Episode 18
( พี่รู้แล้ว...ไม่สามารถฝืนในสิ่งที่ชะตาลิขิตเอาไว้ได้เลย )
“ ถึงที่โน่นแล้วก็เขียนจดหมายมาหาพี่ด้วยล่ะ ”
ว่าออกไปอย่างนั้น พร้อมยื่นกระเป๋าสัมภาระให้คนตรงหน้า
“ ครับ ไว้ถึงบ้านเมื่อไร ผมจะรีบเขียนทันทีเลย ” ว่าพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ ดีมาก ” ว่าพลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของคนตรงหน้า แล้วก็ดึงร่างบางตรงหน้าเข้ามากอด “ เดินทางปลอดภัยนะ ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ”
“ ครับ พี่ก็เหมือนกันนะ ผมไม่อยู่ช่วยงานแล้ว ก็ดูแลตัวเองดี ๆ อย่านอนดึกด้วย เข้าใจไหมครับ ” ว่าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“ จ้า ๆ เข้าใจแล้วคุณน้องชาย ”
“ ถ้าอย่างนั้น ผมไปก่อนนะครับ ”
ว่าพลางคลายออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า
“ จ้ะ โชคดีนะ ” ว่าพลางจับมืออีกฝ่ายแน่น
“ ครับ ” พูดทั้งส่งยิ้มให้ พลางดึงมือกลับ
อาเธอร์ลิสสะพายกระเป๋าสัมภาระไว้ที่หลัง แล้วเดินออกไปจากเรือนของผู้เป็นพี่สาว เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ ที่ที่จะพาเด็กหนุ่มกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน เอมิลียืนมองน้องชายที่กำลังเดินห่างออกไปจนไกลสุดสายตา แล้วหมอสาวจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน จัดเตรียมเอกสารและยารักษา สำหรับตรวจอาการป่วยของคนไข้ที่จะมารับการรักษาตามเวลาที่ได้นัดเอาไว้ในอีกไม่ช้านี้
หมอสาวนั่งจัดการกับเอกสารได้สักพัก หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าเรือน และไม่นานนักผู้ที่มาเยือนก็เดินขึ้นบันไดมาให้หล่อนได้เห็นว่าพวกเขาเป็นใคร
“ คุณหญิง! คุณหลวง! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ แม่เอมิลี ”
ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่กำลังตื่นตระหนกอยู่
“ ก็ดิฉันนึกไม่ถึงนี่คะ ว่าท่านทั้งสองจะมาที่เรือนในเวลานี้ ”
“ คือ...ฉันมีธุระต้องมาคุยกับแม่เอมิลีน่ะจ้ะ ”
“ ธุระหรือคะ? เอ่อ...เชิญคุณหญิงกับคุณหลวงนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเอาน้ำมาให้นะคะ ”
เมื่อได้ยินเจ้าของเรือนบอกเช่นนั้นหญิงสูงวัยกับลูกชายก็นั่งลงที่เก้าอี้ภายในห้องรับแขก
“ อลิสอยู่ไหนหรือ? ”
ถามออกไป เพราะตั้งแต่มาถึงที่เรือนนี่ก็ไม่ปรากฏเห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็กเลย ทำให้ขุนนางหนุ่มกระวนกระวายใจ เกรงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่กลับมาที่เรือนตั้งแต่วันที่อาเธอร์ลิสได้หนีออกจากเรือนเขาไป
“ ใจเย็นก่อนสิพ่อภาคิน ” ว่าพลางหันมาปรามลูกชาย
“ แต่กระผม...”
