HEAVY WEIGHT รัก ▪️ หนัก ▪️ มาก [Story by ARPO]
บทที่ 3
HEAVY WEIGHT: 3 KG.
“ย๊าก!” คือไม่เข้าใจว่าทั้งชมรมร้องเปล่งพลังพวกนี้เพื่ออะไร ผมนั่งปัดแมลงวันไปเรื่อยเปื่อย หลังจากไอ้ฟาโรห์มันไปเข้าประชุมกับน้องปีหนึ่งของมัน หรือที่เรียกว่าเอาหนังหน้ามันไปให้น้องเห็น เด็กๆจะได้กระชุ่มกระชวย มันก็รีบแจ้นออกมาโดยบอกพวกพี่ว่ามันมีซ้อมคาราเต้ ซึ่งพวกพี่เขารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นนักกีฬาทีมชาติของชมรม เลยปล่อยตัวออกมาได้อย่างดาย อีกอย่างคณะมันเป็นอินเตอร์เพราะงั้นมันไม่ได้มีอะไรมากเหมือนภาคปกติ
แต่วันนี้ผมโชคดีมากที่ไม่ต้องมานั่งซ้อมกับมันด้วยเพราะว่าวันนี้พวกพี่เขาอยากจะซ้อมท่าให้มันเพื่อการแข่งที่กำลังจะใกล้เข้ามา แล้วพวกพี่ทีมชาติคนอืนๆก็ค่อนข้างซ้อมหนัก วันนี้เลยไม่ได้เปิดชมรมให้คนอื่นมาซ้อมด้วย
คือปกติทางชมรมจะจัดให้คนภายนอกทั่วไปที่อยากจะมาเรียนหรือออกกำลังกายได้มาเข้าร่วมซ้อม เขาจะจัดคนฝึกให้ ก็เป็นพวกสายดำทีมชาตินั่นแหละครับ
ไอ้ฟาโรห์อยู่ในชุดคาราเต้สีขาวผ่องตัดกับสีผิวทองแดงของมัน สาบบเสื้อแหวกจนเห็นแผ่นอกมีไรขนเรียงตัวสวยตามสไตล์หนุ่มอาหรับ สายคาดเอวสีดำสนิทมีตัวหนังสือสีทองอยู่บนสาย
ฟาโรห์มันเรียนคาราเต้มาตั้งแต่ก่อนมันเข้ามหาลัยแล้ว ตามที่มันเคยเล่าให้ผมฟังนะครับ
ตอนนี้มันกำลังซ้อมท่ารำเป็นทีมที่มันจะใช้แข่งกับพี่ในทีมที่เป็นปีสามอีกสองคน ส่วนผมก็มานั่งเป็นซากกะเบืออยู่เนี่ย เฝ้ากระเป๋าแลสัมภาระของมัน ตอนแรกผมจะกลับหอก่อน แต่ว่าอยู่ๆหม่าม้าก็โทรมาบอกว่ามวันนี้ให้กลับบ้านหน่อยเพราะว่าวันนี้วันเกิดอากู๋ เขาเลยจัดเลี้ยงกันนิดหน่อย
หม่าม้าบอกให้เอาไอ้แขกมาด้วย ไอ้แขกมันไปเสนอหน้าที่บ้านผมมาหลายรอบแล้วจนสนิทกับคนในบ้านดี บางวันอาม่าก็เอามันไปเฝ้าร้านทองตรงถนนเยาวราชด้วยกัน ผมปรามาสไว้ว่าไม่ใช่ลูกค้ากลัวหน้าแขกๆของมันจนไม่กล้าเข้าร้าน แต่เปล่าเลยสรุปคือ ลูกค้าเข้าร้านเป็นว่าเล่นจนอาม่ายิ้มหน้าบาน บอกว่าวันหลังจะให้มาเฝ้าใหม่แล้วอาม่าจะแถมสร้อยทองหนึ่งบาทให้มันด้วย
เดี๋ยวก่อน!
นี่มันมาแป๊บเดียวอาม่าจะยกสมบัติให้มันแล้วเร๊าะ!
