ อดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ว่ามันกำลังเขินผมอยู่
ผมไม่พูดพร่ำอะไรให้เสียเวลาอีก เดินเข้าไปใกล้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหาแล้วรั้งตัวมันเข้ามาให้อ้อมแขน กอดมันแน่นๆ พร้อมตบหลังเบาๆ
“ทำตามสัญญาของมึงด้วย”
“สัญญา...สัญญาอะไรวะ”
แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคางของเก่งกล้ากำลังเกยไหล่ตัวเองอยู่ สองมือก็กอดผมกลับหลวมๆ และเสียงของมันก็สั่นเครือกว่าปกติ ให้ทายเลยว่าตอนนี้มันต้องกำลังกลั้นน้ำตาอยู่แน่ๆ คนขี้แยร้องไห้ง่ายแบบมันมีหรือที่จะไม่ร้องในเวลาแบบนี้
เวลาสุดท้ายของการได้อยู่ด้วยกัน
“ก็ที่บอกว่าจะกลับมาบ่อยๆ ไง”
“อ๋อ กูจะพยายาม มึงก็ไปหากูบ้างสิ”
เก่งกล้าว่าแล้วก็ดันตัวออกห่างจากผม มันเดินถอยหลังไปเอนตัวพิงกับขอบเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นสีหน้าของมันชัดๆ แม้จะไม่ได้เห็นน้ำตาของไอ้กล้า แต่แค่ขอบตาแดงๆ นั่นก็บ่งบอกอะไรได้ดี
“ได้ โอนเงินค่าตั๋วมาให้กูด้วย”
ผมพูดติดตลกแล้วเดินเข้าไปหามัน เอาซองสีน้ำตาลที่ถืออยู่ในมือวางลงที่ข้างอ่างล้างมือ แล้วใช้สองแขนกางคร่อมตัวมันเอาไว้ เท้ามือลงกับขอบเคาน์เตอร์ที่มันยืนพิงอยู่ ในท่าทางแบบนั้นมันทำให้เราอยู่ใกล้ชิดกันมาก ชนิดที่ว่าถ้าใครมาเห็นเราในตอนนี้คงได้เข้าใจผิดกันไปไหนต่อไหน
“ไอ้กล้า กูถามจริงนะ”
“ถะ...ถามอะไรวะ”
“มึงคิดยังไงกับกู”
“คิดอะไร ถามอะไรของมึงเนี่ย”
เมื่อคนถูกถามทำเป็นเฉไฉไม่ยอมตอบ อีกทั้งสองมือยังส่งมาดันหน้าอกผมให้ออกห่างจากมันมากขึ้น ผมเลยต้องแกล้งทำเป็นรวบตัวกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขน...จริงๆ ผมพอมั่นใจในระดับหนึ่งว่าเก่งกล้าคงจะมีความรู้สึกดีๆ ให้ผมเหมือนที่ผมมีให้มันบ้างนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่แสดงท่าทีแปลกๆ หรือแอบวาดรูปผมลงสมุดเล่มนั้นหรอก
ที่สำคัญ ผมคิดว่าผมรู้ สิ่งที่มันส่งมาให้ในซองสีน้ำตาลนั่นคงไม่พ้นรูปภาพพวกนั้น มันคงตั้งใจจะให้ผมเก็บไว้
“กูรู้สึกดีกับมึงไอ้กล้า กูคิดว่ากูชอบมึง”
หลังจากสังเกตปฏิติกิริยาของเก่งกล้าแล้ว เห็นว่ามันไม่ได้ผลักไสอะไรผมจริงจังมากนัก ก็เลยตัดสินใจพูดบอกสิ่งที่อยากจะบอกกับมันไปตรงๆ และไอ้กล้าก็ทำหน้าตาตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว ยิ่งส่วนบนของร่างกายเราที่ค่อนข้างแนบชิดกัน มันก็ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนบริเวณอกของอีกฝ่ายที่แรงกว่าปกติ
“มึงจะบ้าเหรอ เป็นเพื่อนกันนะเว้ย”