เมื่อเห็นอาการกระวนกระวายใจของผู้เป็นลูกชายแล้ว คุณหญิงเพ็ญถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างยากที่จะห้ามได้ให้กับความใจร้อนของขุนนางหนุ่มที่แสดงออกมาโดยไม่ปิดบัง
“ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน แม่เอมิลีนั่งลงก่อนเสียเถอะฉันยังไม่กระหายน้ำกระไรหรอก ” บอกออกไปอย่างนั้น
“ ค่ะคุณหญิง ”
กระทำตามที่คุณหญิงเพ็ญบอกทันที ร่างเพรียวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของสองแม่ลูกผู้มาเยือนอย่างสงบเสงี่ยม เพื่อจะตั้งใจฟังธุระสำคัญของอีกฝ่าย ที่เป็นสาเหตุให้ต้องมาหาหล่อนในเวลานี้
“ คือ...ฉัน...อยากจะมาสู่ขอพ่ออลิสให้พ่อภาคินเขาน่ะจ้ะ ” ว่าธุระออกไป
“ คุณหญิงว่าอะไรนะคะ!? ”
โพล่งออกไปด้วยความตกใจประกอบกับไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ ฉันมาสู่ขอพ่ออลิสให้พ่อภาคินน่ะจ้ะ แม่เอมิลีจะว่าอย่างไร? ”
เอมิลีอึ้งงึงงันไปกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตนเองเลยที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากปากของคุณหญิงเพ็ญ
“ เอ่อ...คุณหญิงคะ ดิฉันว่า...มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือคะ อลิสเองก็ยังเด็กอยู่ ส่วนคุณหลวง...” ชะงักหยุดคำพูดเอาไว้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกมา แล้วจึงพูดต่อ “ คุณหลวงก็ไม่ได้รักน้องของดิฉันเลย ถ้าแต่งกันไปมันก็คงจะไม่มีความสุขหรอกค่ะ มีแต่จะทำให้ทรมานใจกันเสียเปล่า ถึงแม้จะเป็นคู่แห่งโชคชะตากันก็ตามแต่ ”
หลวงภาคินได้ยินคำพูดเชิงปฏิเสธของเอมิลีก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงหันสายตาไปจับจ้องใบหน้าของหญิงที่นั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้ามทันที
“ ฉันอยากแต่งงานกับอลิส อลิสเป็นเมียฉันแล้ว ” ตัดสินใจโพล่งออกไปอย่างนั้น หลังจากที่เงียบมาเสียนาน
เอมิลีอ้าปากค้างอย่างตกตลึงให้กับคำพูดของหลวงภาคิน แทบไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง ว่าสิ่งที่ได้ยินมันเป็นเรื่องจริง
“ คะ...คุณหลวงว่าอย่างไรนะคะ!? ” ถามออกไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากจะเชื่อ
“ ฉันกับอลิส เราเป็นผัวเมียกันแล้ว ” ย้ำออกไปอย่างหนักแน่น
“ มันจะเป็นไปได้อย่างไร...” พึมพำออกมาเบา ๆ
หมอสาวพึมพำออกมาแค่แผ่วเบา แต่หลวงภาคินกลับได้ยินชัดเต็มทั้งสองหู
“ ฉันขืนใจเขาเอง ฉันจึงอยากจะรับผิดชอบ ”
เอมิลีเมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาอย่างนั้น ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาจนใบหน้าขึ้นสี น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดแทนน้องชายที่ถูกกดขี่ข่มเหงเสียขนาดนั้น หล่อนอุตส่าห์รู้สึกไว้วางใจเอาน้องชายไปฝากเรือนโน้นให้เขาช่วยดูแลในตอนที่ตนเองไม่อยู่ ด้วยกลัวว่าถ้าอยู่คนเดียวอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นการผลักไสน้องชายให้ไปถูกกระทำย่ำยีจนถึงที่แทนเสียได้
“ คุณหลวงว่าอะไรนะคะ! ทำไมท่านถึงทำเรื่องโหดร้ายกับเด็กคนนั้นถึงเพียงนี้!? ”
โพล่งออกไปด้วยความโกรธ
“ ฉันขอโทษ ที่ฉันทำไปแบบนั้น เพราะฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ที่จะเห็นอลิสไปเป็นของคนอื่น ”
“ ที่แท้ท่านก็เห็นอลิสเป็นแค่สิ่งของ ”
“...”