ตอนแรกๆนะครับ ตอนที่ผมบอกมีเพื่อนเป็นคนแขก ที่บ้านผมเขาก็กลัวๆตามสไตล์คนจีนที่ไม่ค่อยได้สุงสิงกับแขก แต่พอพามาเจอที่บ้านหน่อยนะ เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ตั้งมันเป็นหลานรักไปอีกคน
ยิ่งไอ้พวกลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของผมนะ กรี๊ดมันบ้านแตก ถ่ายรูปมันลงเฟสรัวๆ
หม่าม้าปริ่มมาก บอกว่า ไอ้ฟารห์ตาสวยหวานมาก อยากให้หนูพุกมีอย่างนี้บ้างจัง เอ่อ...ม้าช่วยดูดีเอ็นเอบรรพบุรุษของแต่ละคนหน่อยเถอะ แค่ลูกตาใหญ่กว่าเม็ดก๋วยจี๊ได้ก็ดีเท่าไรแล้ว อย่าหวังสูงขนาดนั้น
ใช้เวลาสองชั่วโมงชมรมก็เลิกครับ ฟาโรห์มันรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเห็นมันเดินผมเปียกชื้นออกมาจากห้องอาบน้ำ มันคงสระผมด้วย
“เช็ดให้แห้งสิ” ผมโยนผ้าเช็ดผมผืนเล็กให้มัน แต่มันรับไปถือไว้เอาไปโปะหัวแล้วชี้ๆ “ลำบากกูอีกไอ้ห่า เช็ดเองบ้างสิวะ” บ่นประปอดแปดเช็ดผมมันหลังจากที่มันนั่งบนม้านั่งข้างสนาม
“อย่าบ่นสิ” ไม่บ่นแล้วมึงเลิกให้กูทำไหม?
ผมรีบๆเช็ดให้มันเสร็จๆ โยนผ้าใส่หน้ามัน เห็นริมฝีปากยิ้มขำ แกล้งให้กูหงุดหงิดนี่สนุกมากไหม?
รถยนต์คันงามของมันจอดเทียบในซอยแห่งหนึ่ง เป็นซอยส่วนบุคคลที่เป็นพื้นที่ของบ้านผมเอง สร้างเป็นทาวเฮ้าส์หลายหลังติดกันตลอดทั้งซอย ด้านหน้าซอยจะมีประตูกั้นเอาไว้ แขวนป้ายเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล
ซอยนี้มีแต่พวกครอบครัวและญาติผมปลูกบ้านอยู่ทั้งนั้น มีบ้านของอาม่าอากงที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางของเหล่าลูกหลานให้มานั่งเล่นกันได้ ต่อมาเป็นบ้านของตั่วอี้ที่แต่งงานกับอาเตี๋ยมีลูกสามคน บ้านถัดมาเป็นมาเป็นบ้านของผมป๊าม้ามีลูกสองคนคือผมและน้องสาวอีกคนหนึ่ง ถัดเป็นก็เป็นอากู๋สามคนที่ยังไม่แต่งงาน ซึ่งวันนี้เจ้าของวันเกิดก็คืออากู๋หนุ่มที่เป็นลูกชายคนเล็กของอากงอาม่า
“เฮียมาแล้วๆๆ” เสียงแหลมเสียดแก้วหูผมชะมัด แต่ร่างเล็กๆที่วิ่งเข้ามาไม่ได้มากระโดดกอดผมเหมือนคิดถึงกันแต่อย่างใด กลับเลยไปที่ร่างสูงที่เดินตามเข้ามาทีหลังผม “เฮียชาค่า” มาแล้ว เสียงฉอเลาะเรียก ‘เฮียชาๆ’
