บทที่ 11 (2/2)
“ครับ ยังไงด้วยเรื่องงบประมาณแล้วผมคิดว่าการแข่งเป็นทีมอาจจะมากเกินไป หากปรับเปลี่ยนเป็นแบบ one on one match และเราถ่ายทอดสดใช้งบโปรโมท พวกคุณคิดว่ายังไง” บิลเป็นคนเสนอการปรับแผนขึ้นมาเอง มาร์เกตติ้งก็แบบนี้… มันไม่จบที่ proposal ตัวแรกเสมอ… สุดท้ายก็มีการปรับเปลี่ยน
“ผมก็ว่าดีนะครับ เพราะหากให้เทรนทีมนักกีฬาหน้าใหม่มันก็งานใหญ่อยู่ และอาจจะไม่น่าสนใจเท่า one on one ด้วย… แดริล คุณคิดว่ายังไง” วินเซนต์ตอบแบบสุภาพจนแทบจะไม่คุ้นชิน แถมยังหันมาชวนลูกค้าคุยอีกต่างหาก… แต่เขาเป็นคนดังแถมผู้เชี่ยวชาญในเรื่องกีฬาชนิดนี้ ใครมันจะกล้าว่าอะไรได้…
“ก็เป็นไอเดียที่ดีครับ ให้โฟกัสที่สองคนไปเลยก็ได้… บิลเราจะจัดกิจกรรมทายผลผู้ชนะกันหน้าเว็บไซต์ของเราด้วยใช่ไหม” ตอบแบบให้มันจบๆ ไป แล้วก็เบี่ยงหันไปคุยกับบิลแทนทันที
“ใช่ครับบอส” ชายหนุ่มตอบรับอย่างรู้งาน
“อีกอย่างคือ… ทางเราต้องให้พรีเซนเตอร์ทั้งสองคนช่วยใช้สินค้าของเราในชีวิตประจำวัน ระหว่างที่สัญญายังมีผลด้วยนะครับ” แดริลเน้นย้ำ ครั้งนี้หันไปคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของนักกีฬาคนดังแทน
“นั่นน่ะ ครอบคลุมอยู่ในข้อตกลงอยู่แล้วครับ” ชายหัวล้านรูปร่างเล็กหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อขณะตอบรับ “ทีนี้… สำหรับตัวสัญญา ทางคุณโอคอนเนอร์ได้เตรียมมาแล้วใช่ไหมครับ”
โอคอนเนอร์เป็นนามสกุลของบิล… เจ้าของชื่อพยักหน้าเล็กน้อยและหยิบเอกสารปึกหนาออกมาจากแฟ้ม
“เอาไปตรวจดูก่อนก็ได้นะครับ แล้วค่อยส่งไปรษณีย์กลับมาให้ทางผมก่อนวันที่สิบห้า” เพราะเนื้อหาในสัญญาค่อนข้างเยอะและยิบย่อย จึงจำเป็นต้องให้เวลาทีมกฎหมายหรือทนายส่วนตัวได้นั่งอ่านและพิจารณา อันที่จริงตามที่บอก… วันนี้วินเซนต์ไม่จำเป็นต้องมาที่บริษัท เขาสามารถปล่อยให้เอเจนซี่และผู้จัดการส่วนตัวจัดการทุกอย่าง แต่เจ้าตัวก็ยังจะโผล่มาอยู่ดี…
ดวงตาสีเขียวที่คอยเฝ้าแต่จะจ้องมองมาทำให้คนถูกมองอึดอัด แถมยังพยายามชวนคุยถามความเห็นเขาในหลายๆ เรื่องอีกต่างหาก… แค่พยายามบ่ายเบี่ยงให้ไม่ดูมีพิรุธก็เต็มกลืนแล้ว
สี่สิบนาทีแห่งความกระอักกระอ่วนผ่านไปในที่สุดการประชุมก็จบลงด้วยดี แดริลแทบจะรอหนีออกจากห้องไม่ไหว ลาทุกคนเสร็จเขาก็แยกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาในทันที
“ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อย ไม่ทราบว่าไปทางไหนครับ” แต่เสียงอันคุ้นเคยนั่นทำให้เขาชะงักเท้า..