เพื่อนกันก็ชอบกันได้นี่หว่าไอ้กล้า…
“แล้วมึงคิดยังไงกับกู รู้สึกเหมือนกันมั้ย”
“กู...กูไม่รู้ พอเถอะ กูต้องไปแล้ว”
“แต่กูอยากรู้คำตอบ กูคิดว่ามึงรู้นะว่าตัวมึงคิดยังไง ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่ทำเป็นหงอยๆ เวลาที่กูไปอยู่กับเมฆหรอกใช่มั้ย”
“กูเป็นแบบนั้นตอนไหน ก็ปกตินี่”
มันยังคงดื้อด้านปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ตอนนี้หน้าแดงเถือกแล้วยังทำหลบตาไม่ยอมมองผมตรงๆ อีกด้วย
“แล้วที่มึงแอบวาดรูปกูล่ะ แอบชอบกูอยู่เหรอ”
พอพูดจบไอ้กล้าก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผมทันที แม้มันจะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็คิดว่ามันอยากจะถามอยู่ว่า ‘รู้ได้ไง’ ก่อนที่ผมจะถามย้ำกลับไปใหม่อีกครั้ง
“มึงชอบกูบ้างมั้ยกล้า”
คำถามที่ผมคิดว่าใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแบบสุดๆ แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังกลับทำหน้าเหมือนกำลังโดนดุ ถูกตวาด มันกำลังทำตาแดงจะร้องไห้ใส่ผมขึ้นมาดื้อๆ
“แล้วมันสำคัญยังไง เดี๋ยวกูก็จะไปแล้ว”
“ไปก็ไปดิ ไม่เห็นเป็นไร แต่กูอยากรู้ว่ามึงคิดยังไงกันแน่ บอกหน่อยไม่ได้หรือไงวะ”
“รู้ไปก็เท่านั้นแหละไอ้คิน สุดท้ายเราก็แยกย้ายอยู่ดี เป็นเพื่อนกันแบบนี้แหละดีแล้ว”
แล้วไอ้กล้าก็ดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ในอ้อมกอดผม มันพยายามจะดันตัวให้ออกห่าง แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เพราะรู้สึกว่ายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ผมเข้าใจในสิ่งที่มันพูดขึ้นมาทันที ไอ้กล้าคงไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี
“มึงรู้อะไรมั้ย กูเคยเล่าให้มึงฟังว่ากูฝันถึงเมฆบ่อยๆ ใช่หรือเปล่า แต่มึงรู้มั้ย ช่วงที่ผ่านมานี่กูฝันเห็นแต่มึง แค่มึงคนเดียว กูจดจำความฝันเกี่ยวกับมึงได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ปกติกูไม่เคยฝันถึงมึงเลย...และมันก็ทำให้กูเริ่มมองมึงเปลี่ยนไป กูคิดว่ากูชอบมึงว่ะ”
“มึงอินกับฝันมากไปหรือเปล่า คนที่มึงชอบอาจเป็นกูในฝัน เหมือนที่มึงชอบเมฆในฝัน...แต่เอาเข้าจริงแล้วมึงอาจไม่ได้ชอบจริงๆ ก็ได้”
ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วกับการปฏิเสธของมัน ไอ้กล้าดูจะพยายามผลักไสผมอยู่ตลอดเวลา
“ทำไมมึงเข้าใจยากวะ ชอบก็คือชอบดิ กูรู้ตัวกูอยู่ กูรู้จักมึงมานานแค่ไหนแล้วไอ้กล้า ทำไมกูจะแยกไม่ออกว่ากูคิดยังไง”
“...”