“ไงคะ หนูจี๊ด” พ่อยอดชายก็ก้มลงทักทายน้องสาวผม
หนูจี๊ด น้องสาวบังเกิดเกล้าของหนูพุกคนนี้ อายุ 12ปี ซึ่งห่างจากผม เกือบ9ปี แต่ตอนนี้มีพี่ชายคนใหม่ไปแล้วเรียบร้อยครับ
“อาชาหลี้ๆ” และอาม่ากูก็มีหลานคนโปรดคนใหม่
“อาม่า มันชื่อชะรีฟ ไม่ใช่ชาหลี้” ไม่ใช่อะไรหรอกอาม่าผมพูดไทยไม่ชัด ชื่อชะรีฟ มันเลยเพี้ยนเป็นชาหลี้ๆ คนในบ้านผมเลยเรียกว่าชาเฉยๆ
“อาม่าสวัสดีครับ” มันยกมือไหว้อาม่า ป๊าม้าและคนอื่นๆ
“อาพุก ลื้ออ้วนขึ้นหรือเปล่า?” นี่ไม่ใช่คำถามที่อาม่าควรจะถามหลานชายสักนิด
“เท่าเดิมแหละม่า”
“ลื้อเท่าเดิมมากี่ปีแล้วอาพุก” ป๊าผมเดินเข้ามาร่วมด้วย
ป๊าเป็นผู้ชายเชื้อสายจีนหน้าตี๋ผิวขาว ผมเถิกไปข้างหลังเล็กน้อย จริงๆก็เกือบๆกลางหัวละ ส่วนหม่าม้าเป็นคนจีนเหมือนกันตัวเล็กๆ ใจดี เวลายืนกับไอ้ฟาโรห์นี่ม้าผมคนแคระเลยครับ
“เท่าเดิมก็คือเท่าเดิมอะป๊า” ผมสำทับอีกครั้งก่อนจะเดินไปที่แท่นบนผนัง มีรูปอากงผมสมัยหนุ่มๆตั้งอยู่ อากงผมเสียไปได้หลายปีแล้วแต่เวลาผมกลับบ้านผมต้องมาสวัสดีอากงตลอด
ทำเหมือนอากงยังเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน ผมไม่เคยคิดว่าอากงหายไปไหน เพราะงั้นผมถึงไหว้สวัสดีอากงเสมอเวลาผมเข้าออกบ้าน
ร่างสูงใหญ่ของเพื่อนก็มายืนข้างๆ
“อากงสวัสดีครับ” ผมเคยพามันมาแนะนำตัวกับอากงแล้ว ตอนแรกมันงงๆที่ทำให้ต้องสวัสดีรูปแต่พอผมบอกมันก็ทำตาม
“มาๆ ม้ากับอี้ทำกับข้าวใกล้เสร็จแล้ว พุกมายกไปหน่อย” ม้ากวักมือเรียกให้ไปยกอาหาร
ผมพาร่างเนื้อแน่นของตัวเองไปที่ครัว มีจานเปลใบใหญ่ใส่บะหมี่ปูหอมฉุยกับหม้อกระเพาะปลาน้ำแดง
“มาเดี๋ยวฉันยกเอง” มือใหญ่หนาปาดเข้ามาคว้าหูหม้อยกขึ้นผมเลยยกจานเปลตามหลังมา
“เฮียชาค่า” พอไอ้โรห์วางหม้อบนโต๊ะใหญ่เสร็จ ยัยหมวยเล็กหนูจี๊ดก็ถลาเข้ามา
“ว่าไงคะ อาหมวย” มันทำเสียงเล็กเสียงน้อย เสียงสี่ห้าหกของมัน พูดเพราะกับบรรดาผู้ใหญ่ เด็กในบ้านผมจนหลงมันหัวปักหัวปำ
“สอนเลขหนูจี๊ดหน่อยได้ไหมคะ” ยกสมุดการบ้านให้ ผมชะโงกหน้าไปดู เลขคณิตเด็กประถม
“ให้มันสอนทำไม เดี๋ยวเฮียสอนให้” กูนี่เก่งเลขนะครับ บอกให้
