Rough and Tender 25
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ขอบฟ้ารู้สึกราวกับตื่นมาพบว่าเรื่องราวต่างๆ ในโลกได้หมุนไปถึงไหนต่อไหนแล้วระหว่างที่เขาเอาแต่นอนนิ่งๆ อาการเขาดีขึ้นจนลงจากเตียงได้แล้ว และจะเริ่มมีนัดทำกายภาพบำบัดในวันพรุ่งนี้
ทิวหมอกแวะมาดูเขาทุกครั้งที่พอหาเวลามาได้ ส่วนปลายฝนกับมารดาจะมาในวันหยุดหรือหลังเลิกเรียน เขาเป็นคนบอกมารดาเองว่าถ้าวันไหนต้องทำขนมก็ไม่ต้องมาเฝ้าเขาให้เหนื่อยอีก ทีแรกมารดาก็ทำท่าลังเล หากพอทิวหมอกสนับสนุนอีกเสียง มารดาเขาก็เชื่อทันที
ส่วนกร รายนี้แวะเวียนมาหาเขาทุกวันหลังเลิกเรียน และหากเป็นวันหยุดก็จะอยู่ยาวไม่ไปไหน วันดีคืนดีก็หอบหนังสือกับเอกสารเรียนต่อต่างประเทศมาด้วย
“กูกำลังทำเรื่องอยู่ ...มึงต้องรีบๆ หายล่ะ เดี๋ยวตกเครื่องกูไม่รู้ด้วยนะ”
เขาหนักใจทุกครั้งที่ได้ยินกรพูดถึงเรื่องนี้ จากที่เคยคิดว่ากรคงแค่พูดเล่น แต่ดูท่า...เขาจะคิดผิด
“ขมวดคิ้วอีกแล้ว กูไม่ได้บังคับมึงไปขายตัวสักหน่อย เพราะน้ำหน้าอย่างมึงใช่ว่าจะขายได้” กรเดินอาดๆ มานั่งบนเท้าแขนเก้าอี้ข้างหน้าต่างที่เขานั่งรับลมยามเย็นอยู่ ก้มหน้าลงลูบหว่างคิ้วขมวดมุ่นก่อนฝังจมูกลงกับแก้มเขาแรงๆ เหมือนกับจะแกล้ง “ทำเป็นเล่นตัว กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน มึงเดินขึ้นเครื่องตัวเปล่ายังได้ ไหนๆ ตอนนี้มึงก็ต้องดร็อปเรียนอยู่แล้ว ก็ลาออกแม่งเลย กูจะหามหาลัยดีๆ ที่โน่นให้หรือถ้าอยากเรียนภาษาดูก่อนก็ตามใจ”
“ตามใจผม” ทวนคำแล้วพอเห็นกรพยักหน้า ขอบฟ้าก็รีบขอ “งั้นผมไม่ไป”
“เอ๊ะ ไอ้นี่พูดจาไม่รู้เรื่อง” กรขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว “ตามใจเข้าหน่อยแล้วยิ่งเสียนิสัยใหญ่นะมึง คุยเรื่องนี้กับมึงทีไรกูได้หงุดหงิดทุกครั้ง”
พูดจบ กรก็เดินออกไปนอกห้อง คงไปหาที่สูบบุหรี่ตามเคย เพราะเมื่อใดที่พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้ กรมักจะหายตัวไปพักใหญ่ก่อนกลับมาพร้อมกลิ่นบุหรี่ตลบอบอวลตามเสื้อผ้า ไม่รู้ว่าหายไปสูบบุหรี่หรือเผาบุหรี่เล่นกันแน่
เขานั่งเหม่ออยู่พักหนึ่ง มารู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงเคาะประตู
ขอบฟ้ารีบหันไปมองผู้มาเยือนและต้องนิ่งงันเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตาเดินเข้ามา
พลชนะ
ไม่รู้ว่านั่งอ้าปากค้างอยู่นานแค่ไหน หากหลังหายจากอาการตกตะลึง ขอบฟ้าก็รีบคว้าไม้ค้ำข้างตัวยักแย่ยักยันพยายามลุกขึ้นยืน แต่เพราะอารามรีบร้อน เขาจึงเสียหลักและคงลงไปนอนวัดพื้นแล้วหากจะไม่มีมือใหญ่แข็งแรงรับไว้ได้ทัน
“ระวังหน่อยสิ ซุ่มซ่ามเหมือนเดิมนะเรา” จับเขาตั้งแล้วพลชนะก็ปล่อยมือ “ขอโทษนะที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลย ฟ้าโกรธพี่หรือเปล่า”
“ไม่ ไม่โกรธ” ขอบฟ้ายังยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “พี่พลไม่โกรธผมแล้ว...ใช่ไหม”
สองคำสุดท้ายหลุดมาเพราะไม่แน่ใจ พยายามค้นหาว่าพลชนะรู้สึกแย่หรือไม่ ทว่าร่างสูงมีเพียงรอยยิ้มจาง มองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออกเท่านั้น
“นั่งลงก่อนเถอะ” พลชนะไม่ตอบคำถามนอกจากบอกให้เขานั่งลงตามเดิม “จริงๆ พี่เคยมาหาฟ้านะ แต่พี่ชายฟ้าไม่ยอมให้พี่เข้าไป แล้วหลังจากนั้นก็...บอกตรงๆ นะ พี่คิดว่าตัวเองไม่กล้าด้วย คิดว่าไม่มีหน้ามาเจอเราอีกแล้ว”
รอยยิ้มของพลชนะดูเศร้าเสียจนคนมองใจหาย “ทำไมล่ะ พี่พลไม่ได้ทำอะไรผมเสียหน่อย ผมคิดว่าพี่คงไม่อยากเห็นหน้าผมอีกแล้วต่างหาก”
“ไม่ได้ทำอะไรงั้นเหรอ ฟ้าเกือบตายแล้วนะ รู้ตัวบ้างไหม” ทำไมใครต่อใครถึงชอบแจกแจงเรื่องนี้ให้เขาฟังกันนักนะ เขารู้ว่ารอดมาหวุดหวิด แต่สรุปก็รอดแล้วนี่นา “สภาพฟ้าตอนนั้นมันยังติดตาพี่จนถึงวันนี้อยู่เลย ฟ้านอนเลือดท่วมตัว ไม่ลืมตา ไม่ขยับ แทบจะไม่หายใจแล้ว ไอ้ฟี่มันก็นั่งร้องไห้บอกว่าเป็นเพราะมันๆ นี่มันก็กลัวไม่กล้ามาเหมือนกัน กลัวไอ้กรจะฆ่ามัน แล้วก็กลัวฟ้าจะเกลียดมันแล้วด้วย มันฝากพี่มาถามด้วยว่าฟ้าอยากเห็นมันคุกเข่าขอขมาเมื่อไหร่ให้บอกได้เลย มันจะรีบมา”
“พูดอะไรบ้าๆ ทำไมใครต่อใครถึงคิดว่าผมโดนรถชนเพราะพวกเขากัน ผมกระโดดไปขวางของผมเองแท้ๆ ไม่ได้มีใครมาผลักสักหน่อย” ขอบฟ้าขมวดคิ้วแต่ก็รีบยิ้ม “แต่ตอนนี้ผมดีขึ้นมาแล้ว นี่ไง พรุ่งนี้จะเริ่มทำกายภาพบำบัดแล้วด้วย คุณหมอนัดไว้ตอนเก้าโมงเช้า เห็นบอกว่าต้องเริ่มตั้งแต่เช้าเพราะต้องรอประเมินอะไรๆ อีก ผมตั้งใจว่าจะไปรอตั้งแต่แปดโมง เผื่อเขาจะให้อบอุ่นร่างกายก่อน”
“พยายามเข้านะ คนเก่ง” พลชนะยิ้มพร้อมลูบศีรษะเขาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “จริงสิ พี่เอานี่มาด้วย”
นาฬิกาเรือนสวยที่เขาเคยฝากเอกลักษณ์คืนให้คนซื้อถูกหยิบออกมา ขอบฟ้ามองมันสลับกับใบหน้าของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“นาฬิกาเรือนนี้เป็นของฝากที่พี่ตั้งใจเลือกมาให้ฟ้า ถ้าฟ้าไม่ยอมรับไว้ มันก็คงไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว” ขอบฟ้าปล่อยให้อีกฝ่ายใส่นาฬิกาให้ด้วยความรู้สึกผิด แม้พลชนะจะยังยิ้มให้ แต่เขาก็จำได้ว่ามันแตกต่างจากรอยยิ้มสดใสยามที่เขารับของขวัญชิ้นนี้มาอยู่ดี “พี่เคยพูดว่าจะยกโทษให้ก็ต่อเมื่อฟ้าเลิกกับไอ้กร...”
ขอบฟ้าเงยหน้าขวับ สบตากับพลชนะที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้วและพบว่าถึงคนเราจะยังยิ้มออก แต่ความเศร้าก็ยังฉายชัดออกมาทางดวงตาได้อยู่ดี
“มันไม่จำเป็นแล้ว สำหรับพี่...มันไม่สำคัญอีกแล้ว” ชายหนุ่มกุมมือที่เย็นเฉียบของเขาไว้ราวกับต้องการถ่ายทอดไออุ่นพลางหัวเราะเบาๆ “แค่เห็นฟ้ายังมีชีวิตอยู่ ขอแค่ได้เห็นเรามีความสุข เห็นฟ้ายังยิ้มได้ ต่อให้คนที่อยู่ข้างๆ จะไม่ใช่พี่ก็ไม่เป็นไร”
ครั้นพอขอบฟ้าตั้งท่าจะปล่อยโฮก็ต้องโดนห้ามเสียงขรึม “ห้ามร้องไห้ พี่บอกแล้วไงว่าอยากเห็นเรายิ้มมากกว่า ไม่เอาน่า เรื่องของพวกเราจบลงด้วยดีแบบนี้จะนึกเสียใจอีกทำไม”
หลังจากนั้น พวกเขาจึงพยายามหยิบยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดคุยจนเริ่มยิ้มออกบ้าง และถึงกับหัวเราะออกมาได้เป็นบางครั้ง จนกระทั่งถึงขณะที่กำลังคุยถึงเรื่องอาหารโรงพยาบาลอันจืดชืดกัน ประตูห้องก็เปิดผางออกโดยไม่มีการเคาะ
กรถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอื่นอยู่ในห้อง และพอหายจากอาการชะงักแล้ว สีหน้าก็เลวร้ายขึ้นทันตา
“มึงเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
พลชนะไม่ใส่ใจความไร้มารยาท นอกจากตอบแต่โดยดี “ก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา ห้องไม่ได้ล็อค โรงพยาบาลนี้ก็ไม่ใช่ของมึง ทำไมกูจะเข้ามาไม่ได้”
คนฟังหน้าบึ้งจัดก่อนเดินดุ่มๆ มาแทรกกลางระหว่างเขากับพลชนะอย่างไร้มารยาทเป็นที่สุด มิหนำซ้ำพอเขาจ้องมากเข้า ยังมีหน้าหันมาถลึงตาใส่
“ทำไม ก็กูอยากนั่งตรงนี้ มึงมีปัญหา” ลงท้ายเสียงสูงแบบท้าตีท้าต่อยเต็มที่ ขอบฟ้าจึงได้แต่ส่ายหน้า คร้านจะพูด แต่คนนั่งตาขวางก็ดันสังเกตเห็นนาฬิกาบนข้อมือเขาจนได้ “นั่นอะไร! ถอดออกเดี๋ยวนี้เลยมึง”
พร้อมกับที่กรพุ่งเข้ามาหา ขอบฟ้าก็ยกแขนหนีและรีบเอาซุกไว้ด้านหลังด้วยท่าทางพร้อมปกป้องด้วยชีวิต แล้วก่อนที่จะต้องถึงขั้นหอบนาฬิกาคลานหนีพร้อมกับเฝือกอีกอัน เสียงพูดเข้มๆ ก็หยุดไว้
“มึงนี่ไม่เคยเรียนรู้เลยสักนิด” กลายเป็นพลชนะที่เอ่ยขึ้น จ้องกรเขม็ง “ไม่เคยจำ ไม่เคยใส่ใจ เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ฟ้าต้องมาอยู่กับคนแบบมึงคงอายุสั้นไปอีกหลายปี”
“มึงพูดอะไร”
“ทีแรกกูก็ไม่อยากพูดหรือฟื้นฝอยหรอกถ้ามึงจะหัดเข้าใจอะไรๆ ได้เองบ้าง แต่เห็นอยู่ว่ามึงไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด” พลชนะเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “ที่ฟ้าโดนรถชน มึงเคยคิดบ้างไหมว่าเป็นเพราะใคร”
“จะมีใคร ก็ไอ้เหี้ยที่มันขับรถเสยเข้ามาไง ทั้งจดหมายขู่ ทั้งรูปภาพที่มันส่งมา ตำรวจเขาก็พิสูจน์ได้หมดแล้ว”
“ไม่ใช่เลย! ไอ้กร มึงไม่เข้าใจเหรอว่าที่ฟ้าต้องเป็นแบบนี้ มันเป็นเพราะมึง เพราะกู เพราะไอ้เหี้ยฟี่ด้วย มันเป็นความผิดของทุกๆ คน ถ้ากูไม่ทำตัวเหี้ยจนไอ้ฟี่มันไปลากฟ้าออกมา ฟ้าก็คงไม่ต้องไปยืนอยู่ตรงนั้น ถ้ากูไม่ได้หาเรื่องมึง เราสองคนคงไม่มัวแต่ลงไปต่อยกันเหมือนหมาจนไม่ทันสังเกตรถคันนั้น! ถ้ามึงจะแค่เอาใจใส่กับจดหมายขู่นั่นสักนิด ไอ้เวรนั่นคงไม่มีโอกาสทำเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรก!” พลชนะหยุดตะคอก หอบหายใจลึกๆ และเอ่ยต่อ “มึงเคยคิดบ้างไหมว่าฟ้าอาจไม่โชคดี รอดตายมานั่งกับพวกเราได้แบบนี้ทุกครั้งก็ได้”
ไม่มีใครกล้าทำลายความเงียบที่ตกตะกอนนิ่งค้างอยู่ระหว่างพวกเขาสามคน ขอบฟ้าไม่แน่ใจว่าเขาหยุดอยู่กับที่ไปนานแค่ไหนกว่าที่พลชนะจะหันมามองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“มึงไม่เคยเปลี่ยน ตราบใดที่ยังมีฟ้าอยู่ มึงก็ไม่เคยสนใจหรอกว่าฟ้าจะเป็นยังไงหรือจะต้องเจออะไรบ้างกับความยึดติดโง่ๆ ของมึง ...จำได้ไหม ตอนที่มึงเข้ามาทำลายทุกอย่างด้วยการบอกว่าฟ้ารับเงินจากมึงเพียงเพื่อต้องการให้เข้าใจผิด เพื่อกันไม่ให้กูกลับไปหาฟ้า ถูกล่ะว่ามึงทำสำเร็จ เพราะถ้าเข้าใจสาเหตุสักนิดว่าทำไมฟ้าต้องรับเงินมา กูคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ๆ และกว่าจะเข้าใจว่าทำไม ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว”
คนพูดสูดหายใจลึก เดินตรงไปยังประตูโดยทิ้งท้ายไว้เพียงแค่
“ฟ้าไม่มีวันจะมีความสุขได้หรอกถ้าต้องอยู่กับคนเห็นแก่ตัวแบบมัน”
พลชนะกลับไปนานแล้ว แต่กรยังนั่งอยู่ที่เดิม ขอบฟ้าก็อึดอัดกับบรรยากาศเครียดๆ เขาไม่ใช่นักคุยที่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้จึงยังนึกหาเรื่องมาพูดไม่ออก
“พี่กร” เมื่อนึกไม่ออกเลยได้แต่ถามตรงๆ “เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอ”
“มึงคิดยังไงกับกูกันแน่”
ขอบฟ้าผงะเมื่อเจอคำถามลุ่นๆ ยิงใส่หน้าแบบไม่ทันตั้งตัว “คิด...ยังไง”
“ใช่ ทุกวันนี้ที่มึงมองเห็นกูอยู่ทุกวัน มึงนึกรำคาญบ้างไหม หรือถ้าวันไหนกูไม่ได้มา มึงรู้สึกยังไง เหงา ดีใจ เสียใจ โล่งอกหรือว่า...ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย” กรเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาด้วยสีหน้าที่ขอบฟ้าไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่นึกอยากเห็นด้วย สู้ให้กรทำหน้ายียวน หัวเราะเยาะใส่ยังดีเสียกว่าสีหน้าแบบ...ขาดความมั่นใจ เขารู้สึกเหมือนเห็นอีกฝ่ายกลายเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่กำลังรอการลงโทษอยู่มากกว่า
นึกทบทวนคำถามเมื่อครู่ หากกรไม่มาให้เห็นน่ะเหรอ เขาคงรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องโดนด่า ไม่ต้องโดนขู่บังคับ เคี่ยวเข็นให้ทำโน่นทำนี่ อย่างต้องกินข้าวให้หมด โดนบังคับให้กินยาที่เกลียดแสนเกลียด โดนขู่ว่าจะโปะยาสลบลากขึ้นเครื่องบิน ชีวิตเขาที่ไม่มีกรคงกลับไปสงบสุขและเรียบง่ายเหมือนเดิมแน่นอน
“ผม...”
หากแค่อ้าปากเอ่ยคำแรก กรกลับลุกพรวด “อย่าเพิ่งตอบ มึงไม่จำเป็นต้องรีบตอบ คำตอบนี้มันสำคัญมาก กูอยากให้มึงค่อยๆ คิด ค่อยๆ ใช้เวลาทบทวนดู”
ทีปกติชอบว่าเขาชักช้า มาตอนนี้กลับบอกให้ค่อยๆ คิด “อืม”
“วันนี้มึงรีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปทำกายภาพไม่ใช่หรือไง”
คืนเดียวกันนั้น ภาพสีหน้าของกรยังติดตาจนตามเข้าไปหลอกหลอนถึงในความฝัน เขาอยากปลอบให้อีกฝ่ายสบายใจว่าไม่ต้องคิดมาก เพราะถึงกรจะชอบตวาด ชอบตะคอก แต่เขาก็ชินแล้ว หรือถึงกรจะติดธุระจนมาเยี่ยมไม่ได้ เขาก็อยู่ได้ ไม่เหงามากมายอะไร เขาเคยชินเสียแล้วกับการรอหรือถูกลืม ฉะนั้นถ้ากรจะไปที่อื่นบ้าง เขาก็จะไม่คัดค้านสักคำ
++++++++++
การทำกายภาพใช้แรงมากกว่าที่คิด เหนื่อยกว่าที่คาดไว้ เพราะกว่าจะเสร็จ ขอบฟ้าก็เหงื่อแตก เหนื่อยจนอยากนอนพัก ติดที่ว่าคุณหมอเรียกเขาไปพบเสียก่อน
เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในห้องเล็กๆ นั้น ขอบฟ้าก็ต้องประหลาดใจเพราะนอกจากจะมีคุณหมอเจ้าของไข้กับคุณหมอที่รับผิดชอบเรื่องกายภาพโดยเฉพาะกำลังนั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว ทิวหมอกก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน พอนั่งลงได้แล้วขอบฟ้ารีบยกมือไหว้ทั้งคู่และหันมากระซิบกระซาบถามพี่ชายเสียงตื่น
“พี่หมอกมาได้ยังไง ไม่ต้องทำงานเหรอ”
“คุณหมอโทรไปหาพี่ บอกว่ามีเรื่องต้องคุยน่ะ” ทิวหมอกหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงานพี่หรอก เพราะเรื่องนี้มัน...สำคัญ”
พอเห็นสีหน้าพี่ชายชัดๆ ขอบฟ้าก็ชักใจไม่ดีตาม ในโลกนี้มีไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้พี่ชายของเขาหนักใจได้ และดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะเป็นเรื่องที่เขากำลังจะได้รับฟังเสียด้วย
“ที่หมอต้องเรียกญาติคนเจ็บมาด้วยเพราะผลประเมินเบื้องต้นออกมาแล้ว ซึ่งคงต้องบอกว่า...ไม่ดีเท่าไหร่”
หัวใจเขาเต้นตึกตักๆ คิดไปล่วงหน้าถึงสิ่งเลวร้ายต่างๆ จำพวกแผลติดเชื้อร้ายแรงต้องตัดขาทิ้งหรือเพิ่งตรวจพบเลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัด...
ทิวหมอกเอื้อมมือมาบีบมือเขาที่บัดนี้เริ่มเย็นขณะเอ่ยกับคุณหมอ “มันไม่ดียังไงเหรอครับ ไหนทีแรกบอกว่าการฟื้นตัวเป็นไปได้ด้วยดี ทำกายภาพแล้วก็น่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ”
“ใช่ครับ สำหรับสภาพโดยทั่วไป หมอบอกได้เลยว่าคนเจ็บฟื้นตัวได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่การฝึกเดิน” ในส่วนนี้ คุณหมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายเป็นผู้อธิบายเอง “เท่าที่ดูอาการเบื้องต้น หมอต้องบอกว่าคงไม่กลับไปเป็นแบบเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ บาดแผลในตอนแรกที่สาหัสที่สุดคือกระดูกเชิงกรานหักก็จริงอยู่ แต่เพราะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นจากบริเวณเส้นเอ็นที่ฉีกขาด ทำให้มีเส้นประสาทบางส่วนถูกทำลายไป การทำกายภาพบำบัดหลังจากนี้จะช่วยรักษา...”
คุณหมอพูดอีกยาวมากจนขอบฟ้าเริ่มมึน ฉะนั้นพออธิบายจบ เขาก็รีบหันไปขอความช่วยเหลือจากทิวหมอก “พี่หมอก คุณหมอหมายความว่ายังไง”
ทว่าทิวหมอกไม่สนใจความซื่อบื้อของน้องชายเพราะกำลังขมวดคิ้วหน้าเครียด “สรุปแล้วคุณหมอกำลังบอกว่าขาเขาจะเสียเหรอครับ”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก หมอแค่บอกว่าคงไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม เขาจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ถ้าวิ่งหรือเดินเยอะๆ ก็อาจมีอาการปวดบวมอักเสบ และหมอขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้บันได...”
ยิ่งฟัง หน้าทิวหมอกก็ยิ่งเครียดขึ้นทุกที ในขณะที่ตัวคนเจ็บเองกลับกระพริบตาปริบ ตั้งอกตั้งใจฟังแนวทางการใช้ชีวิตหลังจากนี้ พอคุณหมอพูดจบ ขอบฟ้าก็พยักหน้าหงึกหงัก
“ผมพอจะเข้าใจแล้ว ขอแค่ไม่ใช้งานขามากเกินไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
“มันจะไม่มีปัญหาได้ยังไง! ฟ้า นี่แกเข้าใจบ้างไหมว่าขาแกมันเสียไปแล้ว ต่อให้ทำกายภาพหนักแค่ไหน แกก็จะไม่สามารถวิ่งหรือเดินได้เหมือนคนทั่วไปอีก!”
เพราะไม่โดนพี่ชายว้ากใส่มาพักใหญ่ ขอบฟ้าจึงอึ้งๆ ไปและพยายามประคับประคองสถานการณ์ “เอ่อ พี่หมอก ใจเย็นๆ นะ”
“ฉันใจเย็นอยู่แล้ว แต่แกนั่นล่ะจะเย็นไปถึงไหน! หัดเป็นเดือดเป็นร้อนกับเขาเสียบ้าง นี่มันชีวิตแกทั้งชีวิตนะ แกจะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง!”
“ก็ผมยังเดินได้นี่ ขอแค่ไม่ต้องพิการนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต ผมก็ว่าโชคดีมากแล้ว” ขอบฟ้าตอบหงอๆ นึกกลัวพี่ชายจะคว้าไม้ค้ำขึ้นมาฟาดเขาพิการจริงๆ “ต่อให้วิ่งไม่ได้แต่ผมก็ยังเดินได้ พึ่งตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระให้ใคร อาจจะช้านิดหน่อย แต่ปกติผมก็ไม่เคยทำอะไรเร็วอยู่แล้ว ผมถึงคิดว่าไม่เป็นไรไง”
อาจจะเพราะคำพูดของเขามันโง่งมหรือตรงเกินไป ทิวหมอกถึงเพียงแค่ส่ายหน้า หันมามองหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจเงียบแทน ฝ่ายคุณหมอทั้งสองท่านที่นั่งรอเงียบๆ มาตลอดจึงค่อยได้โอกาส เอ่ยเสริมขึ้นมาบ้าง
“ใช่ครับ ทางที่ดีควรคิดให้ได้แบบน้องชายคุณ แทนที่จะมานั่งเสียใจกับสิ่งที่เสียไปแล้ว สู้เอาเวลามาใส่ใจกับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่า หมอคงแนะนำได้เท่านี้”
ก่อนพวกเขาจะกลับออกมา ขอบฟ้านิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วจึงหันไปบอกคุณหมอ “เรื่องขาของผม คุณหมอไม่จำเป็นต้องไปรายงานใครต่อใช่ไหมครับ”
คุณหมอถอดแว่นตาออกและเงยหน้ายิ้ม “แน่นอนครับ นี่เป็นความลับส่วนตัวของคนไข้ หมอไม่มีสิทธิ์ไปบอกใครอื่นอีก”
“ขอบคุณครับ”
ขอบฟ้าเขยกขาตามหลังทิวหมอกออกมาได้สักระยะ พี่ชายถึงค่อยเอ่ยขึ้น “จะนั่งรถเข็นไหม”
“ไม่ล่ะ” ส่ายหน้าตอบแล้วยิ้มกว้าง “ผมเดินไหว เขาบอกให้ผมหัดเดินเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ”
ทว่าพอเดินไปได้สักพัก ขอบฟ้าก็เริ่มเหนื่อยอีกรอบและดูเหมือนทิวหมอกจะสังเกตเห็นจึงชวนลงนั่งพักกันชั่วครู่
“ฉันน่ะเป็นห่วงแกมากกว่ายัยฝนเสียอีก” จู่ๆ ทิวหมอกก็เริ่มแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “เพราะแกมันมองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่สู้คน ใครจะผิดจะถูกแกก็ขอโทษเขาไปหมด หัวอ่อน ยอมเขาไปทั่ว ฉันเป็นห่วงว่าแกจะอยู่ในสังคมแบบทุกวันนี้ได้ยังไงไหว”
ถึงจะรู้ตัวว่าเป็นแบบที่พูด แต่เขาก็อดก้มหน้าไม่ได้
“แต่คงเพราะเป็นแบบนี้ แกถึงได้เป็นคนดี ไม่ใช่คนเก่งแบบใครๆ เขา ฉันเคยหวังว่าสักวันแกจะเก่งขึ้น กล้าขึ้น เอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากใคร แต่ฉันเพิ่งรู้ว่ามันไม่จำเป็นสำหรับแกเลยสักนิด แกมีความสุขได้ในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่ว่าจะมากหรือจะน้อย แกก็พอใจกับมัน”
รอจนแน่ใจว่าทิวหมอกคงไม่พูดอะไรต่ออีก ขอบฟ้าจึงเอ่ยว่า
“พี่กรเขาชวนผมไปเรียนต่อเมืองนอก” ถึงความจริงจะห่างจากคำว่าชวนอยู่มากโข แต่พูดแบบนี้คงดีกว่า “ทีแรกผมคิดว่าเขาพูดเล่น แต่หลังๆ มานี่ พี่เขาพูดบ่อยขึ้น แถมดูเหมือนจะเอาจริงด้วย ผมเห็นเขาเช็คกับโรงพยาบาลทางโน้นแล้วว่าถ้าผมต้องไปรักษาตัวต่อ ผมต้องทำยังไงบ้าง”
“หึ” น่าแปลกที่ทิวหมอกไม่ได้เอ็ดตะโร นอกจากส่งเสียงแค่นในลำคอ “ฉันรู้แล้ว”
ไม่ต้องรอให้งงนาน พี่ชายเขาหันมาจ้องดุๆ “มันเป็นคนบอกฉันเอง ไอ้เด็กอวดดีเหลือร้ายนั่นมาบอกฉันว่าแกอยากไปเมืองนอกกับมัน มันพูดจริงหรือเปล่า”
มองน้องชายส่ายหน้าพรืดแรงแบบหัวแทบหลุดแล้วทิวหมอกค่อยแค่นหัวเราะ “ฉันก็ว่างั้น ฉันว่าจะถามแกมาตั้งนานแล้วว่าไปเก็บไอ้ตัวเลวร้ายขนาดนั้นมาจากไหน ทั้งผยอง อวดดี ไอ้พวกลูกคุณหนู ทำอะไรตามใจตัวเองเข้าว่า แกทนคบกับมันเข้าไปได้ยังไง หา”
“...ผมไม่ได้เก็บมาแล้วก็ไม่ได้คบกับพี่กรสักหน่อย” เกาเฝือกที่ขาพลางแก้ตัวอุบอิบ “เขาไม่เคยขอคบด้วย ผมก็ไม่เคยบอกว่าชอบ ผมก็แค่...ไม่รู้สิ”
“ฉันเข้าใจว่าแกรู้สึกยังไง” ทิวหมอกลูบศีรษะน้องชาย “คนบางคนมันไม่เคยสนใจว่าใครอื่นจะคิดยังไงหรอก ขอแค่ตัวมันพอใจก็พอ ซื่อๆ แบบแกคงตามมันไม่ทัน”
“แต่บางทีพี่กรเขาก็ดีกับผมนะ เคยสอนผมทำการบ้าน ทำอาหารให้ผมกิน ขนาดไม่เคยทำยังอร่อยมากๆ” เขาหัวเราะแห้งๆ อดยิ้มไม่ได้เมื่อย้อนนึกถึงคนในความคิด “ถึงส่วนใหญ่ เขาจะชอบดุ ชอบตะคอก แต่เวลาที่พี่กรอ่อนโยน เขาก็น่ารักมากๆ เลยล่ะ คนอะไรตัวก็เบ้อเร่อเบ้อร่า แต่นิสัยกลับเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด”
“ฟ้า แก...” เอ่ยเรียกชื่อเขาแล้วทิวหมอกก็ถอนหายใจยืดยาว “ถ้าแกอยากจะไปกับเขาจริง ฉันก็ไม่ว่าแกหรอก แต่ฉันขอให้แกคิดให้ดีว่าแกอยากไปเพราะตัวแกเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น ความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้ ฉันถึงไม่อยากให้แกยึดมั่นถือมั่นอะไรจนเกินไป ส่วนเรื่องเงิน...ฉันไม่เคยคิดจะให้น้องแบมือขอเงินจากใคร ดังนั้นถึงมันจะลำบากมากสักหน่อย แต่ถ้าแกไปแล้วได้ดี ฉันก็จะสนับสนุน”
...............
........................
..................................
ทิวหมอกกลับไปทำงานแล้วแต่เขายังนั่งอยู่ที่เดิม
ขอบฟ้านึกขอบคุณที่ตนได้เกิดมาในครอบครัวนี้ เขารักครอบครัวของเขาทุกคน รักมารดาที่มักจะดุเวลาเขาทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ รักทิวหมอก พี่ชายผู้มีแต่การให้และรักปลายฝน น้องสาวตัวแสบที่กระโดดมาปกป้องเขาในเวลาคับขันทุกครั้ง
กระทั่งเห็นว่าได้เวลากลับห้อง ขอบฟ้าจึงค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน อาการเสียวแปลบแล่นริ้วมาเป็นระลอก เขารอจนค่อยทุเลาแล้วจึงค่อยออกเดินอีกครั้งไปเบื้องหน้า...อย่างช้าๆ และมั่นคง
+++++++++++
กว่ากรจะโผล่หน้ามาให้เห็นก็เป็นเวลาหลังอาหารเย็น ชายหนุ่มโผเผมาทางโซฟาตัวยาวที่เขาอาศัยนั่งดูโทรทัศน์แก้เหงาอยู่ก่อนหน้า แล้วใช้ปลายเท้าเขี่ยให้เขาขยับ รอจนขอบฟ้าหลบไปซุกมุมโซฟาตัวลีบดีแล้ว กรจึงค่อยทิ้งตัวลงนอนโดยเอาหัวหนุนลงกับตักเขา ก่อนจะหลับตา ทำท่าเหมือนจะนอนหลับไปในทันที
ทีแรก เขาคิดว่ากรจะแค่พักสายตาสักห้านาที สิบนาที ทว่ารอจนละครจบ กรก็ยังนอนแน่นิ่งเป็นปลาตาย น้ำก็ยังไม่ได้อาบเสียด้วยสิ
“พี่กร” ขอบฟ้าเรียกเบาๆ ยกมือปัดผมที่ปรกหน้าปรกตาให้ “ตื่นเถอะ สี่ทุ่มครึ่งแล้วนะ ลุกมาอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนก็ยังดี”