ไม่ได้ว่าอะไรออกไป เพราะคำพูดของเอมิลีก็ไม่ได้ผิดไปเสียหมด ก็อาเธอร์ลิสเป็นของเขา เป็นคนของเขา จะให้ใครมายุ่มย่ามได้อย่างไร ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น
“ เอาเถอะ ๆ แม่เอมิลี จะอย่างไรเสียเรื่องมันก็เลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ไอ้คนเป็นแม่อย่างฉันก็อยากจะทำสิ่งที่ลูกชายได้ก่อเอาไว้ให้มันถูกต้องตามครรลอง อย่างไรเสียก็ชิงสุกก่อนห่ามเป็นผัวเมียกันไปแล้ว ก็ตบแต่งกันให้มันถูกต้องตามประเพณีเสียเถิด ฉันเองก็รักใคร่เอ็นดูพ่อ
อลิสเขา หมายตาอยากจะได้เป็นสะใภ้ตั้งแต่คราแรกที่เห็นแล้ว ถือว่าฉันขอเถอะนะแม่เอมิลี ยกพ่ออลิสให้ลูกชายฉันเถอะ ”
ได้ยินคุณหญิงเพ็ญพูดเชิงอ้อนวอนขนาดนั้น เอมิลีก็ลดอารมณ์โกรธลง เพราะอย่างไรเสียเรื่องทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คงจะต้องเป็นไปอย่างที่คุณหญิงว่า
“ ก็ได้ค่ะ ดิฉันอนุญาตให้อลิสแต่งงานกับคุณหลวง แต่...”
“ แต่อะไร? ”
หลวงภาคินหลังจากที่เงียบฟังมาสักพัก ก็โพล่งออกไปอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายยังมีข้อแม้อยู่ ถึงแม้จะยอมยกน้องชายให้แล้วก็ตามเถอะ
“ แต่เรื่องนี้ต้องถามอลิสด้วย เพราะมันเป็นชีวิตของน้อง ดิฉันจะให้น้องตัดสินใจเอง ดิฉันจะไม่บังคับน้องอย่างเด็ดขาดค่ะ ”
“ แล้วตอนนี้อลิสอยู่ไหน? ฉันอยากคุยกับเขา ”
“ เห็นทีจะไม่ได้หรอกค่ะคุณหลวง ” ตอบกลับไปอย่างนั้น
หลวงภาคินเมื่อได้ยินคำพูดปฏิเสธเช่นนั้นของเอมิลีก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา อีกทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงจะพบหน้าอาเธอร์ลิสไม่ได้ก็ในเมื่ออนุญาตให้แต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือ
“ ทำไมล่ะแม่เอมิลี? ทำไมฉันถึงพบเมียฉันไม่ได้!? ”
ถามออกไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
“ เพราะอลิสไม่ได้อยู่ที่แล้วล่ะค่ะ ”
“ ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว? แม่เอมิลีหมายความว่าอย่างไร!? ”
โพล่งออกไปด้วยความกระวนกระวายใจ
“ ก็หมายความว่า...อลิสกลับอังกฤษไปแล้วอย่างไรล่ะคะ ” พูดออกไปเสียงเรียบ
“ ว่าอย่างไรนะ! เมื่อไร!? ” โพล่งออกไปพลางยันตัวลุกขึ้นยืน
“ วันนี้ค่ะ ก่อนที่คุณหลวงจะมา ป่านนี้คงใกล้จะถึงท่าเรือแล้วกระมังคะ ”
หลวงภาคินได้ยินอย่างนั้นก็ผลุนผันรีบออกจากประตูห้องรับแขกไปทันที พลางหันกลับมามองผู้เป็นมารดา
“ คุณแม่โปรดรอกระผมอยู่ที่นี่นะขอรับ กระผมจะไปพาอลิสกลับมาให้ได้ ” พูดออกไปอย่างหนักแน่น
“ จ้ะ เอาน้องกลับมาให้ได้นะ พ่อภาคิน ”
ว่าพลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นลูกชาย
“ ขอรับ ”
พูดเสร็จก็เดินลงจากเรือนไปทันที ร่างสูงเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งอย่างฉับไว พลางสั่งให้คนรับใช้รีบเคลื่อนรถออกจากที่นี่โดยเร็ว เพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าเรือ...
รอก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีไปแบบนี้ ยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญออกไปเลย...