“ไม่อาวว เฮียชอบสอนมั่ว” อ้าวยัยหมวย เดี๋ยวเฮียกระโดดทับหรอก หันไปหัวเราะคิกคักกับไอ้เพื่อนทรยศ อย่ามาเสือกยิ้มเลยไอ้เวร
“มาสิคะ เดี๋ยวเฮียสอนให้” มันซึมซับความจีนจากบ้านผมไผได้อย่างดีเยี่ยม
ผมปล่อยมันสอนหนูจี๊ด หันมาช่วยม้าจัดการของกิน
“อ้าวไอ้พุก กลับบ้านด้วยหรอวะ” เสียงเฮียเครยียวนกวนประสาท “นึกแล้วว่าเอ็งไม่พลาด”
“กลับมาแล้วก็ทำตัวมีประโยชน์หน่อยสิเฮีย” เหน็บกลับซะเลย ยัดจานของกินเล่นใส่มือ
เฮียเคนเป็นลูกชายคนโตของตั่วอี้กับตั่วเตี๋ยไงครับ ยังมีลูกสาวอีกสองคนคือเจ้แคท กับ คิต
เฮียเคนเป็นหลานชายคนแรกของตระกูล ตามมาด้วยเจ้แคท แล้วก็ผม คิต สุดท้ายก็หนูจี๊ด เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแต่เราก็สนิทกันนะครับ เฮียเคนพับเสื้อเชิ้ตขึ้นถึงศอก เฮียแกทำงานเป็นพนักงานบริษัทนี่แหละครับ
อากู๋หนุ่มเจ้าของวันเกิดและอากู๋อีกสองคนก็กลับมาแล้ว
“กรี๊ดด เฮียชะรีฟ” มาแล้วครับ คิตที่ผมพูดถึง เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนมอปลายสตรีล้วน
พ่อแขกนัยน์ตาสวยก็ยิ้มหวานละลายใจชาวบ้านเขา
“กรี๊ด หนูขอถ่ายรูปไปลงเพจได้ไหมคะ” ผมว่ามันต้องเป็นเพจแปลกๆที่พวกผมเข้าไม่ถึง “เฮียชะรีฟคือเมะระดับตำนาน เกรดพรีเมียม”
เคยเจอกองหนังสือการ์ตูนและนิยายแต่หน้าปกนี่เห็นแล้วอยากเผาทิ้ง กูว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยถ้ามีผู้ชายยืนล้วงเป้ากันอยู่บนนิยายเด็กวัยรุ่น
คิตกับเจ้แคทนี่นักสะสมตัวยงเลย มันคือนิยายวายที่สาวไทยยุคปัจจุบันร้อยละสามสิบต้องมีไว้ในครอบครอง อย่าถามว่าอี้กับเตี๋ยรู้หรือเปล่า สองคนนั้นให้เงินไอ้คิตซื้อด้วยซ้ำ
พอไอ้คิตมันติดนิยายชาย-ชายงอมแงม เจ้แคทก็เลยเป็นไปกับเขาด้วย
มันกดถ่ายหน้าด้านข้างของหน้าคมเข้มขณะที่มันกำลังสอนเลขยัยจี๊ดอยู่ มันสอนเก่งมาก อธิบายวิธีคิดหลักๆ แป๊บเดียวหนูจี๊ดก็เข้าใจและทำได้ด้วยตัวเอง
พอคนกลับมากันครบ ก็เริ่มรวมวง บ้านผมเป็นลูกหลานคนจีนเพราะงั้นการกินข้าวรวมกันบนโต๊ะวงกลมถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ละคนมีชาม ช้อน ตะเกียบพร้อม พออาม่าเปิดงาน อวยพรอากู๋เสร็จสรรพ ก็ลงมือได้