“แล้วมึงล่ะคิดยังไง”
ยังไม่ทันที่ไอ้กล้าจะได้ตอบอะไร จู่ๆ ประตูทางเข้าห้องน้ำก็ถูกเปิดออก พร้อมๆ กับการที่มีกลุ่มเด็กผู้ชายพากันเดินเข้ามาด้านใน แต่ละคนมองพวกเราตาโตจนผมต้องรีบปล่อยตัวคนในอ้อมกอดออก แล้วไอ้กล้าก็ก้าวเท้าเดินหนีออกไปข้างนอกเลย ผมจึงรีบตามออกไปโดยไม่ลืมคว้าเอาซองสีน้ำตาลนั่นติดมือมาด้วย
ไอ้เด็กบ้าพวกนี้ หมดกัน แล้วจะไปหาเวลาคุยกันได้จากที่ไหนอีกวะ
“ไอ้กล้า สรุปมึงจะบอกกูมั้ยเนี่ย มึงจะไปอยู่แล้วนะ”
ผมร้องถามขณะเดินตามคนที่เดินนำอยู่ ไอ้กล้ารีบเดินมากจนผมเองก็แทบก้าวตามไม่ทัน
“กูจะรอมึงได้มั้ย”
คำถามของผมที่ถามออกไปนั่นทำให้เก่งกล้าชะงักฝีเท้าลง มันหยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมาหา บอกด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจัง
“กูไม่อยากให้มึงเสียเวลา”
“ถ้างั้นกูถามใหม่ มึงจะรอกูได้มั้ย”
ในเมื่อมันไม่อยากให้ผมรอ งั้นผมก็จะเป็นฝ่ายให้มันรอผมก็แล้วกัน
“หมายความว่าไง”
“แล้วมึงจะรอกูมั้ยล่ะ กูจะกลับไปตั้งใจเรียน แล้วสอบไปเรียนต่อที่อเมริกาให้ได้”
“หะ? มึงเนี่ยนะ ไปท่องเอบีซีให้คล่องก่อนเถอะไอ้คิน”
ไอ้กล้าส่ายหน้าไปมาทั้งที่ปากมันยิ้ม...และตามันแดงๆ เหมือนกำลังจะร้องไห้ ขอบตาก็รื้นด้วยน้ำใสๆ แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาจะหยดลงมา มันก็รีบยกมือปาดทิ้งซะก่อน
“แล้วมึงจะรอกูมั้ยล่ะ”
เก่งกล้านิ่งไปสักครู่หนึ่ง มันจ้องมองผมมาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนที่จะพยักหน้าแล้วโผเข้ามากอดผมไว้แน่น
“ขอบคุณมากไอ้คิน ที่มาบอกกู เพราะกูคงไม่กล้าบอกมึงก่อน…”
“บอกอะไรวะ”
ผมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว สองมือกอดตอบมันกลับไป โดยไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นเราบ้าง ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ที่สำคัญ พวกแม่และเพื่อนๆ ของพวกเราก็ยืนอยู่ค่อนข้างไกล อาจไม่มีใครสังเกตก็ได้
“...ว่ามึงชอบกู”
“อ๋อเหรอ แล้วอะไรที่มึงไม่กล้าจะบอกกูก่อน”
พอถามจบ ไอ้คนที่กอดผมอยู่มันก็ซุกหน้าลงกับซอกคอผมนิ่งเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไร รอจนกระทั่งมันจะยอมพูดออกมาเอง
“กูชอบมึง…ชอบมึงเหมือนกัน”
ความรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจมันกำลังพองโตคับอก มีความสุขแบบสุดๆ และก็รู้สึกเสียใจสุดๆ ในเวลาเดียวกัน มันอาจเป็นเรื่องดีที่ใจของผมกับไอ้กล้าคิดเหมือนๆ กัน แต่บางทีเราอาจจะบอกกันและกันช้าเกินไป
“นานแค่ไหนแล้ววะ มึง...ชอบกูนานแค่ไหนแล้ว”
“ก็นานแล้วล่ะ แต่มึงไม่เคยรู้เลย”
“เออ กูมันโง่เอง”
“ใช่ มึงโง่มาก”
นาทีนี้ไม่รู้ว่าที่มันพูดคือจะหลอกด่าหรืออะไร แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะอย่างน้อยๆ ภาระกิจวันนี้ของผมก็เสร็จสิ้นแล้วจริงๆ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ที่รู้ว่าอย่างน้อยความรู้สึกของพวกเราก็ตรงกัน
“แต่ถ้ามึงรู้ก่อนหน้านี้ บางทีวันนี้เราอาจไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วก็ได้”
“ทำไมวะ ก็เป็นแฟนกันไปเลยไง”
พอผมพูดจบ ไอ้กล้าก็ผละตัวออกห่างแล้วทำหน้ามุ้ยใส่เฉยเลย
“ไม่ใช่แบบนั้น ถ้ามึงรู้ว่ากูชอบ แต่มึงคิดกับกูแค่เพื่อน มึงว่าเราจะยังคบกันเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจเหรอวะ”
ก็ถูกของมัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันคงอึดอัดไม่น้อยที่ต้องมองหน้ากันแต่ความรู้สึกที่มีต่อกันมันเปลี่ยนไป ถ้าในตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรกับไอ้กล้า ผมก็คงมองมันไม่เหมือนเดิมแบบที่มันว่านั้นแหละ
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องเป็นแค่เพื่อนแล้วสิตอนนี้ มึงกับกู ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแล้ว”
“ไอ้คิน...มึง…”
“มึงจะให้กูบอกชอบมึง มึงบอกชอบกู...แล้วก็โอเค เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แบบนี้เหรอวะ”
ผมรีบแทรกขึ้นเมื่อไอ้กล้าทำท่าเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง ต้องรีบทำให้มันคล้อยตามโดยเร็วที่สุด ถึงแม้ผมจะรู้ผลลัพธ์ของการตัดสินใจในครั้งนี้อยู่บ้างแล้วก็ตาม สุดท้ายยังไงผมกับมันก็ต้องแยกจากกัน โดยไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาเจอกันอีก
“กูไม่อยากให้มึงรอ...”
