คลินิกทันตกรรม
“ทำไมมีแต่เด็กกับผู้หญิงวะ” ธนูหันไปมองรอบๆ คนไข้ที่มารอพบหมอซึ่งมีมากกว่าปกติมาก อาจเป็นเพราะช่วงนี้เป็นเวลาปิดเทอมก็เป็นได้
ผมกับธนูทิ้งตัวลงนั่งที่นั่งว่าง...จากนั้นธนูมันก็ได้รับคำตอบเองโดยที่ผมไม่ต้องพูดคำตอบนั้นให้ฟัง
“เคสนี้ผมอยากให้นัดอีกทีช่วงต้นเดือนหน้า” หมอฟันหน้าหล่อของผมซึ่งเปิดหน้าจากการเอาหน้ากากอนามัยไว้ใต้คางคือคำตอบที่ดีที่สุดของคำถามจากไอ้ธนู “คนไข้คนนี้ชอบทำเครื่องมือหลุด ยังไงผมก็อยากนัดดูเพื่อให้ความแน่ใจ”
“ได้ค่ะ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์บอกหมอฟันประจำคลินิก
หมอสบตากับผมแล้วส่งยิ้มให้...ผมส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างเคยชิน ผมเจอหมอมาตั้งแต่สมัยผมเรียนอยู่มัธยมปลาย จนตอนนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นปีที่สี่แล้วผมก็ยังเจอหมออยู่ จะไม่ให้สนิทกันได้ยังไงไหว...
ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มชักสีหน้า
“หมอฟันของมึง มึงก็ยังอ่อยงั้นเหรอ”
ความหวงแบบโอเว่อร์โหลดของธนูเริ่มทำงานอีกแล้วใช่มั้ย...ผมลองแกล้งแหย่มันเล่นดู
“ก็เคยอ่อย...แต่ไม่ได้ผลอะไรเลยว่ะ” ในเมื่อมันหวงผมกับคนอื่นมั่วไปหมดแบบนี้ผมก็ขอพูดเล่นกับมันหน่อยเถอะ
“เพราะหมอเขาไม่ได้เป็นเกย์เหรอวะ”
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ หมอคินตาก็โผล่หน้ามาหาพนักงานหน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง “ถ้าคุณเหนือมา...บอกว่าให้ไปรอที่ห้องทำงานของผมนะ”
“คุณเหนือมาพอดีเลยค่ะหมอ”
ผู้ใหญ่ร่างสูงหุ่นกำยำผิวขาวจั๊วะดึงดูดสายตาของคนทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้...
“คินทำไมไม่ทานข้าวเช้าก่อนออกมา” เขาพูดกับหมอฟันของผมแบบนี้
“อย่าโวยวายสิ” หมอกวักมือเรียกแฟนตัวเองยิกๆ “รีบเข้ามาข้างใน...เร็วๆ เข้า”
“ถ้าไม่ทานข้าวเช้าก่อนมาทำงานอีก...เหนือจะบุกมาทุกวัน” ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยจริงๆ หมอกับแฟนหายวับเข้าไปในข้างหลังคลินิกแล้ว พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์หันมาสบตากันแล้วยิ้ม
“คุณเหนือก็บุกมาทุกวันอยู่แล้ว”
ผมหันไปสบตากับธนูแบบยิ้มๆ...มันอ้าปากค้างเพราะมันเพิ่งเห็นความจริง
“เข้าใจแล้วว่าทำไมมึงอ่อยแล้วไม่ได้ผล” ธนูตวัดสายตามามองผม “แฟนหมอเขาหล่อกว่ามึงเยอะนี่เอง”
คุณเหนือทั้งหล่อทั้งโหดอีกทั้งยังแก่กว่าไม่รู้กี่ปี...ใครจะเป็นบ้าไปอ่อยแฟนเขาวะ อีกอย่างหนึ่งผมจะไปยุ่งกับหมอฟันของตัวเองที่มีแฟนแล้วทำไม ไอ้ธนูนี่แม่งก็บ้าบอเหลือทน
“อาจจะต้องรอนานหน่อยนะ” ผมถอนหายใจอย่างยอมรับในชะตากรรม แม้ว่าจะมีเวลานัดแน่นอนแต่ยังไงซะคิวแทรกก็ต้องมีเพียบอย่างแน่นอน
“ยังไงก็ได้” ธนูเริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเกม
“มึงไม่ห่วงร้านมึงหน่อยเหรอ” ผมเป็นแค่พนักงาน...ถ้าจะห่วงก็คงห่วงเรื่องทิ้งภาระงานไว้กับคนอื่น แต่สำหรับธนู...มันเป็นเจ้าของ มันต้องห่วงเรื่องของร้านร้อยแปดพันเก้าอยู่แล้ว
“มึงก็เห็นเพื่อนกูรันงานกันเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร...อีกอย่างไอ้การ์ดมันก็เคยบอกว่ากูทำหน้าที่แค่เป็นตัวดูดลูกค้าก็พอแล้ว ที่เหลือมันกับเพื่อนจะจัดการเอง”
ไม่เข้าใจสไตล์ของกลุ่มนี้เลยจริงๆ
“ว่าแต่...มึงไม่คิดถึงเพื่อนมึงบ้างเหรอ” ธนูเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แล้วหันมาถามผม “ปกติแล้วตัวติดกันมากไม่ใช่หรือไง”
“ช่วงนี้ทุกคนยุ่งๆ หาเงินกัน เบียร์ไปเป็นเด็กปั๊ม จุนเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร ส่วนชู้ตก็วิ่งทำงานหลายอย่าง”
“...”
“แล้วทำไมกูต้องเล่าให้มึงฟังละเอียดแบบนี้ด้วยเนี่ย”
ถ้าดีดนิ้วแล้วลองย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน...ผมกับไอ้ธนูคงไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องราวแบบเจาะลึกของกันละกันแบบนี้อย่างแน่นอน
“เล่าให้กูฟังแล้วมันทำไม กูไม่ใช่ศัตรูเบอร์หนึ่งของมึงสักหน่อย”
“มึงคือศัตรูเบอร์หนึ่ง” ผมสวนกลับทันควัน “กูโคตรไม่ชอบขี้หน้ามึงเลย”
ธนูไม่ได้บอกว่านี่คือคำพูดที่สบประมาทมัน ตรงกันข้าม...มันกลับมองว่าเป็นคำพูดที่ทำเอามันยิ้มกริ่ม
“กูก็เหมือนกัน”
เชี่ย
พูดก่อนแต่ทำไมรู้สึกแพ้
ผมกำหมัดแน่น...ทำปากขมุบขมิบด่ามันเพราะมันกวนตีนซะเหลือเกิน
“ถ้ามึงห่วงร้านนักมึงก็โทรไปถามไอ้การ์ดสิ” ธนูพูดไปด้วยเล่นเกมไปด้วย “แต่การ์ดมันคงจะสงสัยนะ...ว่ามึงเป็นเมียเจ้าของร้านหรือเปล่าถึงได้เป็นห่วงเป็นใยร้านขนาดนั้น”
นี่ผม...แพ้อีกแล้วเรอะ!
“มึงกวนตีนกูให้เด็กมันดูหรือไง” เพราะแถวนี้มีเด็กผู้หญิงเยอะ ผมเลยอดที่จะถามอีกฝ่ายออกไปไม่ได้ “อยู่นิ่งๆ ไปเลยมึงอ่ะ”
“สงสัยพาลเพราะเถียงไม่ชนะกูสินะ”
“กูรำคาญเสียงมึงเฉยๆ”
“เหรอ งั้นกูจะพูดเรื่อยๆ ให้มึงรำคาญจนช้ำใจตาย”
ความกวนตีนนี้แม่งสุดจะทนจริงๆ นี่ถ้ามันไม่ใช่เจ้านายผม ผมคงจะไล่มันออกจากคลินิกหมอฟันแห่งนี้ไปแล้ว ให้มันโบกแท็กซี่กลับร้านตัวเองที่อยู่ชานเมืองเล่นๆ ไปเลย
แต่ครับแต่...วันพระไม่ได้มีหนเดียว
ถึงเวลาที่มารอย่างผมจะมีวันเป็นของตัวเองแล้ว (ว่าแต่...ทำไมผมถึงกลายเป็นมารไปซะได้)
หนุ่มน้อยคนหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม น้องส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเหล็กจัดฟันมาให้ซึ่งเข้ากับน้องมากๆ ผมก็เลยส่งรอยยิ้มตอบกลับไป...
ไอ้ธนูเลิกเล่นเกม...มันบีบโทรศัพท์ตัวเองจนผมกลัวว่าจะแหลกคามือของมัน
“เปลี่ยนที่นั่งกัน” ธนูออกคำสั่ง
“กูไม่ให้มึงเอาเด็กคนนี้ไปเองหรอก...กูจองแล้ว” ผมโวย
มันมองหน้าเหมือนด่าผมว่าผมคิดได้ยังไงก่อนจะโวยวายบ้าง
“กูไม่เอาไม่จองเหี้ยอะไรทั้งนั้นอ่ะ...ลุกขึ้น!”
“...”
“รบ”
“...”
“บอกให้ลุกขึ้นไงวะ”
“บอกมาก่อนว่ากูชนะมึง”
“หา” อีกฝ่ายชักสีหน้า...ถ้าตีก้นผมได้มันคงทำไปแล้ว
“พูดมา...ว่ากูชนะมึง” ผมนี่มันขี้แพ้ชวนตีดีจริงๆ
“เออ มึงชนะ มึงชนะกูเสมอ...พอใจหรือยัง”
ผมพอใจกับคำพูดที่สุดแสนจะประชดประชันของไอ้ธนู ก่อนที่จะลุกขึ้น รอจนธนูขยับไปนั่งข้างๆ น้องคนนั้น แล้วผมก็ทิ้งตัวนั่งลงแทนที่เดิมของมัน
รู้สึกอารมณ์ดีกับชัยชนะแบบงงๆ ของตัวเองยังไงก็ไม่รู้
แม้จะเป็นอย่างนั้น...แต่ผมก็ลอบมองธนูอย่างลังเล กลัวว่าแม่งจะทำเป็นหวงผมกับเด็กคนนี้แล้วสอยน้องมันไปเอง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงเป็นแบบนั้น...เราแย่งคู่นอนของกันและกันเสมอ
แต่คำพูดของไอ้ธนู...กลับกลายเป็นคำตอบของสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ในใจ
“มองเหี้ยไร”
นอกจากมันจะไม่สนเด็กคนนั้นเลยสักนิดแล้ว...มันยังไปด่าน้องเขาอีกต่างหาก
ผมกลับมาอารมณ์ดีสุดๆ อีกครั้ง ก่อนจะหุบยิ้มฉับเมื่อได้นั่งเงียบๆ กับตัวเองแล้วได้รวบรวมความคิดตัวเองอย่างมีสติ...
ปัญหาในตอนนี้คือธนูมันหวงผม...หวงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย
และปัญหาที่หนักกว่านั้นก็คือผมยอมให้มันหวง...ชอบทำในสิ่งที่มันชอบเพราะคิดว่ามันจะพอใจ และจะไม่ทำในสิ่งที่มันไม่ชอบเด็ดขาดเพราะรู้ว่ามันจะต้องโวยวายแน่ๆ ผมไม่ชอบเห็นมันหงุดหงิด
ผมลอบมองไปที่ธนู...มันเล่นเกมในโทรศัพท์จนเบื่อแล้วจึงกดล็อกหน้าจอแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง...เมื่อมือมันว่าง มันจึงเอาแขนข้างหนึ่งมาพาดที่พนักที่นั่งตรงข้างหลังที่ที่ผมนั่งอยู่ คล้ายกับโอบกลายๆ...
หนุ่มน้อยคนนั้นทำหน้าเศร้า...ก่อนจะมองผมสลับไปกับธนูแล้วลุกหนีไปนั่งที่อื่น
“มองไรวะ” น้ำเสียงของมันตอนถามผมช่างแตกต่างจากตอนที่ถามน้องคนนั้นซะเหลือเกิน
ผมจ้องมองดวงตาของธนูซึ่งอยู่ใกล้ผมมาก...พยายามคิดให้หนักเรื่องความหมายของสิ่งที่เราทั้งคู่กำลังทำอยู่ อาการวูบวาบของผมเริ่มแล่นไปทั่วร่างจนผมเผลอหลุบสายตาลงต่ำ
“ตามึงสวยดี” ธนูชมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมากๆ ของผม “ได้แดดดี้มาเหรอ”
“...” ผมยักไหล่
“ถ้ามึงได้กับคนไทย...ลูกมึงจะตาสีอะไรวะ” คำถามอะไรของมันน่ะ
“ไม่รู้” ความรู้วิชาพันธุกรรมศาสตร์ของผมเท่ากับศูนย์เพราะผมจบสายศิลป์มา
“แต่มึงคงไม่มีลูกอ่ะ...”
“ทำไมวะ”
“ก็มึงได้กับคนไทยที่เป็นผู้ชายนี่”
ทำไมผมต้องเขินด้วย “กู...ยังไม่ได้กับใคร” คำว่า ‘ได้’ ของมันย่อมหมายถึงเป็นคู่ชีวิต คู่แต่งงาน ไม่ใช่ ‘ได้’ แบบมีความสัมพันธ์บนเตียงชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าวแน่ๆ
“ยังไม่ ‘ได้’ แน่เหรอ...ถามจริง” การที่มันมากระเซ้าเย้าแหย่ผมพร้อมกับกระซิบเสียงเบา เป็นอะไรที่รับมือได้ยากลำบากจริงๆ นะ คำว่าได้ของมันแม่งใช้เป็นความหมายอย่างหลังเพื่อเอามาล้อเลียนผม
“หุบปากไปเลย”
“สั่งจังวะ” มันโวยวายเล่นๆ
“กูชนะมึงเสมอนะมึงอย่าลืม” ผมทำเป็นชี้หน้ามัน
“ความจำดีฉิบ”
“...”
“...”
“มึงเงียบทำไม” ผมถามอย่างงงๆ เพราะจู่ๆ มันก็เงียบไปเลย
“ก็มึงบอกให้กูหุบปากอ่ะ”
อ๋อ...ลืมไป
ใครจะไปรู้ว่ามันจะทำตามที่ผมพูดด้วย
[พนักงานหน้าเคาน์เตอร์คลินิกทันตกรรม]
“ดูคู่นู้นสิ...”
“หา”
“...”
“ผู้ชายหล่อได้กันอีกแล้วใช่มั้ยเธอ”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ”
“โอย เสียดายหมอกับแฟนหมออยู่ทุกวี่ทุกวัน นี่ยังจะต้องมาเสียดายคนไข้กับแฟนคนไข้อีกเหรอ”
“เอาน่า”
“...”
“เด็กๆ เขาก็น่ารักดีนะ คุยกันงุ้งงิ้งเชียว”
[รบ]
ผมใช้เวลาในการหาหมอคินตาทั้งหมดเกือบสองชั่วโมงครึ่ง
ธนูหิวจนไส้กิ่ว...มันโวยวายให้รีบไปหาร้านอาหารกลางวันทานกันก่อนกลับร้าน ผมเองก็หิวเหมือนกันจึงได้รีบขับไปหาอะไรทาน ระหว่างที่ทานกันอยู่ผมเห็นว่ามันกำลังพิมพ์ไลน์คุยกับการ์ด แถมยังซีเรียสเพราะเป็นเรื่องงานล้วนๆ อีกด้วย
ใครว่าเจ้าของร้านอย่างมันจะไม่ใส่ใจร้านตัวเอง...
คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารร้าน ก็คือเป็นผู้บริหารร้านจริงๆ ไม่ทำอย่างอื่น (หน้าที่ตัวดูดลูกค้าถือเป็นหน้าที่เสริม)
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ผมถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจเพราะเห็นธนูเอาแต่ทำหน้าเครียด
“มีลูกค้าบางคนไปรีวิวหน้าเพจและก็ให้หนึ่งดาว...การ์ดมันบอกว่าในเพจลูกค้าโทษหาว่าขนมในร้านไม่อร่อย แต่จริงๆ แล้วโมโหจนพาล มารอเจอกูตั้งนานสองนานแต่ก็ไม่ได้เจอ”
“ก็เลยไปแกล้งรีวิวให้ร้านออกมาดูแย่อย่างนั้นเหรอ”
“อืม”
“แม่ง...นี่คนประเภทไหนกันวะเนี่ย” ผมรู้สึกโมโหแทนจนหน้าบึ้งตึง
“หวงหรือไง”
ดึงเข้ามาเรื่องหวงกันและกันอีกแล้ว... “กูแค่ไม่เข้าใจคนแบบนั้น”
ธนูยิ้มมุมปาก มันตัดสินใจคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงแล้วลงมือทานอาหารต่อ “มึงเก่งนะ”
“อะไรวะ” ผมเงยหน้า
“ตอนอยู่ที่คลินิก...มึงใช้เรื่องความหวงของกูให้เป็นประโยชน์”
“...” ผมกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ
“รู้ว่ามันจะโอเว่อร์โหลดใช่มั้ย”
“มันก็...ผิดปกติอ่ะ” มันเกินกว่าความรู้สึกที่เกิดจากคนที่นอนด้วยกันแค่คืนเดียวไปนิดนึง...เอ๊ะ หรือเกินไปมากวะ
“ที่มึงเพิ่งทำไปถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้ามึงใช้ประโยชน์เรื่องนี้ในการทำเรื่องใหญ่มากกว่านี้ล่ะก็...” มันยกส้อมขึ้นมาชี้หน้าผม “กูไม่ปล่อยมึงกับมันคนนั้นเอาไว้แน่”
เชี่ยนี่แม่งก็แสดงความน่ากลัวออกมาได้เก่งเหลือเกิน...ผมสั่นศีรษะเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา
“กู...ถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ผมทำใจกล้าลองเสี่ยงดูสักตั้ง
“ว่ามา”
“ทำไมเราเป็นแบบนี้กันวะ”
“เป็นยังไง...เป็นคนหล่อกันงี้เหรอ”
ผมก็อยากจะเห็นด้วยอยู่หรอกเพราะความหลงตัวเองนี้มันเกี่ยวข้องกับผม...แต่นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเล่นโว้ย
“ไม่ใช่อย่างนั้นดิ...กูหมายถึง...” ผมชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างผมกับไอ้ธนู จากนั้นก็ทำแบบนั้นอีกรอบอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
“เป็นผัวเมียกัน?”
“ไม่ใช่!”
“มึงจะพูดอะไรของมึง”
“คือ...ทำไมเราต้องหวงกันทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันวะ”
เสียงของผมเต็มไปด้วยความสงสัยปนความวิตกกังวลคล้ายกับต้องการจะปรึกษา...ธนูเลิกคิ้ว รอยยิ้มน้อยๆ ของมันก่อกวนหัวใจผมให้ปั่นป่วนเล่นๆ
“ก็นั่นน่ะสิ” แม่งไม่ช่วยกูเลยสักนิด... “มึงคิดว่ามันเพราะอะไรล่ะ”
“ไม่รู้” ผมจนใจ
“กูก็ไม่รู้”
“...”
“แต่กูหวงไปแล้ว กูห้ามความรู้สึกไม่ได้ด้วย กูรู้แค่นั้นแหละ”
มือผมสั่น...ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรจากมันสักเท่าไหร่นักหรอก
“กูไม่ชอบขี้หน้ามึง” ผมตัดสินใจพูดในสิ่งที่ผมคิดว่าผมรู้สึกกับไอ้ธนู
“กูก็ไม่ชอบขี้หน้ามึง” ธนูสวนกลับทันควัน “แต่กูก็หวงมึง ไม่อยากให้มึงไปนอนกับใครอีก”
ผมกระพริบตาถี่ๆ จนผิดวิสัย...ธนูส่งเสียงหัวเราะออกมากับท่าทางของผม “กูขอเสนอวิธีแก้ปัญหา”
“มึงจะแก้ยังไง”
“เราสองคนต้องทำความรู้จักกัน...เรียนรู้กันและกัน...ก่อน”
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว...ทำทุกอย่างให้มันเป็นขั้นเป็นตอนน่าจะเหมาะกว่าทำอย่างมึนๆ นะผมว่า
“แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นวะ” สีหน้าทีเล่นทีจริงของธนูทำเอาผมเขินอายจนหน้าแดงก่ำ
ธนูคนขยี้เก่งงงงงงงง
“กูก็จะฮุบเอาร้านแบล็คแพ็คมาเป็นของกูไงสาด” ผมพูดมั่วๆ ไปเพื่อเลี่ยงปัญหา
“นั่นมันแปลว่า...มึงจะกลายมาเป็นเมียกูนะ”
เหมือนผมขุดหลุมฝังศพตัวเองยังไงยังงั้น...ยิ่งเห็นไอ้ธนูอารมณ์ดีผมก็ยิ่งรู้สึกอยากทุบหน้ามัน ทำลายรอยยิ้มหล่อๆ นั่นซะให้พังยับเยิน
“ก็...ประมาณนั้น” ผมตอบพร้อมกับลอบมองดูสีหน้าของธนูที่ชะงักค้าง มันทำหน้าช็อกไปแล้วพร้อมกับไม่ยอมขยับเขยื้อนใดๆ
มันอึ้งมากมายเลยทีเดียว
เชี่ย...เกมพลิกโว้ยยยยยยยยยยย
ผมชนะ!
“กูชื่อธนู ลูกสาม เมียสี่...แต่หย่าแล้ว” มันพูดรัวเร็วอย่างขึงขังแต่ความหมายแม่งกวนตีนไปโลกหน้า
ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้วเชียว...
เอาวะ...ในเมื่อมันบอกว่าผมชนะมันเสมอ ยังไงผมก็ต้องหาทางมาเอาชนะมันสิ
“กูชื่อรบ...ไม่เคยเป็นเมียใครเลย จนกระทั่งได้มาเจอมึง”
ธนูมันกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่...ริมฝีปากมันเม้มแน่นจนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ซึ่งนั่นคงหมายความว่ามันกำลังเขินอยู่
“กูยอม” มันกระซิบพร้อมกับรอยยิ้ม “มึงชนะกูอีกแล้ว...ตามเคย”
ผมหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม...เพราะผมเองก็เขินไม่แพ้กันกับมันเหมือนกัน
จริงๆ แล้วเรื่องที่ธนูพาผมไปหาหมอฟันมันควรจบแค่นั้น...แต่...มันยังไม่จบครับ
“ขอเติมน้ำมันแป๊บ” ผมบอกมัน เพราะลูกชายของผมมันส่งสัญญาณโอดครวญว่ามันกำลังหิว ผมกลัวว่าน้ำมันจะหมดกลางทางซึ่งมันเสี่ยงมาก ทางไปร้านไอ้ธนูมีแต่ป่าดงพงไพร คงจะไม่สะดวกเท่าไหร่นักหากเราทั้งคู่เกิดซวยขึ้นมาเนื่องจากน้ำมันรถหมด
ผมเลี้ยวเข้าไปต่อคิวรถคันอื่นๆ ก่อนจะเห็นว่ามีเด็กปั๊มคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตา
ฉิบหายแล้ว นั่นไอ้เบียร์เพื่อนผม!
มือของผมตั้งท่าจะกดศีรษะของธนูลงโดยอัตโนมัติ แต่ร่างกายของอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้กลับว่องไวมาก เพราะมันขยับตัวหลบได้อย่างว่องไว
“จะทำอะไรของมึง”
“นั่นเบียร์!”
“บ้า ตาฝาดแล้ว...ในปั๊มไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
มึงไม่ได้เล่นมุขใช่มั้ยธนู... “ไม่ใช่โว้ย เบียร์เพื่อนกู”
โชคดีที่เพื่อนของผมมันกำลังขยันทำงาน ยังไม่ได้สังเกตว่ารถคุ้นตาของผมกำลังจะเข้ามาเติมน้ำมัน
“แล้วไง” ธนูนี่ก็แม่งไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลย
“จะให้มันเห็นว่ากูอยู่กับมึงไม่ได้”
“ทำไมวะ”
“คือ...กู...คือมันก็ต้องเล่าให้เพื่อนกูฟังยาวๆ อ่ะ”
“มึงก็เล่าไปสิ”
ให้ตายสิวะ...จะให้ผมเคลียร์กับเพื่อนที่กำลังทำงานเป็นเด็กปั๊มซึ่งกำลังยุ่งหัวหมุนฉิบหายเนี่ยนะ
“เพื่อนกูก็เริ่มรู้เรื่องกูกับมึงแล้ว ทำไมเพื่อนมึงจะรู้เรื่องกูกับมึงไม่ได้” ธนูทำสีหน้าขุ่นเคือง
“มันต่างกัน” ผมอยู่กับมันและเพื่อนมันวันละหลายชั่วโมง อีกอย่างเพื่อนมันก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ ยังไงพวกมันก็ต้องดูผมกับธนูออก “กูแค่ยังไม่มีเวลาเล่าให้พวกมันฟัง ไม่อยากให้มีอะไรไปทำลายสมาธิพวกมันระหว่างทำงาน ถ้าพวกมันรู้ว่ากูอยู่กับมึง ทำงานให้มึงล่ะก็...”
ธนูเปิดประตูลงจากรถไปเลย...
แม้ว่ามันจะดูเหมือนธนูเสียมารยาท แต่ผมกลับช็อกมากกว่า
ไอ้เหี้ยนั่นมันต้องโกรธอีกแล้วแน่ๆ โธ่เว้ยยยยยยยยย
ผมมองตามแต่ก็ต้องกลับมาขยับรถเพราะมีรถเติมน้ำมันเสร็จแล้วก็ขับออกไป...รู้ตัวอีกที ผมก็เห็นธนูมันแตะไหล่เพื่อนผม จากนั้นก็ชี้มือมาที่ผมซึ่งอยู่บนรถ
เวรกรรมแล้ววววววววว
เบียร์ถลึงตามองผมกับธนู...ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน แต่ผมไม่สามารถปล่อยให้เพื่อนของผมคิดไปในทิศทางที่ผมไม่ได้เคลียร์ด้วยตัวเอง ฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะขยับรถออกจากคิวเติมน้ำมัน จากนั้นก็ลงจากรถเพื่อไปหาธนูกับเพื่อนของผม
ตอนที่ผมเดินมา...ธนูมันกำลังจัดการเติมน้ำมันให้ลูกค้าคันอื่นๆ อยู่ ส่วนเบียร์ก็วิ่งเอาตังค์ไปให้แคชเชียร์ที่อยู่ในตู้คล้ายๆ ป้อม
“ทำอะไรของมึง” ผมมองดูไอ้ธนูที่ไม่ควรจะเติมน้ำมันให้ลูกค้าของปั๊มอย่างสงสัย
“ช่วยงานเพื่อนมึงไง” มันตอบ...พะยักเพยิดไปทางเบียร์ที่มองมาแต่ก็ยังมิวายต้องวิ่งไปเติมน้ำมันให้ลูกค้าที่รออยู่หัวจ่ายน้ำมันเครื่องอื่นๆ
“ทำเป็นด้วยเหรอ”
“ยากตรงไหน...กูดูเด็กปั๊มเติมน้ำมันให้รถกูบ่อย” มันเอียงคอเข้าไปมองลูกค้าในรถ “เต็มถังใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ” ลูกค้าเป็นผู้หญิง อีกทั้งยังมองธนูชนิดที่ว่าหลงใหลได้ปลื้มจนน่าหมั่นไส้
ธนูกดอะไรก็ไม่รู้บนเครื่อง เสียบสายส่งน้ำมันเข้าไปในรถของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็ยืนรอด้วยสีหน้าเฉยเมย
“เมื่อกี้มึงพูดอะไรกับเบียร์” ผมยังคงวิตกไม่หาย เบียร์ที่อยู่ห่างออกไปมันมีสีหน้าไม่เข้าใจ แต่มันก็ไม่มีเวลามาเคลียร์
“กูบอกว่ามึงทำงานกับกู”
ฉิบหายยยย...
“อา...พวกมันต้องเป็นห่วงกูแน่ๆ” ผมชักจะปวดหัวขึ้นมา...
“อย่าคิดไปเองน่า” มันเดินชนไหล่ผมเพราะมันต้องเดินไปที่หัวจ่ายเครื่องอื่นๆ ผมมองตามอย่างไม่เข้าใจ ธนูคล่องมากเหมือนเคยเป็นเด็กปั๊มมาก่อนทั้งๆ ที่ไม่น่าจะใช่ มันให้เบียร์ซึ่งเป็นเด็กปั๊มที่แท้จริงเป็นคนวิ่งเก็บเงิน ส่วนมันก็เอาแต่เดินไปเสียบสายส่งน้ำมันให้กับรถลูกค้าคันนั้นคันนี้
รู้ตัวอีกที...ผมก็มองตามมันจนหัวหมุนแล้ว
มันช่วยเบียร์ประมาณสิบห้านาที...ในที่สุดลูกค้าของปั๊มก็เริ่มบางตาลง เพื่อนของผมเดินมาหาผมโดยที่ธนูเองก็เดินมาหาผมด้วย ท่าทางของเบียร์จะมีคำถามซ่อนอยู่ในใจมากมาย แต่ก็ไม่อยากถามผมต่อหน้าธนูเท่าไหร่นัก
“กูกับคนอื่นได้ยินข่าวแว่วๆ มา แต่ไม่คิดว่ามันจะจริง”
“แสดงว่าพวกมึงคงยุ่งจนไม่ได้ตามโซเชียลเลยสินะ” ผมยิ้มแหยๆ ส่งให้เพื่อน รูปของผมปรากฎเด่นชัดในเพจของร้านแบล็คแพ็ค ถ้าเพื่อนผมไปดูสักนิดมันคงรู้กันหมดแล้ว
“ใช่ ชู้ตมันได้นอนแค่วันละสองสามชั่วโมงเองมั้ง”
สะเทือนใจฉิบ...ผมถอนหายใจด้วยความกังวล แต่เบียร์มันเปลี่ยนประเด็นได้เร็วมาก จนผมต้องมากังวลเรื่องอื่นต่อ
“แล้ว...ทำงานกับไอ้นี่เป็นยังไงบ้าง”
ธนูทำหน้าเบื่อใส่เพื่อนผม...ส่วนผมก็รีบระล่ำระลักบอกเพื่อนเพราะกลัวว่ามันจะเข้าใจผิด
“กูโอเค”
“มึงแน่ใจนะ...มึงลองคิดดีๆ มึงอยู่กับพวกเหี้ยนี่ทุกคนเลยนะ ดีไม่ดีมันอาจจะคิดร้ายกับมึงอยู่ก็ได้” เบียร์มองธนูอย่างไม่ไว้ใจ
ธนูกลอกตา... “มึงช่วยพูดให้เหมือนกับว่ากูไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้จะได้หรือเปล่า”
เบียร์ชักสีหน้าใส่ธนู ผมต้องรีบห้ามปรามไม่ให้สองคนนี้ชกหน้ากัน
“คือ...งานร้านมันเงินดี...มึงก็น่าจะเห็นเงินก้อนที่กูส่งให้ไอ้ชู้ตไปแล้วนี่” ผมพูด “มองดูสภาพกูดิ กูยังอยู่ดีครบทุกส่วน ไอ้พวกนี้...” ธนูดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ผมพูดกับมันแบบนั้น “มันไม่กล้าทำอะไรกูหรอก มันกลัวกูจะตาย”
“เหอะ” ธนูแค่นเสียง แต่ก็ไม่คิดจะแก้ไขคำพูดของผม “กูไม่ทำอะไรเพื่อนมึงหรอก ไม่ต้องห่วง ฝากมึงไปบอกเพื่อนคนอื่นด้วย”
“จริงหรือเปล่า” เบียร์ต้องการคำยืนยันจากปากผมคนเดียวเท่านั้น
ธนูส่งสายตาข่มขู่ให้ผมตอบดีๆ ไอ้สาด...มึงไม่ขู่กูก็จะตอบดีแน่นอนอยู่แล้วล่ะ
“อืม” ผมพยักหน้า
“มึงบอกเรื่องอื่นด้วยสิวะ” ธนูเอ่ยแทรก
“ไม่”
“เฮ้ย...มึงคิดว่ากูช่วยงานไอ้เบียร์เพราะกูเป็นคนดีมีน้ำใจเฉยๆ เหรอ เปล่าเว้ย กูทำหวังผล” ธนูเดินเข้ามาเกาะไหล่ของผม “บอกไปเลย...เดี๋ยวนี้”
“...” ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ไม่ต้องบอกลึกก็ได้ ถ้ามึงอาย...มึงบอกแค่นิดหน่อยก็ได้”
เหี้ยไรของแม่งวะ โธ่
“อะไรวะ” เบียร์ทำหน้าสงสัยหนักไปกว่าเดิมอีก มันมองตามมือของธนูที่เกาะไหล่ของผม แม่งคงงงซะยิ่งกว่าข้อสอบทุกข้อที่มันเคยเจอมาทั้งชีวิตอีกมั้ง...
“กูกับธนู...” ผมหลับหูหลับตาพูด
“เฮ้ยยยยย” เบียร์อ้าปากค้าง
“เรา...อาจจะ...”
“อาจจะอะไรวะ”
“อาจจะ...”
“ปากหนักฉิบ...นี่มึงมีหมูอ้วนมาถ่วงปากมึงเอาไว้เหรอ” ธนูหันไปพูดกับเบียร์เอง “กูกับมันอาจจะคบกัน หรือไม่ก็ถือว่าคบกันแล้ว...ฉะนั้นมึงกับเพื่อนๆ ที่เหลือจงเตรียมใจเอาไว้ให้ดี”
อ๊ากกกก...ธนูมันพูดออกไปแล้ววววววววว
ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองสีหน้าของเบียร์ ไหล่ของผมยังคงสัมผัสได้ถึงมือของธนูที่เกาะอยู่ ส่วนดวงตาของผมที่จ้องมองพื้นเริ่มมองเห็นรองเท้าของเบียร์ที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้
“กูไม่รู้ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง...แต่ถ้ารบมันเลือกมึงแล้ว มึงก็คงไม่แย่เท่าไหร่”
ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนอย่างตกตะลึง มันกำลังทำสีหน้าข่มขู่ธนูโดยที่ไม่แคร์ว่ามันจะเป็นหัวหน้าหรือลูกกระจ๊อกมาจากแก๊งไหน
“ถ้ามึงทำเพื่อนกูเจ็บล่ะก็...มึงตายแน่”
เหี้ย...ทำไมผมรู้สึกซึ้งขึ้นมาซะงั้นวะ
แทนที่ธนูมันจะแสดงอาการขุ่นเคือง แต่มันกลับพึงพอใจในคำพูดของเบียร์เป็นอย่างมาก
“กูสัญญาว่ากูจะทำให้มันเจ็บแค่เรื่องเดียวเท่านั้นนั่นแหละ” ธนูพูดทิ้งท้าย...ลากตัวผมให้เดินตามมันกลับมาที่รถของผม ผมมองกลับหลังไปยังเบียร์ เห็นมันกำลังทำสีหน้าเป็นห่วงผมอยู่...
“เมื่อตะกี้แปลว่าอะไรวะ” ขนาดผมยังแปลคำพูดของธนูไม่ออก ผมไม่รู้ว่าเบียร์มันจะเข้าใจความหมายที่ไอ้ธนูต้องการสื่อหรือเปล่า
“อ้าว...นี่มึงโง่หรอกเหรอ”
ไอ้เวรนี่...มึงตอบดีๆ ไม่ได้หรือไง “อธิบายมา”
ธนูมองซ้ายมองขวาก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้จนหลังของผมติดกับรถ จากนั้นมันส่งยิ้มเผล่มาให้ พร้อมๆ กับ...
“ก็นี่ไง”
มือใหญ่ของมันบีบสะโพกของผมจนผมสะดุ้งตัวโยน
“ไอ้เหี้ยยยย” ผมร้องด่ามัน
“กูชอบก้นมึง” มันลอยหน้าลอยตาพูดขณะเดินอ้อมไปยังที่นั่งข้างๆ คนขับ
เรื่องนั้นมันคิดว่าผมไม่รู้เหรอออออ มันชอบมองบั้นท้ายผมแค่ไหน ผมรู้ดีอยู่แล้ว
...แต่ก็นะ ได้ฟังแบบนี้แล้วมันก็เขินอีกจนได้
ไม่ได้...ผมจะแพ้มันอีกไม่ได้ (ทำไมตลอดเวลาที่อยู่กับมันต้องกลายเป็นการแข่งขันด้วย)
ผมขึ้นมาบนรถแล้วปิดประตู จากนั้นก็มองไปที่ตรงกลางระหว่างหว่างขาของไอ้ธนู...
“กูก็ชอบไอ้นั่นมึงนะ”
คิดว่ามันทำให้คนอื่นเขินเป็นคนเดียวหรือไง...
ธนูมองตามตาผม จากนั้นมันก็ขยับขาหนีสายตาของผม...
“เวรเอ๊ย” มันบ่นเบาๆ
เชี่ย...ผมพูดเล่น แต่มันเสือกเขินจริง ฮ่าๆๆ
ชนะโว้ย ผมชนะ ผมชนะ...
“มึงพูดแบบนี้...ถ้าอยากอีกเมื่อไหร่ก็บอก” ธนูหันมาพูดกับผม
เพล้ง เสียงหน้าแตก...แม่งเอ๊ย ชัยชนะเป็นของผมยังไม่ถึงห้าวินาทีเลย
“กูเติมแก๊สโซฮอลล์ 95” ผมเปลี่ยนประเด็น “แต่บางทีกูก็เติมแก๊สโซฮอลล์ 91 ถ้ากูขับรถแม่อ่ะนะ”
ธนูยิ้ม...แม่งคงจะรู้แหละว่าผมแพ้มันอีกจนได้
To be continued ดูทรงแล้ว...พวกพี่เขาไม่น่าจะหนีกันรอดนะคะ