มือใหญ่น้ำผึ้งเนียนสวยขยับตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว ป๊าม้าผมชื่นชมใหญ่ บอกว่ามันใช้ตะเกียบคล่องมากยกความดีความชอบให้ผมนี่สิ ผมก้มหน้าพุ้ยข้าวสวยเข้าปาก กุ้งอบเกลือตัวโตก็วางลงในจานกับข้าว
ผมหันไปทำหน้าขอบคุณมันที่เอากุ้งตัวอวบมาวางให้
“เฮ้ยชะรีฟ ไอ้พุกมันอ้วนจะตาย ไม่ต้องให้มันกินเยอะ” เฮียเคนคีบกุ้งออกไปจากจานผมต่อหน้าต่อตา หนูพุกถึงกับของขึ้น
“ไอ้เฮี้ยยยยย!” ร้องลั่นบ้าน จนโดนอาม่าเอ็ด
“อาพุก ลื้อเรียกอาเฮียดีๆสิ” คนอื่นก็ขำๆ คือมันเป็นเรื่องปกติ ถ้ากินเงียบๆนี่ไม่ใช่บ้านผมแน่นอน
“เอาตัวใหม่ๆ” เสียงทุ้มเข้มขำเบาๆ แต่ก็เอากุ้งตัวใหม่มาวางให้ ผมรีบคีบมาวางในชามข้าวเลย เดี๋ยวเฮียมันแย่งไปอีกละยุ่ง ใจดีคีบผัดผักที่อยู่ไกลมือมันคืนให้ด้วยจะได้เท่าเทียมกัน
หลังจากจบมื้ออาหาร ก็แค่พูดคุยกัน ไม่มีเค้กก้อนโตเหมือนในหนัง
แต่ว่าแค่ได้กลับบ้านมากินข้าวกับคนที่บ้านแค่นี้ก็ดีแล้ว ขนาดผมยังบางทีก็เหงาๆที่ต้องไปอยู่หอคนเดียว แต่ก็โชคดีมีเพื่อน แล้วไอ้โรห์ละต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว ถึงแม้มันจะมีสายเลือดคนไทยแต่ก็ไม่เกิดและโตที่นี่ มันคงไม่คุ้นเคยเท่าไร ผมคิดว่ามันคงคิดถึงครอบครัวไม่มากก็น้อย
เพราะงั้น...กูจะไม่ขัดมึงที่กำลังฉอเลาะอาม่ากูละกันแต่ถ้าอาม่ากูยกสมบัติให้มึงเมื่อไร ค่อยด่ามันก็ยังไม่สาย!
“วันนี้เรามาทำกิจกรรมกันหน่อยดีกว่าครับ เป็นการยืดเส้นยืดสาย…” ผมยืนบิดขาไปมาเพราะความเมื่อยล้า
ไอ้พวกเวร มึงจะซ้อมเชียร์น้องก็ซ้อมไป พุกไม่ว่า จะร้องเพลงล้ออธิการหัวล้านอะไร พุกก็ไม่ว่า แต่ไม่ใช่มาให้กูยืนตากแดดร้อนเปรี้ยงชนิดที่กูจะสุกเป็นหมูหันแบบนี้ กูด่าเลยครับ!
ไอ้แห้งยืนปาดเหงื่อไปเช็ดเหม่งมันไป โอยพี่พักนี่เหงื่อท่วมเหมือนอาบน้ำ ไขมันละลายหมด
“ให้น้องๆเอาผ้าพันขาเอาไว้กับเพื่อน เราจะออกวิ่งไปพร้อมๆกันนะครับ เอ้าพี่ปีสองช่วยน้องพันเท้าหน่อยครับ” ไอ้เพื่อนผมมันให้น้องยืนเรียงหน้ากระดาน เอกญี่ปุ่นมีแค่ยี่สิบคนเองครับ รับน้อยเรียนหนัก พวกพี่ปีสองก็เอาผ้าให้น้องๆพันขากับเพื่อน
นึกภาพออกไหมครับ?