“อ๋อ ทางนั้นครับ เชิญเลย” บิล โอคอนเนอร์กล่าวเชิญด้วยรอยยิ้มสดใสจนคนเป็นเจ้านายอยากกระทืบมันขึ้นมาตงิดๆ …
“ขอบคุณครับ”
CMOหนุ่มจะถอยแล้วกลับหลังไปทางเดิมตอนนี้ก็ดูประหลาดเกินไป...มันจะดูเหมือนเขากำลังหนีชัดๆ .. และแดริล เชนไม่สามารถหนีจากวินเซนต์ ซัมเมอร์ต่อหน้าคนในบริษัทได้ จึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายที่ดันอยู่สุดทางเดิน...
วินเซนต์ก้าวขาไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ตามเข้ามาทันที….
แถมยังปิดประตูไล่หลัง แล้วล็อกอีกต่างหาก……………….
แดริลกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันกลับไปมองช้าๆ ด้วยท่าทีและสายตาหวาดระแวง… แต่นึกไม่ถึงเลยว่าประโยคแรกที่อีกฝ่ายจะพูดออกจากปากก็คือ…
“นายเล่นบล็อกฉันทุกช่องทางโซเชียล… แล้วยังเปลี่ยนเบอร์มือถือ กว่าจะตามหาเจอรู้ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหน” คนพูดเหมือนกำลังตัดพ้อประหนึ่งคนบล็อกเป็นคนใจดำอย่างนั้น… นั่นเป็นประโยคแรกที่นายควรพูดกับแฟนเก่าที่ไม่ได้พบกันมาเก้าปีหรือยังไง วินเซนต์ ซัมเมอร์?! “แต่นายดูดีขึ้นนะ”
โอเค ประโยคหลังพอฟังได้… แต่เดี๋ยวสิ!
“.......ฉันว่าฉันมีสิทธิจะทำนะ ซัมเมอร์” ดวงตาสีฟ้ามองติดจะสับสนเล็กน้อย คล้ายกำลังประเมินสถานการณ์ หรือเค้นหาคำตอบบางอย่าง สุดท้ายก็อดไม่ได้ต้องถามออกมา “ต้องการอะไรกันแน่? เงินจากงานนี้มันต่ำกว่าค่าตัวนายตั้งมาก”
“...แต่นายเล่นบล็อกแอคเคานท์ออฟฟิชเชียลเชียวนะ แล้วเป็นอะไรทำไมนายต้องล็อกทุกช่องทางโซเชียลมีเดียด้วย? แค่จะเข้าไอจีไปดูภาพนายฉันยังต้องไปดูผ่านมือถือเจฟฟ์เลย” ท่าทางการบ่นคล้ายจะตัดพ้อเบาๆ …
แอคเคานท์ออฟฟิชเชียลก็คือแอคเคานท์ที่มีติ๊กสีฟ้ารับรองว่าเป็นตัวจริง ซึ่งมียอดคนติดตามเป็นหลักแสนหลักล้าน
นายจะบอกว่านายเอาแอคเคานท์ออฟฟิชเชียลของตัวเองมาส่องดูแอคเคานท์ฉันเนี่ยนะ…..
คนฟังรู้สึกปั้นหน้าไม่ถูก… มันก็ใช่ที่เขาล็อกทุกช่องทาง ความเป็นส่วนตัวในโลกโซเชียลสมัยนี้มันน้อยจะตายไป แถมพวกคนสมัครงาน เฮ้ดฮันท์ หรือHRบริษัทต่างๆ ก็ชอบแอบส่องโซเชียลเพื่อตรวจสอบประวัติกันด้วย...