αΩ
หลังจากที่เดินออกจากเรือนมาได้สักพักแล้ว อาเธอร์ลิสก็มาถึงพระนครหลวงของสยาม ซึ่งมีตลาดค้าขายสินค้าขนาดใหญ่ของชาวเมืองอยู่ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะแวะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปด้วย เพื่อจะได้เป็นของฝากให้คนที่รออยู่ที่บ้านเกิด และด้วยเอมิลีก็ได้ให้เงินตราของสยามไว้ให้เขาได้ใช้สอยบ้างจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงจะนำเงินส่วนนี้มาใช้ซื้อของฝากและเป็นค่าเดินทางกลับในครั้งนี้ให้หมด ๆ ไปเสีย เพราะถึงอย่างไรก็คงจะไม่ได้กลับมาที่ประเทศแห่งนี้อีกแล้ว
เด็กหนุ่มเลือกอยู่นานกว่าจะได้สิ่งของที่ต้องการ ในที่สุดก็ได้ผ้าไหมของชาวสยามไปเป็นของฝากให้สองชายหญิงวัยกลางคนที่รออยู่ที่อังกฤษ
อาเธอร์ลิสยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นมารดาตอนเห็นตนปรากฏอยู่ที่หน้าบ้าน เธอคงจะตกใจและดีใจน่าดูที่เห็นลูกชายคนเล็กที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่อยู่ในท้องจนเติบโตขนาดนี้กลับมาบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าว หลังจากที่ห่างอกไปไกลตั้งสองเดือนกว่า คิดแล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
สองมือเรียวยกปาดน้ำใส ๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เก็บของฝากใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ถือมาด้วย แล้วจึงสาวเท้าต่อเพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าเรือ อันเป็นที่หมายที่จะพาเขากลับไปยังประเทศบ้านเกิดได้
เดินมาได้ไม่นานนัก อาเธอร์ลิสก็มองเห็นท่าเรือที่คึกครื้นอยู่ไกล ๆ สองเท้าเล็ก ๆ จึงเร่งความเร็วเพื่อจะให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
เท้าทั้งสองข้างหยุดขยับเมื่อมาถึงท่าเรือดังที่หมายเอาไว้ ผู้คนที่นี่ก็ยังคงคึกครื้นอยู่เหมือนเดิม เสียงดังอึกทึกครึกโครมไม่ต่างจากตลาดในพระนครสักเท่าไร จะต่างก็เพียงแค่ที่พระนครหลวงมีสินค้าหลากหลายและมีร้านตั้งแบบถาวรกว่าที่นี่ก็แค่นั้น เด็กหนุ่มยืนมองอยู่พักหนึ่งพลางอมยิ้มออกมา ก่อนจะก้าวไปยังจุดข้ามฝั่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขายืนอยู่
“ อลิส! ”
สองเท้าเล็ก ๆ หยุดขยับทันทีเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียกชื่อของตนเองออกมา ร่างเล็กจึงเอี้ยวตัวหันกลับไปมองยังต้นเสียง ทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงนั่นป็นใคร ร่างของเด็กหนุ่มก็แข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกชาไปทุกส่วนของร่างกาย ไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ แต่พอเห็นคน ๆ นั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ อาเธอร์ลิสก็รวบรวมกำลังของตนทั้งหมดที่มี รีบสาวเท้าหนีจากตรงนั้นไป แต่ทว่าไม่ทันจะหนีได้พ้น มือหนาก็คว้าเข้าที่ข้อมือเล็กไว้ได้พอดี
“ ปล่อยผมนะครับ อย่ามายุ่งกับผม! ” ว่าออกไปพลางสะบัดมือให้หลุดจากการถูกเกาะกุม
“ เดี๋ยวอลิส หยุดฟังก่อน ”
ว่าพลางดึงร่างเล็กให้เข้ามาใกล้
“ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง ผมจะขึ้นเรือ ”
ว่าพลางใช้มือผลักแผงอกแกร่งออกไปให้ห่าง
“ ไม่ พี่ไม่ปล่อย แล้วก็ไม่ให้ไปไหนด้วย ”
ว่าพลางช้อนคนตัวเล็กที่ออกแรงดิ้นอยู่มาไว้ในอ้อมแขน
“ อ๊ะ! คุณหลวงปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะครับ คนมองใหญ่แล้ว ”
ขุนนางหนุ่มเหลือบสายตาไปมองรอบ ๆ ข้าง ก็เห็นเป็นอย่างที่อาเธอร์ลิสบอก ผู้คนที่ท่าเรือต่างจับจ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว พลางกระซิบกระซาบกันเสียยกใหญ่
“ ขออภัยด้วยนะขอรับ พอดีเมียกระผมเขาท้อง อารมณ์เลยแปรปรวนงอนแล้วก็หนีออกจากเรือนมา กระผมเลยมาตามกลับ ต้องขออภัยที่ทำให้วุ่นวายกันด้วยขอรับ ” ว่าออกไปเสียอย่างนั้น
“ คุณหลวงพูดบ้าอะไรน่ะครับ! ” โพล่งออกไปพลางออกแรงดิ้น เพราะไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่าย
ชู่! ส่งเสียงเป็นสัญลักษณ์เชิงปรามให้เงียบ
“ ถ้าไม่หยุดโวยวาย เดี๋ยวจะประกบด้วยปากให้เงียบเอง ” แสร้งขู่ออกไปอย่างนั้น พลางแสยะยิ้มออกมา
สองมือเล็กยกปิดปากตนเองทันที เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนั้นของขุนนางหนุ่ม พอเห็นคนในอ้อมแขนหมดลายสิ้นฤทธิ์แล้ว หลวงภาคินก็อุ้มร่างอาเธอร์ลิสฝ่าดงคนบนท่าเรือออกมาหาที่เงียบ ๆ คุยกัน
ร่างสูงกับคนตัวเล็กในอ้อมแขนออกมาจากท่าเรือได้ไม่ไกลนัก ก็มาหยุดอยู่ที่สวนตาล ที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน สงบร่มรื่นดี ซึ่งอาเธอร์ลิสไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแถว ๆ ท่าเรือมีที่แบบนี้อยู่ด้วย อาจเพราะเด็กหนุ่มไม่เคยมายังเส้นทางนี้เลยก็เป็นได้
หลวงภาคินพาร่างเล็กเดินเข้าไปในสวนตาล จนคนในอ้อมแขนเริ่มมองไม่เห็นบ้านเรือนรอบ ๆ แล้ว
“ คุณหลวงจะพาผมไปไหน? ปล่อยผมลงนะครับ! ”
ว่าพลางออกแรงดิ้นอีกครั้ง
“ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อยู่นิ่ง ๆ ก่อน ” พูดออกมาเสียงเรียบ
เมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงหยุดโวยวาย และก็ไม่นานอย่างที่หลวงภาคินว่า ขุนนางหนุ่มพาอาเธอร์ลิสมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมหลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางสวนตาลแห่งนี้
“ ที่นี่ที่ไหนครับ? ” ถามออกไปด้วยไม่เคยมาที่แบบนี้
“ เป็นสวนตาลที่คุณพ่อซื้อไว้น่ะ ตอนนี้ให้คนดูแลแทนอยู่ เพราะไม่มีเวลามาจัดการเอง ” พูดออกไปเสียงเรียบพลางเดินขึ้นกระท่อมไป
“ ปล่อยผมลงก่อนครับ ผมเดินเองได้ ”
ว่าออกไปเช่นนั้น เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเสียที
“ ไม่ เดี๋ยวก็หนีไปอีก ”
ว่าพลางเอื้อมมือไปเปิดประตู แล้วเดินเข้าไป
“ จะหนีได้อย่างไรล่ะครับ ผมอยู่ส่วนไหนของสยามยังไม่รู้เลย ”
“...” ไม่ได้พูดอะไร
หลวงภาคินวางอาเธอร์ลิสลงบนเตียงนอนอย่างเบามือ แล้วจึงเดินไปลงกลอนประตูให้แน่นหนา
“ คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ!? ”
โพล่งถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา
“ ก็ทำให้หนีไม่ได้อย่างไรล่ะ ” ว่าออกมาเสียงเรียบแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็ก
“...” ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแต่ขยับออกให้ห่างจากคนจอมเผด็จการ
“ อย่าหนีพี่ได้ไหม? ” พูดพลางส่งสายตาวิงวอนให้คนข้างกาย
อาเธอร์ลิสหันไปมองใบหน้าคมของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาที่หัวใจจนไม่สามารถที่จะควบคุมไม่ให้น้ำใส ๆ มาคลออยู่ที่ดวงตาได้
“ ผมไม่ได้หนี...” พูดออกไปอย่างนั้น
“ ก็ที่ทำอยู่ตอนนี้...เขาเรียกว่าหนี ” ว่าพลางจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวย
“ ก็คุณหลวงเกลียดผม จะให้ผมอยู่ที่นี่ได้อย่างไรล่ะครับ ” ลั่นออกมาอย่างนั้น อีกทั้งน้ำใส ๆ ที่คลออยู่ก็เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ ไปบอกตอนไหน...ว่าพี่เกลียดอลิส? หืม...”
พูดพลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาของคนตรงหน้า
“ ก็ที่คุณหลวงทำแบบนั้นกับผม...ก็เพราะว่าเกลียดผมไม่ใช่หรือครับ... ” พูดไปสะอื้นไป
หลวงภาคินยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของคนตรงหน้า ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้คนร่างบาง แล้วมือหน้าทั้งสองข้างก็ยื่นไปจับมือเล็กของคนตรงหน้ามาถือไว้
“ ที่ทำไปแบบนั้น ไม่ได้ทำไปเพราะเกลียด ”
พูดพลางสบตากับคนตรงหน้า
“ คุณหลวงโกหก ” พูดออกมาทั้งน้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล
“ ไม่ได้โกหก ที่ทำไปเพราะ...หวง...”
พูดออกไปพลางกระชับมือคนตรงหน้าไว้แน่น
“...” ไม่พูดอะไรออกไป
“ พี่ยอมให้อลิสไปเป็นของคนอื่นไม่ได้ พอรู้เหตุผลที่ทำให้พี่คิดอย่างนั้น พี่ถึงได้ทำแบบนั้นกับอลิสลงไป ”
“ แล้วเหตุผลของคุณหลวง มันอะไรกันล่ะครับ? ” ว่าถามออกไปพลางปาดน้ำตาบนใบหน้าออก แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาเหยี่ยว
“ เหตุผลก็คือ...พี่รักอลิส...อลิสต้องเป็นของพี่เท่านั้น! ถึงใครจะมองว่าพี่เป็นคนเห็นแก่ตัว พี่ก็ไม่สน ขอแค่ให้ได้อลิสมา...มาอยู่กับพี่ อยู่ข้าง ๆ พี่ แค่นี้ก็พอแล้ว...ไม่เห็นต้องสนใจอะไรเลย ” ส่งสายตาวิงวอนให้คนตรงหน้า
“...” ไม่พูดอะไรออกไป มีเพียงน้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วรอบหนึ่งที่เอ่อล้นออกมาใหม่ แต่ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน มันเป็นน้ำตาแห่งความสุข น้ำตาสุดอิ่มเอมใจที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ร่างใหญ่เห็นคนตรงหน้าพรั่งพรูน้ำตาออกมามากมายขนาดนั้น จึงใช้โอกาสนี้ดึงคนตรงหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ร่างใหญ่กอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น พลางกดศีรษะของคนในอ้อมกอดให้แนบลงมาที่อกของตน
“ ได้ยินเสียงหัวใจของพี่ไหม? มันเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะอลิสตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ต่อไปนี้...มันจะเต้นแบบนี้เพื่ออลิสคนเดียวนะ ”
ว่าพลางกดปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่มของคนตัวเล็ก “ แล้วหัวใจของอลิสล่ะ? เคยเต้นแบบนี้เพราะพี่บ้างไหม? ”
ศีรษะเล็ก ๆ ผงกลงเบา ๆ บนอกแกร่ง พลางยกหลังมือเช็ดน้ำมูกน้ำตาของตนเอง
“ เคยสิครับ...หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะคุณหลวงนานแล้ว...นานจนผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้ มันตั้งแต่เมื่อไรกัน...”
สองมือหนาจับคนตัวเล็กออกจากอกแกร่งเบา ๆ แล้วสองมือนั้นก็เลื่อนมากุมสองมือนุ่มเอาไว้
“ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...หัวใจเราเต้นตรงกันใช่ไหม? อลิสก็รู้สึกเหมือนกันกับพี่ใช่ไหม? ” ว่าพลางกระชับมือเล็กไว้แน่น
“ ครับ ถ้ามันเรียกว่าความรัก ผมก็คงรู้สึกรักคุณหลวงไปตั้งนานแล้ว...” ว่าพลางมองเข้าไปในดวงตาเหยี่ยว
“ พี่ก็รักอลิส รักมาก รักจนไม่อยากให้ใครมายุ่มย่าม ”
“...” ไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้สึกเขินอายกับคำพูดของอีกฝ่าย จนแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ๆ
“ แต่งงานกับพี่นะ อลิส...”
ว่าพลางยกมือประคองซีกแก้มบางให้เงยขึ้น
“ ครับ ” ตอบออกไปเพียงแค่นั้น พร้อมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
ใบหน้าคมโน้มลงไปประกบจุมพิตให้กับริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะผละออกมากระซิบตรงเรียวปากสวยอย่างอ้อยอิ่งว่า “ พี่รัก อลิสนะ ”
พูดเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดลอดออกมาจากปากของคนตัวเล็กเลย ร่างใหญ่ประกบจูบลงบนเรียวปากสีกุหลาบอีกครั้งอย่างอ่อนโยน แล้วร่างเล็กก็ค่อย ๆ เอนตัวนอนลงตามแรงโน้มของคนตรงหน้า จนในที่สุดอาเธอร์ลิสก็ได้นอนราบไปกับเตียง ริมฝีปากหนาผละออกมาจากเรียวปากสีกุหลาบ แล้วประทับจุมพิตลงบนหน้าผากขาว
“ พี่รักอลิสนะ ” พูดออกไปพลางมองเข้าไปในดวงตาหวานของคนใต้ร่าง
“ ผมก็รักคุณหลวงครับ ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนบนร่าง
ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงบนเรียวปากบางอีกครั้ง ดูดดึงจนมันเกิดสี พลางแกล้งขบเบา ๆ เพราะความน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวของคนใต้ร่าง ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกแล้วเปลี่ยนมาสูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนวลทั้งสองข้างแทน ใบหน้าคร้ามก้มลงมาจุมพิตที่ซอกคอขาวผ่อง พลางปลดกระดุมเสื้อของคนใต้ร่างออกไปด้วย ใช้เวลาไม่นานกระดุมทุกเม็ดก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เผยให้เห็นยอดอกสีชมพู ริมฝีปากร้อนผ่าวย้ายจากซอกคอขาวมาเม้มขบยอดอกสีกุหลาบเบา ๆ ก่อนจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น จนคนใต้ร่างต้องแอ่นอกรับกับสัมผัสที่วาบหวามนี้อย่างห้ามมิได้ มือหนาเลื่อนลงมาปลดกางเกงของคนใต้ร่างออกจนหมด เผยให้เห็นเรียวขาขาวทั้งสองข้าง แล้วมือหนาก็ลูบไล้ไปที่ต้นขาเรียวของคนใต้ร่าง จนไปหยุดลงที่แท่นกลางลำตัวอันน่ารักของคนตัวเล็ก มือใหญ่บีบเค้นเบา ๆ จนแท่งกายนั้นค่อย ๆ แข็งขืนขึ้นมาอย่างน่าเอียงอาย ริมฝีปากหนาผละออกมาจากยอดอกสีกุหลาบแล้วประทับจูบลงต่ำเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าท้องสวย เรียวปากร้อนก็ดูดดึงหน้าท้องขาวนั้นจนเกิดเป็นสีแดงก่อนจะผละออกมามองผลงานทั้งหมดของตนเอง