มันเป็นการแบบยี่สิบขาสามัคคีไรงี้ คือต้องพันขากับเพื่อนเป็นแพแล้ววิ่งไปพร้อมๆกัน คือถ้าล้มก็มีสิทธิ์ล้มทั้งแถบ เป็นการวิ่งที่เมื่อก่อนโด่งดังมากในหมู่นักเรียนญี่ปุ่น
พอน้องมันพร้อม ก็ออกตัว ก็ดูท่าทางน้องๆมันก็สนุกนะครับ มีพวกปีสองวิ่งตามด้วยเพื่อดูเผื่อน้องไม่ไหวจะได้ให้หยุด เล่นวิ่งแบบนี้มันก็เสี่ยง ถ้าล้มทั้งแผงอาจจะมีเจ็บตัวได้ครับเพราะงั้นเราต้องป้องกันแต่เนิ่นๆ
ผมกับปองกุลก็วิ่งเยาะตามหลังกลุ่มเพื่อนไป ผมวิ่งไม่ค่อยไหวหรอกครับ เหนื่อย
“เฮ้ยไอ้ปองกุล” ผมร้องขึ้นมาเมื่อมีเพื่อนที่ลากสังขารวิ่งมาด้วยกันทรุดลงไปกองกับพื้น
ปองกุลเป็นลมสงสัยเพราะอากาศร้อนๆ พวกน้องๆเลยถูกสั่งให้หยุดวิ่งไปด้วย เพื่อนบางคนวิ่งเข้ามาดูพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ยาดม ผ้าเย็นเอาขึ้นมาหมด
ผมยืนหอบก้มหน้าหายใจ กุมเข่า มองไอ้แห้งมันยังพอมีสติ คงแค่หน้ามืด พอได้ยาดมผ้าเย็นหน่อยก็ค่อยยังชั่ว
“ไอ้พุกมึงกับไอ้โอ๋เอามันไปห้องพยาบาลหน่อยได้ไหม?” ผมพยักหน้าตอบ
ผมไม่ใช่นักกิจกรรมอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างไอ้แห้งมันตอนตายเป็นซากขนาดนี้ ไม่เอามันไปพักห้องพยาบาลก็กระไรอยู่
ผมกับไอ้โอ๋ช่วยกันพยุงมันขึ้นมา แต่แม่งกรรมเวรแท้เพราะไอ้โอ๋มันเสียหลักเผลอปล่อยไอ้ปองกุล ผมเลยเสียหลักลงเพราะรีบมาคว้าตัวเพื่อนเอาไว้ ขาไอ้ปองกุลมันอ่อนเต็มที
“เฮ้ย!” เพื่อนคนอื่นๆรีบถลาเข้ามาช่วยกันประคอง แต่ผมดันล้มลงไปกองกับพื้น
ความเจ็บแปล๊บแล่นเข้ามาจนสะดุ้ง สบถด่าตัวเองเพราะน้ำหนักเยอะเลยไม่คล่องตัว
ไอ้ปองกุลมันรอดตายแล้วเพราะคนที่เข้ามาประคองค่อนข้างแข็งแรงทีเดียว ไอ้เท่ช่วยไว้ได้
อย่าสงสัยคนอะไรชื่อเท่ เพราะมันเท่จริงๆครับ หน้าตาดีระดับดูได้ทีเดียว สูงพอๆกับไอ้โรห์ บวกลบสามสี่เซนติเมตร ดีกรีเบาๆแค่เดือนสาขาพวกผม แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับเดือนของอีกสาขาหนึ่งเลยไม่ได้เป็นตัวแทนคณะไปแข่งเดือนมหาลัย
ปองกุลน่ะรอดเพราะไอ้เท่มันช้อนใต้ข้อพับขึ้นไปแล้ว แต่กูสิไม่รอด ห่านจิก ขาแพลงเลยมั้งเนี่ย
“ไอ้พุกกูพาไอ้แห้งนี่ไปห้องพยาบาลก่อนนะ” ไอ้เท่บอก ผมสะบัดมือโบก ไปเหอะๆ
“แล้วมึงไหวไหมเนี่ย” เพื่อนอีกคนเดินมาถาม
กูโง่เองแหละ ฮอล “เออๆ ได้อยู่ แค่ขาแพลงมั้ง”
“มึงลุกไหวไหม?”