“กูก็ไม่เคยบอกว่าจะรอ”
เก่งกล้าหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ผมพูดจบ ดังนั้นผมจึงเอื้อมมือไปจับมือของมันเอาไว้ บีบกระชับสร้างความมั่นใจให้กันและกัน
“หน้าซีดเชียวนะมึง เสียใจเหรอ”
“เปล่า...เปล่าซะหน่อย”
ไอ้กล้ารีบลนลานตอบกลับมา มันดึงมือกลับแล้วหันหน้าหนี ท่าทางที่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่ากำลังรู้สึกไม่ดี หรือกำลังเขินผมอยู่กันแน่ แต่ผมก็ไม่อยากเสียเวลาแกล้งมันนานนัก เพราะเรามีเวลาได้อยู่ด้วยกันอีกแค่นิดเดียว ผมไม่อยากให้เวลาที่มีอยู่มันเสียเปล่า
“ที่กูบอกว่าไม่รอ เพราะมึงต้องเป็นฝ่ายรอกูไงไอ้กล้า”
“...”
“รอกูก่อนนะ อย่าเพิ่งไปชอบใคร ให้โอกาสกูก่อน”
“...”
“มึง...จะรอใช่มั้ย”
ผมถามย้ำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ ซ้ำสีหน้าเรียบๆ ของมันก็ทำให้ใจหายแปลกๆ ราวกับบอกว่ามันกำลังลังเล และนั่นก็ทำให้ผมกังวลใจ แต่เมื่อเก่งกล้าทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เสียงเรียกของแม่มันก็ดังขึ้นซะก่อน ซึ่งไอ้กล้าก็หันมามองสบตาผมแวบนึง ก่อนที่มันจะหมุนตัวเดินไปหาแม่มัน
“ไอ้บ้านี่ ยังไม่ตอบคำถามกูเลยนะ”
ผมได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆ หลังจากออกเดินตามหลังไอ้กล้าไปห่างๆ อดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้จริงๆ เมื่อเห็นว่ามันทำท่าเหมือนไม่สนใจกันแบบนี้ มันบอกชอบผม แต่ก็ไม่ทำเรื่องของเราให้ชัดเจนสักที
แล้วตกลงมันจะรอ...หรือไม่รอกันแน่วะ
เมื่อเดินกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่ต่างก็มาส่งครอบครัวของเก่งกล้าแล้ว ผมก็ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ หาจังหวะเข้าไปดึงตัวเก่งกล้าออกมาไม่ได้สักที แต่ผมต้องคุยกับมันให้รู้เรื่องให้ได้ จะได้ไม่ค้างคาใจอะไรอีก ให้รู้ๆ กันไปเลยตกลงจะทำยังไงกับสถานะความสัมพันธ์ของเราต่อไป
ไอ้กล้ายิ้ม หัวเราะให้เพื่อนคนอื่น ขณะที่เวลามันสบตากับผมก็มักจะรีบหลบสายตา แล้วทำเป็นพูดโน้นพูดนี่ไปเรื่อย พอเป็นแบบนี้ผมเลยหาโอกาสแทรกตัวเข้าไปใกล้ แล้วจ้องมองมันด้วยสายตาที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม อุตส่าห์อดทนไม่โวยวายไปก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะรู้ว่าประกาศโต้งๆ ตรงๆ มีหวังคนอื่นๆ ได้ตกใจ ไม่แม่มันก็แม่ผมคงได้เป็นลมล้มพับไปก่อนแน่
และในที่สุด ความอดทนของผมมันก็สิ้นสุดลง เมื่อเห็นว่าเก่งกล้าพยายามเลี่ยงการมองมาทางผมอยู่ตลอด มันกำลังหนี...ผมไม่เข้าใจว่าจะหนีทำไม ทั้งที่ใจเราก็ตรงกัน
“ไอ้...”
ยังไม่ทันที่จะได้เรียกเก่งกล้า จู่ๆ แม่ของมันก็เรียกชื่อมันซะก่อน พร้อมกับบอกลาทุกคน พวกเขากำลังจะไปกันแล้ว...ไปแล้วจริงๆ แต่ไอ้เพื่อนเวรนั่นยังนิ่ง ไม่มาเคลียร์เรื่องที่ยังติดค้างกับผมสักที มันทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่หันมาสนใจผมอีก
และนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจหมุนตัวกลับ แล้วเดินออกมาท่ามกลางเสียงเรียกของเพื่อนๆ รวมถึงแม่ด้วย คงจะงงกันไปหมดว่าผมเป็นบ้าอะไร แต่ผมไม่ได้บ้า ผมคิดดีแล้วที่เดินออกมาแบบนี้ เพราะมั่นใจว่ามันต้องมา...ไอ้กล้าต้องตามมาแน่ๆ
ทำไมยังไม่มาอีกวะ
หรือผมจะเล่นตัวมากเกินไป นี่มันจะไม่สนใจผมขนาดนี้เลยเหรอวะ
ขาที่กำลังก้าวเดินมันค่อยๆ ช้าลง และหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อรับรู้แล้วว่าคนที่ผมรอคอยมันไม่มีทางตามมาอย่างที่คิดเอาไว้ ได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ กระทั่งจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ก็มีร่างสูงของใครบางคนพุ่งเข้ามาชนหลังผมอย่างแรง จนเกือบจะหน้าคะมำ
คน...ที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อตอนนี้ไอ้กล้ามันพุ่งเข้ามากอดผมไว้จากทางด้านหลัง ใจผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แค่นี้ก็ดีมากแล้วสำหรับผม แค่รู้ว่ามันห่วงความรู้สึกของผม
“อะไรอีกล่ะ ไม่รีบไปแล้วหรือไง”
ผมยังคงสวมบทคนน้อยใจต่อไปด้วยการยืนนิ่งๆ ให้มันกอดอยู่แบบนั้น โดยไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ใครจะเห็นบ้าง คนอื่นๆ จะคิดอะไรก็ช่างกับการที่เห็นผู้ชายตัวโตสองคนกอดกัน
“รีบสิวะ แต่มึงเดินหนีมาทำไมล่ะ”
“ก็มึงลีลาไม่ให้คำตอบกู จะตอบกูชาติไหน กูอยากรู้ชาตินี้”
น้ำเสียงที่พูดออกไปมันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ ก็ไอ้กล้ามันลีลาเยอะ จะตอบก็ไม่ตอบ ในเมื่อจะไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว…
“เออ ตอบชาตินี้แหละ”
คนที่อยู่ข้างหลังตอบเสียงอ่อน ผิดกับน้ำเสียงของผมลิบลับ พอได้ยินแล้วก็รู้สึกใจหายแปลกๆ ไม่อยากให้มันเสียใจหรือเศร้าเลยจริงๆ บางทีผมอาจพูดแรงไป
“ก็ตอบสิ กูรอมึงอยู่”
ตอนนี้ไอ้กล้าปล่อยมือออกจากเอวของผมแล้ว ผมจึงหมุนตัวหันกลับมาหามัน แล้วก็แทบช็อกเมื่อเห็นว่าข้างหลังเก่งกล้ายังมีบรรดาเพื่อนๆ และแม่ๆ ของเรายืนอยู่ไม่ไกลอีกด้วย แน่นอนว่าทุกคนคงจะได้ยินประโยคที่เราคุยกันอย่าชัดเจน
เวรแล้ว…
“กูจะรอมึงคิน...รีบๆ มาหากูนะ”
เก่งกล้าทำหน้าเหมือนเด็กน้อยที่กำลังอ้อนวอนขอให้แม่ทำอะไรสักอย่างให้ แววตาอ้อนๆ แบบนั้นมันทำให้ผมใจอ่อน แต่ก็ขัดใจแปลกๆ เมื่อมองผ่านไหล่มันไปแล้วเห็นคนอื่นๆ มองมาเป็นตาเดียว หูผึ่งราวกับจะฟังต่อ บางคนก็เริ่มเอ่ยแซวให้ไอ้กล้ารีบหันขวับไปมองด้วยท่าทางที่ดูตกใจ เพราะดูเหมือนมันจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน
“ได้ กูจะรีบไปหามึง”
ผมดึงตัวมันให้หันกลับมาหาอีกครั้ง พยายามไม่สนใจคนอื่นที่มองมาอยู่ พูดด้วยท่าทางปกติให้ดูเหมือนเพื่อนกันทั่วไป แต่พอเห็นหน้าแดงๆ ของอีกฝ่าย ผมก็อยากจะก้มลงไปจูบมันแรงๆ สักที แต่ก็เกรงใจผู้ใหญ่และคนอื่นๆ ที่เดินผ่านกันไปมา สุดท้ายเลยได้แต่เอามือวางลงบนหัวของมันแล้วขยี้ผมเบาๆ
“ไปได้แล้วไป เดี๋ยวตกเครื่องกันพอดี…”
“อือ”
“อ่อ แล้วไอ้นี่ ขอบคุณนะ”
ผมชูซองในมือให้กับเจ้าของมันดู นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณมันเลย และไอ้กล้าก็พยักหน้ารับด้วยท่าทีอายๆ
เมื่อเห็นว่าทำมันเสียเวลามาพอสมควรแล้ว และตอนนี้สิ่งที่ติดค้างในใจก็ได้รับการปลดปล่อย ผมจึงดันไอ้กล้าให้หมุนตัวกลับไปแล้วบอกลากับแม่ของมันอีกครั้ง แค่มองตาก็รู้ว่าแม่มันอยากจะพูดอะไร แต่ด้วยเพราะต้องรีบ เลยเอ่ยขอตัวแล้วคว้าเอาแขนลูกชายตัวเองให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
และพอสองคนนั้นเดินหายลับสายตาไป คนอื่นๆ ก็พากันกรูเข้ามาหาแล้วถามซักไซร้ผมเป็นการใหญ่ ซึ่งผมก็ทำเพียงยักไหล่โดยไม่พูดอะไรให้มากความ แม้แต่แม่ก็เถอะ ผมรู้ว่าแม่ดูออก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะแม่เองก็เอ็นดูไอ้กล้ามันพอสมควร
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความอะไรบางอย่าง แล้วส่งไปให้กับหมายเลขปลายทาง ซึ่งรอเพียงไม่นานก็มีข้อความจากอีกฝ่ายตอบกลับมา เป็นข้อความที่อ่านแล้วถึงกับหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ วินาทีนี้ใครจะว่าบ้าก็ว่าเถอะ ผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังมีความสุข...กับคนที่เรียกว่า ‘แฟน’
คนที่ส่งข้อความมาย้ำหนักย้ำหนาว่าจะรอผม และห้ามให้ผมผิดสัญญาที่ว่าจะไปหามัน ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำตามที่ตัวเองพูดเอาไว้แล้วล่ะ
ระหว่างนี้ ผมได้แต่หวังว่าจะไม่ฝันถึงไอ้กล้าอีก ไม่อยากจะคิดถึงมันมากจนทรมานเกินไป...เพราะความฝันกับความจริงนั้นแตกต่างกันลิบลับ อะไรที่มันง่ายได้ดั่งใจคิดในความฝัน แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้วมันไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว ต่อให้ผมควมคุมมันได้ยังไงก็ตาม สุดท้ายฝันก็คือฝัน แต่ก็ช่างมันเถอะ...เพราะในตอนนี้
ฝันของผม...ฝันของผมกับไอ้กล้า มันได้กลายเป็นจริงแล้ว
เรื่องของเรา...ไม่ได้เป็นแค่ฝันอีกต่อไปแล้วThe End
++++++++++++++++++++++++++
จบค่ะ จุดจบที่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านจ้า ^^
- ฝากติชมกันได้นะคะ จะได้นำไปพัฒนาปรับปรุงแก้ไขต่อไป
อ่านทวนเอง กับคนอื่นอ่าน ความรู้สึกตอนอ่านมันก็ต่างกันไป
แนะนำได้นะจ๊ะ อิอิ