“ น่ารักเหลือเกิน ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นอนเปลือยอยู่
“...” ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พวงแก้มใสก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีลูกตำลึงตอนสุกงอม
“ เป็นของพี่นะขอรับ ”
ก้มเข้าไปกระซิบอย่างอ้อยอิ่งใกล้ริมฝีปากสวย ก่อนจะกดจุมพิตลงเบา ๆ
“...” ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก มีเพียงการพยักหน้า ที่แสดงถึงการยินยอม
ร่างสูงก้มลงไปประทับจูบบนเรียวปากเล็กอีกครั้ง พลางมือหนาก็ค่อย ๆ ปลดเปลื้องผ้านุ่งของตนเองออก จนในที่สุดส่วนล่างของขุนนางหนุ่มก็เป็นอิสระ เผยให้เห็นแก่นท่อนกลางลำตัวขนาดใหญ่ที่แข็งขืนชูชันตระหง่านตาอยู่ มือหนาขยับขาเรียวให้อ้าออกพอที่ลำตัวแกร่งจะแทรกเข้าไปได้ มือใหญ่จับแก่นกายของตนเองมาจ่อตรงช่องทางสีหวานแล้วค่อย ๆ ดันเข้าไปจนสุดลำปืนใหญ่
“ อื้อ! ” หลุดเสียงในลำคอออกมาเพราะแท่นกายของคนบนตัวไปสัมผัสเข้ากับจุดเร้าภายในช่องทางรัก
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลุดเสียงในลำคอออกมา ริมฝีปากร้อนก็ถอนออกมาจากเรียวปากบาง แล้วกระซิบกระชันชิดริมฝีปากสีสวยด้วยเสียงพร่าว่า “ เจ็บรึเปล่า? ”
“ ปะ...เปล่าครับ มันรู้สึกแปลก ๆ อ๊ะ! ” ว่าด้วยน้ำเสียงกระเส่า
“ รู้สึกดีไหม? ” ว่าพลางขยับเข้าออกอย่างช้า ๆ
“ อ๊ะ! คะ...ครับ ระ...รู้สึกดี อา...”
เพียงแค่คนบนตัวขยับแก่นกายช้า ๆ เพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่ความสุขไปแล้ว
“ เมียพี่น่ารักขนาดนี้เลยหรือ...” ว่าพลางกดจุมพิตลงที่แก้มแดงฟอดใหญ่
พอเห็นคนใต้ร่างถึงจุดหมายปลายทางไปแล้ว มิหนำซ้ำยังหลุดเสียงครางอย่างพอใจออกมา ขุนนางหนุ่มเองก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นสัญชาตญาณดิบของตนเองเอาไว้ได้อีกแล้ว ร่างใหญ่ยกสะโพกบางขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัด เมื่อได้ที่แล้วก็เริ่มบรรเลงรัก ขยับแท่นกลางลำตัวที่อยู่ในช่องทางสีหวานถี่ขึ้น สะโพกแกร่งกระแทกหนักหน่วงขึ้น แรงขึ้น จนในที่สุดก็ปลดปล่อยความสุขออกมา ความอุ่นวาบที่ไหลออกมาจากแก่นกายภายในช่องท้องเล็ก ก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่ความสุขตามไปด้วย แล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในห้วงของความรัก อย่างไม่สามารถที่จะหยุดยั้งห้ามใจได้ บำเรอรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่อาจเพียงพอแก่ใจของขุนนางหนุ่มเลย
นี่สินะคนที่ฟ้าส่งมา คนที่ชะตาลิขิตเอาไว้ให้ คนที่ใจโหยหามาแสนนาน คนที่เบื้องบนดลบันดาลให้ได้เกิดมารักกัน...
มาอัพต่อให้แล้วนะค่าาาา อีกตอนเดียวก็จบแล้วเน้อออ แล้วจะแถมตอนพิเศษให้ตอนนึงค่าาาา จะเป็นยังไงค่อยอ่านต่อในเล่มเอาเนอะ^^ ในเล่มมีตอนพิเศษ 9 ตอน เน้อเรื่องก็ 22 ตอน ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่าา จุ๊บๆๆ KesornSama.