เพื่อนสองสามคนพยายามฉุดร่างนุ่มนิ่มขึ้นมา ทุลักทุเลพอสมควรแต่สุดท้ายผมก็ลุกมายืนเหยงๆได้ คือลงน้ำหนักที่จาซ้ายไม่ได้เลยวะ มันแปล๊บๆไปหมด
ผมถูกเพื่อนสองคนช่วยประคองมานั่งพัก หน่วยพยาบาลเอาน้ำแข็งมาให้ผมประคบ ที่ไม่ไปห้องพยาบาลเพราะว่าผมเดินไม่ค่อยไหวครับ ไม่อยากลงน้ำหนักที่ขา
ในใจก็ห่วงไอ้ปองกุลนะครับ ไม่รู้ว่าโอเคไหม
“พ่อมึงมาเอากูตายเลยไหมเนี่ย” ไอ้โอ๋ที่เสร่อเสียหลักล้มเมื่อกี้จนเกิดเป็นความหายนะของชีวิตตรูเดินเกาหัวมานั่งข้างๆ มันมองข้อเท้าที่ผมเอามาวางบนม้านั่ง ถกกางเกงขึ้นมาแล้วเอาแผ่นเจลเย็นประคบเอาไว้
“พ่อกู?” ป๊ากูคงไม่ถ่อจากร้านทองมาถึงนี่หรอก
“ไอ้ห่า ทำเป็นซื่อ พ่อมึงก็ไอ้ชะรีฟไง มันมาแดกหัวกูแน่”
“ไอ้โรห์มันจะมาแดกหัวมึงทำไม”
ไอ้โอ๋ทำหน้าเหมือนเห็นผี
ผมยิ่งงง ไอ้โรห์มันไม่เคยมาแยกเขี้ยวใส่พวกเพื่อนผมนะ มันมาที่คณะบ่อยมากแต่ก็ไม่ได้อะไรนี่หว่า
“เออ กูพูดไปงั้นแหละ” แล้วมึงจะเหวี่ยงกูทำไมไอ้โอ๋
พอประคบไปได้พักหนึ่งเจลก็หายเย็นแต่ว่าขาที่ล้มยังไม่ค่อยดีขึ้นเลย ยังเจ็บๆชาๆ
“มึงล้มแรงกว่าที่คิดนะ” ไอ้โอ๋มองสภาพขา
กูเครียดเลยว่าแล้วจะเดินยังไงวะเนี่ย
Pharaoh: Are you done?
Noopook: ยัง แต่กูพักล่ะ *สติกเกอร์หมาร้องไห้*
Pharaoh: What’ s wrong?
Noopook: เปล่าๆ ล้มนิดหน่อย
Pharaoh: Got hurt?
Noopook: ขาแพลงนิดหน่อย ประคบขาอยู่
Pharaoh: I’ll be right there soon!
คือมันหมายความว่าจะมาที่นี่เร็วๆนี้? เฮ้ย! กูแปลถูกใช่ไหม? มึงจะโดดเรียนมาเร๊อะ ไอ้แขกถึงมึงจะเรียนอินเตอร์ไม่ใช่ภาคปก แต่มึงจะโดดมามั่วๆไม่ได้
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไอ้โรห์พิมพ์แต่อังกฤษเพราะมันเขียนไทยไม่เก่งครับ มันพูดได้แต่เขียนไม่เก่งเพราะงั้นมันเลยไม่ใช่แป้นพิมพ์ไทยเท่าไร ผมก็ฝึกอ่านอังกฤษไปในตัวด้วย
ไม่นานผมก็เห็นร่างสูงใหญ่วิ่งตึกตักเข้ามา ใบหน้าคมแบบแขกดูไม่สบอารมณ์ คิ้วขมวดมุ่นเลย ฟาโรห์หายใจแรง ตามองมาที่ขาผมที่ยกมาวางพาดกับเก้าอี้
ไอ้โอ๋มันหนีไปก่อนแล้ว มันบอกมันจะไปช่วยดูน้องก่อน ดูลุกลี้ลุกรนพึมพำกูตายแน่ๆ
“ไปทำอะไรมา?” เสียงเข้มจัดจนผมรู้สึกได้ แฝงความหงุดหงิด ดุดันหลายส่วน
“ก็ล้มอะ” ผมเบ้หน้าใส่ มันจะมาโมโหผมทำไมอะ ฟังเสียงกับท่าทางก็รู้แล้วว่าโกรธ
“ทำไมไม่ดูแลตัวเอง” มันยกขาผมขึ้นแล้วนั่งลงมาก่อนจะเอาขาผมพาดบนตัก “แล้วล้มได้ไง”
ข้อเท้าผมดูบวมเล็กน้อยและแดงเพราะความเย็น มือใหญ่สีน้ำผึ้งลูบเบาๆ
ผมก็เล่าตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บอกมันว่าผมไม่ได้ล้มแรงเลย มันยิ่งขมวดคิ้ว