“แล้วนายก็รู้ดีนี่ ว่ามันงานเงินน้อย ที่ถามนี่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องการอะไรหรือแค่อยากได้คำยืนยัน? ” คนพูดยักไหล่น้อยๆ ยกยิ้มขำ ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นตามปกติของเจ้าตัว ชายหนุ่มนักกีฬาก้าวขายาวๆ สองก้าวก็เข้ามาประชิดร่างเล็กกว่าที่อันที่จริงก็ไม่ได้เตี้ยแต่อย่างใด แต่ก็ต้องเงยหน้ามองคู่สนทนาอยู่ดี “...ฉันมาหานาย… ต้องการนาย”
ท่าทาง ถ้อยคำ ทุกอย่างชัดเจน… วินเซนต์ก็คือวินเซนต์อยู่ดี ถึงจะดูสุขุมกว่าแต่ก่อน ใจเย็นขึ้น สุภาพขึ้น แต่ก็ยังเป็นคนพูดความต้องการของตนเองออกมาได้อย่างไม่อ้อมค้อม ทำราวว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน
ใจของแดริลเต้นรัวเมื่อได้ฟัง บนใบหน้าของนักกีฬาหนุ่มไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด เขาทำได้แค่พยายามบอกตนเองให้แข็งใจไว้
ถามว่าโกรธไหม…? ป่านนี้แล้วจะโกรธอะไรอีก ในเมื่อแต่แรกแทบจะเรียกว่าไม่ได้โกรธเลย ก็แค่ผิดหวังและเสียใจ… แต่พอคิดตกแล้วมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ยิ่งครุ่นคิดถึงมันหลายหนก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น…. กลับกันว่าถ้าเขาเป็นวินเซนต์ก็คงจะเลือกเลิกเหมือนกัน… แค่คงเลิกกันในแบบที่ดีกว่านั้น
สุดท้ายทางมันก็ตันแค่นั้น จะหาคนผิดไปเพื่ออะไรกัน…?
แล้วเด็กสิบแปด-สิบเก้าที่ทำอะไรไม่ถูกกันทั้งสองคน จะรับมือเรื่องประเภทนี้ได้ดีกันแค่ไหนเชียว…? ตอนนี้อายุก็ตั้งยี่สิบแปดเข้าไปแล้ว มองย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ดี...
ใช่แล้ว…. นอกจากจะตามใจแฟนแล้ว แดริล เชนยังเป็นคนประเภทปกป้องแฟนอีกต่างหาก… (แม้ตัวเองจะโดนทิ้งมาก็ตาม) แคทบ่นเสียจนไม่รู้จะบ่นยังไงเมื่อเธอด่าวินเซนต์แล้วเขาก็ยังบอกว่าวินซ์ไม่ได้แย่ขนาดนั้น…
รักเข้าไป ปกป้องเข้าไป ตัวเองเละเทะขนาดนี้แล้วยังจะไปปกป้องมันอีก โอ๊ย ที่รักคะ! จะรักอะไรมันนักหนา!
แม่สาวคนนั้นเคยวีนประโยคนี้ออกมา ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว...
วินเซนต์คือจุดอ่อนของเขา ก็รู้ดีตั้งแต่สมัยไฮสคูล… จนถึงตอนนี้แค่พบกัน ใจก็ยังเต้นเหมือนกับตอนยังเด็กไม่มีผิด… แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงปากแข็งไม่อยากจะยอมรับอยู่ดี
อีกอย่าง… คิดว่าไม่รู้หรือยังไงว่าทั้งควงนักร้องนักแสดง ไฮโซสาวออกงานตั้งมากมาย แล้วจะบอกว่า ‘มาหา’ อะไรกัน? ...ทำอย่างกับชีวิตคนดังนั่นจะมีที่ว่างอะไรให้คนรักที่เป็นเกย์แบบเขา
“ป่านนี้แล้ว…” คิดแล้วคิ้วสีดำก็มุ่นลงเล็กน้อย พยายามเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย แต่พอขาถอยหลังห่างไปหนึ่งก้าว อีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาสองก้าวแทน “อย่ามาล้อฉันเล่นเลย”
“นายไม่ได้โง่ แล้วก็ไม่ได้เจ้าอารมณ์ด้วย แดริล...ถามจริงฉันดูเหมือนล้อเล่นอยู่รึไง? …คนบ้าที่ไหนจะล้อเล่นกับเงินมากขนาดนี้ นายรู้หรือเปล่าว่าฉันปฏิเสธแบรนด์ใหญ่ไปกี่แบรนด์เพื่อมารับงานนี้ แถมเปลี่ยนทีมเพื่อย้ายมานิวยอร์กอีก” มือใหญ่ที่สากกร้านแตะผิวแก้ม ไล้เบาๆ อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม และก็ชัดเจนกับความต้องการของตนเองเหมือนเคย ในดวงตาสีเขียวแทบจะเป็นการวิงวอนร้องขอ เสียจนคนมองต้องรีบหลบตาก่อนจะเผลอตอบตกลง แก้มขึ้นสีเล็กน้อยแบบที่เจ้าตัวควบคุมไม่ได้ “แดริล… กลับมา”
ใช่… เขามันใจง่าย ให้อภัยง่ายๆ ด้วย บ้าเอ๊ย…!! แต่หากมีผู้ชายมาบอกคุณว่ายอมเสียเงินหลักล้านเพื่อให้ได้พบคุณอีกสักครั้ง เป็นใครมันก็ใจอ่อนทั้งนั้นล่ะ!!
คิดแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างกลุ้มใจ..
แต่มันก็ยังมีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ... เขาไม่ควรกลับไปด้วยเหตุผลทั้งปวง… ที่ว่าวินเซนต์ ซัมเมอร์ ไอคอนวงการอเมริกันฟุตบอล….. ไม่ควรจะเป็นเกย์
จะกลับไปได้ที่ไหนกัน… ควรกลับไปที่ไหนกัน?
“...ฉันไม่ใช่สิ่งของ ที่นายอยากโยนทิ้งก็โยน อยากเก็บขึ้นมาก็เก็บ วินซ์” ดวงตาสีฟ้าเบือนหนีไม่ยอมสบตา ก้มหน้าเพื่อซ่อนความสับสนที่ฉายชัดบนใบหน้า กลัวว่าอีกนิดเดียวก็จะตอบตกลงไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแล้ว….
“แต่นายยังรักฉันอยู่” วินเซนต์พูดออกมาแบบเต็มปากเต็มคำและไม่อายปากตนเองแม้แต่น้อย ดวงตาสีเขียวที่มองมาอย่างอ่อนโยนฉายแววขบขัน นั่นทำให้คนฟังกัดฟันแน่น นึกหงุดหงิดขึ้นมาแปลกๆ
ไอ้บ้านี่… อายุขนาดนี้แล้วไอ้นิสัยหลงตัวเองก็ไม่ได้เปลี่ยนเลย!! นายต้องพูดว่า ‘ฉันยังรักนายอยู่’ มากกว่าไม่ใช่เรอะ!?
“...คิดไปเอง เรื่องมันก็นานแล้ว ฉันลืมไปหมดแล้ว ขอทีเถอะวินเซนต์… เรื่องนี้น่ะยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ถ้านายลืมฉันได้แล้วจริงๆ จะเกร็งขนาดนี้ทำไมกัน…? ” มือใหญ่วางบนบ่า ลูบไล้เบามือ จากนั้นก็ดึงรวบทั้งร่างเข้ามากอดแน่น และก้มกระซิบถามที่ข้างหู “เก้าปี… ฉันก็ยังไม่ลืมนายเหมือนกัน… เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม? ”
คำพูด สายตา น้ำเสียง… ล้วนทำให้กลางอกคล้ายกำลังถูกบีบรัดแน่น….
ท่าทางเหมือนกำลังขอร้องคนอื่นแบบนี้ ราวไม่ใช่วินเซนต์ ซัมเมอร์ในความทรงจำเลย... จนชายหนุ่มเกือบจะหลุดออกไปแล้ว ว่า ‘ได้’
ใช่… ง่ายๆ แบบนั้นล่ะ ...เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้โทษวินเซนต์อยู่แล้ว
แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นความผิดหวังเสียใจมากกว่าความโกรธ...
เข้มแข็งไว้ แดริล… คนเราต้องเข้มแข็ง
ต่อให้แคทจะพูดถูกในหลายๆ เรื่อง… ใช่ เขายังไม่ลืม ใช่ เขาคบกับทุกคนโดยไล่ตามเงาของวินซ์มาตลอด… แต่ในชีวิตอันรุ่งโรจน์ของอีกฝ่าย มันจะมีที่ให้แทรกเข้าไปได้เสียเมื่อไหร่? ทำได้อย่างดีสุดก็คงแค่เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ในวัยเรียนเท่านั้น
เรื่องนี้นายก็น่าจะเข้าใจดีนี่… วินเซนต์ คนแบบนายควรจะควงนางแบบสาวเดินอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ มีครอบครัวที่อบอุ่นน่ารัก ชีวิตที่สวยงาม… ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากสายตานักข่าว กับเป็นหัวข้อข่าวฉาวในคอลัมน์ซุบซิบคนดัง...
นายมีทางเลือก…. แต่ฉันไม่มี
“...นายก็รู้ดี ว่าชีวิตของนายไม่มีที่ว่างให้กับฉัน วินเซนต์… ตอนนั้นไม่มี ตอนนี้ก็ไม่มี” มือพยายามผลักอกของอีกฝ่ายออก วินเซนต์ในตอนนี้ดูจะตัวหนักและแรงเยอะกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ดันอย่างไรก็ไม่เขยื้อน จนแดริล เชนอยากร้องไห้ “.... อีกอย่าง นายกำลังทำสูทฉันยับ เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันมีประชุมนักลงทุน….”
ฟังประโยคหลังที่แสนจะขัดอารมณ์แล้วคนตัวโตกว่าก็หลุดหัวเราะออกมา ยอมคลายอ้อมกอดให้เล็กน้อย
“แดริล… ฟังนะ ฉัน---” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงริงโทนมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน วินเซนต์ส่งเสียงจิ๊อย่างรำคาญใจ หยิบมือถือของตนออกมาดู คิ้วสีทองมุ่นลงเล็กน้อย… ถอนหายใจออกมา “...ฉันต้องรับ ขอโทษนะ”
“ครับ… โค้ช… มาคุยงานน่ะครับ…. ครับ… ได้ เดี๋ยวผมไป” คนพูดไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจออกทางน้ำเสียง แต่สีหน้ามุ่นคิ้วไม่ชอบใจชัดเจน…
เห็นไหมล่ะ… ที่สุดแล้วอเมริกันฟุตบอลก็สำคัญที่สุดอยู่ดี
...ที่แย่สุดคือมิสเตอร์เชนรู้ตัวว่าเขากำลังพาลในเรื่องที่ไม่ควรพาลและมันเป็นความคิดที่งี่เง่า… เป็นตัวเองหากมิสวีเรียกก็คงต้องตอบก่อนอยู่แล้ว…
“ฉันต้องไปแล้ว… ไว้จะมาหาใหม่”
คำว่า ไม่ต้องมา ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย ค้างอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ร่างที่สูงกว่าก็ก้มลงประทับจูบแนบบนปาก หยุดยั้งคำปฏิเสธไม่ให้พูดออกไป “ฉันคิดถึงนายนะ”
พูดเสร็จแล้วคนคนนั้นก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน… พอๆ กับตอนที่เขามา… ทิ้งให้คนที่ถูกกระทำได้แต่ยืนโง่มองตามทั้งแบบนั้น จนสุดท้ายหลังจากที่วินเซนต์หายไปจากสายตาแล้ว ร่างไม่หนาไม่บางก็ทรุดลงพิงขอบอ่างล้างมือ ยกแขนขึ้นปิดใบหน้าเห่อร้อนแบบที่จนบัดนี้ก็ยังควบคุมไม่ได้
พระเจ้าช่วยนี่ฉันยังเป็นวัยรุ่นหรือยังไง... ปฏิกิริยาแบบนี้มันอะไรกัน
จินตนาการไว้ต่างๆ นาๆ ว่าจะทำเย็นชาอย่างไร ทำเป็นไม่รู้จักอย่างไร สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า วินเซนต์ก็ยังคงเป็นวินเซนต์ ผู้ชายคนนี้ทำให้จังหวะทุกอย่างของเขารวนได้เสมอ… ไม่ว่าจะตอนสิบห้าหรือใกล้สามสิบ...
พักใหญ่กว่าที่แดริลจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ… และเดินออกจากห้องน้ำชายด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรงกลับไปที่ออฟฟิศห้องกระจกของตน
“บอสครับ บอสไม่เคยเห็นบอกผมเลยนี่นาว่าบอสรู้จักกับคุณซัมเมอร์ ผมก็ว่าทำไมเขายอมรับงานนี้ ตอนแรกก็นึกว่าบอสไม่อยากใช้เขาด้วยซ้ำ…. ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ!” มาถึงก็เจอกับสีหน้าและน้ำเสียงสดใสของไอ้บิลทันที…
ไม่.. ฉันไม่ได้อยากได้ยินชื่อนั้น
“...ช่างมันเถอะ” เหมือนทีมการตลาดจะเข้าใจผิดกันยกใหญ่แล้ว
“บอสเนี่ย สุดยอดไปเลยครับ!” ………… ไม่… ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น
เหมือนอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะปฏิเสธก็น้ำท่วมปากอย่างไรชอบกล
“..... ยังไงก็ตั้งใจทำงานนี้ให้ดีล่ะ” บิลกะพริบตามองด้วยแววสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเจ้านายของเขาดูไม่สดชื่นแจ่มใสเอาเสียเลยที่ได้เจอเพื่อนเก่า แต่ก็ยังจะพูดต่อออกมาแบบไม่ได้รู้ตัวเลย...
“แน่นอนครับ คุณวินเซนต์นี่ก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดีนะครับ ไม่ถือตัวด้วย สมัยเรียนคงสนิทกันสินะครับ”
ใช่ สนิท… สนิทมาก สนิทขั้นเห็นหมอนั่นแก้ผ้าทั้งตัวมาแล้ว….
“บิล รายงานSEM สรุปส่งมาให้ผมก่อนหกโมงเย็นวันนี้นะ” แดริลยิ้มอ่อนโยน ขณะเร่งเดดไลน์งานที่ควรจะส่งพรุ่งนี้เย็นมาเป็นวันนี้เย็นเสียแทน ทำเอาลูกน้องมือขวาได้แต่อ้าปากเหวอ “ผมจะได้รีบสรุปแผนการดันยอดของเราให้มิสเวสด้วย เราจะได้มีเวลาทำแคมเปญกีฬากันมากขึ้น”
CMOยิ้มพ่อพระ แต่การกระทำไม่พ่อพระเลยแม้แต่น้อย
“รีบไปสิ…” แดริล
“.......ครับ.. บอส” บิล
ในที่สุดไล่ตัวน่ารำคาญออกจากออฟฟิศได้แล้ว ครึ่งวันหลังก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ทั้งการประชุมรับมือกับนักลงทุนที่มาดูงาน จนถึงตอนเย็น
ขณะออกจากออฟฟิศช่วงหนึ่งทุ่มก็ยังไม่วายได้ยินสาวๆ คุยกันเรื่องวินเซนต์
โห คนอะไรหล่อมาก หล่อพอๆ กับคุณเดวิดเลย
ใช่ แต่บุคลิกดีกว่ามากเลยนะ
เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยไฮสคูลของคุณเชนด้วยนี่นา คุณเชนนี่ก็ปิดซะเงียบเลย
ท่าจะสนิทกันมากด้วยนะ เห็นคุณโอคอนเนอร์บอกว่าที่คุณซัมเมอร์มารับงานนี้ก็เพราะคุณเชนขอร้อง
ว้ายจริงเหรอเนี่ย..
ข้อแรกที่อยากจะบอก ผู้ชายที่เขาเลือกมาทำแฟนย่อมไม่ใช่พวกหล่อเสียของแบบเดวิด โจนส์… ช่วยอย่าเอามาเทียบกัน…. และข้อที่สองที่อยากจะบ่น… นายว่างมากใช่ไหมบิล?
แดริล เชนปั้นหน้าโป๊กเกอร์เฟส แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงซุบซิบ ขณะที่ก้าวเดินออกจากบริษัทไปเผชิญอากาศเย็นด้านนอก
จู่ๆ ก็มีเสียงข้อความมือถือดัง เขาหยิบขึ้นมาดู
Vivienne says:
เห็นว่าพ่อหนุ่มหล่อล่ำกล้ามโตนั่นเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนของเธอเหรอ ฉันว่าก็ดูเข้าทีอยู่นะ
“...................” ปิดมือถือแล้วยัดมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงทันที กับมิสวีที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ การส่งอะไรแบบนี้มาย่อมเป็นการแซวกันอยู่แล้ว
แดริล เชนนึกอยากเอาหัวโขกกำแพงไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้ แล้วมือถือเจ้ากรรมก็ยังคงสั่นอยู่นั่น เป็นข้อความจากเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก…
‘พรุ่งนี้จะมารับไปดินเนอร์ รอฉันด้วยล่ะ - วินซ์’
………… นายจะบังคับพาคนไปกินข้าวเย็นอย่างเผด็จการแบบนี้ไม่ได้!!
แดริลนึกอยากปิดประสาทการรับรู้ของตนเองไปเสียเดี๋ยวนี้ วันนั้นเขาขับรถกลับบ้าน อาบน้ำเสร็จก็ฝังหัวลงไปบนหมอน ไม่อยากจะคิดเรื่องอะไรอีกแล้วทั้งนั้น
พระเจ้าช่วย แค่เป็นเกย์ ทำไมชีวิตถึงต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วยเนี่ย...