“ฮื้อ” ครางหนักๆ พร้อมกับขมวดคิ้วแล้วเจ้าตัวก็เบือนหน้าหนี
“จะมาฮื้ออะไร ผมบอกให้ลุกไปอาบน้ำ” อดหัวเราะกับกิริยาเด็กๆ ของชายหนุ่มไม่ได้ อีกฝ่ายยอมลืมตาขึ้นจ้องหน้าเขาแล้วตวัดขาลง เดินเข้าห้องน้ำไปแบบมึนๆ ขอบฟ้าจึงเตรียมตัวเข้านอนบ้าง ขณะกำลังจะปีนขึ้นที่นอนด้วยความทุลักทุเลก็มีวงแขนแข็งแรงตวัดอุ้มแล้ววางลงบนเตียง
“ขะ...ขอบคุณ” อดกล่าวแบบเก้อกระดากไม่ได้ มันน่าแปลกน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ นอกจากมารดากับพี่ชายที่เคยอุ้มสมัยเด็กๆ ซึ่งนานจนเขาจำแทบไม่ได้แล้วนั้น ขอบฟ้าก็ไม่เคยคิดว่าจะมาโดนอุ้มทั้งตัวแบบนี้อีก
“วันนี้ทำกายภาพ หมอว่าไงบ้าง” กรถามขึ้นโดยที่ยังยืนชิดติดขอบเตียง ใกล้จนได้กลิ่นสบู่หอมๆ ลอยมาเข้าจมูกเลยทีเดียว
“ก็ดี” ตั้งใจจะตอบแค่นี้ แต่สีหน้าแววตาคาดคั้นทำให้ต้องรีบขยายความ “เขาให้ผมทดลองเดินกับราวช่วยพยุง แล้วก็ไปนั่งบนเครื่องอะไรไม่รู้ ให้ยกขาขึ้นๆ ลงๆ ตั้งนาน เหนื่อยแทบตาย”
รับคำในคอแล้วกรก็ยกมือลูบแก้มเขา “แล้วคิดหรือยัง”
“คิดอะไร” เพราะตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว กรขยับเข้ามาใกล้มากๆ ใกล้จนนอกจากกลิ่นสบู่แล้ว ยังแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจเลยด้วยซ้ำ
“ก็ที่ถามเมื่อวานไง”
“อ๋อ คือ...” เขามองลึกเข้าไปในดวงตาดำจัดตรงหน้า นึกพิศวงขึ้นมาครามครันว่านับจากครั้งแรกที่เห็นดวงตาคู่นี้ จวบจนมาถึงวินาทีนี้ ทุกอย่างรอบกายมันเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดไหนแล้วกันแน่ “ผมอธิบายไม่ค่อยเก่ง”
“พูดมาเหอะ เดี๋ยวกูแปลเอง”
“พี่กรจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหม” มองอีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วขอบฟ้าค่อยเอ่ยต่อ “ตอนนั้นผมคิดว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาออกจะดี แต่นิสัยคงร้ายกาจน่าดู ป่านดูเหมือนจะชอบพี่มากๆ จนผมอิจฉานิดหน่อย”
หญิงสาวที่เคยเป็นเหมือนภาพฝันแสนสวยงาม ไกลเกินเอื้อมของเขาตลอดมา ป่านที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มีสภาพเป็นยังไงบ้าง
“มึงจะอิจฉาทำไม สำหรับกู คนพวกนั้นเหมือนกันไปหมดนั่นล่ะ” กรเบ้ปากและร้องโวยยามโดนทุบป้าบ “ตีทำไมวะ ก็กูพูดความจริง”
“ก็พี่กรชอบเป็นแบบนี้” เขาส่ายหน้า ขมวดคิ้ว “ใครๆ ถึงได้เข้าใจผิด ผมเองตอนแรกๆ ก็ไม่ชอบเพราะพี่ปากเสียนี่ล่ะ”
“ตอนแรกๆ ไม่ชอบแสดงว่าตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้วสิ” สรุปเข้าข้างตัวเองแล้วกรก็ก้มลงจุ๊บปากเขาเร็วๆ “ดีใจจัง แต่ถ้าจะให้ดีก็พูดให้มันชัดๆ ไปเลยได้ไหม”
“ผมยอมรับว่าเห็นพี่กรเป็นคนสำคัญ”
สีหน้าของกรในเวลาต่อจากนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ติดในความทรงจำไปอีกนานหลายปี ทว่านี่เป็นสิ่งที่เขายังไม่รู้
“แต่ไม่ใช่คนสำคัญที่สุด”
++++++++++