“เพราะพุกตัวใหญ่ ล้มทีมันถึงทิ้งน้ำหนัก เจ็บตัวกว่าคนอื่นสิ” อ้าว เหมือนมึงด่ากูอยู่หรือเปล่าวะ
“ก็ล้มแล้วให้กูทำไงอะ” ขาเริ่มปวด อย่าให้ต้องมาปวดกบาลทะเลาะกับมึงนะ
ฟาโรห์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูด “วันหลังระวังหน่อย เดี๋ยวกลับบ้านเอายานวดทาแล้วพันข้อเท้าเอาไว้”
มันเป็นนักกีฬาเรื่องข้อเท้าแพลง พลิก ซ้น มันน่าจะเข้าใจว่าต้องทำไง
“ไม่ไปเรียนแล้วหรอ” มองเวลามันน่าจะเหลืออีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะจบคาบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวตามอ่านได้”
ผมมองรุ่นน้องที่กลับเข้ามานั่งรวมกันหลังจากทำกิจกรรมเรียบร้อย ปีสองก็ปล่อยน้องได้พักก่อนจะรวมครั้งสุดท้ายนัดแนะและปล่อยน้องกลับบ้านได้
รุ่นน้องหลายคนให้ความสนใจคนข้างตัวผมมาก แต่มันสนที่ไหนล่ะ เอาขาอวบขาวของผมขึ้นไปพาดตักมันแล้วจับเจลมาประคบต่อ เอาจริงกูเริ่มกระดากสายตาคนมองมาล่ะ คือมองเยอะไปอะไรไป
“ว่าไงมึง กูว่าแล้วว่าต้องรีบแจ้นมา” ไอ้หัวหน้ากิจกรรมเดินมา
“เสร็จยัง จะได้พาพุกกลับ”
“เออไปเถอะ”
+++++++++++++++++++++++ 100% ++++++++++++++++
สวัสดีค่า
ชะรีฟหนูพุกมาแล้วนะค่า อิอิ ชะรีฟพ่อยอดขมองอิ่มของเรา นางน่ารักที่สุด หนูพุกมันเกรียนตลอดเวลา ไม่เหมือนน้องกระต่ายแคระ ขานั้นเขาน่ารัก แต่ยัยหนูมันกวนตีน วงวารชะรีฟมากที่มีเพื่อนเป็นยัยหนูพุก
ตอนนี้เรามีตัวละครใหม่โผล่มา ใครสังเกตุมาคอมเม้นบอกเราได้นะ ว่าชื่ออะไร ทายถูกเรามีรางวัลให้ อิอิ รางวัลคือ...จะมาบอกตอนหน้านะ คอมเม้นมาบอกชื่อกันเยอะๆน้าาาา อิอิ
ขอบคุณมากๆค่าสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นสำหรับหนูพุกและชะรีฟ
คนเขียนมีทวิตเตอร์แแล้ว ตามไปเม้ามอย หวีดกันได้เลยนะ
สำหรับเรื่องรักหนักมาก ติดแท็ค #ชะรีฟหนูพุก นะจ้า
เยิฟ
ปล. อีกหนึ่งเรื่องของคนเขียน วณิพกพเนจร ไปตามได้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0
และเรื่องที่สองคือ รัก ตาม สั่ง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55235.1380
ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
ขอฝากไปกดไลค์เพจเฟสบุ้คกันได้นะครับบบบ เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอัพเดทเวลาที่เรา
หายไปนานๆ หรือว่าติดธุระอะไร เราจะไปอัพเดทไว้ในเฟส หรือว่าบางครั้งจะมีเขียนโมเม้นน่ารักของอีพี่กะน้องเอาไว้เล่นๆที่ไม่
ได้เอามาลงหน้านิยายนะครับ เลยอยากให้ไปพูดคุยในเฟสกันเลยยยย ถ้าคนเขียนหายไปตามจิกในเฟสจะเจอเราเร็วมากเพราะ
เราเล่นประจำ
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts